คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Umbrella '1': ร่มคันที่ '1'
“สภาพภูมิอากาศโดยทั่วไปในกรุงโซลวันนี้คือฝนฟ้าคะนอง
โดยเฉพาะในเขตจองนังและดองแดมุนที่จะมีฝนตกหนักในช่วงบ่าย
ลมพายุค่อนข้างแรงเนื่องจากพายุดีเปรสชั่นที่พัดเข้ามาในผืนแผ่นดิน
ขอให้ทุกคนพกร่มก่อนออกจากบ้านและรักษาสุขภาพในช่วงหน้าฝนนี้ด้วย...”
เสียงน้ำสาดกระเซ็นดังจ๋อมแจ๋มทุกครั้งที่รองเท้าคู่สวยย่ำแรงๆจนแทบจะเป็นกระโดดลงไปบนฟุตบาทที่ฉ่ำนองไปด้วยน้ำฝนสกปรก
ผสมผสานไปกับเสียงฝนเม็ดใหญ่ที่สาดซัดเข้ากับร่มสีเขียวที่ฮันกยองใช้ปกป้องร่างกายตัวเองอยู่ในตอนนี้
แต่ถึงแม้จะมีร่มคันโตกางกั้น
เนื้อตัวของเด็กหนุ่มก็ยังเปียกมะล่อกมะแล่กไม่ต่างจากวัตถุอื่นๆที่ถูกทิ้งตากฝนอยู่กลางแจ้งนั่นเลย
วิ่งไปจนถึงห้องแถวที่บุรอบด้วยกระจกใส
ฮันกยองก็ผลักประตูเข้าไปอย่างรวดเร็วส่งผลให้กระดิ่งอันเล็กหน้าร้านส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งบ่งบอกพนักงานว่ามีลูกค้าใหม่เข้ามา
สายตาหลายสิบคู่ของเด็กนักเรียนหญิง
ชายที่นั่งอยู่ในร้านหันมามองผู้มาใหม่แวบหนึ่ง
ก่อนจะหันไปสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตัวเองต่ออย่างไม่แยแสเขาแต่อย่างใด
ฮันกยองกวาดตามองไปรอบๆ
เพียงครู่เดียวก็พบบุคคลที่เขาตั้งใจจะเข้ามาหาอย่างไม่ยากเย็น
“เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเชียวนะฮันกยอง” เป็นคำแรกที่ไอ้เพื่อนตัวดีส่งเสียงแซว
ลีทึกกำลังนั่งอ่านนิตยสารวัยรุ่นพลางละเลียดแพนเค้กเป็นอาหารเช้าไปพลาง
ชายหนุ่มผู้ถูกเอ่ยนามเดินมาหย่อนก้นนั่งลงบนที่ว่างตรงข้าม
ลดร่มคันใหญ่ลงพลางยกมือขึ้นขยี้เส้นผมสีทองที่เปียกปอนบนศีรษะ
“เมิงเห็นโฝนข้างนอกน่านหมายล่ะ? ตกแบบม่ายลืมหูลืมปากเลย!” ฮันกยองสบถด้วยสำเนียงเหน่อเล็กน้อยถึงปานกลางและมากที่สุด
ลีทึกที่กำลังซัดแพนเค้กอยู่แทบจะสำลัก
“ไอ้ฮัน...ไม่ลืมหูลืมตา...ไม่ใช่ไม่ลืมหูลืมปาก!”
ฮันกยองนั่งหน้าเอ๋อมองไอ้เพื่อนรักแน่วนิ่ง สายตาเต็มไปด้วยคำถาม
“ม่ายลืมหูลืมปาก?”
“ไม่ลืมหูลืมตา!” ลีทึกขึ้นเสียง
“ม่ายลืมปากลืมจมูก?”
“ไม่ลืมหูลืมตาโว้ย!!!” เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วมานต่างกันงายอ่ะ?” ยกมือเรียวขึ้นเกาข้างแก้มอย่างงงๆ
“มันเป็นสำนวน แกก็แค่จำที่มันถูกไว้เถอะน่า!!!” ลีทึกโวยวายด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “ถ้าเอาแต่เถียงฉันแล้วภาษาเกาหลีแกจะดีขึ้นไหม? ไอ้จีนแผ่นดินใหญ่! แล้วนี่จะนั่งบื้ออยู่อย่างงั้นจนถึงเมื่อไหร่? เอาร่มไปตากฝั่งนู้นไปแล้วสั่งอะไรกินเสีย!”
