คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Umbrella '9': ร่มคันที่ 9
เรียวอุคกับเยซองเป็นสองคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในห้องเรียนเช่นเดิม
คนตัวเล็กแสร้งทำเป็นเก็บข้าวของลงกระเป๋าช้าๆ ในขณะที่เยซองเองดูเหมือนจะช้ากว่า
ภายนอกหน้าต่างฝนยังไม่หยุดตก...เรียวอุคจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันสุดท้ายที่เขาเห็นดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่กลางฟ้าใสคือเมื่อไหร่...ราวกับโลกมีแต่สายฝนอย่างนี้มานานชั่วกัปชั่วกัลป์
และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป...
ระหว่างจัดกระเป๋าสายตาของเรียวอุคพลันเหลือบไปเห็นร่มสองคันนอนอยู่ก้นกระเป๋า...แน่นอนเขาไม่ได้ลืมเอามันมาแบบที่เขาโกหกซองมินเมื่อเช้าหรอก
เขาใช่คนขี้ลืมเสียเมื่อไหร่?
เรื่องกระเป๋าตังค์เองก็ด้วย...แล้วตอนนี้เขาก็มีร่มสีครีมอีกคันที่ซองมินไปขอยืมมาจากคุณครูประจำชั้นให้กลัวว่าเพื่อนรักจะไม่มีร่มกลับบ้าน...แต่...ขอโทษนะซองมิน...
...ร่มทั้งสามคันนี้...วันนี้เขาคงไม่ได้ใช้มัน...
“นายนี่ความพยายามเป็นเลิศจริงๆนะ...” อยู่ๆเยซองก็พูดขึ้นขัดความเงียบของห้องเรียน
เรียวอุคเงยหน้าขึ้นมอง
ผิดกับเยซองที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำราวกับกำลังพูดลอยๆอยู่กับอากาศรอบตัวอย่างไรอย่างนั้น “...อยากเรียกร้องความสนใจจากฉันมากนักหรือไง?”
“แล้วมันได้ผลหรือเปล่าล่ะ?” เรียวอุคถามย้อนอย่างไม่กลัวเกรง คนร่างสูงทำเสียง ‘หึ’ ในลำคออย่างเยาะเย้ย
“นายนี่ประสาทนะ” น้ำเสียงดูถูก “บ้าหรือเปล่ามายุ่งกับคนอย่างฉัน? มีชีวิตของตัวเองดีๆไม่ชอบดันชอบเอาตัวเองมาสาระแนกับชีวิตของชาวบ้านนะคนเรา” พูดจบเขาก็คว้ากระเป๋านักเรียน ก้าวเร็วๆออกจากห้องไป
เรียวอุคปิดกระเป๋านักเรียนของตัวเองบ้าง
สะพายมันขึ้นบ่า
ใช้หลังมือปาดน้ำตาเร็วๆไปทีหนึ่งก่อนจะจ้ำอ้าวตามขายาวๆของเยซองออกไป
...เจ็บนะไม่ใช่ไม่เจ็บกับคำพูดเมื่อกี๊...แต่สัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่ขี้แง
ไม่ร้องไห้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...ตั้งใจแน่วแน่แล้วไม่ใช่หรือว่าจะ ‘รัก’ เยซอง?
รู้แน่แก่ใจอยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าเยซองเป็นคนแบบไหน? ในเมื่อตัวเองเป็นคนเลือกเอง...ไม่ว่าจะเกิดอะไร
เขาก็ต้องยอมรับมันให้จงได้...
...ซ่อนเอาไว้น้ำตา...อย่าไหลออกมาให้เห็นอีกนะ...
... ‘บ้า’...ก็ใช่น่ะสิเยซอง! ฉันมัน ‘บ้า’! ไม่เช่นนั้นก็คงไม่เลือกมายุ่งกับคนใจร้ายอย่างนายหรอก!
สายฝนข้างนอกยังคงตกโปรยปราย
เรียวอุคเดินพ้นจากตึกเรียน...และโดยไม่มีอาการลังเลแม้สักนิด
เขาก็เดินตรงด้วยจิตใจแน่วแน่ฝ่าสายฝนตามหลังเยซองที่นำหน้าเขาอยู่ไม่ไกลไป...
