ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] Umbrella [END]

    ลำดับตอนที่ #14 : Umbrella '14': ร่มคันที่ 14

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.ค. 63


    เกิง...”

    น้ำเสียงที่ซีวอนเรียกชื่ออีกฝ่ายดูหงอยเศร้าและรู้สึกผิด เป็นอีกครั้งที่ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ฮันกยองเดินอยู่ข้างๆเขา มือนิ่มก็ถูกมือใหญ่ของซีวอนกอบกุมอยู่แนบแน่นแบบไม่ยอมปล่อยให้หลุดไปไหน แต่ฮันกยองไม่ยอมมองหน้าเขา ไม่ยอมสบตาเขาสักนิด เขาพูดด้วยก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน จิตใจของเขาดูเหมือนจะอยู่ไกลแสนไกล...ไกลจนซีวอนเอื้อมไปไม่ถึง...

    มือของซีวอนที่กุมมืออีกฝ่ายอยู่บีบแน่นขึ้นไปอีกราวกับจะระบายอารมณ์อัดอั้นตันใจของเจ้าของ...บีบแรงจนคนตัวสูงคิดว่าคงทำอีกคนเจ็บแน่ๆ แต่ก็กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆจากเด็กหนุ่มชาวจีน ซีวอนกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด

    งั้นไปกินข้าวกันก็แล้วกันนะ” เขาเอ่ยขึ้น

    แต่ฮันกยองไม่ตอบ

    ซีวอนถอนหายใจ เขาจูงมือนิ่มตรงไปยังร้านอาหารร้านหนึ่งบริเวณนั้น ฮันกยองเดินตามมาอย่างไม่ขัดขืน คงเพราะรู้ดีว่าแรงของตัวเองสู้อีกคนไม่ได้ ขัดขืนไปก็เท่านั้น จะไปมีประโยชน์อะไร สู้เดินตามไปอย่างว่าง่ายแบบนี้ดีกว่าไหมจะได้ไม่เจ็บตัว...

    ซีวอนรู้สึกว่าขอบตาของตัวเองร้อน เขาสูดลมหายใจลึก...เกิง...นี่เกิงโกรธผมขนาดนี้จริงๆหรือ? ผมต้องทำยังไงให้เกิงยกโทษ? ได้โปรด...

    ...ช่วยบอกทางให้ผมที...


    ////////////////////////////////


    รถเวสป้าสีชมพูเร่งเครื่องแรงไปตามถนนสายเล็กฝ่าสายฝนโปรยปรายที่คยูฮยอนพยายามทำหน้าที่คนซ้อนท้ายที่ดีโดยการกางร่มให้ทั้งตัวเขาและคนขับ เส้นทางคดเคี้ยววกวนจนคยูฮยอนสับสน ละแวกนี้เป็นบริเวณที่เขาไม่รู้จัก และยิ่งซองมินขับพาเข้าไปตามเส้นทางลึกลับมากขึ้นเท่าไหร่ คยูฮยอนก็ยิ่งรู้สึกว่าบ้านแต่ละหลังมันใหญ่ขึ้นเท่านั้น

    ...อย่างกับคฤหาสน์...คยูฮยอนคิดระหว่างมองรั้วของบ้านแต่ละหลังที่ซองมินขับผ่านไป บางหลังก็เห็นถึงความใหญ่โตอลังการของตัวบ้าน แต่บางหลังก็รั้วสูงต้นไม้บังเสียจนมองหาตัวบ้านไม่เห็น

    ตลอดทางทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย

    จนเมื่อซองมินเบรกรถเวสป้าจอดพอดีที่หน้ารั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งปกคลุมไปด้วยต้นไม้ครึ้มจนมองไม่เห็นตัวบ้านข้างใน เขาบีบแตรรถเวสป้าแล้วนิ่งรออย่างใจเย็น

    เอ่อ...” คยูฮยอนเอ่ยขึ้นขัดความเงียบ มองไปรอบๆอย่างหวาดๆ “...นี่บ้านนายเหรอ?”

    ใช่แล้ว” ทันทีที่ซองมินพูดจบประตูรั้วก็ค่อยๆเปิดออก เนื่องจากไม่เห็นใครสักคนที่ประตูคยูฮยอนจึงตีความเอาว่าเป็นประตูไฟฟ้าที่ถูกกดเปิดจากภายในตัวบ้าน ซองมินขับรถเวสป้าเข้าไป

    ถนนสายเล็กทอดผ่านสวนร่มรื่นจนค่อนข้างไปทางรกครึ้ม สองฟากข้างเป็นต้นไม้ใหญ่บดบังแสงอาทิตย์จากด้านบนไว้ได้เกือบหมด แม้จะเข้าบริเวณบ้านมาแล้วแต่คยูฮยอนยังมองไม่เห็นตัวเรือนเลยด้วยซ้ำ นอกจากจะรกแล้วพื้นที่ยังใหญ่เกินไปอีกด้วย

    ขับเข้ามาราวครึ่งนาที คยูฮยอนจึงเริ่มเห็นตัวบ้าน แล้วเขาก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง

    ...บ้านทรงโบราณเหมือนในหนังเกาหลีย้อนยุคแบบที่เขาไม่คิดว่าจะมีหลงเหลืออยู่สำหรับพักอาศัยจริง หลังมหึมาที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา...