///////////////////////////////////
“ฮยอกแจ~~~”
เสียงของไอ้ตัวยุ่งดังมาก่อนที่ร่างบางๆจะปรากฎ
และเมื่อฮยอกแจหันไปตามเสียงเรียกก็พอดีกับที่ทงเฮพุ่งตัวเข้ามากระแทกเขาจนอีกคนแทบจะตกเก้าอี้
“เฮ้ย เบาๆหน่อยโว้ย!!!” ฮยอกแจโวยวายเมื่อตอนนี้ไอ้ลิงเริ่มใช้แขนเล็กๆแต่แรงเท่าควายรัดคอเขาจนชักจะหายใจไม่ออก
“วันนี้เลิกเรียนแล้วไปเกมเซนเตอร์กันไหม? ไปนะๆๆๆๆๆฮยอกแจ” คนตัวเล็กทำตาปริบๆเหมือนลูกหมากำลังออดอ้อนเจ้าของ
ฮยอกแจโวยต่อ
“ฝนตกหนักขนาดนี้ เมิงยังจะออกไปไหนอีกเหรอวะ!?” หันไปมองภูมิอากาศนอกหน้าต่างห้องเรียนก็พบว่ามันมืดมัวจนมองทิวทัศน์ออกไปได้ไกลไม่เกิน 10 เซนติเมตร แล้วยังเสียงฝนดังซู่จนน่ากลัวข้างนอกอีกเล่า?
“เดี๋ยวตอนบ่ายมันก็ซาน่าฮยอกแจ อีกอย่าง
ฝนตกแบบนี้จะได้มีข้ออ้างบอกแม่ว่าทำไมกลับบ้านสายได้ไง” ดวงตาคู่สวยเป็นประกายอย่างเจ้าเล่ห์เจ้ากล ฮยอกแจถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แล้วจะกลับบ้านกี่โมง?”
“นี่เมิงอย่าทำเป็นคุณลุงไปหน่อยได้ไหม? จะรีบกลับไปทำไมอ่ะบ้านน่ะ มันไม่หายไปไหนหรอกน่า!” ทงเฮทำหน้าบูดเมื่อเพื่อนรักขัดใจ
“กุถามเฉยๆ ก็บอกแล้วว่าจะไปไงไอ้นี่!” อีกคนขึ้นเสียงบ้าง
แต่รอยยิ้มดีใจกลับปรากฎขึ้นบนริมฝีปากของคนหน้าสวย...ร่าเสียจนฮยอกแจอยากจะบิดแก้มใสๆนั่นให้ปูดด้วยความหมั่นไส้
“กลับไม่ดึกหรอกน่า เบื่อเมื่อไหร่ค่อยกลับไง” ทงเฮตอบง่าย
“กว่าเมิงจะเบื่อน่ะก็ปาเข้าไปสี่ห้าทุ่มแล้วไอ้ลิง!
ห้ามกลับบ้านเกินหนึ่งทุ่ม! เข้าใจที่กุพูดไหม!?”
“เฮ้ยยยย เมิงอย่าใจร้ายน่า~! สามทุ่มโอเคป่าว?”
“ทุ่มสิบห้า”
“สองทุ่มห้าสิบเก้านาที”
“ทุ่มครึ่ง”
“สองทุ่มห้าสิบแปด”
“โว้ยยยยยย!!! สองทุ่มอ่ะ!”
“สองทุ่มห้าสิบเจ็ด”
“ไอ้ลิง...!”
“สองทุ่มห้าสิบห้าก็ได้อ่ะ”
“เมิงลดให้กุสองนาทีเนี่ยนะ?”
“งั้นสองทุ่มสี่สิบห้าโอเคป่าว?”
“นั่นก็แค่สิบห้านาทีจากตอนแรก...”
“สองทุ่มสี่สิบห้าค่อยกลับบ้านนะ โอเค๊? ดีล!”
//////////////////////////////////
“ฝนไม่ซาลงเลยแฮะ...” ลีทึกเบนสายตามองออกไปนอกร้านและก็พบว่าฝนเม็ดใหญ่ยังคงสาดกระหน่ำเขตดองแดมุนของกรุงโซลอย่างไม่ขาดสาย
ฮันกยองหันไปมองตามบ้าง
“ด้ายยินพยากามอากาศก่อนจาเข้ามาในร้าน
เห็นบอกว่าตอนบ่ายจาหนักกว่านี้”
“พยากรณ์อากาศโว้ย!!! ‘กรณ์’ ไม่ใช่ ‘กาม’!” ลีทึกขัดขึ้นมาเสียงดังลั่น
“พยากอน?”