///////////////////////////////////
รถเวสป้าสีชมพูของซองมินวิ่งเข้ามายังย่านวัยรุ่นที่มีร้านขายของละลานตา
ความที่วันนี้เป็นวันจันทร์จึงมีเด็กๆมาสุมหัวที่นี่ไม่มากประกอบกับฝนที่ตกไม่หยุดหย่อนมาทั้งวันจึงทำให้คนดูน้อยลงไปอีก
ซองมินชะลอรถก่อนจะหาที่จอดได้ข้างๆร้านค็อฟฟี่ชอปที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์ร้านหนึ่ง
“นายพาฉันมาที่นี่ทำไมเนี่ย?” คยูฮยอนเอ่ยปากถามอย่างงงๆ
(แต่ก็ดันตามเขามาอย่างว่าง่ายอ่ะนะ)
“มีร้านขายพระปิลันธ์น่ารักๆอยู่แถวนี้...” ซองมินว่า ดับเครื่องรถก่อนจะถอดหมวกกันน็อคออก “...ฉันจะพานายไปเลือกพระธำมรงค์ให้ฉันไง”
“ห๊ะ! อะไรนะ!?” คยูฮยอนทำหน้าเหรอหราเหมือนหมาหลง
ไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูดเลยสักนิด “อะไรปุเลงๆนะ?” ถามงงๆ
“ ‘พระปิลันธ์’ ต่างหาก! แปลว่าเครื่องประดับไงนายนี่! อะไรกัน?
จะจีบสาว(?)ทั้งทีวาจาไพเราะระรื่นหูพวกนี้ยังไม่รู้จักอีก
ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ!...ว่าแต่...นายกระหายพระกระยาหารอะไรหรือเปล่า?”
“หะ...หา?” คยูฮยอนยังมหัศจรรย์ใจไม่เลิกกับภาษาระรื่นหูของซองมิน “กายบริหาร?”
“นายหิวมั้ย?” ซองมินแปลให้
“อะ...เอ้อ...นิดหน่อย...”
“งั้น...ไปดูของก่อนแล้วค่อยไปเสวยนะ” ไม่รู้จะถามความเห็นอีกฝ่ายทำไมเพราะก็ทำอะไรตามใจตัวเองอยู่ดี
ซองมินคว้าต้นแขนคยูฮยอนลากให้เดินไปด้วยกันพลางชวนคุยไม่ขาดปาก “นายไม่เคยเสด็จประพาสแถวนี้เลยหรือ? แถวนี้น่ะมีแต่ร้านขายของงามๆเต็มไปหมดเลยนะ
ร้านอาหารอร่อยๆก็มีเยอะแยะ...เออ...เดี๋ยวฉันจะพาไปเสวยพระกระยาหารที่ร้านราเม็งร้านนึงนะ
ฉันโปรดมากเลย...” เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของซองมินทำให้คยูฮยอนเผลอยิ้มออกมา
แม้จะไม่เข้าใจทุกคำพูดแต่ความร่าเริงในน้ำเสียงที่สื่อออกมาก็ทำให้เขารู้สึกสนุกไปด้วยได้ไม่ยาก
ความเบิกบานเฉกเช่นดอกไม้สีชมพูสดใสในท่ามกลางวันฝนตกอันมืดครึ้มซึมเซาของเพื่อนคนใหม่คนนี้ทำเอาหมาป่าน้อยลืมเรื่องราวรอบตัวไปชั่วขณะ...ลืมไป...ว่าต้องรีบกลับบ้าน
ไม่อย่างนั้นคุณแม่จะเป็นห่วง...เผลอไผลไป...ว่าจริงๆแล้วเขาเพียงต้องการจะมาตามหา...
...เจ้าของแหวนวงนั้นเท่านั้นเอง...
//////////////////////////////////////
ซีวอนกับคังอินยืนกางร่มดักอยู่หน้าโรงเรียนจูมง
เมื่อฮันกยองพยุงลีทึกที่เดินกะเผลกออกมาจากประตูโรงเรียน
ทั้งสองก็พุ่งปราดเข้าไปทันที
“ฮันกยอง กลับบ้านด้วยกันนะครับ”
“...ตะ...แต่...”
“ลีทึกน่า...ให้ฉันไปส่งนายที่บ้านนะ”
“ไม่ต้องมายุ่งเลยไอ้อ้วน!!!”
“ฮันกยอง
วันนี้ที่ร้านอาหารจีนมีโปรโมชั่นพิเศษติ่มซำลดราคาด้วย ไปทานกันไหมครับ?”
“...แต่ลีถึก...”
“ฮันกยองตัวเล็กแค่นั้นต้องมาช่วยพยุงนายน่าสงสารจะตาย
สู้ให้ฉันช่วยนายเองไม่ดีกว่าเหรอ?”
“นี่แกด่าว่าฉันตัวหนักเหรอไอ้หมี!!??”
สุดท้ายซีวอนก็พรากฮันกยองไปจากลีทึกจนได้
แล้วคังอินก็เป็นคนลากนางฟ้าให้กลับบ้านด้วยกัน
“ปล่อยฉันนะ!!!” ลึทึกพยายามสลัดตัวให้หลุดจากคังอิน “ไอ้คนขี้โกหกตอแหลตลบแตลงปลิ้นปล้อน!!!”
