คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Umbrella '13': ร่มคันที่ 13
“ทงเฮ เมิงเป็นอะไรวะ? ซึมเป็นหมาหงอยแต่เช้าเชียว”
ฮยอกแจเอ่ยทักทายเพื่อนยามเช้าด้วยสีหน้าสดใส
จัดการเหวี่ยงกระเป๋านักเรียนสุดโสโครกของตัวเองไปแหมะบนใบหน้าไอ้เพื่อนตัวดีที่วันนี้ดูซึมแปลกๆฟุบอยู่ที่โต๊ะเรียนแต่เช้าเป็นการสงเคราะห์เผื่อมันจะตื่นขึ้นมามองโลกรอบตัวบ้าง
“หืม...อ่อ มาแล้วเหรอเมิง? อรุณสวัสดิ์” เงยหน้าขึ้นมาทักทายเพื่อนไก่อย่างพอเป็นพิธี
ก่อนจะฟุบลงไปนอนต่อ
“เป็นเชี่ยไรของเมิงไอ้ทงเฮ? เมนส์ไม่มาเหรอวะ?”
เดินปราดมานั่งแหมะลงบนโต๊ะข้างๆไอ้เพื่อนตัวดี
สะโพกไก่แทบจะจ่ออยู่ตรงหน้าเพื่อนพอดี
“เหม็นตูด” ทงเฮพูดแค่นั้นก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง
“ไอ้นี่!” ฮยอกแจแหว “แล้วเป็นอะไรเนี่ยหือ? ไม่สบายหรือเปล่า?”
ชักเป็นห่วงเพื่อนขึ้นมาจริงๆ
“เปล่า...”
“แน่ใจ?
เฮ้ย ไอ้คยู!”
คยูฮยอนเพิ่งเดินเข้ามาในห้องเรียน
หน้าตาก็ดูสดใสดีไม่เหมือนคนป่วยไข้เท่าไหร่...อย่างน้อยก็ดีกว่าไอ้ตัวที่ฟุบอยู่ตรงก้นเขานี่
“เมื่อวานเป็นไง ไข้ขึ้นเหรอ?”
ถามไถ่อาการเพื่อน
“เออ นิดหน่อยน่ะ”
เด็กหนุ่มร่างสูงเดินมาวางกระเป๋าที่โต๊ะข้างๆ มองทงเฮอย่างไม่แน่ใจ
แต่ฮยอกแจชิงเปิดประเด็นของตัวเองขึ้นก่อน
“ไอ้คยู...แหวนวงนั้นที่เมิงตามหาเจ้าของน่ะ...”
“ห๊ะ?
หืม? แหวนอะไรนะ?”
หมาป่าน้อยตีหน้างงเหมือนฮยอกแจพูดเรื่องอะไรที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
พ่อลูกไก่ยกมือขึ้นฟาดหน้าผากตัวเองดังป๊าบ พ่อเจ้าประคุณ!
“แหวนน่ะแหวน ไอ้คยู!
แหวนของเด็กโรงเรียนโซดองโยที่อยู่กับเมิงไง จำได้บ้างไหมเนี่ย!?”
“อ๋อออออออออ ไอ้แหวนนั่นน่ะเหรอ?” คยูฮยอนดีดนิ้วดังเป๊าะเมื่อพอจะจำอะไรขึ้นมาได้รางๆ
“มีอะไรวะ?”
“ขอยืมหน่อยได้ไหม?” ฮยอกแจว่าหน้าตาย
หมาป่าเลิกคิ้วสูง
“เมิงจะเอาไปทำไม?”
“เอามาพิสูจน์อะไรหน่อย”
“พิสูจน์เชี่ยอะไร? ไม่ใช่จะเอาไปขายนะ?” หน้าตาไม่น่าไว้วางใจอย่างมัน...
“ไม่ใช่ว้อย! คืองี้ กุว่ากุเจอเจ้าของแหวนแล้ว”
พ่อลูกไก่ยอมบอก
“ห๊ะ!?