    ////////////////////////////

     

    ซีวอนจูงฮันกยองเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เลือกโต๊ะที่มุมหนึ่งของร้าน คนร่างสูงปล่อยมือนิ่มมาทำหน้าที่ลากเก้าอี้ออกให้อีกฝ่ายนั่ง และฮันกยองก็นั่งลงอย่างว่าง่ายพลางวางร่มสีครีมคันใหม่ไว้ข้างๆเก้าอี้ตัวเอง

    แต่ยังคงไม่พูดกับซีวอนสักคำ

    ซีวอนสั่งอาหาร ฮันกยองเองก็สั่งด้วย ท่าทางเขาคงหิวไม่น้อย แต่คนจีนก็แค่หันไปพูดอะไรกับบริกรเพียงสองสามคำ เมื่อบริกรเดินจากไป ฮันกยองก็นั่งเงียบสนิทไม่ยอมสบตาฝ่ายตรงข้ามอย่างเดิม

    ...ช่างเป็นบรรยากาศที่น่าอึดอัดเหลือเกิน...

    เกิงครับ...” เสียงของซีวอนที่พูดขึ้นราวกับจะเว้าวอนขอความเห็นใจ ฮันกยองยกน้ำขึ้นมาจิบ แต่ก็ยังทำเป็นหูทวนลม คนร่างสูงสูดลมหายใจลึกราวกับจะปลุกปั้นกำลังใจของตัวเอง ก่อนจะโพล่งออกมาด้วยเสียงแตกพร่า “...เกิง ผมขอโทษ...”

    ทิ้งระยะครู่หนึ่ง แต่เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากฝ่ายตรงข้าม ซีวอนจึงบังคับให้ตัวเองพูดต่อรัวเร็ว “หานเกิง ผมขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น...ผมจะพูดไม่ว่าคุณจะฟังผมหรือรับรู้คำพูดของผมหรือไม่ ผมเสียใจจริงๆกับการกระทำที่เกิงอาจจะคิดว่าไม่อาจให้อภัยได้ แต่หากจะมีวิธีใดที่เกิงจะยกโทษให้ผม...”

    น้ำเสียงของคนร่างสูงสั่นและแตกพร่ายิ่งกว่าเดิมจนเขาไม่อาจพูดต่อได้ และยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้นไปอีกเมื่อฮันกยองทำท่าเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดสักนิด

    อาหารมาเสิร์ฟพอดี และคนจีนก็ลงมือตักเข้าปากอย่างไม่สนใจสิ่งใดราวกับเขามาที่นี่คนเดียว


    /////////////////////////////////


    คุณหนูซองมิน”

    ทันทีที่รถเวสป้าเข้าจอดที่หน้าบันไดขึ้นเรือนชาน เหล่าพ่อบ้านแม่บ้านคนรับใช้ที่ต่างสวมชุดฮันบกราวกับหลุดมาจากหนังจักรๆวงศ์ๆกันทั้งกองถ่ายก็วิ่งถือร่มกรูกันเข้ามาหาพวกเขา ซองมินก้าวลงจากเบาะรถเวสป้าทั้งๆที่ยังไม่ดับเครื่องโดยมีหญิงรับใช้คนหนึ่งกางร่มบังฝนให้ ในขณะที่คยูฮยอนงงเป็นหมาป่าตาถลน

    เสด็จแม่ทรงประทับอยู่หรือไม่?” เอ่ยถามขณะถอดหมวกกันน็อคออก และเด็กรับใช้คนหนึ่งรีบเข้ามารับไปจากมือและดูเหมือนจะรับช่วงพาเจ้าเวสป้าสีชมพูไปเก็บต่อด้วย

    ทรงประทับอยู่ที่ห้องเสวยพระกระยาหารว่างยามบ่ายเพคะ” แม่บ้านวัยกลางคนคนหนึ่งตอบ ซองมินพยักหน้ารับรู้

    เสด็จพ่อยังไม่กลับสินะ”

    ยังเพคะ” แม่บ้านคนเดิมตอบ

    ดี งั้นเราจะได้ทรงพาคยูฮยอนไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ก่อน” กระต่ายน้อยพูดเองเออเอง ไม่ถามความเห็นของคยูฮยอนที่ยืนอ้าปากตาค้างอยู่ข้างๆซักกะติ๊ด

    อ้าวคยูฮยอน ทรงถอดพระมาลากันน็อคออกซะสิท่านพ่อบ้านจะได้ทรงนำไปเก็บ” ซองมินพูดขึ้น คยูฮยอนกระพริบตาปริบๆ

    อะไรนะ?”