“นี่ยังไม่หายโกรธฉันอีกเหรอ!?” คังอินต่อสู้กับมือที่ทั้งผลักทั้งปัดเขาเป็นพัลวัน
ด้วยความที่คังอินแรงเยอะกว่าจึงรวบรัดตัดมืออีกฝ่ายได้ตลอด แต่ลีทึกดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“ใครจะให้อภัยนายง่ายๆกันว๊ะ!!??” ลีทึกกรีดเสียง “สนุกนักนี่ใช่ไหมที่หลอกฉันมาตลอด!? สบายนักใช่ไหมที่มีคนมาคอยรับใช้นายทุกวัน!? ไอ้คนลวงโลก!!!” ด้วยความโมโห ลีทึกจึงทั้งทุบทั้งตีอีกฝ่าย
“โอ๊ยยยยยยย! เจ็บนะ!!!” คังอินยกมือขึ้นมาปัดป้องตัวเอง
คนร่างบางสบโอกาสจึงออกแรงเต็มที่ผลักอีกคน คังอินเซไปเล็กน้อย
แต่ไอ้คนผลักนี่สิ...ไม่เจียมสังขารตัวเอง...ยามจะก้าวหนี
ขาที่แพลงอยู่ไม่สามารถรับน้ำหนักทั้งตัวได้จึงเป็นฝ่ายเซล้มลงไปกองกับพื้นถนนที่เปียกฝนเฉอะแฉะ
ชุดนักเรียนเปรอะไปด้วยโคลน
“ลีทึก!!!” คังอินตกใจ ถลาเข้าไปจะพยุงอีกฝ่ายขึ้นยืน
แต่ลีทึกกลับแว้ดกลับ
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!!!” น้ำเสียงน่ากลัวจนคังอินชะงัก
ฝนโปรยปรายลงมาบนตัวเขาจนเสื้อผ้าเปียกปอนไปหมด “ฉันไม่ได้ขอร้องให้นายมาช่วย!!! ออกไป๊!!!”
“อย่ามาทำเป็นปากดีไปหน่อยเลย!!!” คังอินตวาดกลับ “ไม่เห็นหรือไงว่าเดินแค่นี้ก็ล้มแล้ว!? แล้วคิดจะเดินกลับบ้านเองคนเดียวในสภาพนี้น่ะเหรอ!? ชาติหน้าจะถึงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย!!!”
“จะถึงหรือไม่ถึงมันก็เรื่องของชั้น!!!” กรีดเสียง “ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย!!!” คังอินถอนหายใจ ชักระอา
“นี่ฟังนะ...อย่างน้อยก็ถือว่าเราเป็นเพื่อนกัน
ฉันจะไม่ปล่อยเพื่อนฉันเดินกลับบ้านคนเดียวในสภาพนี้หรอก...”
“ฉันไม่ได้เป็นเพื่อนกับนาย!!!”
“คนรู้จักก็ได้เอ้า!” คังอินพยายามเกลี้ยกล่อม
นั่งยองๆลงแล้วพยายามดึงตัวลีทึกให้ลุกขึ้น
แต่เจ้าตัวกลับเป็นฝ่ายทำตัวหนักไม่ยอมลุกขึ้นมาจากพื้นถนนแล้วยังทั้งผลักทั้งดันคังอินเสียนี่ “โอ๊ยยยย!!! รู้แล้วว่าเกลียดฉัน! แต่ในเมื่อนายเองก็เคยช่วยฉันไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน
ก็ขอร้องว่าขอให้ฉันช่วยทำอะไรให้นายบ้าง...”
“อาทิตย์ที่แล้วนายไม่ได้เจ็บจริงนี่! ไอ้ที่ทำเป็นเดินไม่ได้นี่เล่นละครทั้งเพ!!!” ยังแว้ดไม่เลิก ออกแรงผลักคนตัวใหญ่อีกที
คราวนี้คังอินเสียหลักลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
“โอ๊ยยยยย!!!” ร้องลั่น
แต่จะลุกก็ไม่ทันเพราะก้นเปียกไปเสียแล้ว เขาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ตอนหลังอาจจะใช่ แต่ตอนแรกฉันก็เจ็บจริงนะ!”
“แล้วทำอย่างงั้นทำไม!!?? สนุกนักใช่ไหมห๊ะที่หลอกฉันได้น่ะ!!??”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น...”
แต่ลีทึกไม่ฟังเสียง “ไม่ใช่แบบนั้นแล้วมันแบบไหนล่ะห๊ะ!!?? แก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้นหรอกนะไอ้สิบแปดมงกุฎปลิ้นปล้อนอย่างกับปลาไหล!!!”
“เออๆ จะด่าอะไรก็ด่าไปเหอะ!” คังอินคว้าข้อมือลีทึกได้ก็พยายามฉุดอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืน
นางฟ้าสะบัดมืออย่างจะดิ้นให้หลุด
“นอกจากนั้นแล้วยังหน้าด้านหน้าทนอีกนะ!!!” กรีดเสียง “ด่าขนาดนี้ยังไม่สำนึก
คนอื่นเขาพูดอะไรไม่เคยจะฟัง!!!”
“อืม มีอะไรอีก?”
“นายมันสารเลวเอาแต่หลอกใช้คนอื่น
นอกจากอ้วนแล้วก็ยังไม่หล่อ...”
“หมดยัง?”