จริงอะ!?” คราวนี้แม้แต่ทงเฮก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความสนใจ
“เมิงเจอเขาที่ไหน? ซอดองโยเหรอ?” หน้าตาคยูฮยอนเหมือนไม่เชื่อ
“ใช่” ทำหน้าภาคภูมิใจในความเก่งกาจของตัวเอง
“จริงเหรอ?
งั้นกุควรจะไปเจอเขาดีไหม? จะได้ขอบคุณ...” คยูฮยอนทำหน้าครุ่นคิด
แต่ฮยอกแจทำตาโตอย่างตระหนก
“ไม่ได้!”
หมาป่ากับปลาน้อยจ้องไก่เขม็งเป็นตาเดียว
“ทำไมล่ะ?”
ทงเฮถามงงๆ
“ไม่ได้เพราะ...เพราะ...กุยังไม่แน่ใจว่าเขาใช่เจ้าของแหวนหรือเปล่า!”
ฮยอกแจรีบหาข้ออ้างเป็นพัลวัน
“งั้นก็ให้คยูฮยอนเป็นคนเอาแหวนไปให้เขาดูก็ได้นี่
เขาอาจจะจำคยูฮยอนได้ก็ได้ว่าเป็นคนที่เขาช่วยไว้” ทงเฮเสนอ
แต่ฮยอกแจยังคงส่ายหัวปฏิเสธอย่างหัวเด็ดตีนขาดก่อนจะประกาศก้อง
“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้!
กุจะต้องเป็นคนเอาแหวนไปให้เขา คนเดียวเท่านั้น!”
/////////////////////////////////
“ไอ้ฮัน...”
ลีทึกมาโรงเรียนแต่เช้า
และก็พบฮันกยองนอนฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะเรียนเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก
วันนี้คังอินเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับเขาจากบ้านมาส่งที่โรงเรียน
ผลพลอยได้จากการที่มันเป็นคนขี่ไปส่งเขาที่บ้านเมื่อวานนี้หลังจากแผนการล่อลวงเขาไม่ประสบความสำเร็จ...ดูซิจะทำตัวดีๆใส่กันได้อีกสักกี่วัน
คิดเรื่องนั้นได้ไม่นาน
พอเข้ามาเจอสภาพฮันกยองไอ้เพื่อนซี้ก็เดาได้ว่าคงเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นแหงมๆ
“ไอ้ฮัน เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น? เมิงเป็นไรป่าวเนี่ย?”
ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยมันจริงๆ
ซื่อๆเซ่อๆแบบนี้เจอกับพวกมือไวใจถึงอย่างซีวอนไม่รู้เสียตัวไปไหนต่อไหนแล้วสิ
“หือ?
อีทึก? โฮ อีทึก!”
ผวาเข้ากอดเพื่อนเลิฟพลางปล่อยโฮอย่างสุดกลั้นเล่นเอานางฟ้าเหวอแดก
ดีที่เขายืนพิงโต๊ะอยู่ไม่เช่นนั้นน้ำหนักตัวของไอ้เพื่อนคนจีนคงทำเอาคนขาเจ็บอย่างเขาหงายหลังตึงลงพื้นไปแล้วแน่แท้
“ไอ้ฮัน...ชู่ว์ ใจเย็นๆไอ้ฮัน
เงียบเถอะหยุดร้องนะ กุอยู่นี่แล้วไม่เป็นอะไรนะ” เขาเองก็ปลอบคนไม่เป็นเสียด้วย
จะทำยังไงให้มันสงบดีละเนี่ย
เพื่อนในห้องคนอื่นก็มองพวกเขาเป็นตาเดียวกันไปหมดแล้ว
“ฮือ...อีทึ๊กกกก”
แขนเรียวรัดคอเพื่อนแน่นขึ้นกว่าเดิม ลีทึกทำตาถลน
“ไอ้...ฮัน...กุ...หายใจไม่ออกว๊อย!”