    หมวกกันน็อค” ซองมินแปล คยูฮยอนจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ และเมื่อถอดหมวกออกเขาก็เพิ่งสังเกตว่าฝนชักจะตกหนักขึ้นแล้ว

    รีบเสด็จขึ้นเคหาสน์เถอะ” ซองมินพูดเหมือนอ่านใจคยูฮยอนออก “เดี๋ยวจะทรงประชวรเอา แล้วจะได้ขึ้นไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ด้วย ไปกันเถอะคยูฮยอน” มือนิ่มยื่นออกมาให้คยูฮยอนจับ คนร่างสูงไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาจับมือซองมิน แล้วทั้งสองก็พากันวิ่งขึ้นบ้านไป

    ตัวบ้านภายในอลังการงานสร้างไม่ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก คยูฮยอนได้แต่ตะลึงลานพูดไม่ออกขณะที่ซองมินพาเดินไปตามระเบียงทางเดินผ่านห้องต่างๆ ตลอดทางจะมีสาวใช้ใส่ชุดฮันบกยืนอยู่และจะโค้งคำนับทุกครั้งที่ซองมินและเขาเดินผ่าน การตกแต่งและข้าวของเครื่องใช้ในบ้านแทบทุกอย่างให้ความรู้สึกและกลิ่นอายของสมัยราชวงศ์โชซอน ดูโบร่ำโบราณและขลังอย่างบอกไม่ถูก แม้อยากจะเอ่ยปากถามให้หายข้อข้องใจ แต่คยูฮยอนได้แต่เก็บงำมันเอาไว้ บอกตัวเองว่าไม่ต้องรีบร้อนไปเพราะต่อจากนี้คงได้เจออะไรประหลาดใจมากกว่านี้แน่

    ในที่สุดซองมินก็หยุดยืนที่หน้าห้องๆหนึ่งซึ่งมีชานติดสวนด้านนอกของตัวบ้านเปิดกว้างให้เห็นบรรยากาศฝนพรำภายนอกได้อย่างชัดเจน

    เสด็จแม่ ขอหม่อมฉันเข้าไปได้ไหมพะยะค่ะ?”

    หญิงสาววัยกลางคนที่นั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะเตี้ยตรงชานริมสวนหันมาทันที ร่างของเธอเหมือนเป็นเพียงเงาตัดกับแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาจากผนังที่เปิดโล่งของชานบ้านมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่กระนั้นคยูฮยอนก็เดาได้จากน้ำเสียงว่าเธอกำลังยิ้มและอยู่ในอารมณ์ดี

    ซองมิน...กลับมาแล้วเหรอลูก?”

    ซองมินดึงมือคยูฮยอนให้เดินตามเข้าไปด้านใน ตอนนั้นเองที่แม่ของซองมินเพิ่งสังเกตเห็นผู้มาเยือน “...แล้วนั่น...?”

    คนที่หม่อมฉันทูลว่าจะพามาให้เสด็จแม่ดูตัวยังไงล่ะพะยะค่ะ”

    จบประโยคนั้น หมาป่าก็หันไปมองซองมินอย่างไม่เชื่อหู แต่กระต่ายน้อยสีชมพูไม่ได้มีทีท่าสะทกสะท้านอะไรสักนิด

    ...เมื่อกี๊กุฟังไม่ผิดใช่ไหมเนี่ย?...

    เสด็จแม่ของซองมินดูจะฉีกยิ้มกว้างยิ่งขึ้นไปอีก

    มานี่มา เชิญนั่งก่อนสิทั้งสองคนเลย จะรับชาหรืออะไรไหมจ๊ะ?” ถามโดยไม่ต้องการคำตอบเพราะนางจัดการปรบมือเรียกสาวใช้ที่วิ่งเข้ามาทันทีตั้งแต่ได้ยินเสียงปรบมือแรกให้จัดการเทน้ำชาใส่จอกเพิ่มให้ทั้งสองแล้ว เมื่อคยูฮยอนและซองมินจัดการจิบจนชื่นใจแล้ว เสด็จแม่ก็เปิดประเด็นยิงคำถามทันที

    ไหนลองเล่าให้ข้าฟังซิ พวกเจ้ารู้จักกันได้อย่างไรหรือ?”