“...แล้วตกลงที่ทำมาทั้งหมดนี่นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่!!!?” แว้ดลั่นทั้งๆที่ยังนั่งจมแอ่งน้ำฝนสกปรกอยู่ริมถนน
“เฮ้อ
เอาแต่ด่าคนอื่นปาวๆ ใครกันแน่ที่ไม่ฟังคนอื่นพูดนะ? ฉันเองก็พยายามจะอธิบายตั้งหลายทีแล้ว
นายนั่นแหละที่ไม่เปิดโอกาสกันบ้างเลย” คังอินบ่นอย่างละเหี่ยใจ
“อะไร? น้ำหน้าอย่างนายยังจะมีหน้ามาขอโอกาสอะไรจากคนที่นายต้มจนเปื่อยไม่เหลืออะไรให้เชื่อใจอีกแล้วงั้นเรอะ!? นายคิดว่าลีทึกคนนี้มันโง่เง่านักหรือไง!? ไอ้หน้าโบกคอนกรีต!!!”
“เออฉันมันหน้าด้าน
รู้อยู่แล้วไม่ต้องย้ำนักหรอกน่า!” บ่นอุบอิบอย่างจนใจ “หลังจากด่าฉันอยู่ฝ่ายเดียวมานานสองนาน...ไม่ได้บอกหรอกนะว่านายพอใจแล้วเพราะถ้ายังไม่พอใจจะด่าฉันต่อทีหลังก็ได้...แต่ตอนนี้...นายจะฟังสิ่งที่ฉันจะอธิบายได้หรือยัง?”
“นายมีอะไรจะต้องอธิบายงั้นเหรอห๊ะ!?” น้ำเสียงดูถูก มองคังอินตั้งแต่หัวจรดเท้า
แขนเรียวยกขึ้นกอดอกขาสองข้างก็นั่งขัดสมาธิ
ดวงหน้าสวยคมของนางฟ้าเชิดขึ้นพลางพ่นลมออกจมูกอย่างเหยียดหยาม...ดีที่ไม่มีขี้มูกหลุดออกมาด้วย “ไหนลองอธิบายมาซิ จะตอหลดตอแหลอะไรก็เอาให้ฟังขึ้นหน่อยนะ
เพราะถ้าไม่ละก็นายคงรู้ดีว่าจะต้องเจอกับอะไร...” ส่งเสียงขู่หวังจะให้น่ากลัวน่าเกรงขาม
แต่แหงละ...
...กุจะไปตรัสรู้ได้ไงวะว่าจะต้องเจอกับอะไร!? คังอินนึก...
“นายอาจจะไม่เชื่อฉันหรอกนะ...” คนร่างใหญ่เริ่ม ลีทึกสวนทันควัน
“ไม่ต้องห่วง
เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่เชื่อนายอยู่แล้ว” ย้ำอย่างมั่นอกมั่นใจ คังอินกัดริมฝีปากตัวเอง
ใจหนึ่งออกจะหวั่นกับปากร้ายๆของลีทึก แต่ในขณะเดียวกัน
สีหน้าหยิ่งยโสนั่นก็ทำให้เขาหมั่นไส้...
...อยากรู้นักว่าอีกคนจะทำหน้ายังไงเมื่อได้ยินเรื่องเหลวไหลของเขานี่...
“ว่าไง?
ฉันรอฟังอยู่นะ” ลีทึกเร่ง
กระดิกเท้าไปมาอย่างรอคอยทั้งๆที่ตัวเองยังนั่งจ้ำเบ้าตากสายฝนโปรยปรายอยู่บนถนน
คังอินกลืนน้ำลายเอื๊อก เสียงดังฟังชัดแม้สายฝนรอบตัวจะกระหน่ำลงมาดังแค่ไหนก็ตาม
“ฉันแค่อยากอยู่กับนาย
ก็เลยต้องหาเรื่องทำให้นายอยู่กับฉัน” เป็นคำอธิบายที่กำกวมดีแท้ ลีทึกเลิกคิ้วสูง
“ว่าไงนะ!?” ร่างบางยันตัวจะลุกขึ้น
คังอินยื่นมือไปจะช่วยพยุงแต่ลีทึกกลับปัดมันออกไปอย่างไม่ไยดี “นี่เหรอคำอธิบายของนาย!? พูดจาอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง!”
“อยากให้ขยายความไหม?” คังอินไม่ยี่หระ เขายันตัวลุกขึ้นยืนตามอีกฝ่ายแล้ว
“ได้! ดี!” ลีทึกแว้ดเสียง
ภาพเด็กหนุ่มสองคนตะโกนใส่กันท่ามกลางสายฝนทำให้ใครหลายคนที่เดินผ่านไปมาเหลียวมอง “ก็ลองดูสิว่าจะฟังขึ้นสักแค่ไหน! ฉันจะให้โอกาสนายอีกครั้ง
ถ้าคราวนี้ยังพูดไม่รู้เรื่องอีกละก็...”