ความรู้สึกของการที่ปอดขาดออกซิเจนยังติดตราตรึงสมองของเขาตั้งแต่เมื่อวาน
และเขาคงไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับเขาอีกเร็วขนาดนี้แน่
ลีทึกแกะมือเหนียวหนึบของฮันกยองออกแล้วผลักอีกฝ่ายเต็มแรงอย่างไม่ปราณีปราศรัย
เด็กหนุ่มชาวจีนหยุดร้องไห้ทันทีแล้วมองลีทึกอย่างงงๆ
“อย่ามารัดคอกุ!” นางฟ้าแหว
หย่อนก้นลงนั่งที่โต๊ะตัวเองแล้วชี้มือไปที่เก้าอี้ว่างข้างๆ “เมิงน่ะมานั่งนี่!”
สั่งเสียงดุ ฮันกยองจึงเดินหงอๆมานั่งตามคำสั่งเพื่อน ไม่ปริปากสักคำ
“ไหนเป็นยังไง? ว่ามาซิเมื่อวานซีวอนมันทำอะไรเมิง?” มือเรียวยกขึ้นเท้าคาง เตรียมพร้อมรับฟังเรื่องติดเรทเต็มที่
“เขา...จาปล้ำกุ...”
ฮันกยองพูดเบาๆแต่หน้าแดงไปถึงหู
“หืม...แสดงว่าไอ้สองตัวนี้มันนัดกันสินะ”
คิดไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อวาน “แล้วมันได้เมิงไหมล่ะ?” ถามเพื่อนหน้าตายมากๆ
ฮันกยองนิ่งไปครู่จนลีทึกร้องในใจอย่างตื่นเต้น(แต่ไม่กล้าแสดงออกกลัวเพื่อนจะเตะ)ว่า
‘มันคงเสร็จแน่แล้ว’ แต่กลับกลายเป็นว่าอีกคนส่ายหน้าช้าๆแม้จะยังก้มหน้างุดอยู่
“อ่าว
ไม่เสร็จมันก็ไม่เห็นจะต้องเครียดเลยนี่ไอ้ฮัน!
ยิ่งเสร็จแล้วยิ่งไม่ต้องเครียดเข้าไปใหญ่” เผลอพูดความคิดของตัวเองออกมา
แต่ดีที่ฮันกยองแปลกลับเป็นภาษาจีนไม่ทัน
“ทามมายเขาต้องทามแบบน้านกาบกุด้วยวะ!?” น้ำเสียงแบบนี้ยังถือโทษโกรธซีวอนอยู่
“อ่าวไอ้ฮัน
ไม่ให้เขาทำกับเมิงแล้วเขาจะทำกับใครวะ!?”
ลีทึกถามเหมือนกับคำถามของฮันกยองช่างน่าประหลาดใจเสียเหลือเกิน
“ตะ...แต่มานม่ายแปลกเหรอ?” น้ำเสียงซื่อๆฟังแล้วน่าสงสาร นางฟ้าถอนหายใจ
“ไม่แปลกหรอกฮัน...คนรักกันคู่ไหนเขาก็ทำทั้งนั้นแหละ”
เออพูดได้ไม่อายปากนะกุ ฮันกยองถลึงตามองเพื่อน
“มะ...เมิงหมายควายว่ายางงายที่ว่า ‘คนรักกาน’?” ถามอย่างหวาดระแวง ลีทึกถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ฮันกยองเอ๊ย...กุว่ากุพูดเรื่องนี้กับเมิงไปรอบหนึ่งแล้วนะ
แต่กุจะพูดอีกก็ได้ ซีวอนน่ะมันชอบเมิงจะตาย ถึงขั้นจะเรียกว่า ‘รัก’
หรือเปล่านั่นน่ะไม่รู้แต่กุ
ขอเรียกงั้นละกัน
และถ้ากุเป็นเมิงกุก็จะ ‘รัก’ มันกลับเหมือนกันเพื่อน มีผัวรูปหล่อพ่อรวยขนาดนี้
ถ้าโง่ไม่เอาละก็อย่าไปบอกใครเขาว่าเมิงเป็นเพื่อนกุเชียวนะ กุอาย!”
/////////////////////////////////////
“เฮ้ยทงเฮ วันนี้ไม่รีบไปเกมเซ็นเตอร์เหรอวะ?”