    หม่อมฉันพบเขาที่หน้าโรงเรียน” กระต่ายน้อยตอบทันควัน “ในวันแรกที่เราเจอกันนั้นเขานำพระธำมรงค์วงหนึ่งมาประทานให้หม่อมฉัน หม่อมฉันปฏิเสธในตอนแรก แต่เขายืนยัน เขาบอกเราเคยพบกันในพระสุบิน และดังนั้นหม่อมฉันจึงลองสวมพระธำมรงค์วงนั้น แต่มันคับไป...” เสด็จแม่ของซองมินตั้งใจฟังอย่างสนอกสนใจ กระต่ายน้อยเล่าต่อ “...เขาจึงไปซื้อพระธำมรงค์วงใหม่ให้หม่อมฉันซึ่งใส่ได้พอดี” กระต่ายน้อยยื่นนิ้วนางข้างซ้ายอ้วนป้อมให้เสด็จแม่ดูประกอบฉากเป็นหลักฐาน นางยื่นหน้าเข้ามาพินิจดูอย่างสนใจ “แล้วเมื่อวันก่อนเขาก็จุมพิตหม่อมฉัน”

    คยูฮยอนที่นั่งเงียบจ้องหน้าซองมินที่เล่าเรื่องราวของพวกเขาฉอดๆอย่างไม่เข้าใจอะไรสักนิด เมื่อซองมินหยุดพูดและทำท่าเหมือนเล่าจบแล้ว หมาป่าจึงหันมามองหน้าเสด็จแม่อย่างจะขอคำอธิบาย

    เสด็จแม่ของซองมินทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างตัดสินใจได้

    หากเจ้าคนใดคนหนึ่งพบกันในฝันก่อนจะพบกันจริง โบราณว่าเจ้าทั้งสองเป็นเนื้อคู่กัน ข้าคงไม่อาจไปฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้” นางพูดอย่างแน่วแน่ คยูฮยอนถลึงตาอย่างตะลึงลาน “ด้วยความที่ตระกูลเราเป็นตระกูลเก่าแก่ มีเชื้อพระวงศ์ขององค์จักรพรรดิมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โชซอน เราจึงมีขนบธรรมเนียม 3 ข้อด้วยกัน หากฝ่ายใดปฏิบัติครบ 3 ประการนั้นจึงจะถือว่าเป็นการสู่ขออภิเษกสมรสคนในตระกูลเราอย่างเพียบพร้อมตามประเพณี”

    เดี๋ยวก่อน! ‘การสู่ขออภิเษกสมรสคนในตระกูล’ หมายความว่ายังไงฟะ!? คยูฮยอนคิดในใจ เริ่มตื่นตระหนกกับสถานการณ์เหนือความคาดหมายซึ่งถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจคำพูดของเสด็จแม่ของซองมินทุกคำ แต่เขาก็ไม่ได้โง่วิชาราชาศัพท์ขนาดนั้นหรอกนะ!

    เจ้าได้มอบพระธำมรงค์ให้กับซองมินลูกของข้า ถือเป็นการขอหมั้นตามประเพณี นั่นคือธรรมเนียมข้อที่หนึ่ง” นางพูดต่อในขณะที่ดวงตาของคยูฮยอนเบิกโตขึ้นเรื่อยๆ “ส่วนข้อที่สองคือการจุมพิตคู่หมั้นของตน เหมือนเป็นการมอบคำมั่นสัญญาว่าเจ้าจะรักซองมินตลอดไป ซึ่งเจ้าก็ได้ทำไปแล้ว...” ตอนนี้ตาของคยูฮยอนถลนออกมาแล้ว “...ทีนี้ก็เหลือเพียงข้อที่สามเท่านั้น หากเจ้าได้ปฏิบัติตามธรรมเนียมข้อที่ 3 จนลุล่วงแล้ว จะเท่ากับว่าเจ้าได้สู่ขอซองมินอภิเษกสมรสเสร็จสิ้นตามประเพณีของตระกูลเรา แล้วเจ้าทั้งสองจึงจะสามารถครองรักกันอย่างเป็นสุขได้ตลอดไป...”

    นี่มันบ้าอะไรกันง๊า!? คยูฮยอนคิดในใจ กลืนน้ำลายเอื๊อกแต่ไม่กล้าแสดงอาการตระหนกของตัวเองออกไปให้เหล่าสมาชิกตระกูลเก่าแก่ของเกาหลีนี่รับรู้

    “...และธรรมเนียมข้อที่สามของตระกูลเราก็คือ...” เสด็จแม่ของซองมินเฉลย “...คู่หมั้นทั้งสองจะต้องอยู่หอร่วมห้องเดียวกันเพียงสองคนในห้องเจ้าสาวเป็นเวลา 3 คืน ว่าไง? พวกเจ้าจะเริ่มคืนนี้เลยไหม?”

    หมาป่าคยูฮยอนอ้าปากค้าง

    เอิ่ม...นี่มันธรรมเนียมเชี่ยอะไรกันเนี่ย!?


    //////////////////////////

     

    โว้ย!!!”

