คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Umbrella '12': ร่มคันที่ 12
“นี่ปล่อยฉันนะ!”
ลีทึกโวยวาย
บิดแขนตัวเองสุดแรงเกิดด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่ามันจะหลุดออกจากอุ้งมือหมีของคังอินเสียได้
แต่ยิ่งทุ่มแรงไปเท่าไหร่ก็เหมือนความเจ็บปวดจะพุ่งกลับเข้าหาตัวเองมากเท่านั้น
คังอินแทบจะถูลู่ถูกังลากลีทึกขึ้นบันไดบ้าน
แม้เจ้าตัวจะกรีดร้องเท่าไหร่ทุบตีเขายังไงคนร่างใหญ่ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน
ไม่มีใครอยู่บ้านอยู่แล้วดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องแคร์
คังอินฉุดกระชากร่างบางไปถึงห้องนอนตัวเองก็กระชากประตูเปิดแล้วเหวี่ยงลีทึกเต็มแรงลงไปบนเตียง
ไม่สนใจแม้สักนิดว่าทำเกินไปกับคนป่วยข้อเท้าแพลงอย่างลีทึก
“ไอ้คังอิน! เมิงจะทำอะไรกุ!!?”
ลีทึกเบิกตาโพลง
ร่างระหงนอนหงายไม่เป็นท่าอยู่บนเตียงเพราะแรงเหวี่ยงหมีๆ
มือซ้ายคลำป้อยๆที่ข้อมือขวาซึ่งถูกยึดมาตลอดการเดินทางจากโรงเรียนมายังบ้านหลังนี้จนขึ้นเป็นรอยปื้นแดง
ไม่ยอมเสียเวลาแม้จะตอบคำถาม
คังอินปิดประตูล็อกห้อง แล้วก่อนที่ลีทึกจะทันได้ตั้งตัวอีกครั้ง
คนร่างใหญ่ก็ขึ้นมาคร่อมร่างของเขาเสียแล้วด้วยความเร็วแสงแบบที่คังอินไม่น่าจะทำได้
“คัง...อุ๊บ!!!”
ปากร้ายๆตั้งท่าจะประท้วง
แต่ไม่ทันฝีปากของคังอินที่ชิงประกบปากเขาเสียก่อน
ลีทึกเบิกตาโพลงกว่าเดิมจนมันแทบจะถลนออกมานอกเบ้ากับการกระทำที่คาดไม่ถึงนี้
ช็อกค้างอยู่หลายวินาที...จนคังอินเริ่มขยับริมฝีปาก...ไม่ใช่ละออกไป
แต่กลับเป็นรุกเร้ารุนแรงยิ่งขึ้น...นั่นแหละ นางฟ้าถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าลืมหายใจจนชักจะไม่มีอากาศเหลือในปอดเสียแล้ว
“อังอิน!!!” ลีทึกร้องในลำคอ
เสียงใสเล็ดรอดออกมาไม่ได้เพราะเจอริมฝีปากหนาของพ่อหมีประกบอยู่
มือเรียวยกขึ้นพยายามผลักร่างสูงที่ทาบทับเขาอย่างไม่ยอมเสียแรงสงวนน้ำหนัก
แต่สำหรับคังอิน ยิ่งประท้วงก็เหมือนยิ่งยุ ริมฝีปากหนาบดเบียดรุกเร้า
มือแกร่งจัดการรวบมือเล็กที่คอยแต่จะทุบตีเขายึดมันไว้เหนือหัวลีทึกจะได้ทำร้ายเขาไม่ได้
“อื้อ!!!”
...กุจะขาดอากาศหายใจตายแล้วว้อยไอ้อ้วน!!! ร่างบางหลับตาปี๋
ทั้งสะบัดหน้าหนีทั้งดิ้นพล่านพลางส่งเสียงตะคอกข่มขู่ในลำคอตามที่พละกำลังที่เหลือจะทำได้
พาลให้คังอินนึกว่ารังเกียจ ร่างสูงจึงจงใจทิ้งน้ำหนักมากกว่าเดิม
หวังจะให้อีกฝ่ายสิ้นฤทธิ์เสียให้ได้
...ชักจะไม่ได้แล้ว
แบบนี้มัน...อาการหน้ามืดวิงเวียนเริ่มเข้าครอบงำสติของลีทึก
และคังอินก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขาง่ายๆแน่ ไอ้ถึกนี่มันจะเล่นแรงไปไหน!? เขาต้องทำอะไรสักอย่าง! คิดได้แบบนั้น ลีทึกก็จัดการลงมือด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่...
“โอ๊ยยยยยยยยย!!!!!!!!!!”
คังอินร้องลั่นเสียงเหมือนควายออกลูก
คนอยู่ใกล้อย่างลีทึกแทบจะหูหนวก เสียงดังแบบนี้ต้องได้ยินไปถึงท้ายซอยแน่ๆ
แต่ลีทึกไม่ได้มีเวลาสนใจขนาดนั้น
พอการกระทำของเขาได้ผลและคังอินละริมฝีปากออกไปได้
ปอดของเขาก็ร่ำร้องหาออกซิเจนจนการยัดอากาศเข้าไปเร็วๆนั้นทำเอาเขาสำลักไปเหมือนกัน
“แค่กๆๆ...ฮ่วย...โอย...” มือเรียวกดหน้าอกตัวเอง
ไอจนน้ำหูน้ำตาไหล ยังไม่ทันปรับจังหวะการหายใจให้กลับเป็นปกติได้
คังอินก็พุ่งกลับเข้ามา
“อะ...อีทึก...”
