คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Umbrella '14': ร่มคันที่ 14
“เกิง...”
น้ำเสียงที่ซีวอนเรียกชื่ออีกฝ่ายดูหงอยเศร้าและรู้สึกผิด
เป็นอีกครั้งที่ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ฮันกยองเดินอยู่ข้างๆเขา
มือนิ่มก็ถูกมือใหญ่ของซีวอนกอบกุมอยู่แนบแน่นแบบไม่ยอมปล่อยให้หลุดไปไหน แต่ฮันกยองไม่ยอมมองหน้าเขา
ไม่ยอมสบตาเขาสักนิด เขาพูดด้วยก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน
จิตใจของเขาดูเหมือนจะอยู่ไกลแสนไกล...ไกลจนซีวอนเอื้อมไปไม่ถึง...
มือของซีวอนที่กุมมืออีกฝ่ายอยู่บีบแน่นขึ้นไปอีกราวกับจะระบายอารมณ์อัดอั้นตันใจของเจ้าของ...บีบแรงจนคนตัวสูงคิดว่าคงทำอีกคนเจ็บแน่ๆ
แต่ก็กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆจากเด็กหนุ่มชาวจีน
ซีวอนกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด
“งั้นไปกินข้าวกันก็แล้วกันนะ” เขาเอ่ยขึ้น
แต่ฮันกยองไม่ตอบ
ซีวอนถอนหายใจ
เขาจูงมือนิ่มตรงไปยังร้านอาหารร้านหนึ่งบริเวณนั้น ฮันกยองเดินตามมาอย่างไม่ขัดขืน
คงเพราะรู้ดีว่าแรงของตัวเองสู้อีกคนไม่ได้ ขัดขืนไปก็เท่านั้น จะไปมีประโยชน์อะไร
สู้เดินตามไปอย่างว่าง่ายแบบนี้ดีกว่าไหมจะได้ไม่เจ็บตัว...
ซีวอนรู้สึกว่าขอบตาของตัวเองร้อน
เขาสูดลมหายใจลึก...เกิง...นี่เกิงโกรธผมขนาดนี้จริงๆหรือ? ผมต้องทำยังไงให้เกิงยกโทษ? ได้โปรด...
...ช่วยบอกทางให้ผมที...
////////////////////////////////
รถเวสป้าสีชมพูเร่งเครื่องแรงไปตามถนนสายเล็กฝ่าสายฝนโปรยปรายที่คยูฮยอนพยายามทำหน้าที่คนซ้อนท้ายที่ดีโดยการกางร่มให้ทั้งตัวเขาและคนขับ
เส้นทางคดเคี้ยววกวนจนคยูฮยอนสับสน ละแวกนี้เป็นบริเวณที่เขาไม่รู้จัก
และยิ่งซองมินขับพาเข้าไปตามเส้นทางลึกลับมากขึ้นเท่าไหร่
คยูฮยอนก็ยิ่งรู้สึกว่าบ้านแต่ละหลังมันใหญ่ขึ้นเท่านั้น
...อย่างกับคฤหาสน์...คยูฮยอนคิดระหว่างมองรั้วของบ้านแต่ละหลังที่ซองมินขับผ่านไป
บางหลังก็เห็นถึงความใหญ่โตอลังการของตัวบ้าน
แต่บางหลังก็รั้วสูงต้นไม้บังเสียจนมองหาตัวบ้านไม่เห็น
ตลอดทางทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย
จนเมื่อซองมินเบรกรถเวสป้าจอดพอดีที่หน้ารั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งปกคลุมไปด้วยต้นไม้ครึ้มจนมองไม่เห็นตัวบ้านข้างใน
เขาบีบแตรรถเวสป้าแล้วนิ่งรออย่างใจเย็น
“เอ่อ...” คยูฮยอนเอ่ยขึ้นขัดความเงียบ
มองไปรอบๆอย่างหวาดๆ “...นี่บ้านนายเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
ทันทีที่ซองมินพูดจบประตูรั้วก็ค่อยๆเปิดออก
เนื่องจากไม่เห็นใครสักคนที่ประตูคยูฮยอนจึงตีความเอาว่าเป็นประตูไฟฟ้าที่ถูกกดเปิดจากภายในตัวบ้าน
ซองมินขับรถเวสป้าเข้าไป
ถนนสายเล็กทอดผ่านสวนร่มรื่นจนค่อนข้างไปทางรกครึ้ม
สองฟากข้างเป็นต้นไม้ใหญ่บดบังแสงอาทิตย์จากด้านบนไว้ได้เกือบหมด
แม้จะเข้าบริเวณบ้านมาแล้วแต่คยูฮยอนยังมองไม่เห็นตัวเรือนเลยด้วยซ้ำ
นอกจากจะรกแล้วพื้นที่ยังใหญ่เกินไปอีกด้วย
ขับเข้ามาราวครึ่งนาที
คยูฮยอนจึงเริ่มเห็นตัวบ้าน แล้วเขาก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง
...บ้านทรงโบราณเหมือนในหนังเกาหลีย้อนยุคแบบที่เขาไม่คิดว่าจะมีหลงเหลืออยู่สำหรับพักอาศัยจริง
หลังมหึมาที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา...