    คิม ฮีชอลเดินถือร่มสีส้มกระฟัดกระเฟียดมากับลี ฮยอกแจ...นอกจากต้องมากินข้าวกับไอ้ไก่หน้าจืดนี่แล้ว กุยังต้องเลี้ยงข้าวมันอีกด้วยเหรอเนี่ย!? ชีวิตช่างบัดซบ!

    ฮยอกแจให้เกียรติตัวเองเป็นคนเลือกร้านอาหาร และดังนั้นฮีชอลจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตาม หวังว่าพอกินอิ่มอีกฝ่ายจะยอมคืนแหวนวงนั้นให้เขาตามที่รับปากไว้ ฮยอกแจเลือกร้านเล็กๆร้านหนึ่ง เขาเปิดประตูให้ฮีชอล

    เชิญก่อนเลยคร๊าบ”

    นางพญามองอีกคนด้วยหางตาแล้วเดินเข้าร้านไปอย่างเชิดสุดตีน เขาเลือกเดินไปที่โต๊ะมุมร้านโต๊ะหนึ่งโดยหวังว่าคงจะไม่มีคนรู้จักมาเห็นตอนกำลังนั่งกินข้าวกับไอ้เด็กเมื่อวานซืนเหงือกหนานี่ให้เสียชื่อคิม ฮีชอลหรอกนะ

    อ้าว...” ทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะที่เล็งไว้ ฮีชอลก็ต้องประหลาดใจเมื่อเจอคนที่เขาไม่คาดคิด “ซีวอน มาทำอะไรที่นี่?”

    ชเว ซีวอนที่นั่งกินข้าวในบรรยากาศอึมครึมอยู่ถึงขั้นติดคอ “แค่ก...ฮีชอล นี่...มากับใครน่ะ?” ถามอย่างประหลาดใจไม่แพ้กัน ก็ไอ้เด็กที่เดินตามฮีชอลมาถึงโต๊ะอาหารมันคุ้นหน้าเขาเสียที่ไหน เครื่องแบบแบบนี้มันโรงเรียนจูมงไม่ใช่เรอะ?

    ...ฮีชอลมันแอบไปมีเด็กโดยที่เขากับคังอินไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?...

    นี่...เอ้อ...เด็กที่รู้จักเฉยๆน่ะ” ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ฮยอกแจที่เพิ่งเดินมาถึงดูเหมือนจะงงๆ แต่ไม่วายเดินมาลากเก้าอี้ให้ฮีชอลนั่ง

    เชิญนั่งคร๊าบ” แหย่เล่นเหมือนเดิม แต่คราวนี้เมื่อมีพยานอยู่ด้วยเล่นเอาฮีชอลที่ปกติทำเฉยชาหน้าแดงไปถึงใบหู

    เฮ้ยไม่ต้อง!” ออกอารมณ์กระฟัดกระเฟียดทันที กระชากเก้าอี้มาจากมือฮยอกแจแล้วกระแทกก้นนั่งลงเองอย่างโมโห

    ...หืม...โกรธอะไรละนั่น? ฮยอกแจคิดในใจ แต่ก็เดินไปนั่งที่ของตัวเองแล้วเปิดเมนูเตรียมสั่งอาหารอย่างเต็มคราบตามที่ตั้งใจไว้เหมือนเดิม

    ...หืม...เนี่ยเหรอเด็กที่รู้จักเฉยๆ? ซีวอนคิดในใจหลังจากเห็นกิริยาและปฏิกิริยาของทั้งสอง แต่ก่อนที่จะสนใจเรื่องคนอื่น ซีวอนก็หันกลับมายังโต๊ะของตัวเอง แล้วเมื่อเห็นใบหน้าสุดแสนเย็นชาของคนที่นั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม ความรู้สึกอยากสาระแนทั้งหลายก็หายไป

    ...ก่อนจะไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เอาตัวเองให้รอดก่อนจะดีกว่าไหมซีวอน?...

     

    ขอพีบิมบับไซส์พิเศษ, กิมจิจิเก, ยุคเฮ, พิซซ่าทะเล, บัลโกกิ...”

    เฮ้ยเมิงหยุด!” ฮีชอลแทบจะลุกขึ้นเอื้อมมือไปอุดปากมันแต่เกรงใจบริกร จึงได้แค่ยกมือขึ้นเบรกด้วยปางห้ามญาติแบบที่ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้จนแทบจะดันหน้าฮยอกแจ “นี่แกเห็นฉันเป็นอะไร!?” ส่งเสียงกระซิบขู่ฟ่อ ไอ้เด็กเวรนี่กวนตีนจนน่าฆ่านัก แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มโชว์เหงือก

    แค่นี้ก่อนก็ได้ครับ” หันไปบอกบริกรพลางปิดเมนูยื่นคืนให้ ฮีชอลอ้าปากค้าง “ผมกินหมดน่า” ยังไม่วายหันมายืนยันกับฮีชอลเผื่ออีกฝ่ายจะรู้สึกเบาใจขึ้น แต่...