แต่ลีทึกไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองแน่
ทันทีที่พ่อหมีใหญ่เข้ามาประชิดตัวเขา
สัญชาตญาณการป้องกันตัวก็สั่งให้นางฟ้าถีบคู่ต้อสู้ออกไปสุดแรงเกิด
ฝ่าบาทอรหันต์ข้างที่ปกติดีไม่เจ็บหรือแพลง ปะทะโดนท้องของร่างสูงพอดิบพอดี
และแรงปะทะนั้นก็ส่งให้คังอินเซกระเด็นไปโดนประตูห้องดังตึง
ก่อนจะลงไปพับกับพื้นแบบไม่เป็นท่า
นางฟ้าถึงกับตกใจกับพละกำลังของตัวเอง
“โอย...อีทึกอ้ายเห็นต้องอุนแองเอยนี่โว้ย!
(ลีทึกไม่เห็นต้องรุนแรงเลยนี่โว้ย!)” เหมือนเสียงครวญครางมากกว่าโวยวาย...แหม
อย่างกับเมิงเบามือกับกุนัก! ลีทึกคิดในใจ
เขาเพิ่งจะมีเวลาเงยหน้ามองว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดไม่เป็นภาษา และเมื่อได้มองหน้าคังอินชัดๆก็ตกใจยิ่งกว่าเดิม
“คะ...คังอิน! ปากนายเลือดออกเต็มเลย!!!”
/////////////////////////////////
เรียวอุคเดินช้าๆตามหลังเยซองไปอย่างไม่รีบร้อนแต่อย่างใด
สายฝนเม็ดเล็กๆโปรยปรายเพียงน้อยนิด
แต่หากเรียวอุคยังคิดอยากจะมีสุขภาพที่ดีเพื่อจะได้คอยสตอล์กเยซองแบบนี้ทุกเมื่อเชื่อวันละก็
กางร่มไว้จะดีกว่า
คนตัวเล็กทิ้งระยะห่างในการเดินระหว่างพวกเขามากกว่าวันนั้น
แม้เยซองจะเดินลับหัวมุมถนนไปแล้วแต่เรียวอุคยังคงเดินเอื่อยเฉื่อยตามไปช้าๆ...แค่ได้มองเห็นจากที่ไกลๆว่าเด็กหนุ่มอีกคนยังคงใช้ร่มกันฝนของเขาอยู่
แค่นั้น...เขาก็พอใจแล้ว
...ไม่ได้ต้องการจะเข้าไปใกล้ชิด หรือสนิทสนมอะไร
แค่ได้มอง...ได้ตามดูแลอยู่ห่างๆ และเห็นว่านายยังสบายดี แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว...
...ขอบคุณที่เปิดโอกาสให้ฉันนะ...เยซอง...
เรียวอุคเดินอมยิ้มอยู่คนเดียว
เมื่อเลี้ยวหัวมุมอันต่อไป เขาก็จำต้องสะดุดกึก
...เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว
คนตัวเล็กจึงตกใจอยู่เหมือนกันที่เห็นเยซองยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกำลังรอคอยใครหรืออะไรบางอย่าง
“ยิ้มอะไรอยู่คนเดียว
แล้วทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วยที่เห็นฉัน?” เด็กหนุ่มหน้าซาลาเปาแสร้งทำเสียงดุ
“อ่อ...เปล่า” พูดไม่ออกเพราะยังงงๆอยู่
“ฉันหยุดเดิน เพื่อจะบอกนายว่าฝนหยุดแล้ว”
เยซองพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาห่างเหินตามแบบฉบับของตน เรียวอุคมองไปรอบๆตัว
ลองยื่นมือออกไปนอกร่ม ก็พบว่าจริงอย่างที่เยซองบอก
“อ่อ...โอเค”
พอจะเข้าใจแล้วว่าเยซองต้องการจะสื่ออะไร ก็คงจะไม่พ้นความหมายว่า
‘ในเมื่อฉันไม่ต้องกางร่มแล้ว ก็หยุดเดินตามฉันสักที’ อย่างงั้นสินะ? “งั้นฉันจะกลับบ้านล่ะ”
ด้วยความรู้หน้าที่โดยไม่ต้องให้สั่งซ้ำสอง คนตัวเล็กจึงหันหลังกลับทันที
“เฮ้ยเดี๋ยวสิ!” เยซองรั้งเสียงดัง
เล่นเอาอีกคนประหลาดใจนิดหน่อย เขาหันหลับมามองงงๆ “เอ่อ...คือ...”
เป็นเยซองเสียอีกที่เหมือนอาการตะกุกตะกักจะเข้าครอบงำช่องปาก
คิดคำพูดไม่ออกขึ้นมาเสียเฉยๆ “...คือ...พอดีว่าฉันคอแห้งน่ะ...”