“ฉันชอบนาย” คังอินตะโกนฝ่าสายฝน “ฉันชอบนาย อยากหาเรื่องอยู่กับนาย
ก็เลยต้องแกล้งทำเป็นเจ็บขาเพื่อนายจะได้อยู่กับฉันนานๆ ทีนี้เข้าใจหรือยัง!?”
...อึ้ง...
ลีทึกได้ยินข้อความนั่นชัดเต็มสองหู
แต่เขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าเข้าใจความหมายถึงครึ่งหนึ่งของมัน
แม้แต่เสียงสายฝนรอบกายก็ราวกับจะเงียบงันไป
เหมือนว่าโลกรอบตัวพวกเขาต่างเป็นใจเฝ้าคอยว่าอะไรกันที่กำลังจะเกิดขึ้น
“นะ...นายว่าอะไรนะ?” ลีทึกถามกลับด้วยน้ำเสียงแห้งผาก
สายฝนที่โปรบปรายลงมาอย่างเงียบงันรอบตัวดูจะวังเวงจนทำให้เขารู้สึกตัวเล็กลงไปอีก
“พวกนายสองคนกลัวจะไม่ถูกฟ้าผ่าตายหรือยังไงถึงได้มายืนตะโกนใส่กันกลางสายฝนอย่างนี้น่ะหา!?”
เสียงใครบางคนขัดขึ้นได้ถูกจังหวะอย่างไรบอกไม่ถูก
และคังอินก็ตอบได้ก่อนจะหันไปมองด้วยซ้ำว่าใครกันที่เสนอหน้าเข้ามาในวงสนทนาของพวกเขาโดยไม่ได้รับเชิญแบบนี้
คิม
ฮีชอลยืนอยู่ตรงนั้นใต้ร่มสีเหลืองสะท้อนแสง
มองพวกเขาสองคนทะเลาะกันด้วยสายตาประณามหยามเหยียดปนเอือมระอา
//////////////////////////////////
“ซะ...ซีวอน...นี่เราจาปายหนายกาน?”
มือนิ่มถูกมือของซีวอนกุมไว้พลางกึ่งลากกึ่งจูงอีกฝ่ายเดินผ่านร้านรวงต่างๆริมถนน
“หิวมั้ย?
ไปกินติ่มซำกันนะ” ซีวอนหันมาฉีกยิ้มชวนละลายใจให้ฮันกยอง คนร่างบางผงะ
หัวใจเต้นตุ้มต่อม เหมือนจะเป็นคำถามเชิงขอความเห็นแต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลยเพราะเลี้ยวหัวมุมถนนหน้าก็ถึงร้านอาหารจีนแล้ว
...เฮ่อ...นี่กุยอมมันอีกจนได้...ฮันกยองคิดในใจ
มื้ออาหารเย็นดำเนินไปอย่างกระอักกระอ่วนสำหรับเด็กหนุ่มชาวจีน
ในขณะที่ซีวอนเองเริงร่าจ้อเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่หยุดปาก
เสร็จจากมื้ออาหารคนร่างสูงก็อาสาไปส่งฮันกยองที่บ้านตามคาด...มันก็แน่ล่ะ
ร่มคันสุดท้ายที่คนจีนมีมันหายไปกับสายลมและคนหล่อตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่แล้วแล้ว
“เกิงจะเว้นที่ไว้ทำนาเหรอครับ? เดี๋ยวก็เปียกฝนเป็นหวัดหรอก” ซีวอนท้วงขณะพาคนร่างบางเดินกลับบ้าน
ทั้งๆที่ร่มสีดำของเขาก็คันไม่ใหญ่ (จะเอาคันใหญ่มาทำไมให้โง่?) แต่ฮันกยองก็พยายามสุดชีวิตน้อยๆที่จะเดินให้ห่างจากเจ้าของร่มที่สุดจนเหลือที่ว่างระหว่างกันเป็นวา
และนั่นก็ทำให้... “ดูสิ ไหล่ซ้ายของเกิงเปียกเลยเห็นไหม?” ทำเสียงดุ
ก่อนจะฉวยโอกาสคว้าเอวบางของคนข้างกายกระชับให้เขยิบเข้ามาชิดร่างเขา
“เอ่อ...มะ...ม่ายเปนรายหรอกซีวอน...คะ...แค่นี้ก็เกรงหัวจะตายอยู่แล้ว” คนจีนแก้มแดงเป็นลูกท้อ “ฉานม่ายเปนหวัดง่ายๆหรอกน่า...”