“เออนั่นแหละ ออกเสียงให้มันดีๆ!” สอนภาษาเกาหลีเพื่อนเป็นคำที่สองของวันนี้
“ซีวอน! ทำไมเมิงแดกช้างี้วะ!? รีบๆกินจะได้ไหม เราจะเข้าเรียนสายกันแล้ว!”
เสียงนักเรียนอีกกลุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆโวยวายขึ้นมา
ฮันกยองกับลีทึกหันไปมองแวบหนึ่งก่อนจะไม่สนใจ...ชื่อ ‘ซีวอน’ ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินเสียเมื่อไหร่
หมอนั่นเป็นหนุ่มป๊อปประจำโรงเรียนโซดองโย...ซึ่งตั้งอยู่แทบจะตรงกันข้ามกับโรงเรียนจูมงของพวกเขา
มีดีกรีเป็นทั้งหนุ่มหล่อ พ่อรวย แต่เมียไม่สวยเพราะเมียไม่มี
และนั่นเป็นเหตุผลให้สาวๆโรงเรียนโซดองโยเกือบครึ่งค่อนโรงเรียนติดมันกันตรึม
พาลมาถึงโรงเรียนจูมงของพวกเขาด้วย
“แปบนึงน่า...อีกตั้ง 5 นาที 20 วิ จะรีบไปทำไม?” ซีวอนที่ยังคงละเมียดละไมกินแซนด์วิชอยู่ก็ยังคงละเมียดละไมต่อไปโดยไม่สนใจคำทักท้วงของเพื่อน
ฮีชอลเพื่อนซี้ของซีวอนนั่งกลอกตาโตๆไปมา ใบหน้าสวยเอือมระอา
“ปล่อยมันไปเถอะน่า เข้าสายนิดสายหน่อยไม่เป็นไรหรอก” คังอิน เด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งร่วมวงอยู่กลับสนับสนุนซีวอน
ฮีชอลจึงเริ่มส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจที่โดนขัดใจจากเพื่อนทั้งสอง
“ถ้าพวกเมิงยังไม่ยอมขยับตูด กุจะไปก่อนแล้วนะ!” ฮีชอลทำท่าจะลุกขึ้นไปจริงๆ ร้อนถึงซีวอนต้องรีบคว้าข้อมือบางไว้
“อย่าเพิ่งไปสิ!
น่ารออีกแป๊บเดียวเดี๋ยวกุก็กินเสร็จแล้ว...ไม่เกิน...4 นาที 45 วิหรอกน่า”
“นั่นมันก็เวลาเข้าเรียนพอดีแหละโว้ย!!!” ฮีชอลโวยวายลั่นร้านอาหาร คังอินหัวเราะร่า
“ไอ้วอน เมิงก็กินให้มันเร็วกว่าหน่อยไม่ได้เหรอไง?” คราวนี้คังอินช่วยเพื่อนคนสวยเร่ง
“เออๆๆๆๆ” และนั่นก็เป็นเสียงตอบจากซีวอน
“ไม่น่าเชื่อว่าซีวอนกับฮีชอลไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ...” ลีทึกเปรยขึ้นมาอีกหลังจากนั่งฟังบทสนทนาของเด็กนักเรียนกลุ่มนั้นจบ
ซึ่งจะเรียกว่าแอบฟังก็ไม่ถูกเพราะบทสนทนามันพุ่งตรงเข้ามาหาหูของพวกเขาเองโดยไม่ต้องขวนขวาย “...มีข่าวลืออยู่พักนึงว่าสองคนนั่นคบกัน
แต่ก็ไม่เป็นความจริง...ไม่น่าเชื่อเลยนะ ฮีชอลออกจะสวย และซีวอนก็ออกจะหล่อ...เหมาะสมกันดีแท้ๆ...”
“หรอ?” ฮันกยองไม่มีความเห็นอื่นใดจะเสนอ
นอกจากซีวอนแล้ว ฮีชอลเด็กหนุ่มอีกคนในกลุ่มนั้นก็เป็นบุคคลป็อปปูล่าร์ไม่แพ้กัน
สองคนนั่นมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆจนใครต่อใครคิดว่าพวกเขาคบกันอยู่...แต่นั่นก็เป็นแค่ข่าวโคมลอย
ซีวอนกับฮีชอลเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น
ไม่ใช่เรื่องยากหากจะดูจากคำพูดคำจาเวลาสองคนนั่นอยู่ด้วยกันซึ่งฮันกยองก็เจอพวกเขาออกบ่อยในร้านอาหารเจ้าประจำแห่งนี้...