เรียวอุคยังคงนิ่งเงียบ
เลิกคิ้วสูงมองอีกคนด้วยสายตาพิศวงเหมือนไม่เข้าใจอะไรในประโยคที่เยซองเพิ่งพูดเมื่อครู่ราวกับมันเป็นภาษาต่างด้าว
เยซองอึกอักทำท่าลนลาน “...คืองี้...” เขาสูดลมหายใจลึก แล้วเหมือนตัดสินใจได้
เขาจึงพ่นคำพูดประโยคต่อไปออกมาอย่างรวดเร็วแบบที่ถ้าไม่ตั้งใจฟังให้ดีก็คงจับความไม่ทัน
“มีร้านกาแฟอร่อยๆอยู่แถวนี้ไปนั่งกินเป็นเพื่อนฉันได้ไหม!?”
//////////////////////////////////
ร้านอาหารที่คิบอมพามาถึงเป็นร้านสไตล์อิตาเลี่ยนดูหรูหราผิดหูผิดตา...ไม่ยักกะเคยสังเกตว่ามีร้านแบบนี้อยู่แถวนี้ด้วย
ทงเฮ(แหงน)มองป้ายตาค้าง จนคิบอมที่เดินไปถึงประตูร้านแล้วหันมาเห็นว่าปลาน้อยไม่ได้เดินตามเขามา
“ทงเฮ...What’s
up? ไม่อยาก dine ร้านนี้เหรอ?”
พ่อเด็กอเมริกันถามอย่างประหลาดใจ
“ห๊ะ?
ไม่ๆ อะไรนะ? อะไรตายๆนะ?”
ไม่รู้ว่าหูเพี้ยนหรือความสามารถด้านภาษาอังกฤษของเขาที่ก็ไม่มีอยู่แล้วดันแย่ลง
แต่เมื่อกี๊คิบอมถามว่า ‘ไม่อยากตาย (die)
ที่นี่เหรอ?’ งั้นเรอะ!?
เอ่อ...เราไม่ได้มากินข้าวกันเหรอง้าบ?
“ไม่ใช่ I
ถามว่าไม่อยากกิน at this restaurant เหรอ?”
คนแก้มป่องอมยิ้มขำ
ท่าทาง(โง่ๆ)งงๆของทงเฮ...ดูยังไงก็น่ารักชิบเป๋ง!
“อ่ะ...กินสิ...กะ...กินก็ได้”
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเข้าร้านอาหารหรูขนาดนี้เลยทำตัวไม่ค่อยถูก แล้วยังอาหารสไตล์
‘อีตาเลี่ยน’ อะไรนั่นอีก...มันยังไงกันว๊ะ!?
จะเลี่ยนสมชื่อหรือเปล่า? เขากินไม่เป็นง่า...
“ไม่ต้อง worry
ไปหรอก
อาหารร้านนี้อร่อยทุกอย่างแหละ” เหมือนจะอ่านใจปลาน้อยออก คิบอมเอ่ยขึ้นปลอบ
“แล้วก็ move ได้แล้วครับ เปิด door ให้จนเมื่อยแล้วน้า”
พูดจบทงเฮจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าคิบอมเปิดประตูร้านค้างไว้ให้เขาอยู่
เห็นแบบนั้นก็หน้าแดงไปถึงหู...ทั้งเกรงใจที่ปล่อยให้คิบอมรอนานทั้งเขิน...
“อ่าวคิบอม มาทำอะไรบ้านกุวะ?”
เสียงเรียกนั้นทำให้ทั้งคิบอมทั้งทงเฮหันกลับไปมอง...เด็กชายรูปร่างสมบูรณ์สุดๆคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
มองคิบอม ก่อนจะหันไปมองทงเฮ แล้วยิ้มมุมปากอย่างกรุ้มกริ่ม “อ่อ...กุเข้าใจละ”
“What’s
up ชินดง?” คิบอมส่งเสียงทัก “กุพาทงเฮมา dinner หน่อยนะ no
problem ใช่ไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ชินดงยักไหล่ “เข้ามาเดะ
เดี๋ยวจัดที่เริ่ดที่สุดให้เลย”
โต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่ตรงระเบียงด้านหลังร้าน
ในมุมที่มองเห็นสวนสวยที่ตกแต่งตามสไตล์ยุโรป
แสงแดดสีส้มยามเย็นฉวยโอกาสสาดส่องลงมาได้เพียงครู่ก่อนจะถูกเมฆฝนบดบังเอาไว้เช่นเดิม
แต่กระนั้นมันก็เผยความงามของสถานที่แห่งนี้ได้แบบที่ทำเอาทงเฮตะลึง
ทงเฮสั่งอาหารไม่เป็น
เมื่อเปิดเมนูมาก็ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างที่เขียนอยู่บนนั้น
คิบอมจึงต้องจัดการสั่งให้ เป็นพาสต้ากับพิซซ่าอย่างง่ายๆเอามาแชร์กัน
ตลอดเวลาทงเฮแทบไม่กล้าเอ่ยปากอะไร
กลัวว่าเอะอะไปคิบอมจะเอาไปตั้งเป็นข้อเสนอเดิมพันอีก ไอ้นี่มันยิ่งวิชาเอกเล่นเกม
วิชาโทการพนันอยู่ด้วย เห็นทงเฮนั่งเงียบไม่ยอมปริปากอยู่เป็นนาน
คิบอมก็เลยต้องเป็นคนเริ่มบทสนทนาทั้งๆที่ปกติแล้วเขาแทบจะไม่พูดเอาเลยด้วยซ้ำ
“What’s
wrong?”