“ ‘เกรงใจ’ ครับ ไม่ใช่ ‘เกรงหัว’” ซีวอนแก้ให้ยิ้มๆ
ชินซะแล้วกับการใช้คำศัพท์ภาษาเกาหลีผิดๆถูกๆของคนน่ารัก
มือใหญ่ยกขึ้นขยี้เส้นผมนุ่มนิ่มของอีกคนอย่างหมั่นเขี้ยว
ทำเอาคนตัวเล็กกว่าหายใจเข้าแล้วลืมหายใจออกไปทันใด “...อีกอย่างนะ...” ซีวอนเอ่ยต่อ แม้จะไม่กล้าหันไปมอง
ฮันกยองก็รู้สึกได้ว่าความใกล้ชิดกันของพวกเขาทำให้ใบหน้าของซีวอนอยู่ห่างจากใบหน้าเขาไม่ถึงคืบเสียด้วยซ้ำ... “...ผมเต็มใจเดินไปส่งเกิงอยู่แล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอก...”
ฮันกยองไม่รู้จะตอบว่าอะไร
...และยิ่งเหมือนร่างกายถูกแช่แข็งเข้าไปใหญ่
ช่างขัดกันเสียเหลือเกินกับลมหายใจอุ่นจนร้อนของคนข้างกายที่รินรดแก้มเขา...ตามติดด้วยริมฝีปากอุ่นชื้นที่ประทับเพียงแผ่วเบาตรงข้างแก้ม...อ่อนโยนราวกับสัมผัสของขนนกก็ไม่ปาน
ผิดกันตรงที่...
ขนนกบ้านแม่เมิงไม่มีปัญญาทำให้ฮันกยองคนนี้เขินจนใบหน้าร้อนอย่างกับกาต้มน้ำจวนระเบิดได้ขนาดนี้หรอก!
“...เกิง...หันมาทางนี้หน่อยสิครับ...” เสียงอ้อนๆของซีวอนดังอุบอิบมาจากข้างแก้มเนียน
ฮันกยองทำอะไรไม่ถูก ใจหนึ่งไม่กล้าหันไปสบตากับคนหล่อเหลาที่มีดวงตาชวนละลาย
ในขณะที่อีกใจซึ่งทรยศเขาไปแล้วก็อยากจะหันไปเผชิญหน้าตามคำสั่งของอีกคน...
...น่าแปลกนักที่ไม่มีใจไหนอยากจะหันหนีไปเสียจากตรงนี้เลย...
“...เกิง...”
น้ำเสียงอ้อนวอนที่ดังขึ้นเบาๆริมหูทำเอาหัวใจฮันกยองกระตุก
ซีวอนไล้สันจมูกคมเข้ามาใกล้ริมฝีปากฮันกยองมากขึ้น อึกอักอีกเพียงครู่หนึ่ง
คนร่างบางก็หันไป...
...ประกบริมฝีปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากของซีวอนโดยไม่ลังเล
//////////////////////////////////////
ก้าวเล็กๆแต่มั่นคงของเรียวอุคเดินฝ่าสายฝนตามหลังเยซองไป
แม้จะทิ้งระยะห่างพอสมควรแต่เรียวอุคก็ทำให้มั่นใจได้ว่าคนที่เขาเดินตามจะต้องสังเกตเห็นเขาแน่ๆ
...และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ...
มีครั้งหนึ่งที่เยซองหันกลับมามองทางข้างหลังโดยบังเอิญ
แล้วก็สบตาเข้ากับเรียวอุคพอดี...เด็กหนุ่มที่เดินตากฝนไม่คิดจะหาอะไรกำบังเป็นจุดสนใจได้ไม่ยากนัก...เรียวอุคบอกได้เลยจากสายตาใครต่อใครที่มองเขากับเยซองที่เดินอยู่ข้างหน้าอย่างสนอกสนใจ...
...และนั่นก็ดูจะไม่ทำให้เยซองมีความสุขเท่าไหร่นัก...
ถึงหัวมุมถนนหนึ่ง
เยซองหยุดเดิน เรียวอุคชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นท่าทางนั้น
และก็เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายคงจะหยุดรอให้เขาเดินไปถึงตัวแน่
เรียวอุคจึงสนองสิ่งนั้นด้วยการเดินอย่างแน่วแน่เข้าไปหาคนร่างสูงที่บัดนี้เปียกฝนจนผมเผ้าไหลลู่ลงมาปรกหน้าปรกตายิ่งทำให้ดูหน้ากลมขึ้นไปอีก
“ตามฉันมาทำไม!?”
คำถามแรกที่เยซองยิงใส่
ฟังดูรู้ว่าคนพูดกำลังอารมณ์โกรธจัด
“เปล่าตาม” เรียวอุคยังมีหน้าลอยหน้าลอยตาตอบกวนตีน
“นายตามฉัน ดูก็รู้!” เยซองตะคอกอย่างหงุดหงิด “แล้วเป็นบ้าอะไรทำไมต้องเดินตากฝน!?” มองเรียวอุคที่เปียกเป็นลูกหมาตกมหาสมุทรตั้งแต่หัวจรดเท้า
คนตัวเล็กยักไหล่ “ก็เห็นนายทำ เลยอยากทำบ้าง อยากรู้ว่านายรู้สึกยังไงเวลาเดินตากฝน
มันอาร์ตหรือเปล่า หรือว่าเท่ห์ดี”
คำตอบนั่นทำเอาเยซองฉุนกึก “สำหรับนายคงซาบซ่านพิลึก
เพราะจะได้โดนฟ้าผ่าตายก่อนจะรู้สึกอะไรทั้งนั้น!” แช่งเสร็จเขาก็หันกลับ
ก่อนจะเอี้ยวคอมาตะโกนไล่ “กลับบ้านไปได้แล้ว
อย่าให้ฉันเห็นว่านายตามมาอีกนะ!”