“เราก็ควนจารีบปายด้ายแล้วนะ ไม่ง้านจาเข้าเรียนสาย” ฮันกยองเตือนเพื่อน ลีทึกจึงทำหน้าเหมือนเพิ่งระลึกขึ้นได้
“เออจริง ไปจ่ายตังค์กันดีกว่า”
ชายหนุ่มทั้งสองคนลุกขึ้นจากโต๊ะพลางควานหากระเป๋าเงิน
เดินไปถึงเคาน์เตอร์แล้วก็จัดการจ่ายเงินค่าอาหารให้เรียบร้อย
ก่อนจะเดินย้อนไปทางอีกฟากของร้านเพื่อหยิบร่มของพวกเขาที่วางตากเอาไว้ท่ามกลางจำนวนร่มมากมายของลูกค้าในร้าน
“ลีถึก...” ฮันกยองส่งเสียงเรียกเพื่อนเบาๆหลังจากลีทึกหยิบร่มสีเทาของตัวเองขึ้นมาแล้ว
สายตาของเด็กหนุ่มชาวจีนยังคงกวาดมองลงไปยังกองร่มหลากสีละลานตา
“ต้องให้กุบอกอีกครั้งว่าแม่กุตั้งชื่อให้ไพเราะว่า ‘ลีทึก’ ไม่ใช่ ‘ลีถึก’ โว้ย!!! แล้วมีอะไร!?”
“ล่มกุหายปายหนาย?” ฮันกยองยังคงไม่ละสายตาไปจากพื้น
ลีทึกเลิกคิ้ว
“ร่มเมิงเหรอ? เอ...” เด็กหนุ่มหน้าสวยเบนสายตามองกองร่มบ้าง “ร่มเมิงสีอะไรนะ?”
“เขียว” ตอบทันควัน
“ร่มสีเขียวๆๆๆๆ” ลีทึกพึมพำเสียงเบาพลางช่วยเพื่อนมองหาของ “ร่มสีเขียว...เมิงแน่ใจนะว่าเมิงไม่ได้หยิบไปแล้ว?” เงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อกวาดตามองหาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ
“ยางเว้ย เมิงเห็นกุถืออารายหมายเล่า?” ฮันกยองชักหงุดหงิดหัวใจ ลีทึกจึงก้มลงมองหาอีกรอบ
คราวนี้อย่างตั้งอกตั้งใจกว่าเดิม
“...ไม่มีนี่ไอ้ฮัน แน่ใจนะว่าเมิงวางไว้ตรงนี้น่ะ?”
“ก็เมิงเป็นคนบอกห้ายกุเอามาวางว้ายตรงนี้เองนะ
มานมีที่อื่นห้ายวางหรองาย?” อารมณ์ชักเสีย
“เออ
ก็ไม่มีน่ะนะ...แน่ใจนะว่าเมิงเอาร่มคันสีเขียวมา ไม่ใช่สีอื่น?”
“เออ! กุแน่จาย!” ทำเสียงเข้ม
“อืมมม...ไม่มีว่ะ...ขอถามอีกที
แน่ใจนะว่าเมิงเอาร่มมา ไอ้ฮัน?” เงยหน้าถามเพื่อนตรงๆ
ฮันกยองเดือดขึ้นมาทันที
“กุเอามาโว้ย!!!” โวยวายลั่นร้านเลยทีนี้ “กุถือล่มมา ล่มกุสีเขียว
กุวางเอาว้ายตรงนี้และกุก็ยางม่ายด้ายหยิบมานปายด้วย มานหายปายหนายวะ!? ครายเอาล่มของกุปายยยยย!??”
“เฮ้ยใจเย็นน่าฮัน!” ลีทึกแทบจะกระโจนไปตะครุบปากเพื่อน
แต่ก็ไม่ทันเพราะคนทั้งร้านหันมามองพวกเขาเป็นตาเดียวเสียแล้ว “ร่มคันเดียว ใครก็หยิบผิดไปได้ อย่าอารมณ์เสียเลยน่า ไปกันเหอะ” คว้าแขนเพื่อนพยายามลากอย่างถูลู่ถูกังออกจากร้าน ฮันกยองทำหน้าบูด
อารมณ์เสียสุดๆ
“ปีที่แล้วกุก็ทามล่มหายปายสามคันเลยน้าเว้ย
นี่ก็หายอีกแล้ว! ครายแม่งเอาของกุปายวะขอห้ายมานขี้ม่ายออกปายสามอาทิตย์!”