////////////////////////////
ซีวอนจูงฮันกยองเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เลือกโต๊ะที่มุมหนึ่งของร้าน คนร่างสูงปล่อยมือนิ่มมาทำหน้าที่ลากเก้าอี้ออกให้อีกฝ่ายนั่ง
และฮันกยองก็นั่งลงอย่างว่าง่ายพลางวางร่มสีครีมคันใหม่ไว้ข้างๆเก้าอี้ตัวเอง
แต่ยังคงไม่พูดกับซีวอนสักคำ
ซีวอนสั่งอาหาร
ฮันกยองเองก็สั่งด้วย ท่าทางเขาคงหิวไม่น้อย
แต่คนจีนก็แค่หันไปพูดอะไรกับบริกรเพียงสองสามคำ เมื่อบริกรเดินจากไป
ฮันกยองก็นั่งเงียบสนิทไม่ยอมสบตาฝ่ายตรงข้ามอย่างเดิม
...ช่างเป็นบรรยากาศที่น่าอึดอัดเหลือเกิน...
“เกิงครับ...” เสียงของซีวอนที่พูดขึ้นราวกับจะเว้าวอนขอความเห็นใจ
ฮันกยองยกน้ำขึ้นมาจิบ แต่ก็ยังทำเป็นหูทวนลม
คนร่างสูงสูดลมหายใจลึกราวกับจะปลุกปั้นกำลังใจของตัวเอง
ก่อนจะโพล่งออกมาด้วยเสียงแตกพร่า “...เกิง ผมขอโทษ...”
ทิ้งระยะครู่หนึ่ง
แต่เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากฝ่ายตรงข้าม ซีวอนจึงบังคับให้ตัวเองพูดต่อรัวเร็ว
“หานเกิง
ผมขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น...ผมจะพูดไม่ว่าคุณจะฟังผมหรือรับรู้คำพูดของผมหรือไม่
ผมเสียใจจริงๆกับการกระทำที่เกิงอาจจะคิดว่าไม่อาจให้อภัยได้
แต่หากจะมีวิธีใดที่เกิงจะยกโทษให้ผม...”
น้ำเสียงของคนร่างสูงสั่นและแตกพร่ายิ่งกว่าเดิมจนเขาไม่อาจพูดต่อได้
และยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้นไปอีกเมื่อฮันกยองทำท่าเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดสักนิด
อาหารมาเสิร์ฟพอดี
และคนจีนก็ลงมือตักเข้าปากอย่างไม่สนใจสิ่งใดราวกับเขามาที่นี่คนเดียว
/////////////////////////////////
“คุณหนูซองมิน”
ทันทีที่รถเวสป้าเข้าจอดที่หน้าบันไดขึ้นเรือนชาน
เหล่าพ่อบ้านแม่บ้านคนรับใช้ที่ต่างสวมชุดฮันบกราวกับหลุดมาจากหนังจักรๆวงศ์ๆกันทั้งกองถ่ายก็วิ่งถือร่มกรูกันเข้ามาหาพวกเขา
ซองมินก้าวลงจากเบาะรถเวสป้าทั้งๆที่ยังไม่ดับเครื่องโดยมีหญิงรับใช้คนหนึ่งกางร่มบังฝนให้
ในขณะที่คยูฮยอนงงเป็นหมาป่าตาถลน
“เสด็จแม่ทรงประทับอยู่หรือไม่?” เอ่ยถามขณะถอดหมวกกันน็อคออก
และเด็กรับใช้คนหนึ่งรีบเข้ามารับไปจากมือและดูเหมือนจะรับช่วงพาเจ้าเวสป้าสีชมพูไปเก็บต่อด้วย
“ทรงประทับอยู่ที่ห้องเสวยพระกระยาหารว่างยามบ่ายเพคะ” แม่บ้านวัยกลางคนคนหนึ่งตอบ ซองมินพยักหน้ารับรู้
“เสด็จพ่อยังไม่กลับสินะ”
“ยังเพคะ” แม่บ้านคนเดิมตอบ
“ดี
งั้นเราจะได้ทรงพาคยูฮยอนไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ก่อน” กระต่ายน้อยพูดเองเออเอง
ไม่ถามความเห็นของคยูฮยอนที่ยืนอ้าปากตาค้างอยู่ข้างๆซักกะติ๊ด
“อ้าวคยูฮยอน
ทรงถอดพระมาลากันน็อคออกซะสิท่านพ่อบ้านจะได้ทรงนำไปเก็บ” ซองมินพูดขึ้น
คยูฮยอนกระพริบตาปริบๆ
“อะไรนะ?”