“ถ้าฉันตามแล้วนายจะทำไม!?” เรียวอุคตะโกนไล่หลัง
แต่เยซองจ้ำอ้าวห่างออกไปแล้วจึงไม่ได้ยินเสียงเขา
นั่นสิ
ถ้าฉันยังจะเดินตามนายอยู่ แล้วจะทำไม?
นายจะต่อยฉัน? จะฆ่าฉันงั้นหรือ?
งั้นขอเดินตามนายต่อไปเพื่อที่จะพิสูจน์ได้ไหมว่านายคิดจะทำอะไรกับคนดื้อด้านพูดไม่รู้จักฟังอย่างฉันกัน!
///////////////////////////////
“พระธำมรงค์วงนี้น่ารักไหม?”
มือเรียวของกระต่ายน้อยยกแหวนวงหนึ่งให้คยูฮยอนดูพลางพลิกมันส่องกับแสงไฟ
แม้จะไม่เข้าใจคำถามนักแต่ก็เดาจากท่าทางของอีกฝ่ายได้ไม่ยากว่ากำลังถามถึงอะไร
“วงนี้ไม่เหมาะกับนายหรอก วงนั้นดีกว่านะ” มือใหญ่ชี้ไปที่แหวนอีกวงบนชั้นวาง ซองมินหยิบมันขึ้นมา
“เหรอ มันดูแวววาวไปหรือเปล่า?” ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางพินิจดูแหวนทั้งสองวงสลับกันไปมา
“วงนี้เหมาะกับนายมากกว่า” คยูฮยอนยืนยัน
“เหรอ?” น้ำเสียงซองมินตอนแรกเหมือนไม่เต็มใจนัก
แต่แล้วก็ยื่นให้คยูฮยอน “งั้นนายก็ลองทรงแหวนบ้างสิ
ถ้าจะทรงหมั้นฉันนายเองก็ต้องสวมแหวนรูปทรงเดียวกับฉันเช่นกัน”
คยูฮยอนไม่เข้าใจภาษากระต่ายนั่นสักนิด
แต่เมื่ออีกฝ่ายยื่นมาเขาก็เอาแหวนลองสวมเข้ากับนิ้วกลางของตัวเอง “ต้องทรงพระอนามิกาสิสิ!” ซองมินขัดด้วยการตีมือเจ้าหมาป่าดังป้าบ
แต่คนร่างสูงก็ยังคงทำหน้าเอ๋ออยู่เช่นเดิม
“อะไรนะ?
อนามัยก๊ะเหรอ?” ถามเซ่อๆ ซองมินทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ คว้าแหวนมาจากมือใหญ่แล้วบรรจงสวมใส่ให้บนนิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่าย
...และกิริยานั่นก็ทำเอาหมาป่าน้อยลืมหายใจไปชั่วขณะ...
...ซองมินกำลังสวมแหวนให้เขาบนนิ้วนางข้างซ้าย...เอ...แบบนี้มัน...
...งานนี้ใครเป็นเคะใครเป็นเมะกันแน่หว่า? -*-
“เล็กไปนิดนะ นายคงต้องลองทรงเบอร์ที่ใหญ่กว่านี้” กระต่ายน้อยพูดเองเออเอง
แล้วก็จัดแจงหาแหวนทรงนี้แต่เบอร์ใหญ่ขึ้นมาลองบนนิ้วเจ้าหมาป่าจนได้เบอร์ที่พอเหมาะพอดี
“นายคิดว่าไง?” ซองมินเดินถอยหลังไป 2-3 ก้าวแล้วเอ่ยถาม
พยายามพินิจแหวนวงนั้นจากระยะไกลและความลงตัวโดยรวม คยูฮยอนยกมือซ้ายขึ้น พลิกมือไปมาให้ประกายของแหวนวงใหญ่บนนิ้วของตนสะท้อนแสงไฟ
“สวยดี” เขาตอบตามตรง
“งั้นเหรอ?” ซองมินยิ้มร่า ยื่นแหวนเบอร์ของตนให้คยูฮยอน “ในเมื่อฉันทรงแหวนให้นายแล้ว
ก็ถึงทีของนายต้องทรงแหวนให้ฉันบ้างละ”
ร่างสูงรับแหวนวงนั้นมาถือไว้
หน้าตามันเหมือนกับวงที่เขาใส่อยู่เด๊ะๆเพียงแต่ต่างขนาดกัน
คยูฮยอนชักนึกสนุกกับเรื่องราวบ้าบอทั้งหมดนี่
แม้จะไม่เข้าใจอะไรถ่องแท้นักเพราะเขากับซองมินราวกับพูดกันคนละภาษา
แต่ก็ปฏิเสธได้ยากสักหน่อยว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้ซองมินเป็นคนพิเศษกว่าใครต่อใครที่เขาเคยพานพบมา...ในเมื่อสดใสน่ารักเสียขนาดนี้...