ฮยอกแจเอ่ยถามอย่างผิดสังเกต
จริงๆก็ผิดมาแต่เช้าแล้วแต่ ณ ขณะนี้นี่เห็นกันชัดๆว่าปลาน้อยดูซึมเศร้าอย่างแรง
ทั้งๆที่ปกติทุกวันจะต้องกระเหี้ยนกระหือรือรีบเก็บข้าวของหนีเพื่อนฝูงเผ่นไปเกมเซ็นเตอร์แท้ๆ
วันนี้มันกลับแช่มช้อยค่อยๆเก็บข้าวของทีละชิ้นลงกระเป๋ายังกับกลัวอุปกรณ์การเรียนพวกนั้นจะบอบช้ำเสียเต็มประดา
“อืม...วันนี้ไม่อะ”
ตอบเสียงเบาเหมือนคนหมดกำลังใจ
“เห?
ทำไมวะ?” คราวนี้แหละประหลาดใจของจริง
เกิดอะไรขึ้นที่เกมเซ็นเตอร์งั้นเรอะ?
หรือว่า...
...เกิดอะไรขึ้นระหว่างมันกับไอ้เด็กนอกคิม คิบอม?...
“มีอะไรกับคิบอมหรือเปล่า?” ราวกับหยั่งรู้ จบคำถามนั่นทงเฮก็สะดุ้งเฮือก...นั่นแน่
กุจับถูกจุดเสียด้วย กุนี่มันเก่งจริงๆให้ตาย...
“ปละ...เปล่านี่...”
ปฏิเสธแต่สีหน้าไม่ได้บอกอย่างงั้นเลย จนสุดท้ายเหมือนทงเฮจะยอมแพ้
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “...เฮ้อ...กุก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกันว่ะ”
“ไอ้ฮยอก เอาแหวนกุไปแล้วใช่ไหม? งั้นกุจะไปแล้วนะ” คยูฮยอนขัดขึ้น
ดูเหมือนเวลานี้เพื่อนจะตายหรือบ้านจะไฟไหม้
อะไรก็ไม่สำคัญสำหรับมันได้เท่ากับการไปหา ‘เด็กหนุ่มผู้ถือร่มสีชมพูแห่งโรงเรียนซอดองโย’
“เฮ้ย เออ เอาไปแล้ว เดี๋ยวสิไอ้คยูกุไปด้วย!”
ว่าแล้วฮยอกแจก็กระโดดลงจากโต๊ะวิ่งแจ้นไปหาเพื่อนทันที่หน้าประตูห้อง
ปล่อยให้ปลาน้อยที่เตรียมจะสาธยายความคับอกคับใจยืนอ้าปากค้างอยู่คนเดียว
...แม่ง ไอ้พวกนี้...ไอ้เพื่อนเวร!
แล้วน้องด๊องจะทำยังไงดีล่ะ!?
ฮือออ...
//////////////////////////////////
วันนี้ทั้งวันเยซองกับเรียวอุคไม่ได้ปริปากคุยกันสักประโยค...จะว่าไปมันก็คงจะเหมือนวันอื่นๆตามธรรมดาของทั้งคู่ที่ปกติก็ไม่ได้คุยอะไรกันตลอดวันอยู่แล้ว
ยกเว้นก็แต่ตอนเลิกเรียนซึ่งเหมือนจะเป็นกิจวัตรไปแล้วที่เรียวอุคจะต้องทำเป็นจัดของช้าๆรอเยซองจนกระทั่งทั้งคู่เป็นสองคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในห้องเรียน
...แต่วันนี้มันคงจะแปลกไปสักเล็กน้อย...
เรื่องราวที่เยซองเล่าให้เขาฟังเมื่อวานยังติดตรึงอยู่ในหู...สาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมใช้ร่มแม้ฝนจะตกหนักสักเพียงใด
เรียวอุคไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเบื้องหลังการกระทำที่เขาคิดว่าเกิดจากฮอร์โมนเด็กวัยรุ่นประเภทชอบทำตัวเด่นอะไรเทือกนั้น
จะมีความหมายและเหตุผลอะไรลึกซึ้งกว่านั้นมาก...
...ทำไมฉันถึงโง่อย่างนี้?...