“หมวกกันน็อค” ซองมินแปล
คยูฮยอนจึงเพิ่งนึกขึ้นได้
และเมื่อถอดหมวกออกเขาก็เพิ่งสังเกตว่าฝนชักจะตกหนักขึ้นแล้ว
“รีบเสด็จขึ้นเคหาสน์เถอะ” ซองมินพูดเหมือนอ่านใจคยูฮยอนออก
“เดี๋ยวจะทรงประชวรเอา แล้วจะได้ขึ้นไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ด้วย ไปกันเถอะคยูฮยอน”
มือนิ่มยื่นออกมาให้คยูฮยอนจับ คนร่างสูงไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาจับมือซองมิน
แล้วทั้งสองก็พากันวิ่งขึ้นบ้านไป
ตัวบ้านภายในอลังการงานสร้างไม่ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก
คยูฮยอนได้แต่ตะลึงลานพูดไม่ออกขณะที่ซองมินพาเดินไปตามระเบียงทางเดินผ่านห้องต่างๆ
ตลอดทางจะมีสาวใช้ใส่ชุดฮันบกยืนอยู่และจะโค้งคำนับทุกครั้งที่ซองมินและเขาเดินผ่าน
การตกแต่งและข้าวของเครื่องใช้ในบ้านแทบทุกอย่างให้ความรู้สึกและกลิ่นอายของสมัยราชวงศ์โชซอน
ดูโบร่ำโบราณและขลังอย่างบอกไม่ถูก แม้อยากจะเอ่ยปากถามให้หายข้อข้องใจ
แต่คยูฮยอนได้แต่เก็บงำมันเอาไว้
บอกตัวเองว่าไม่ต้องรีบร้อนไปเพราะต่อจากนี้คงได้เจออะไรประหลาดใจมากกว่านี้แน่
ในที่สุดซองมินก็หยุดยืนที่หน้าห้องๆหนึ่งซึ่งมีชานติดสวนด้านนอกของตัวบ้านเปิดกว้างให้เห็นบรรยากาศฝนพรำภายนอกได้อย่างชัดเจน
“เสด็จแม่ ขอหม่อมฉันเข้าไปได้ไหมพะยะค่ะ?”
หญิงสาววัยกลางคนที่นั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะเตี้ยตรงชานริมสวนหันมาทันที
ร่างของเธอเหมือนเป็นเพียงเงาตัดกับแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาจากผนังที่เปิดโล่งของชานบ้านมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก
แต่กระนั้นคยูฮยอนก็เดาได้จากน้ำเสียงว่าเธอกำลังยิ้มและอยู่ในอารมณ์ดี
“ซองมิน...กลับมาแล้วเหรอลูก?”
ซองมินดึงมือคยูฮยอนให้เดินตามเข้าไปด้านใน
ตอนนั้นเองที่แม่ของซองมินเพิ่งสังเกตเห็นผู้มาเยือน “...แล้วนั่น...?”
“คนที่หม่อมฉันทูลว่าจะพามาให้เสด็จแม่ดูตัวยังไงล่ะพะยะค่ะ”
จบประโยคนั้น
หมาป่าก็หันไปมองซองมินอย่างไม่เชื่อหู
แต่กระต่ายน้อยสีชมพูไม่ได้มีทีท่าสะทกสะท้านอะไรสักนิด
...เมื่อกี๊กุฟังไม่ผิดใช่ไหมเนี่ย?...
เสด็จแม่ของซองมินดูจะฉีกยิ้มกว้างยิ่งขึ้นไปอีก
“มานี่มา เชิญนั่งก่อนสิทั้งสองคนเลย
จะรับชาหรืออะไรไหมจ๊ะ?” ถามโดยไม่ต้องการคำตอบเพราะนางจัดการปรบมือเรียกสาวใช้ที่วิ่งเข้ามาทันทีตั้งแต่ได้ยินเสียงปรบมือแรกให้จัดการเทน้ำชาใส่จอกเพิ่มให้ทั้งสองแล้ว
เมื่อคยูฮยอนและซองมินจัดการจิบจนชื่นใจแล้ว เสด็จแม่ก็เปิดประเด็นยิงคำถามทันที
“ไหนลองเล่าให้ข้าฟังซิ
พวกเจ้ารู้จักกันได้อย่างไรหรือ?”