“ไอ้ฮัน! อย่าโวยวายน่า!” ลีทึกอายจนแทบจะมุดดินหนีไปเมืองจีนเสียให้ได้
จนในที่สุดก็ผลักเพื่อนออกไปจากร้านได้สำเร็จ เสียงโวยวายของฮันกยองยังคงดังอยู่แม้จะปิดประตูแล้วและผสมผสานกับเสียงฝนที่เทกระหน่ำจนฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตาม
“นั่นมันฮันกยอง...เด็กนักเรียนโรงเรียนจูมงที่มาจากจีนใช่ไหม?” คังอินพูดขึ้น
ฮีชอลที่นั่งเบื่อมานานสองนานยกมือขึ้นนั่งเท้าคางมองตามหลังฮันกยองกับลีทึกที่หายไปในสายฝนข้างนอก
“เขาย้ายมาอยู่ตั้งสองปีแล้วนี่
แต่ยังพูดเกาหลีเหน่อๆอยู่เลยนะ” คนสวยของกลุ่มให้ความเห็น “ดูๆไป...หมอนั่นก็น่ารักดีนะ...”
“ไปกันเหอะ”
อยู่ๆซีวอนก็ลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ
ขัดบทสนทนาเข้ากลางปล้องจนเพื่อนทั้งสองงงไปตามๆกัน
“อ่าว กินเสร็จแล้วเหรอคุณชาย?” ฮีชอลแซว สายตาเหลือบมองจานแซนด์วิชที่ว่างเปล่าของซีวอน
“รีบไปกันเหอะน่า เดี๋ยวก็เข้าเรียนสายหรอก” ทำเป็นเอ็ดเพื่อน ฮีชอลแยกเขี้ยวด้วยความหมั่นไส้ขึ้นมาทันที
“แหม กุพูดตั้งนานไม่เห็นจะรู้สึก
ทีงี้ทำมาเป็นรีบเชียวนะไอ้วอน!!!”
////////////////////////////////////////
“ทงเฮ~~~”
“อะไรฮยอกแจ?” ทงเฮที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับตู้เกมตรงหน้าตอบเสียงเรียกของเพื่อนโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง
“สองทุ่มสี่สิบแล้วนะ” ฮยอกแจท้วงไอ้เพื่อนตัวดีที่พาเขามาหมกอยู่ที่เกมเซนเตอร์นี่ตั้งแต่เลิกเรียน
การบ้งการบ้านก็ไม่ได้ทำ แม่โทรมาตามตั้งสามรอบแล้วก็ได้แต่โกหกไปว่าฝนตกหนักมากจนกลับไม่ได้
“อีกห้านาทีไอ้ฮยอกแจ” ทงเฮยังคงสนใจแต่ตู้เกม “กุจะชนะไอ้ตัวนี้อยู่แล้ว”
“แม่กุด่าแล้วน่า!” ฮยอกแจโวยวาย
“ก็บอกว่าอีกห้านาทีไง!”
“เมิงชนะตัวนี้ เดี๋ยวเมิงก็จะเล่นตัวต่อไป
และตัวต่อไปเรื่อยๆอีก มันก็ไม่มีวันจบหรอกไอ้ลิง!”
“ชนะตัวนี้แล้วจะเลิกน่า! สัญญาๆ” ทงเฮพูดส่งๆไป ฮยอกแจทำหน้าบูด
ไถลแผ่นหลังเข้ากับผนังจนเลื่อนลงไปนั่งชันเข่าเหมือนเด็กมีปัญหาอยู่กับพื้นร้านเกม “ฮยอกแจ ถ้าอยากให้กุเสร็จเร็วๆก็เดินไปหยิบร่มกับกระเป๋ามาให้หน่อยดิ
เดี๋ยวจะได้ออกไปเลย” สั่งเพื่อนเสร็จสรรพ ฮยอกแจผู้ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วจึงได้แต่เออออเดินไปหยิบของให้เพื่อน
“เฮ้ย! กุแพ้ว่ะ!!!” ผ่านไปอีกครู่เดียวทงเฮก็โวยวายลั่น
ฮยอกแจเดินกลับมาพอดีพร้อมกับกระเป๋านักเรียนและร่มของทั้งคู่
“อ่ะ ของเมิง ร่มเมิงคันนี้ถูกไหม?” ฮยอกแจยื่นให้
“เออๆถูก เฮ้ยกุแพ้แม่งได้วะ!? เซ็งสาด พรุ่งนี้ต้องกลับมาแก้มือใหม่ซะแล้ว” โวยวายไม่เลิก
แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายฮยอกแจก็แทบจะลมจับ
“พรุ่งนี้ยังจะเอาอีกเหรอ!? ไอ้นี่นี่! กุไม่มานะ เมิงชวนไอ้คยูมาก็แล้วกัน!”