เสียงสวบวาบที่ดังมาจากทางหลังห้องทำให้เรียวอุครู้ว่าเยซองเก็บของเสร็จแล้ว
แต่กระนั้นคนตัวเล็กก็ไม่ได้หันไปมอง
เกิดความเงียบขึ้นพักใหญ่ๆ
ไม่มีใครขยับหรือพูดอะไร
“วันนี้ไม่ตามไปดูเหรอว่าฉันจะกางร่มหรือเปล่า?”
คำถามของเยซองเหมือนเย้ยหยัน...เยาะความโง่เง่าของเขาที่ไม่รู้อะไรสักอย่างแล้วยังจะมายุ่งไม่เข้าเรื่อง
เรียวอุคกลืนน้ำลาย ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ล่ะ” ตอบสั้นๆด้วยน้ำเสียงเบาโหวง
“หึ...งั้นก็ดี” เยซองตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังสวบสาบของเยซองที่ค่อยๆห่างออกไปทำให้รู้ว่าเขาออกจากห้องไปแล้ว
เรียวอุคหลับตา ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน เขามองออกไปนอกหน้าต่าง
วันนี้ฝนตกเหมือนเคย แม้จะไม่หนักนักแต่ก็ไม่จัดว่าเบา
จริงๆแล้วมองจากหน้าต่างห้องเรียนตรงนี้ก็สามารถมองเห็นสนามหญ้าหน้าโรงเรียนที่เยซองจะต้องเดินผ่าน
และหากเขาอยากรู้ว่าอีกคนจะกางร่มกันฝนไหม เรียวอุคก็สามารถมองจากตรงนี้ได้...
...แต่เขาไม่คิดจะทำ...
ตลอดเวลาที่ผ่านมา
เยซองจะรู้สึกอย่างไรกับการต้องกางร่มเพียงเพื่อจะตามใจเด็กที่สาระแนเรื่องชาวบ้านไม่เข้าเรื่องอย่างเขา
เยซองจะรู้สึกอย่างไรที่ต้องฝืนใจตัวเองทำตามสิ่งที่ใครก็ไม่รู้ร้องขอเพื่อที่จะตัดรำคาญ...นายคงเบื่อฉันมากสินะ? คงรำคาญฉัน
เอือมระอาฉัน...หรือไม่ก็เกลียดฉันไปแล้ว...ฉันคนนี้ที่เป็นแค่เด็กในห้องเรียนเดียวกับนายที่นายไม่เคยคิดจะรู้จักอยู่แล้ว
ฉันคนนี้ที่ไม่ได้เป็น ‘เพื่อน’ นายจริงๆด้วยซ้ำ...
น้ำตาเจ้ากรรมมันพาลไหลออกมาเสียดื้อๆ
เรียวอุคฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ร้องไห้โดยไม่มีเสียง
...แล้วฉันจะทำยังไงต่อไป? เยซองบอกฉันที...ฉันทำพลาดไปขนาดนี้ คงไม่มีสิทธิ์อะไร...
...ที่จะรักนายแล้วใช่ไหม?...
/////////////////////////////////
“ลีทึก วันนี้ฉันไปส่งบ้าน”
ประโยคนั้นไม่ใช่ประโยคขออนุญาตอย่างที่ผู้ดีมีสกุลเขามักจะเอ่ยกันเวลาจีบสาว
แต่มันเป็นประโยคคำสั่งอย่างชัดแจ้ง ลีทึกเบ้ปาก แต่ไม่ได้เบ้ใส่คังอิน
กลับเลยไปยังคนที่ยืนเงียบพยายามไม่ทำตัวเป็นจุดสังเกตอยู่หลังพ่อหมีตัวใหญ่ต่างหาก
“ฉันน่ะไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก...” ลีทึกเริ่ม
แต่คังอินไม่ยอมให้พูดต่อ
“ไม่มีก็ดี ไปกันได้แล้ว!”
คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็ก หวังจะดึงนางฟ้ามาทำหน้าที่พยุงต่อจากฮันกยอง
“เฮ้ยเดี๋ยวสิเว้ยกุยังพูดไม่จบ!” ลีทึกแว้ด
สะบัดมือของคังอินออก คนตัวใหญ่ทำหน้าบูด “เมื่อวานเพื่อนนายทำอะไรเพื่อนฉัน!?” ยิงคำถามทันที
“จะไปรู้ได้ไงไม่เห็นมันพูดอะไรนี่!”