“หม่อมฉันพบเขาที่หน้าโรงเรียน”
กระต่ายน้อยตอบทันควัน
“ในวันแรกที่เราเจอกันนั้นเขานำพระธำมรงค์วงหนึ่งมาประทานให้หม่อมฉัน
หม่อมฉันปฏิเสธในตอนแรก แต่เขายืนยัน เขาบอกเราเคยพบกันในพระสุบิน
และดังนั้นหม่อมฉันจึงลองสวมพระธำมรงค์วงนั้น แต่มันคับไป...” เสด็จแม่ของซองมินตั้งใจฟังอย่างสนอกสนใจ
กระต่ายน้อยเล่าต่อ “...เขาจึงไปซื้อพระธำมรงค์วงใหม่ให้หม่อมฉันซึ่งใส่ได้พอดี”
กระต่ายน้อยยื่นนิ้วนางข้างซ้ายอ้วนป้อมให้เสด็จแม่ดูประกอบฉากเป็นหลักฐาน
นางยื่นหน้าเข้ามาพินิจดูอย่างสนใจ “แล้วเมื่อวันก่อนเขาก็จุมพิตหม่อมฉัน”
คยูฮยอนที่นั่งเงียบจ้องหน้าซองมินที่เล่าเรื่องราวของพวกเขาฉอดๆอย่างไม่เข้าใจอะไรสักนิด
เมื่อซองมินหยุดพูดและทำท่าเหมือนเล่าจบแล้ว
หมาป่าจึงหันมามองหน้าเสด็จแม่อย่างจะขอคำอธิบาย
เสด็จแม่ของซองมินทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะพยักหน้าอย่างตัดสินใจได้
“หากเจ้าคนใดคนหนึ่งพบกันในฝันก่อนจะพบกันจริง
โบราณว่าเจ้าทั้งสองเป็นเนื้อคู่กัน ข้าคงไม่อาจไปฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้”
นางพูดอย่างแน่วแน่ คยูฮยอนถลึงตาอย่างตะลึงลาน
“ด้วยความที่ตระกูลเราเป็นตระกูลเก่าแก่
มีเชื้อพระวงศ์ขององค์จักรพรรดิมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โชซอน เราจึงมีขนบธรรมเนียม 3 ข้อด้วยกัน หากฝ่ายใดปฏิบัติครบ 3 ประการนั้นจึงจะถือว่าเป็นการสู่ขออภิเษกสมรสคนในตระกูลเราอย่างเพียบพร้อมตามประเพณี”
เดี๋ยวก่อน!
‘การสู่ขออภิเษกสมรสคนในตระกูล’ หมายความว่ายังไงฟะ!? คยูฮยอนคิดในใจ เริ่มตื่นตระหนกกับสถานการณ์เหนือความคาดหมายซึ่งถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจคำพูดของเสด็จแม่ของซองมินทุกคำ
แต่เขาก็ไม่ได้โง่วิชาราชาศัพท์ขนาดนั้นหรอกนะ!
“เจ้าได้มอบพระธำมรงค์ให้กับซองมินลูกของข้า
ถือเป็นการขอหมั้นตามประเพณี นั่นคือธรรมเนียมข้อที่หนึ่ง”
นางพูดต่อในขณะที่ดวงตาของคยูฮยอนเบิกโตขึ้นเรื่อยๆ
“ส่วนข้อที่สองคือการจุมพิตคู่หมั้นของตน
เหมือนเป็นการมอบคำมั่นสัญญาว่าเจ้าจะรักซองมินตลอดไป ซึ่งเจ้าก็ได้ทำไปแล้ว...”
ตอนนี้ตาของคยูฮยอนถลนออกมาแล้ว “...ทีนี้ก็เหลือเพียงข้อที่สามเท่านั้น
หากเจ้าได้ปฏิบัติตามธรรมเนียมข้อที่ 3
จนลุล่วงแล้ว จะเท่ากับว่าเจ้าได้สู่ขอซองมินอภิเษกสมรสเสร็จสิ้นตามประเพณีของตระกูลเรา
แล้วเจ้าทั้งสองจึงจะสามารถครองรักกันอย่างเป็นสุขได้ตลอดไป...”
นี่มันบ้าอะไรกันง๊า!? คยูฮยอนคิดในใจ
กลืนน้ำลายเอื๊อกแต่ไม่กล้าแสดงอาการตระหนกของตัวเองออกไปให้เหล่าสมาชิกตระกูลเก่าแก่ของเกาหลีนี่รับรู้
“...และธรรมเนียมข้อที่สามของตระกูลเราก็คือ...”
เสด็จแม่ของซองมินเฉลย
“...คู่หมั้นทั้งสองจะต้องอยู่หอร่วมห้องเดียวกันเพียงสองคนในห้องเจ้าสาวเป็นเวลา 3 คืน ว่าไง?
พวกเจ้าจะเริ่มคืนนี้เลยไหม?”
หมาป่าคยูฮยอนอ้าปากค้าง
เอิ่ม...นี่มันธรรมเนียมเชี่ยอะไรกันเนี่ย!?
//////////////////////////
“โว้ย!!!”