    ...นั่นไม่ใช่ประเด็นว้อย!!!

    ฮีชอลถอนหายใจ ท่องพุทโธๆสงบสติอารมณ์ตัวเองเพื่อไม่ให้ลุกขึ้นไปกระทืบคนตรงหน้าบัดเดี๋ยวนั้น

    ว่าแต่...” ฮยอกแจเอ่ยขึ้น “...คุณเป็นคนอุ้มคยูฮยอนไปส่งบ้านจริงๆน่ะเหรอ?”

    หา?” ฮีชอลเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

    เพื่อนผม...เด็กที่ชื่อคยูฮยอนที่หมดสติอยู่กลางถนนวันนั้น...” ฮยอกแจพยายามเท้าความ ฮีชอลทำหน้าอ๋อ

    อ้อ...เด็กคนนั้นน่ะเหรอ? แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ? เขาสบายดีไหม?”

    มันขี้โรคเป็นปกติ อย่าไปสนใจมันนักเลย” ฮยอกแจยักไหล่ “ว่าแต่คุณตัวแค่นี้เอง เอาแรงที่ไหนมาอุ้มคยูฮยอนได้?” พ่อไก่ตั้งข้อสังเกต

    หืม...เด็กนั่นก็ไม่ได้ตัวหนักมากเสียหน่อย” ฮีชอลว่า “ตัวสูงแต่ผอมแห้ง ก็เลยเบา อีกอย่าง เห็นแบบนี้น่ะฉันแรงเยอะนะจะบอก...” เขาชะโงกหน้ามาใกล้ๆ กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “...รู้อย่างนี้แล้วน่ะอย่ามาหาเรื่องฉันดีกว่านะเตือนไว้ก่อนไอ้เด็กเปรต...ระวังจะตายไม่รู้ตัว”

    ฮยอกแจจ้องตาฮีชอล พยายามค้นหาในดวงตานั้นว่าฮีชอลแค่ขู่หรือเอาความจริงมาพูด แต่เขาก็หาคำโกหกในดวงตาคู่สวยเปี่ยมความมั่นใจนั้นไม่เจอแม้แต่นิด

    ...จ้ะแม่นาง ฮยอกแจกลัวแล้วคร๊าบบบบ...

    แล้วนี่เพื่อนนายฝากให้เอาแหวนมาคืนฉันเหรอ?” ฮีชอลถามต่อ อาหารมากมายที่ฮยอกแจรัวสั่งไปเริ่มทยอยมาวางตรงหน้า

    หืม...ตอนแรกมันก็จะเอามาคืนคุณเองอยู่หรอก...แต่ท่าทางช่วงนี้จะจีบสาวยุ่งอยู่...คยูฮยอนตามหาคุณอยู่ตั้งหลายวันแต่ก็หาไม่เจอ เพราะสิ่งเดียวที่มันจำได้เกี่ยวกับคุณ ก็คือคุณถือร่มสีชมพู!”

     “อ่อ ถ้าอย่างงั้นก็เสียใจ เพราะฉันเปลี่ยนสีร่มตามสีประจำวันย่ะ!” พูดจบก็ตักบัลโกกิเข้าปาก

    นั่นผมเห็นแล้ว” ฮยอกแจยิ้ม ตักอาหารเข้าปากบ้าง

    แต่ฮีชอลยังไม่หายข้องใจ “งั้นทำไม...นายถึงเป็นคนเอาแหวนมาคืนฉัน...ไม่ใช่เด็กคนนั้นล่ะ?”

    คำถามนี้เล่นเอาฮยอกแจเงียบไปเหมือนกัน ฮีชอลมุ่นหัวคิ้ว มือที่เขี่ยเลือกเนื้อชิ้นสวยๆในจานอาหารตรงหน้าเล่นแต่แรกหยุดเหมือนจะรอคำตอบ

    ก็เพราะ...” ฮยอกแจลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างคนตัดสินใจได้ “...คุณสวย ผมก็เลยอยากเป็นคน...เข้ามาคุยกับคุณ”

    ปฏิกิริยาตอบสนองจากฮีชอลไม่ได้ประหลาดใจอะไรนัก เขาวางตะเกียบแล้วยกมือขึ้นกอดอก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์พลางยกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย

    งั้นก็เลยถือโอกาสเข้ามาจีบฉันงั้นสิ?” พูดได้อย่างไม่รู้สึกเขินอายเลยสักนิด ฮยอกแจเห็นท่าทีนั้นจึงปล่อยตัวตามสบายบ้าง เขาชะโงกหน้าข้ามโต๊ะ ยิ้มโชว์เหงือกพลางพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

    ก็รู้อยู่แล้วนี่นา”

     

    เกิง จะสั่งอย่างอื่นอีกไหม? ทานแค่นั้นอิ่มเหรอครับ?”