“ไอ้คยูมันขี้โรค
เจอฝนหนักๆเข้าไปแบบนี้ไม่รู้พรุ่งนี้จะมาเรียนหรือเปล่าเลย ถ้ามันไม่มาเมิงก็ต้องมาเล่นเกมกับกุ
เข้าใจไหมไอ้ไก่!?”
“ไอ้...”
สภาพอากาศภายนอกร้านเกมไม่ต่างไปจากเมื่อตอนเย็นที่พวกเขาเข้ามา
ฝนยังคงตกหนักราวกับฟ้ารั่วแม้จะดูซาลงไปจากตอนบ่ายเล็กน้อย
ทงเฮกับฮยอกแจกางร่มของตัวเองขึ้นบังสายฝนก่อนจะพากันวิ่งฝ่าความหนาวเหน็บกลับบ้านของพวกเขาที่อยู่ทางเดียวกัน
ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีกว่าพวกเขาจะวิ่งมาถึงบ้านของทงเฮที่ถึงก่อนบ้านของอีกคน
ฮยอกแจแวะส่งเพื่อนที่หน้าบ้าน
และในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะวิ่งกลับออกไปซึ่งเป็นจังหวะที่ทงเฮกำลังเก็บร่มนั่นเอง...
“เฮ้ย!!!”
ฮยอกแจสะดุ้ง หันขวับกลับมาทันที
และก็พบว่าเพื่อนตัวดีไม่ได้เป็นอะไรนอกจากกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างบนร่มของตัวเองอยู่อย่างประหลาดใจเป็นล้นพ้น
“เมิงเป็นอะไรของเมิงอีกไอ้ลิง!? ร้องหาหม่าม๊าเหรอ!? กุตกใจหมด!” ด่าเพื่อนกลับ
“ไอ้ไก่! นี่ไม่ใช่ร่มกุ!” ไม่สนใจคำกระทบกระเทียบของเพื่อนรัก
ทงเฮยังคงจ้องมองไปยังร่มสีน้ำเงินลายทางในมือเขาไม่วางตา ฮยอกแจเลิกคิ้ว
“หมายความว่าไงนี่ไม่ใช่ร่มเมิง?”
“ก็แปลว่าเมิงหยิบมาผิดคันน่ะสิวะไอ้ฮยอก!!!” ทงเฮโวยวายลั่น “เมิงเบิ่งตาดูนี่ให้ดีๆ!”
“อะไรวะ?” ฮยอกแจยังคงไม่เข้าใจ
ทงเฮจึงทะลึ่งร่มคันนั้นมาที่หน้าไอ้ไก่จนแทบจะทิ่มตาเพื่อนเพื่อจะให้มันมองเห็นอะไรบางอย่างได้ชัดๆ
“เมิงเห็นไหมเนี่ยอะไร!? กุเพิ่งจะเห็นเมื่อกี๊เหมือนกัน
แม่งกุน่าจะเช็คก่อนจะออกมาจากร้านเกม ไม่น่าไว้ใจเมิงเลย!”
“นี่อะไรเนี่ย? คิม...กุอ่านไม่ออกอ่ะ” ฮยอกแจเอียงคอซ้ายตะแคงคอขวาเพื่อจะได้อ่านอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนชื่อคนที่ถูกเขียนไว้บนผ้าใบร่มได้ถนัดๆ
“คิม คิบอม!” ทงเฮเฉลยเสียงแข็งเพราะเขาอ่านมันออกไปเรียบร้อย
ฮยอกแจยังคงคิ้วตวัดรัดเป็นโบว์อย่างข้องอกข้องใจหนักหนา
“แล้วใครคือคิม คิบอมอ่ะ?” เงยหน้าขึ้นมาถามเพื่อนรักด้วยดวงตาใสซื่อ ทงเฮโวยลั่นเลยทีเดียว
“กุจะไปรู้แม่มันมั้ยค๊าบบบบบ!!!???”
ความคิดเห็น