คังอินตอบอย่างไม่สนใจ
“นี่...เพื่อนมีปัญหากันน่ะ หัดรับรู้ซะบ้าง”
“ใครมีปัญหา? ไอ้ซีวอนน่ะนะจะไปมีปัญหากับฮันกยอง
ไม่มีวันซะล่ะ!”
“ซีวอนไม่มี แต่ฮันกยองมีโว้ย!” นางฟ้าแว้ดใส่
คังอินถอนหายใจ
“ลีทึก แล้วจะให้ฉันทำยังไง? มันเป็นเรื่องของเขาสองคนแล้วเราจะไปยุ่งอะไร? เวลาเขาคบกันน่ะ เราไปมีส่วนด้วยหรือ? เรื่องแบบนี้น่ะปล่อยให้เขาจัดการกันสองคนดีกว่าน่า”
คังอินเปลี่ยนมาใช้ไม้อ่อน เอื้อมมือมาจับข้อมือลีทึกอีก
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนั้นทำให้ลีทึกลังเล
“ถ้าปล่อยให้มันจัดการกันสองคน
ซีวอนมันก็จัดการเพื่อนฉันเรียบน่ะสิ!” ลีทึกทำเสียงเขียวยังไม่ยอมจากไปง่ายๆ
ประโยคนี้ลดระดับวอลุ่มพูดให้ได้ยินกับคังอินแค่สองคน
“ฉันด่ามันไปแล้ว...”
คนตัวใหญ่พูดเสียงเบาเช่นเดียวกัน “...ทำแบบนั้นมันก็เกินปาย...โอ๊ย!”
คำอุทานสุดท้ายสนองให้กับมะเหงกของลีทึก
“ทำมาเป็นพูด เมื่อวานแกก็เหมือนกันนั่นแหละ!
ที่ซอดองโยเขาสอนแต่เรื่องแบบนี้กันหรือยังไงมันถึงได้หื่นเหมือนกันหมด!? ฉันน่ะไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อวานซีวอนไปทำอะไรฮันกยองเขาบ้าง
แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่พ้นกันนั่นแหละ!”
“มันจะไม่ทำอีกเร็วๆนี้หรอกเชื่อฉันเหอะลีทึก
มันได้บทเรียนจากเมื่อวานแล้ว” คังอินรบเร้า
ลีทึกเหล่มองซีวอนที่ยืนปลีกตัวอยู่ไม่ห่าง ฝ่ายนั้นทำเป็นมองนกมองไม้ไม่สนใจแต่รับรองว่าหูเงี่ยมาฟังบทสนทนาตรงนี้สุดชีวิตแน่
นางฟ้าถอนหายใจ...แล้วกุก็ต้องมาเป็นแม่สื่อและ/หรือไม้กันหมาให้พวกมันทุกทีสิน่า...
“ซีวอน...”
เสียงเรียกชื่อนั้นของลีทึกทำให้ทั้งเจ้าของชื่อทั้งเพื่อนเขาที่ยืนอยู่ข้างๆสะดุ้งโหยง...ร้อนตัวกันใหญ่เลยนะพวกเมิง!
“ซีวอน...จะยืนห่างไปไหนล่ะ? ฮันกยองอยู่ตรงนี้ไม่เข้ามาเอาหรือไง?” ตะโกนออกไปเสียงดังโดยไม่สนใจว่าจะเรียกสายตาทุกคู่ที่อยู่บริเวณนั้นให้หันมาจับจ้องพวกเขาได้มากแค่ไหน
ฮันกยองใช้ศอกกระทุ้งซี่โครงเพื่อนทันที
“อีทึก!!!”
“โอ๊ยไอ้ฮัน! เอาน่า...ไม่เป็นไรหรอก”
พอหันกลับมาอีกที...เร็วยิ่งกว่าใจนึก ซีวอนก็มายืนอยู่ข้างๆคังอินแล้ว
...ยังกับเอาของกินล่อหมาแน่ะ...