จู่ๆอีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาขัดความเงียบ
ทงเฮเลยสะดุ้ง
“อ่ะ...อ่อ...เปล่านี่ ไม่มีอะไร”
“นาย so
quiet จัง” คิบอมว่า
“หา?”
“นายเงียบจัง” พ่อแก้มป่องแปลให้ฟัง
“เป็นอะไรหรือเปล่า? หรือนี่กลัวฉันจนไม่กล้าพูดอะไรเสียแล้ว?”
“ปละ...เปล่านะ! ใครกลัวนายกัน!?” ทงเฮแหว เจอจี้ใจดำแบบนั้นร้อนตัวขึ้นมาทันที
คิบอมแอบหัวเราะขำ
“กลัวฉันจะทำอะไรเหรอ?” ไอ้หนุ่มตัวดำแกล้งเย้าไม่เลิก ปลาน้อยทำหน้าอยู่
“จะไปรู้ได้ยังไงว่านายคิดจะทำอะไรฉันอีก!
ก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนสิ!” พูดจบก็แลบลิ้นใส่อย่างหมั้นไส้
“...เอะอะๆก็เดิมพัน...เก่งจริงนะเรื่องแบบเนี้ย” พึมพำสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเบาๆ
คิบอมหัวเราะลั่น
“ถ้านายเบื่อการแพ้แล้วละก็...ฉันจะไม่เดิมพันแล้วก็ได้...”
เด็กแก้มป่องพูดขึ้นมาลอยๆ นั่นทำเอาคนตัวเล็กตาโต
“จริงอ่ะ!?”
หลุดปากไปโดยไม่ทันคิด
รู้ตัวอีกทีบรรยากาศก็เปลี่ยนเสียแล้ว
คิบอมแค่อยากจะพูดประโยคนั้นเย้าปลาน้อยขี้แพ้สักหน่อย
แต่ปฎิกิริยาตอบกลับอย่างดีอกดีใจออกนอกหน้านั่นมันเกินคาดเขาไปนิด...
...นี่ไม่อยากใช้เวลากับฉันขนาดนั้นเชียวเหรอ?...
คิบอมหน้าบูดลงไปถนัด
ไม่ตอบคำถามของทงเฮแต่กลับยัดพิซซ่าเข้าปาก ทำเหมือนจะรีบกินให้มันจบๆไป
ปลาน้อยไม่ได้ติดใจอะไร
เมื่อเห็นคิบอมไม่ตอบก็แค่เข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะเลิกเดิมพันจริงๆอย่างที่ว่าออกมา...
“Check
ด้วยครับ” คิบอมสั่งบริกร
ทงเฮตั้งท่าจะหยิบกระเป๋าตังค์ “นี่...ไม่ต้องหรอกฉัน treat เอง” คิบอมรีบขัด
“หา?”
อะไรนะ? อะไร ‘ถีบๆ’ นะ?
คิบอมกระแอม
พูดใหม่ด้วยภาษาเกาหลีชัดเจน
“ฉันเลี้ยงเอง”
“จะบ้าเหรออาหารตั้งแพง!” ทงเฮโวยวายทันที
อีกคนทำท่ายักไหล่อย่างไม่แยแส
“นิดหน่อยเอง”
เออย่ะพ่อคนรวย!!!
หมั่นไส้มันเจรงๆ!!!!!
“ให้ฉัน walk
you home ไหม?” คิบอมถามหลังจากเดินออกมาจากร้าน
ฟ้ามืดแล้วและฝนก็เริ่มตกปรอยๆ เขากางร่มขึ้น “มาอยู่ under umbrella ด้วยกันสิ”
“เห?”
ปลาน้อยกระพริบตาปริบๆอย่างงงๆ
แต่คิบอมก็เพียงแต่ยิ้มตาหยี...รอยยิ้มที่หากไม่สังเกตดีๆ
ก็คงไม่เห็นความเศร้าที่เคลือบแคลงอยู่ในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น...
“Your
house อยู่ไหนล่ะ?”
/////////////////////////////////////
ร้านกาแฟที่เยซองเลือกเป็นร้านเล็กๆตกแต่งด้วยโทนสีขาวเปิดรับอากาศบริสุทธิ์จากภายนอก
ดูน่ารักนั่งสบาย เยซองสั่งคาปูชิโน ส่วนเรียวอุคสั่งลาเต้มาจิบเบาๆ
คนตัวเล็กยังประหลาดใจไม่หายที่จู่ๆเยซองก็เปลี่ยนเกมเอาดื้อๆอย่างนี้
พอสั่งกาแฟเสร็จจึงนั่งเงียบไม่รู้จะพูดอะไร
เป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสมานั่งสบายๆกับเยซองสองต่อสองแบบนี้...ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่นั่งอยู่นี่เรียกว่า
‘สบายๆ’ หรือเปล่า แต่ขอโมเมเอาเองว่ามันเป็นเดทจะได้ไหม?