คิม
ฮีชอลเดินถือร่มสีส้มกระฟัดกระเฟียดมากับลี
ฮยอกแจ...นอกจากต้องมากินข้าวกับไอ้ไก่หน้าจืดนี่แล้ว
กุยังต้องเลี้ยงข้าวมันอีกด้วยเหรอเนี่ย!?
ชีวิตช่างบัดซบ!
ฮยอกแจให้เกียรติตัวเองเป็นคนเลือกร้านอาหาร
และดังนั้นฮีชอลจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตาม
หวังว่าพอกินอิ่มอีกฝ่ายจะยอมคืนแหวนวงนั้นให้เขาตามที่รับปากไว้
ฮยอกแจเลือกร้านเล็กๆร้านหนึ่ง เขาเปิดประตูให้ฮีชอล
“เชิญก่อนเลยคร๊าบ”
นางพญามองอีกคนด้วยหางตาแล้วเดินเข้าร้านไปอย่างเชิดสุดตีน
เขาเลือกเดินไปที่โต๊ะมุมร้านโต๊ะหนึ่งโดยหวังว่าคงจะไม่มีคนรู้จักมาเห็นตอนกำลังนั่งกินข้าวกับไอ้เด็กเมื่อวานซืนเหงือกหนานี่ให้เสียชื่อคิม
ฮีชอลหรอกนะ
“อ้าว...” ทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะที่เล็งไว้
ฮีชอลก็ต้องประหลาดใจเมื่อเจอคนที่เขาไม่คาดคิด “ซีวอน มาทำอะไรที่นี่?”
ชเว
ซีวอนที่นั่งกินข้าวในบรรยากาศอึมครึมอยู่ถึงขั้นติดคอ “แค่ก...ฮีชอล
นี่...มากับใครน่ะ?” ถามอย่างประหลาดใจไม่แพ้กัน
ก็ไอ้เด็กที่เดินตามฮีชอลมาถึงโต๊ะอาหารมันคุ้นหน้าเขาเสียที่ไหน
เครื่องแบบแบบนี้มันโรงเรียนจูมงไม่ใช่เรอะ?
...ฮีชอลมันแอบไปมีเด็กโดยที่เขากับคังอินไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?...
“นี่...เอ้อ...เด็กที่รู้จักเฉยๆน่ะ”
ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ฮยอกแจที่เพิ่งเดินมาถึงดูเหมือนจะงงๆ
แต่ไม่วายเดินมาลากเก้าอี้ให้ฮีชอลนั่ง
“เชิญนั่งคร๊าบ” แหย่เล่นเหมือนเดิม แต่คราวนี้เมื่อมีพยานอยู่ด้วยเล่นเอาฮีชอลที่ปกติทำเฉยชาหน้าแดงไปถึงใบหู
“เฮ้ยไม่ต้อง!” ออกอารมณ์กระฟัดกระเฟียดทันที
กระชากเก้าอี้มาจากมือฮยอกแจแล้วกระแทกก้นนั่งลงเองอย่างโมโห
...หืม...โกรธอะไรละนั่น? ฮยอกแจคิดในใจ
แต่ก็เดินไปนั่งที่ของตัวเองแล้วเปิดเมนูเตรียมสั่งอาหารอย่างเต็มคราบตามที่ตั้งใจไว้เหมือนเดิม
...หืม...เนี่ยเหรอเด็กที่รู้จักเฉยๆ? ซีวอนคิดในใจหลังจากเห็นกิริยาและปฏิกิริยาของทั้งสอง
แต่ก่อนที่จะสนใจเรื่องคนอื่น ซีวอนก็หันกลับมายังโต๊ะของตัวเอง
แล้วเมื่อเห็นใบหน้าสุดแสนเย็นชาของคนที่นั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม
ความรู้สึกอยากสาระแนทั้งหลายก็หายไป
...ก่อนจะไปยุ่งเรื่องของคนอื่น
เอาตัวเองให้รอดก่อนจะดีกว่าไหมซีวอน?...
“ขอพีบิมบับไซส์พิเศษ, กิมจิจิเก,
ยุคเฮ, พิซซ่าทะเล,
บัลโกกิ...”
“เฮ้ยเมิงหยุด!”
ฮีชอลแทบจะลุกขึ้นเอื้อมมือไปอุดปากมันแต่เกรงใจบริกร
จึงได้แค่ยกมือขึ้นเบรกด้วยปางห้ามญาติแบบที่ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้จนแทบจะดันหน้าฮยอกแจ
“นี่แกเห็นฉันเป็นอะไร!?” ส่งเสียงกระซิบขู่ฟ่อ
ไอ้เด็กเวรนี่กวนตีนจนน่าฆ่านัก แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มโชว์เหงือก
“แค่นี้ก่อนก็ได้ครับ”
หันไปบอกบริกรพลางปิดเมนูยื่นคืนให้ ฮีชอลอ้าปากค้าง “ผมกินหมดน่า”
ยังไม่วายหันมายืนยันกับฮีชอลเผื่ออีกฝ่ายจะรู้สึกเบาใจขึ้น แต่...