“ซีวอน...นี่...ใจเย็นๆกับฮันกยองหน่อยสิ
เมื่อวานน่ะนายไปทำอะไรไอ้ฮันฉันก็ไม่รู้หรอกนะ
ฮันมันก็ไม่ยอมเล่ารายละเอียดให้ฉันฟังเสียด้วย
แต่เล่นรุกเขาแบบนั้นไก่ก็ตื่นหมดน่ะสิ”
ลีทึกพูดปาวๆทำเหมือนกำลังเอ่ยถึงบุคคลที่สามที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นทั้งๆที่ฮันกยองก็ยืนหัวโด่อยู่นี่
เด็กหนุ่มชาวจีนอ้าปากค้าง ไม่รู้จะเบรกเพื่อนอย่างไรดี
“แค่นี้น่ะ ทำได้เปล่า?” พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้าง...ไหนๆก็ทำตัวเป็นแม่พวกมันแล้วก็ต้องทำให้สมบทบาทหน่อย...ซีวอนเหมือนจะตะลึงอยู่ครู่
แต่ก็รับคำโดยดีเหมือนลูกหมาเซื่องๆ
“...ครับ...”
“ดีมาก ถ้างั้น...”
จับข้อมือฮันกยองมาส่งให้อีกฝ่ายโดยไม่ถามความเห็นเจ้าตัวซักกะติ๊ด
ปากฮันกยองที่อ้าค้างอยู่แล้วยิ่งกว้างขึ้นไปอีกจนน่ากลัวจะขากรรไกรค้าง
“...ก็ฝากดูแลมันด้วยนะ”
แล้วลีทึกก็ตั้งท่าจะเดินจากไปพร้อมกับคังอิน
“เฮ้ย...นี่อ้ายอีทึก!” ฮันกยองโวยลั่น
นางฟ้าจึงหันกลับมา แต่ไม่ได้จะพูดกับฮันกยอง
“อ้อ อีกอย่างนะซีวอน เลิกเสี้ยมคังอินซะด้วย!
แผนขืนใจนางเอกแบบละครน้ำเน่าช่องเจ็ดอย่างเมื่อวานน่ะมันไม่ได้ผลต่อไปอีกแล้วพวก!”
/////////////////////////////
“สวัสดียามเย็นครับซองมิน”
ไม่รู้ว่าวันนี้ออกมาจากห้องเรียนช้าไปหน่อยหรือเปล่า
พอมาถึงโรงเรียนซอดองโยคยูฮยอนก็เจอซองมินยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“วันนี้นายต้องเสด็จประพาสที่เคหาสน์ของฉัน”
ประโยคแรกที่ซองมินพูดขึ้นเป็นคำประกาศ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคยูฮยอนไม่เข้าใจความหมายอะไรทั้งสิ้น
“หืม?...อะไรนะครับ?” ชินเสียแล้วกับการต้องทำใจเย็นกับภาษากระต่ายของซองมิน
“บ้านฉัน”
พูดพลางก็เดินนำอีกฝ่ายไปยังรถเวสป้าสีชมพูชะชะช่า~ของตนแล้วขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวสิซองมิน ฉันงงไปหมดแล้ว”
หมาป่ายังตีความหมายไม่ออกแต่ก็เดินไปขึ้นนั่งซ้อนท้ายซองมินอย่างว่าง่ายอยู่ดี
“เพราะนายทรงจูบฉันเมื่อวันก่อน...”
ซองมินสวมหมวกกันน็อคและสตาร์ทเครื่อง
หากคยูฮยอนจะเปลี่ยนใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้วเพราะกระต่ายน้อยเคลื่อนรถออกไปทันที
“...นายก็เลยต้องทรงรับผิดชอบ
ด้วยการไปทูลสู่ขอฉันเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเสด็จพ่อเสด็จแม่ไง”
/////////////////////////////
“สวัสดีครับ”
ดอกกุหลาบสีแดงสดช่อเล็กถูกยื่นมาตรงหน้าคิม
ฮีชอล แม้จะไม่ทันตั้งตัวคนสวยก็ไม่ได้มีทีท่าสะดุ้งหรือประหลาดใจอะไรสักนิด
ราวกับชาชินกับสถานการณ์แบบนี้เสียเต็มประดา
ดวงตาคู่สวยจ้องมองดอกกุหลาบนั้นด้วยหางตาครู่หนึ่ง
คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยดูพองาม
ก่อนจะเบนสายตาตามแขนขาวๆไล่ขึ้นไปจนถึงใบหน้าเจ้าของมือ
...ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนี่เอง...