...เดทครั้งแรกกับเยซอง...
คิดแบบนั้นเรียวอุคก็เหลือบมองเยซอง
คนร่างสูงทำเป็นนั่งเสหน้ามองไปทางอื่นไม่ยอมหันมาหาเขาตรงๆ
ถ้าเป็นคนอื่นมองคงเหมือนเยซองกำลังเขินเขาอย่างไรอย่างนั้น...
“เอ่อคือ...”
“นี่เรียวอุค” เด็กหนุ่มหน้ากลมขัดขึ้น
“นายอยากรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่ใช้ร่ม?”
คำถามที่เกินความคาดหมายนั่นทำเอาคนตัวเล็กสะอึก
เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน...จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูก...เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกระทำนั้นจะมีเหตุผลอะไรลึกซึ้งนอกเหนือไปจากว่าแค่เป็น
‘ความพอใจ’ ของเยซองเท่านั้น
เครื่องดื่มของทั้งสองถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
และเยซองก็มัวแต่สาละวนกับการปรุงรสของมันเหมือนจะเป็นการประวิงเวลาให้เรียวอุคคิดหาคำตอบ
“ไม่ใช่เพราะนายคิดว่ามันเท่ห์หรอกเหรอ?”
พูดออกไปตามที่ใจคิด
และเรียวอุคก็รู้ตัวทันทีว่าเขาพลาดไปเสียแล้ว
เพราะสีหน้าของเยซองที่ปกติก็ไร้ความรู้สึกอยู่แล้ว
แผ่รังสีความเย็นชาออกมาใส่เขามากขึ้นไปอีก
“...เหอะ...” เขาทำเสียงในลำคอ
ยกกาแฟขึ้นจิบแล้ววางลง แต่ไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยอะไร จนเรียวอุคชักอึดอัด
“ถ้าอย่างนั้น...”
“ฉันไม่ได้ติงต๊องขนาดนั้นหรอกนะ”
น้ำเสียงที่เยซองเอ่ยออกมาเย็นเยียบ เรียวอุคยึดตัวตรงนั่งตัวแข็งทื่อ
รู้สึกหวาดกลัวคนตรงหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด ผ่านไปอีกครู่เยซองจึงเอ่ยขึ้น
“ทุกเรื่องราวมันมีเหตุผลอยู่ในตัวของมันเอง...รู้อย่างนี้แล้ว...ยังจะอยากฟังอยู่หรือเปล่าล่ะ?”
///////////////////////////////////
“คะ...คังอิน! ปากนายเลือดออกเต็มเลย!!!”
ลีทึกร้องลั่น กระโดดลงจากเตียงพุ่งมาหาคังอินโดยลืมความเจ็บปวดของตัวเองไปเสียสิ้น
“ก็เอ๊าะใอล่ะ?” คังอินถอนหายใจ
...อืม...นั่นสิ เพราะใครกัน? แต่เขาคิดไม่ถึงว่าแค่ตั้งใจกัดลงไปเต็มแรงแค่นั้นจะสร้างแผลฉกรรจ์ได้ขนาดนี้
ดูจากปริมาณเลือดสดๆที่ไหลย้อยลงมาจนถึงคางแล้วท่าทางเขี้ยวเขาคงฝังลงไปลึกไม่เบา
ลีทึกหรี่ตา
“แผลเหวอะขนาดนี้แล้วยังตั้งใจจะเข้ามาปล้ำฉันต่อเนี่ยนะ!?” คิดถึงพฤติกรรมของไอ้อ้วนนี่เมื่อกี๊แล้วก็รู้สึกสมน้ำหน้าขึ้นมาตะหงิดๆ
“เอื้อกี๊อั๊นจะเข้าไปดูว่านายเป็นอะไออื๋อเปล่าต่างหาก!”
คังอินประท้วงเสียงเขียว
“อ๋อเหรอ?
ทำคนอื่นเค้าเจ็บมาตั้งนานไม่รู้ตัวเลยสินะ”
นางฟ้าเหน็บแนม “แล้วนี่ลุกไหวหรือเปล่า?
มาฉันพาไปล้างแผลที่ห้องน้ำเอง”
ร่างบางลุกขึ้นพลางออกแรงฉุดคนตัวใหญ่จะให้ลุกตามมาด้วย...แต่มันไม่ยอมขยับเลย...
“ลุกเด้!!!” นางฟ้าประท้วงเพราะเขาไม่มีปัญญาดึงให้อีกฝ่ายลุกด้วยกำลังของตัวเอง
มือเรียวทั้งสองข้างยึดแขนคังอิน
เหวี่ยงไปมาเหมือนเด็กกำลังออดอ้อนผู้ใหญ่ที่ตัวโตกว่า
“เดี๋ยวเด้! นายเอ้นเตะซะจนจุกเอยนี่!”