...นั่นไม่ใช่ประเด็นว้อย!!!
ฮีชอลถอนหายใจ
ท่องพุทโธๆสงบสติอารมณ์ตัวเองเพื่อไม่ให้ลุกขึ้นไปกระทืบคนตรงหน้าบัดเดี๋ยวนั้น
“ว่าแต่...” ฮยอกแจเอ่ยขึ้น
“...คุณเป็นคนอุ้มคยูฮยอนไปส่งบ้านจริงๆน่ะเหรอ?”
“หา?”
ฮีชอลเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“เพื่อนผม...เด็กที่ชื่อคยูฮยอนที่หมดสติอยู่กลางถนนวันนั้น...”
ฮยอกแจพยายามเท้าความ ฮีชอลทำหน้าอ๋อ
“อ้อ...เด็กคนนั้นน่ะเหรอ? แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ?
เขาสบายดีไหม?”
“มันขี้โรคเป็นปกติ อย่าไปสนใจมันนักเลย”
ฮยอกแจยักไหล่ “ว่าแต่คุณตัวแค่นี้เอง เอาแรงที่ไหนมาอุ้มคยูฮยอนได้?” พ่อไก่ตั้งข้อสังเกต
“หืม...เด็กนั่นก็ไม่ได้ตัวหนักมากเสียหน่อย”
ฮีชอลว่า “ตัวสูงแต่ผอมแห้ง ก็เลยเบา อีกอย่าง เห็นแบบนี้น่ะฉันแรงเยอะนะจะบอก...”
เขาชะโงกหน้ามาใกล้ๆ กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน
“...รู้อย่างนี้แล้วน่ะอย่ามาหาเรื่องฉันดีกว่านะเตือนไว้ก่อนไอ้เด็กเปรต...ระวังจะตายไม่รู้ตัว”
ฮยอกแจจ้องตาฮีชอล
พยายามค้นหาในดวงตานั้นว่าฮีชอลแค่ขู่หรือเอาความจริงมาพูด
แต่เขาก็หาคำโกหกในดวงตาคู่สวยเปี่ยมความมั่นใจนั้นไม่เจอแม้แต่นิด
...จ้ะแม่นาง ฮยอกแจกลัวแล้วคร๊าบบบบ...
“แล้วนี่เพื่อนนายฝากให้เอาแหวนมาคืนฉันเหรอ?” ฮีชอลถามต่อ
อาหารมากมายที่ฮยอกแจรัวสั่งไปเริ่มทยอยมาวางตรงหน้า
“หืม...ตอนแรกมันก็จะเอามาคืนคุณเองอยู่หรอก...แต่ท่าทางช่วงนี้จะจีบสาวยุ่งอยู่...คยูฮยอนตามหาคุณอยู่ตั้งหลายวันแต่ก็หาไม่เจอ
เพราะสิ่งเดียวที่มันจำได้เกี่ยวกับคุณ ก็คือคุณถือร่มสีชมพู!”
“อ่อ ถ้าอย่างงั้นก็เสียใจ
เพราะฉันเปลี่ยนสีร่มตามสีประจำวันย่ะ!” พูดจบก็ตักบัลโกกิเข้าปาก
“นั่นผมเห็นแล้ว” ฮยอกแจยิ้ม ตักอาหารเข้าปากบ้าง
แต่ฮีชอลยังไม่หายข้องใจ
“งั้นทำไม...นายถึงเป็นคนเอาแหวนมาคืนฉัน...ไม่ใช่เด็กคนนั้นล่ะ?”
คำถามนี้เล่นเอาฮยอกแจเงียบไปเหมือนกัน
ฮีชอลมุ่นหัวคิ้ว มือที่เขี่ยเลือกเนื้อชิ้นสวยๆในจานอาหารตรงหน้าเล่นแต่แรกหยุดเหมือนจะรอคำตอบ
“ก็เพราะ...” ฮยอกแจลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างคนตัดสินใจได้ “...คุณสวย
ผมก็เลยอยากเป็นคน...เข้ามาคุยกับคุณ”
ปฏิกิริยาตอบสนองจากฮีชอลไม่ได้ประหลาดใจอะไรนัก
เขาวางตะเกียบแล้วยกมือขึ้นกอดอก
เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์พลางยกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย
“งั้นก็เลยถือโอกาสเข้ามาจีบฉันงั้นสิ?” พูดได้อย่างไม่รู้สึกเขินอายเลยสักนิด
ฮยอกแจเห็นท่าทีนั้นจึงปล่อยตัวตามสบายบ้าง เขาชะโงกหน้าข้ามโต๊ะ
ยิ้มโชว์เหงือกพลางพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“ก็รู้อยู่แล้วนี่นา”
“เกิง จะสั่งอย่างอื่นอีกไหม? ทานแค่นั้นอิ่มเหรอครับ?”