    ในขณะเดียวกันโต๊ะข้างๆก็ให้บรรยากาศต่างกันโดยสิ้นเชิง ฮันกยองวางตะเกียบบนจานอาหารที่ทานไปไม่ถึงครึ่ง กระนั้นเขาก็ไม่รู้สึกหิวแม้แต่น้อย เขาไม่รู้สึกอิ่มด้วย...จริงๆแล้วก็คือเขาไม่รู้สึกอะไรเลย

    ฮันกยองไม่ตอบ เขาเสหน้าไปทางอื่นทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนกเสียงกาเสียงม้าเสียงสิงโตเหมือนเคย

    ทันใดประตูร้านเปิดออก และคังอินกับลีทึกเดินเข้ามา

    ลีทึกสะดุดทันที แต่คังอินสะดุดกว่า เขามองซีวอนที มองฮีชอลที แล้วหรี่ตาอย่างระแวงสงสัยใส่ฮีชอลที่ตีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด

    ...เออเอากันเข้าไป มาให้หมดโรงเรียนเลยสิเมิง! ฮีชอลนึก

    เอ่อ...” ลีทึกทำตัวไม่ถูก เขาตั้งท่าจะก้าวออกจากร้านแต่พลันหันไปประสานสายตากับไอ้คนจีนเพื่อนรักพอดี

    ...สายตาเว้าวอนอันปวดร้าวของฮันกยองทำเอาลีทึกแทบหยุดหายใจ

    เอายังไงกันดี?” คังอินหันมากระซิบถามลีทึก ใจหนึ่งก็อยากอยู่ดูฮีชอลที่มากับเด็กโรงเรียนจูมงที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน อีกใจหนึ่งก็รู้ดีว่าหากเอาลีทึกเข้าไปใกล้ฮันกยองเมื่อไหร่มีอันว่าจะต้องโดนพรากไปจากเขาแน่ๆ “ไปกินร้านอื่นกันดีกว่าไหม?” เสนอทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับตัวเอง

    คือ...” ลีทึกอ้ำอึ้ง แม้รู้อยู่แก่ใจว่าคังอินจะเปลี่ยนร้านทำไม แต่เขาก็ไม่อาจหักหลังเพื่อนรักของตัวเองได้มากไปกว่านี้

    และสายตาของฮันกยองที่ยังคงจ้องมองมาก็ทำให้เขาไม่อาจก้าวขาออกไปจากร้านนั้นได้ “ฉันคงต้องนั่งที่นี่แหละ” นางฟ้ากระซิบตอบ

    ทำไมอ่ะ? ไม่เอาน่า...” คังอินโวยวายทันที

    ฉันทิ้งฮันกยองไม่ได้โว้ย!!!” ลีทึกตอบเสียงแข็งเป็นประกาศิต คว้ามือคังอินมากุมไว้แล้วลากอีกฝ่ายให้เดินมานั่งโต๊ะๆหนึ่งในร้านที่อยู่ห่างจากโต๊ะของอีกสองคู่ที่สุด อย่างน้อยเขาจะได้ช่วยฮันกยองได้หากเกิดอะไรขึ้นมา...

    แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? ตอนนี้ซีวอนคงแผลงฤทธิ์ไม่ออกแล้วละมัง


    เกิง...”

    เหมือนซีวอนจะรู้ตัวดีว่าเวลาของตนเหลือไม่มากแล้ว หากจะง้อก็ต้องรีบง้อตอนนี้ เขายื่นมือไปกุมมือนิ่มของฮันกยองที่เผลอวางไว้บนโต๊ะ...จับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “เกิง ผมขอโทษ...” พูดเป็นครั้งที่ร้อยของวันนี้ และเขาก็ได้แต่ภาวนาว่าคนตรงหน้าจะได้ยินและรับฟังเขาบ้าง “...เกิง ขอโอกาสผมอีกสักครั้ง...ให้ผมได้แก้ตัวเถอะ”

    มือของฮันกยองที่เขากุมไว้ส่งสัญญาณตอบด้วยการบีบกลับ หัวใจของซีวอนเต้นรัวอย่างลิงโลด เป็นครั้งแรกในวันนี้ที่คนจีนมีปฏิกิริยาตอบสนอง

    ฮันกยองส่งยิ้มแห้งๆให้ เป็นยิ้มที่เจื่อนพิกลจนทำให้หัวใจที่พองโตของสิงโตหนุ่มค่อยๆแฟบลงราวกับมีรูรั่ว

    “...เมื่อวานฉานก็ห้ายโอกาสนาย แต่นายก็ทามมานพางม่ายเปนท่า...” สำเนียงแปร่งๆไม่ได้ทำให้ความหมายที่ทิ่มแทงหัวใจของซีวอนลดลง เพราะซีวอนฟังมันออกทุกคำพูด “...ฉานม่ายมีอารายจาห้ายนายอีกแล้ว...”

    คนจีนดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของคนร่างสูง และซีวอนก็ไม่มีแรงจะรั้งมันเอาไว้ เขาตะลึงลานไปเสียแล้ว ฮันกยองลุกขึ้นยืน คว้ากระเป๋ามาสะพาย แล้วผลุนผลันลุกออกไปโดยไม่วายตะโกนเรียกไปยังอีกฟากของร้านข้ามหัวเด็กนักเรียนคนอื่นอีกมากมายโดยไม่อายหรือเกรงใจ “อีทึก กลับ!”

    หา?” อีทึกที่กำลังอ่านเมนูจะสั่งอาหารหันขวับมองทำหน้าเหรอหรา ฮันกยองไม่ปล่อยให้อีกคนคิดนาน เขาบุกไปถึงโต๊ะของลีทึก คว้าแขนบอบบางของนางฟ้ากระชากให้ลุกขึ้นมาต่อหน้าคังอินโดยไม่ครณาว่าอีกคนยังขาแพลงไม่หาย “เฮ้ยใจเย็นก็ได้เว้ยไอ้ฮัน!” ลีทึกโวยวาย กะเผลกขาตัวเองเร่งตามฮันกยองจนออกไปจากร้าน ฝนด้านนอกหยุดตกแล้วและฮันกยองก็เดิมดุ่มจากไปโดยไม่คิดจะเหลียวกลับมามองบุคคลที่ถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง

    คังอินอ้าปากค้าง

    ซีวอนนิ่งตะลึง

    ฮีชอลลุกจากโต๊ะตัวเองมานั่งเก้าอี้ของฮันกยองทันที “เอาแล้วไงละเมิง” พูดขึ้นมาเบาๆ คังอินตามมาสมทบในวินาทีถัดมาลากเก้าอี้ว่างจากโต๊ะข้างๆมานั่งด้วย

    เชี่ยเอ๊ย! กุว่าแล้วเชียวไม่น่าเลือกร้านนี้เลย!” โวยวายทันทีที่หย่อนก้นหมีๆนั่งลง

    เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ?” ฮีชอลเอ่ยปากถาม ซีวอนที่นั่งเหม่อจ้องมองอากาศว่างเปล่าตรงหน้าอยู่นานค่อยๆเรียกสติกลับคืน เขาก้มลงมองที่ข้างโต๊ะ

    ...ฮันกยองไม่ได้หยิบร่มของตัวเองกลับไป...

    ...คงลืมสินะ...

    เปลี่ยน strategy ใหม่ได้แล้วเมิง แบบนี้เดี๋ยวก็ไม่ได้แอ้มหรอก” เสียงของฮีชอลดังขึ้น แม้จะอยู่ใกล้แค่นี้แต่ในความคิดของซีวอนเหมือนมันดังมาจากที่อื่นไกลซึ่งไม่อยู่ในความสนใจของเขาตอนนี้

    ฮีชอล ปล่อยเด็กนายนั่งคนเดียวแบบนั้นจะดีเหรอ?” คังอินที่ละจากความเซ็งของตัวเองได้รวดเร็วมากเปิดประเด็นทันที ดวงตาคมหรี่ลงอย่างยั่วเย้า เล่นเอาฮีชอลต้องคว้าหาอะไรปาใส่อีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้

    มันไม่ใช่เด็กกุ!” คนสวยดุแว้ด “แล้วก็ปล่อยมันกินไปอย่างนั้นแหละ กุไม่ค่อยหิว เดี๋ยวกินเสร็จแล้วค่อยไปจ่ายเงินให้” พูดออกมาอย่างลืมตัว คังอินถลึงตา

    นั่นน่ะนะที่บอกว่า ‘ไม่ใช่เด็กเมิง’!?”


    /////////////////////////////////


    ไอ้ฮัน ใจเย็นๆได้ม๊าย!? ขากุเจ็บนะโว้ยเผื่อเมิงจะลืม!” ลีทึกโวยวายพยายามกะเผลกขาตามฮันกยองที่เดินดุ่มๆเหมือนจะไปไล่ควายที่ไหนให้ทัน คนจีนไม่ตอบอะไรแต่ชะลอฝีเท้าลงจนลีทึกเดินขึ้นมาทันเขาในจังหวะที่ไม่ต้องเร่งรีบนัก นางฟ้าหอบแฮ่ก

    เป็นอะไรไปอีกละเมิง? ยังไม่คืนดีกันอีกเรอะ!?” เงยหน้าจากอาการหอบขึ้นถามเพื่อน แต่แล้วลีทึกก็ต้องหุบปากสนิท

    ...เมื่อเห็นน้ำตาใสที่ไหลอาบแก้มของฮันกยองอย่างเงียบงัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×