คังอินโวยวายบ้าง
ในที่สุดทั้งสองก็พากันถูลู่ถูกังเข้าไปในห้องน้ำได้สำเร็จ
เสียงเปิดก๊อกดังซู่สะท้อนก้องไปมาในผนังห้องน้ำ คังอินบ้วนปาก
จัดการล้างแผลและคราบเลือดที่คางรวมทั้งรอยเปื้อนบนชุดนักเรียนให้สะอาด
โดยมีลีทึกยืนมองอยู่ไม่ห่าง
“...เจ็บมากไหม?” ดูจากปริมาณเลือดที่ออกมานางฟ้ารู้สึกสยองน่าดู
คังอินเงยหน้าขึ้น จ้องตาลีทึกตอบผ่านทางกระจกเงา
“เจ็บดิวะ!” ตอบอย่างไม่เกรงใจ
ก่อนจะก้มลงไปล้างหน้าต่อ
“...สมน้ำหน้า...”
เสียงสัมภเวสีลอยมาจากด้านหลังดังไม่เกินเสียงกระซิบ พ่อหมีใหญ่หันขวับไปทันที
“อะไรนะ!?
ว่ายังไงนะ!? หืม?”
ใช้ร่างใหญ่ๆของตัวเองให้เป็นประโยชน์
คังอินแสร้งทำเป็นโกรธ เดินกร่างดันลีทึกให้ไปจนมุมอยู่ชิดฝา
แม้จะตัวบางกว่าแต่นางฟ้ากลับจ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
“จะทำอะไรอีกล่ะ? เดี๋ยวก็เจอซ้ำแผลเก่าหรอก”
ท้าอีกด้วย ดวงตาสวยแสร้งตวัดมองปากเจ่อๆของคังอินก่อนจะหันกลับมาสบตาพ่อหมี
รอยซุกซนฉายชัดในแววตาพร้อมยิ้มยั่วที่มุมปาก
“ปากดีนักนะ...” คังอินกระซิบ
และโดยไม่กลัวเกรงคำท้าทายของอีกฝ่าย
คนร่างใหญ่ก็เลื่อนริมฝีปากตัวเอง ลงมาประทับกับริมฝีปากของลีทึก...
จูบครั้งนี้ช่างนุ่มนวลผิดกันลิบลับกับเมื่อครู่ที่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง
คังอินเพียงแค่ประกบปากนิ่งๆเป็นการลองเชิงก่อนครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าจะขัดขืนอะไร
คนร่างสูงจึงค่อยๆขยับปากอย่างช้าๆ
เคล้าคลึงอย่างอ่อนหวานในขณะที่มือหนาทั้งสองก็เลื่อนขึ้นมาสัมผัสเอวบางอย่างทะนุถนอม
“อื้อ!” ลีทึกส่งเสียงประท้วงอีกครั้ง
และก็เป็นอีกครั้งที่คังอินไม่สนใจ มือบางยกขึ้นจะปัดมือใหญ่ที่เกาะแกะอยู่กับเอวตัวเองออก
แต่พ่อหมีก็ปัดมันออกไป...แม้จะด้วยวิธีที่นุ่มนวลกว่าปกติก็ตามที
และอย่างเชื่องช้า...เขาก็ค่อยๆเลื่อนมือของตนไปจนถึง...
“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!”
เหมือนเดจาวูอย่างไรอย่างนั้น
คังอินกระเด้งตัวออกห่างจากลีทึกเหมือนโดนหนามตำ
มือที่เมื่อกี๊พัวพันอยู่กับร่างนิ่มตอนนี้ยกขึ้นปิดปากตัวเอง
รู้สึกปวดตุบๆที่แผลพร้อมกับรสสัมผัสเค็มปะแล่มๆของเลือดอันคุ้นเคยกลับมาเยือนอีกครั้ง
พ่อหมีไม่กล้าละมือออกจากปากตัวเองเลยคราวนี้เพราะไม่อยากเห็นว่าฤทธิ์ของลีทึกทำเขาเสียเลือดได้อีกมากแค่ไหน
ดวงตาคู่คมช้อนมองแม่นางฟ้าอย่างตัดพ้อ อ่านได้ว่า ‘ทำกันได้ลงคอเชียวหรือ?’ แต่สายตาของลีทึกที่มองตอบกลับมาไม่ได้โอนอ่อนตามแม้แต่นิด
และโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตีความสายตาเขาเฉยๆตามใจชอบ
ลีทึกพูดความคิดของเขาออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ จะได้เข้าใจตรงกันโดยทั่วหน้า
“ไอ้คังอิน! ได้คืบอย่าเอาศอกโว้ย!!!”
//////////////////////////////////
เรียวอุคสูดลมหายใจลึก
แม้จะรู้สึกกลัว ‘เรื่องราว’ ที่กำลังจะออกมาจากปากของเยซองอย่างบอกไม่ถูก
แต่เขาก็ไม่เสียเวลาแม้แต่จะลังเล
“อยากฟังสิ”
น้ำเสียงนั้นชัดถ้อยชัดคำ
ยืนยันหนักแน่นในเจตนารมณ์
เยซองยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง
หัวคิ้วขมวดมุ่นสีหน้าครุ่นคิด เมื่อเขาวางแก้วกาแฟลง
ดวงตาของเขาทอดมองถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนและรถราขวักไขว่
แต่ความคิดเหมือนจะล่องลอยไปไกลแสนไกล
“ตอนเด็กๆฉันเลี้ยงลูกสุนัขไว้ตัวหนึ่ง...”