ในขณะเดียวกันโต๊ะข้างๆก็ให้บรรยากาศต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฮันกยองวางตะเกียบบนจานอาหารที่ทานไปไม่ถึงครึ่ง
กระนั้นเขาก็ไม่รู้สึกหิวแม้แต่น้อย
เขาไม่รู้สึกอิ่มด้วย...จริงๆแล้วก็คือเขาไม่รู้สึกอะไรเลย
ฮันกยองไม่ตอบ
เขาเสหน้าไปทางอื่นทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนกเสียงกาเสียงม้าเสียงสิงโตเหมือนเคย
ทันใดประตูร้านเปิดออก
และคังอินกับลีทึกเดินเข้ามา
ลีทึกสะดุดทันที
แต่คังอินสะดุดกว่า เขามองซีวอนที มองฮีชอลที
แล้วหรี่ตาอย่างระแวงสงสัยใส่ฮีชอลที่ตีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด
...เออเอากันเข้าไป มาให้หมดโรงเรียนเลยสิเมิง!
ฮีชอลนึก
“เอ่อ...” ลีทึกทำตัวไม่ถูก
เขาตั้งท่าจะก้าวออกจากร้านแต่พลันหันไปประสานสายตากับไอ้คนจีนเพื่อนรักพอดี
...สายตาเว้าวอนอันปวดร้าวของฮันกยองทำเอาลีทึกแทบหยุดหายใจ
“เอายังไงกันดี?” คังอินหันมากระซิบถามลีทึก
ใจหนึ่งก็อยากอยู่ดูฮีชอลที่มากับเด็กโรงเรียนจูมงที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
อีกใจหนึ่งก็รู้ดีว่าหากเอาลีทึกเข้าไปใกล้ฮันกยองเมื่อไหร่มีอันว่าจะต้องโดนพรากไปจากเขาแน่ๆ
“ไปกินร้านอื่นกันดีกว่าไหม?”
เสนอทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับตัวเอง
“คือ...” ลีทึกอ้ำอึ้ง
แม้รู้อยู่แก่ใจว่าคังอินจะเปลี่ยนร้านทำไม แต่เขาก็ไม่อาจหักหลังเพื่อนรักของตัวเองได้มากไปกว่านี้
และสายตาของฮันกยองที่ยังคงจ้องมองมาก็ทำให้เขาไม่อาจก้าวขาออกไปจากร้านนั้นได้
“ฉันคงต้องนั่งที่นี่แหละ” นางฟ้ากระซิบตอบ
“ทำไมอ่ะ?
ไม่เอาน่า...”
คังอินโวยวายทันที
“ฉันทิ้งฮันกยองไม่ได้โว้ย!!!” ลีทึกตอบเสียงแข็งเป็นประกาศิต
คว้ามือคังอินมากุมไว้แล้วลากอีกฝ่ายให้เดินมานั่งโต๊ะๆหนึ่งในร้านที่อยู่ห่างจากโต๊ะของอีกสองคู่ที่สุด
อย่างน้อยเขาจะได้ช่วยฮันกยองได้หากเกิดอะไรขึ้นมา...
แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? ตอนนี้ซีวอนคงแผลงฤทธิ์ไม่ออกแล้วละมัง
“เกิง...”
เหมือนซีวอนจะรู้ตัวดีว่าเวลาของตนเหลือไม่มากแล้ว
หากจะง้อก็ต้องรีบง้อตอนนี้
เขายื่นมือไปกุมมือนิ่มของฮันกยองที่เผลอวางไว้บนโต๊ะ...จับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“เกิง ผมขอโทษ...” พูดเป็นครั้งที่ร้อยของวันนี้
และเขาก็ได้แต่ภาวนาว่าคนตรงหน้าจะได้ยินและรับฟังเขาบ้าง “...เกิง
ขอโอกาสผมอีกสักครั้ง...ให้ผมได้แก้ตัวเถอะ”
มือของฮันกยองที่เขากุมไว้ส่งสัญญาณตอบด้วยการบีบกลับ
หัวใจของซีวอนเต้นรัวอย่างลิงโลด เป็นครั้งแรกในวันนี้ที่คนจีนมีปฏิกิริยาตอบสนอง
ฮันกยองส่งยิ้มแห้งๆให้
เป็นยิ้มที่เจื่อนพิกลจนทำให้หัวใจที่พองโตของสิงโตหนุ่มค่อยๆแฟบลงราวกับมีรูรั่ว
“...เมื่อวานฉานก็ห้ายโอกาสนาย
แต่นายก็ทามมานพางม่ายเปนท่า...”
สำเนียงแปร่งๆไม่ได้ทำให้ความหมายที่ทิ่มแทงหัวใจของซีวอนลดลง
เพราะซีวอนฟังมันออกทุกคำพูด “...ฉานม่ายมีอารายจาห้ายนายอีกแล้ว...”
คนจีนดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของคนร่างสูง
และซีวอนก็ไม่มีแรงจะรั้งมันเอาไว้ เขาตะลึงลานไปเสียแล้ว ฮันกยองลุกขึ้นยืน
คว้ากระเป๋ามาสะพาย
แล้วผลุนผลันลุกออกไปโดยไม่วายตะโกนเรียกไปยังอีกฟากของร้านข้ามหัวเด็กนักเรียนคนอื่นอีกมากมายโดยไม่อายหรือเกรงใจ
“อีทึก กลับ!”
“หา?”
อีทึกที่กำลังอ่านเมนูจะสั่งอาหารหันขวับมองทำหน้าเหรอหรา
ฮันกยองไม่ปล่อยให้อีกคนคิดนาน เขาบุกไปถึงโต๊ะของลีทึก
คว้าแขนบอบบางของนางฟ้ากระชากให้ลุกขึ้นมาต่อหน้าคังอินโดยไม่ครณาว่าอีกคนยังขาแพลงไม่หาย
“เฮ้ยใจเย็นก็ได้เว้ยไอ้ฮัน!” ลีทึกโวยวาย กะเผลกขาตัวเองเร่งตามฮันกยองจนออกไปจากร้าน
ฝนด้านนอกหยุดตกแล้วและฮันกยองก็เดิมดุ่มจากไปโดยไม่คิดจะเหลียวกลับมามองบุคคลที่ถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง
คังอินอ้าปากค้าง
ซีวอนนิ่งตะลึง
ฮีชอลลุกจากโต๊ะตัวเองมานั่งเก้าอี้ของฮันกยองทันที
“เอาแล้วไงละเมิง” พูดขึ้นมาเบาๆ
คังอินตามมาสมทบในวินาทีถัดมาลากเก้าอี้ว่างจากโต๊ะข้างๆมานั่งด้วย
“เชี่ยเอ๊ย!
กุว่าแล้วเชียวไม่น่าเลือกร้านนี้เลย!” โวยวายทันทีที่หย่อนก้นหมีๆนั่งลง
“เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ?” ฮีชอลเอ่ยปากถาม
ซีวอนที่นั่งเหม่อจ้องมองอากาศว่างเปล่าตรงหน้าอยู่นานค่อยๆเรียกสติกลับคืน
เขาก้มลงมองที่ข้างโต๊ะ
...ฮันกยองไม่ได้หยิบร่มของตัวเองกลับไป...
...คงลืมสินะ...
“เปลี่ยน strategy
ใหม่ได้แล้วเมิง
แบบนี้เดี๋ยวก็ไม่ได้แอ้มหรอก” เสียงของฮีชอลดังขึ้น
แม้จะอยู่ใกล้แค่นี้แต่ในความคิดของซีวอนเหมือนมันดังมาจากที่อื่นไกลซึ่งไม่อยู่ในความสนใจของเขาตอนนี้
“ฮีชอล ปล่อยเด็กนายนั่งคนเดียวแบบนั้นจะดีเหรอ?” คังอินที่ละจากความเซ็งของตัวเองได้รวดเร็วมากเปิดประเด็นทันที
ดวงตาคมหรี่ลงอย่างยั่วเย้า เล่นเอาฮีชอลต้องคว้าหาอะไรปาใส่อีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้
“มันไม่ใช่เด็กกุ!” คนสวยดุแว้ด “แล้วก็ปล่อยมันกินไปอย่างนั้นแหละ
กุไม่ค่อยหิว เดี๋ยวกินเสร็จแล้วค่อยไปจ่ายเงินให้” พูดออกมาอย่างลืมตัว
คังอินถลึงตา
“นั่นน่ะนะที่บอกว่า ‘ไม่ใช่เด็กเมิง’!?”
/////////////////////////////////
“ไอ้ฮัน ใจเย็นๆได้ม๊าย!? ขากุเจ็บนะโว้ยเผื่อเมิงจะลืม!”
ลีทึกโวยวายพยายามกะเผลกขาตามฮันกยองที่เดินดุ่มๆเหมือนจะไปไล่ควายที่ไหนให้ทัน
คนจีนไม่ตอบอะไรแต่ชะลอฝีเท้าลงจนลีทึกเดินขึ้นมาทันเขาในจังหวะที่ไม่ต้องเร่งรีบนัก
นางฟ้าหอบแฮ่ก
“เป็นอะไรไปอีกละเมิง? ยังไม่คืนดีกันอีกเรอะ!?” เงยหน้าจากอาการหอบขึ้นถามเพื่อน
แต่แล้วลีทึกก็ต้องหุบปากสนิท
...เมื่อเห็นน้ำตาใสที่ไหลอาบแก้มของฮันกยองอย่างเงียบงัน
ความคิดเห็น