เสียง
“เฮอะ” อย่างดูถูกและรำคาญใจดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
ก่อนฮีชอลจะเดินสวยเริ่ดเชิดหยิ่งมองตรงไปข้างหน้าต่อไป
“ทำไมใจร้ายจังเลยอะ?” เสียงใสๆดังขึ้นกระเง้ากะงอดตามมาข้างหลังทำให้คนสวยรู้ว่าตนเจอพวกขี้ตื๊อเข้าให้แล้ว
“แล้วทำไมวันนี้ไม่ใช้ร่มสีชมพูล่ะ?
ผมมองหาตั้งนาน
ที่แท้ก็ถือร่มสีส้มนี่เอง” จบประโยคนั้นคิม ฮีชอลก็หยุดกึก
“มันเรื่องอะไรของนายไม่ทราบ?” หันขวับมาแว้ดด้วยน้ำเสียงรำคาญ
ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยเริ่มเปี่ยมไปด้วยแววขึ้งโกรธ
กำลังอ้าปากจะด่าให้มันลืมทางกลับบ้านสักนิด
ฮีชอลก็ต้องอ้าค้างเมื่ออีกฝ่ายยื่นอะไรบางอย่างมาตรงหน้าที่ทำเอาเขาพูดไม่ออก
“ฮะ...เฮ้ย...นั่นมัน...!”
มือเรียวคว้าหมับออกไป
แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นอากาศว่างเปล่า
ฮยอกแจหดมือกลับไปแล้วชูแหวนสีเงินวงสวยหนีเจ้าของที่แท้จริงให้สูงจนอีกฝ่ายเอื้อมไม่ถึง
ฮยอกแจยิ้ม เอ่ยขึ้นช้าๆอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
“...งั้นนี่ก็เป็นแหวนของคุณจริงๆสินะ...”
ฮีชอลไม่ได้ตอบคำถามในทันใด
ชั่วเวลาหลายวินาทีที่ทั้งสองยืนจ้องตากันนิ่งงันอยู่ตรงนั้น
“แกต้องการอะไร?”
แล้วเสียงของฮีชอลที่เอ่ยขัดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้นมาก็แทบจะเป็นเสียงขู่
บ่งบอกให้รู้ถึงอารมณ์ของเจ้าตัวที่ไม่สู้จะพอใจกับการกระทำของคนตรงหน้านัก
แต่ฮยอกแจเตรียมใจเอาไว้แล้ว ดุๆแบบนี้แหละ...กุช๊อบ!
“ผมชื่อลี ฮยอกแจ...”
ไก่น้อยที่ทำใจดีสู้นางสิงห์เอ่ยขึ้นอย่างแน่วแน่ “...คุณชื่ออะไร?”
สีหน้าของคิม
ฮีชอลไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก หน้าสวยๆยู่อย่างขุ่นเคือง
แม้จะไม่เต็มใจอย่างที่สุดแต่ก็จำต้องตอบออกไป
“คิม ฮีชอล!” กระแทกเสียงใส่อารมณ์เต็มที่
ฮยอกแจพยักหน้ารับรู้พลางพึมพำ
“ชื่อเพราะจังเลยนี่...”
“เอาคืนมาได้หรือยัง!?” คนสวยขัดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ แต่ฮยอกแจยิ้มโชว์เหงือกหรา
แม้หน้าตาจะดูทึ่มๆซื่อๆ
แต่แผนการจีบคนสวยตรงหน้าที่เขาวางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานไม่ได้ซื่อไปด้วยเลย
ประโยคต่อมาที่เขาพูดขึ้นเล่นเอาฮีชอลตาถลนอย่างไม่เชื่อหู
“ไปเลี้ยงข้าวตอบแทนผมสักมื้อก่อนสิ...และผมจะคืนให้”
ความคิดเห็น