เยซองเริ่มเล่า แต่เหมือนเขาไม่ได้พูดอยู่กับเรียวอุคอย่างไรอย่างนั้น
คำพูดนั้นเหมือนล่องลอยมาจากกาลเวลานานแสนนานในอดีต “...มันชื่อ ‘ปั๊ปปี้’
เป็นลูกสุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยนที่น่ารักมาก ฉันรักมันมาก มันเฝ้าบ้านเก่ง ดุกับคนแปลกหน้า
แต่พอเป็นฉันหรือพ่อกับแม่ มันจะกระดิกหางวิ่งเข้ามาหา เข้ามาอ้อน
เหมือนเป็นหมาคนละตัวไปเลย...” เขาหยุดจิบกาแฟอึกหนึ่ง ก่อนจะเล่าต่อ
“คืนหนึ่งมีขโมยขึ้นบ้าน...” เยซองสูดลมหายใจลึก
“...ตอนนั้นฉันยังเด็ก รู้แต่ว่าคืนนั้นฝนตก ฟ้าแรงมาก ฉันสะดุ้งตื่นกลางดึก
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเสียงฟ้าหรือเสียงเห่าของเจ้าปั๊ปปี้นอกบ้าน
ฉันมองออกไปทางหน้าต่าง ไม่เห็นตัวมันที่ถูกผูกติดไว้กับบ้านสุนัขข้างนอกนั่น
แต่มั่นใจว่าจำเสียงเห่าที่ดังผสมมากับเสียงฝนนั่นได้แม่นไม่ผิดแน่
“ฉันรู้สึกผิดสังเกต ปกติปั๊ปปี้ไม่เคยเห่ากลางดึกแบบนี้
ย่อมแปลว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติ
ฉันรีบวิ่งออกไปปลุกพ่อกับแม่พลางพยายามเงี่ยหูฟังเสียงเห่าของมันไปด้วย
แต่แล้วจู่ๆ...
“...เสียงเห่าอย่างดุดันของมันก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
ดังอยู่อย่างนั้น 2-3 ทีก่อนจะเงียบไป”
เรียวอุคนิ่งอึ้ง
ตาเบิกโพลง ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความลืมตัว
“พวกเรารีบวิ่งออกไปดู ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว
นอกจากปั๊ปปี้ที่นอนแน่นิ่งอยู่หน้าบ้านสุนัข
กับร่มคันใหญ่ตกอยู่ตรงนั้นอีกหนึ่งคัน...ร่มของพ่อฉันเอง
ที่ด้ามจับของร่มซึ่งทำจากไม้หนักๆ มีรอยเลือดติดอยู่ด้วย...
“พวกเรารีบนำมันส่งโรงพยาบาล
ไม่มีใครสนใจจะสำรวจว่าข้าวของอะไรหายไปบ้าง แต่ก็ไม่ทัน
ขโมยคงพยายามหาอาวุธมาตีเพื่อจะทำให้มันเงียบเสียง
ไอ้สารเลวนั่นหยิบได้ร่มของพ่อที่แขวนอยู่หน้าบ้าน เลยตีมันจนหัวแตก”
เยซองเบนสายตามาสบกับกับดวงตาตื่นตระหนกของเรียวอุค
เขายิ้มเยาะๆที่มุมปาก
คงสะใจที่ได้เห็นความหวาดกลัวและคาดไม่ถึงที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าสวย แต่กระนั้น
ดวงตาของเยซองกลับไม่ได้ยิ้มไปด้วย
“หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา
ฉันก็ไม่ใช้ร่มอีกเลย...”
////////////////////////////////////
สายลมยามหัวค่ำพัดพาเอาความหนาวเหน็บและละอองฝนเข้ามาใต้ร่มคันเดียวที่ใช้บดบังคนสองคนจากสายฝนโปรย
มันออกจะเล็กไปสักหน่อย...จริงๆแล้วก็เล็กไปมากๆเลยล่ะสำหรับเด็กผู้ชายสองคนอย่างพวกเขา
ไหล่ข้างหนึ่งของทงเฮชอบหลุดออกไปนอกร่มบ่อยๆ เมื่อใดที่รู้สึกถึงความเปียกชื้นที่หัวไหล่
เมื่อนั้นปลาน้อยก็จะเขยิบเข้ามาใต้ร่มให้มากขึ้นอีกโดยอัตโนมัติ
ทั้งสองเดินด้วยกันมาเงียบๆ
ทงเฮทำเป็นสาละวนกับการหลบแอ่งน้ำและจะพูดก็ต่อเมื่อต้องบอกเส้นทางกับอีกคนเท่านั้น
ตอนแรกคิบอมเองก็ทำเป็นเดินเฉยๆ แต่เมื่อระยะทางยิ่งไกลเข้า ร่างบางๆที่เดินเบียดเขาอย่างนี้ก็ทำเอาเขาอดใจแทบไม่ไหว...
มือปลาหมึกเริ่มปฏิบัติการโดยการโอบไหล่อีกฝ่าย
กระชับให้เข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม ลมหายใจของทงเฮสะดุด แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร...
เกือบ
20 นาทีกว่าพวกเขาจะเดินจากร้านอาหารมาถึงบ้านของปลาน้อย
คิบอมเดินกางร่มมาส่งคนตัวเล็กที่หน้าประตู
“เอ่อ...ขอบคุณนะที่มาส่ง” ทงเฮว่าอ้อมแอ้ม
คิบอมยิ้มตาหยีเป็นคำตอบ...แม้ปากจะยิ้ม
แต่ปลาน้อยกลับรู้สึกว่ามันดูแปลกพิกล...เหมือนดวงตาเท่าเม็ดก๊วยจี๊ของคิบอมไม่ได้ยิ้มไปด้วย
“งั้นก็ bye
ละ...tomorrow เราคงไม่ได้เจอกัน...” เด็กหนุ่มแก้มป่องว่า ทงเฮทำตาโต
“หา?
ทำไมล่ะ?” ร้องถามเสียงดัง
“ก็...ฉันจะไม่ท้า you เดิมพันอะไรอีกแล้ว แล้วเท่าที่ดู today นายก็ไม่ยอม compete
อะไรกับฉันเลยด้วย
เพราะฉะนั้น...นายก็ไม่ necessary
จะต้องมาหาฉันอีกแล้วก็ได้...ไม่ใช่เหรอไง?”
ทงเฮนิ่งอึ้ง
คิดตามตรรกะของคำพูดคิบอมโดยปัดภาษาอังกฤษที่เขาฟังไม่เข้าใจออกไป...ในเมื่อเขาไม่อยากเล่นเดิมพันบ้าๆนั่นอีกแล้วเพราะเขาแพ้ตลอด
และคิบอมก็ยอมรับตามที่เขาเสนอ...นั่นคือจะไม่ท้าเขาแข่งเกมอะไรอีกแล้ว
มันก็คงถูกของคิบอมที่เขาไม่ต้องไปเจอหมอนั่นอีกต่อไปนี่ใช่ไหม? เขาจะได้มีชีวิตที่มีความสุขเสียที
ไม่ต้องกลัวว่าวันนี้หากเล่นเกมแพ้อีกจะต้องเสียอะไร
ชีวิตเขาจะได้กลับไปเป็นแบบเดิมเหมือนก่อนที่เขาจะรู้จักกับคิบอม
อยู่กับฮยอกแจกับคยูฮยอน...เพื่อนร่วมก๊วนของเขาที่สนิทกันมานาน...
...ฟังแล้วก็ดูดีออกนี่ใช่ไหม?...
ทงเฮพยักหน้าตามข้อเสนอนั่น
แม้ตาจะลอยๆเหมือนยังงงๆและคาใจกับอะไรบางอย่าง คิบอมยิ้มอีกครั้ง
ยิ่งทงเฮพยักหน้าเห็นด้วยแบบนี้ เขาก็คงต้องยอมรับชะตากรรมของตัวเอง
“งั้น...ขอ kiss ส่งท้ายได้ไหม?”
ทงเฮสะอึก
จ้องตรงเข้าไปในดวงตาของคิบอมเหมือนจะหยั่งหาอะไรบางอย่าง...แต่ออกจะยากหน่อยเพราะเขาแทบจะหาตาของอีกฝ่ายไม่เจอ
ออกจะแปลกใจเล็กน้อยที่ครั้งนี้คิบอมขอเขาเอาดื้อๆทั้งๆที่ปกติไม่เคย
ทงเฮพยักหน้าช้าๆ ยอมรับคำขอนั่นโดยไม่มีข้อขัดขืน...
คิบอมก้าวขึ้นบันไดเขยิบเข้ามาใกล้
มือข้างที่ถือร่มยืดห่างออกไป
ใบหน้าคมค่อยๆเลื่อนเข้ามาหาใบหน้าเรียวเล็กของอีกฝ่าย
ก่อนที่ทงเฮจะหลับตาปี๋หนีความหล่อ
แล้วรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นชื้นที่ทาบทับบางเบากับริมฝีปากของตัวเอง...
...เป็นจูบที่เนิ่นนานกว่าครั้งใดๆที่ผ่านมา
และเต็มไปด้วยความอบอุ่นนุ่มนวลแบบที่ทำเอาทงเฮแทบเข่าอ่อน
กระนั้นในความละมุนละไมเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความขมปร่าแปลกประหลาด...ทั้งๆที่ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากังวล
แต่ทำไมใจเขามันถึงกำลังประท้วงอย่างหนักหน่วงขนาดนี้?
คิบอมค่อยๆละริมฝีปากออก
ส่งยิ้มจางๆให้ทงเฮอีกทีหนึ่งพลางยกมือขึ้นปัดผมที่ปรกหน้าผากคนตัวเล็กออกไปอย่างทะนุถนอม
“Goodbye
นะ” เขาเอ่ยเบาๆ
ทงเฮได้แต่พยักหน้า
แล้วมองตามแผ่นหลังของคิบอมที่ค่อยๆเดินห่างออกไปท่ามกลางสายฝนพรำจนลับตา...
ความคิดเห็น