คยูฮยอนวางกระเป๋าสะพายของตนลงข้างๆ
ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าซองมินรวมถึงทุกๆคนที่อยู่ในร้าน...
...จะไม่ให้คยูฮยอนคนนี้หลงรักได้อย่างไร...?
...มือใหญ่ข้างหนึ่งจับมือนิ่มข้างซ้ายของซองมินยกขึ้น
ในขณะที่มืออีกข้างก็บรรจงสวมแหวนวงเล็กลงบนนิ้วนางอย่างเชื่องช้าและทะนุถนอม
ก่อนจะปิดฉาก...ด้วยการหลับตาพริ้มประทับจุมพิตบางเบาลงบนหลังมือนิ่มของซองมินด้วยมาดราวกับเจ้าชาย
///////////////////////////////////
ผ่านไปเกือบ 20 นาทีแต่เรียวอุคก็ยังคงเดินตามเยซองอยู่
คนเดินถนนหลายต่อหลายคนที่เดินผ่านมาต่างถามไถ่ว่าเขาไม่มีร่มหรือและพยายามเสนอร่มของตนให้
แต่เขาปฏิเสธคนเหล่านั้นอย่างไม่ใส่ใจ ตราบใดที่เยซองจะยังไม่ใช้ร่ม
เขาก็จะไม่ใช้เช่นกัน เรียวอุคตั้งปณิธานกับตัวเองไว้อย่างนี้...
...เป็นปณิธานที่งี่เง่าสิ้นดีว่าไหมครับคุณผู้อ่าน?
มีอีกครั้งหนึ่งที่เยซองหยุดรอ
และเรียวอุคก็เดินไปจนถึงตัวเขา ไม่ได้คิดหรอกว่าเยซองจะตัดสินใจขอร่มเขาในที่สุด
และก็เป็นไปดังคาด
เด็กหนุ่มหน้ากลมเพียงแต่หยุดรอเพื่อจะด่าเขาเท่านั้น
“นายมันบ้า!” เขาตะโกน
“อย่างกับนายไม่บ้างั้นแหละ!” เรียวอุคด่าตอบ
“ทำแบบนี้แล้วมันได้อะไรขึ้นมา? ไอ้คนปัญญาอ่อน!”
“นายน่าจะลองถามตัวเองแบบนั้นดูบ้างนะ!” คนร่างเล็กสวนกลับ
“นี่มันเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย!”
“เรื่องของนายก็เป็นเรื่องของฉันนั่นแหละ!” เรียวอุคไม่ยอมแพ้
สุดท้ายเยซองก็กระฟัดกระเฟียดจ้ำอ้าวจากไป
รู้ทั้งรู้ว่าด้านหลังเขาจะมีใครคนหนึ่งไล่ตาม...ไม่รีบร้อนแต่มั่นคง
ไม่เรียกร้องแต่จะไม่ยอมจากไปไหน...
“ฮัดเช้ย!!!”
หลังจากเดินตากฝนมานานครึ่งชั่วโมง
เรียวอุคก็เริ่มจาม เขารู้สึกว่าร่างกายตัวเองเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนผิดปกติ
จึงเริ่มรู้ตัวว่าเป็นไข้แน่แล้ว เสียงจามดังขึ้นอีกครั้ง
และครั้งนี้ทำให้เยซองที่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกลนักหันมามอง
“เป็นหวัดแล้วสิ สมน้ำหน้า!” เสียงตะโกนดังมาจากด้านหน้า เรียวอุคไม่ใส่ใจ
“ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่เลิกเดินตามนายหรอก
ไม่ต้องดีใจ” คนร่างเล็กตอบอย่างท้าทาย
“กลับบ้านไปได้แล้วไอ้คนอวดดี! เป็นลมล้มไปฉันไม่ช่วยหรอกนะ!”
แม้ในใจจะนึกน้อยใจกับความใจร้ายของคนตรงหน้าจนอยากจะร้องไห้
แต่เรียวอุคก็ยังยืดอกอย่างสง่าผ่าเผย ตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
“ก็ไม่ได้ขอให้ช่วยสักหน่อย!”
และก็เป็นอีกครั้งที่เยซองหันกลับ
ทิ้งอีกคนไว้ข้างหลังอย่างไม่สนใจไยดี
...เสียงจามของเรียวอุคยังดังไม่หยุดหย่อน...
...และมันก็หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
ก้มลงจามเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้
เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เรียวอุคก็เห็นเยซองเลี้ยวเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
คนร่างเล็กทำหน้าเหยเก...หมอนั่นเข้าไปในห้าง...เข้าไปทำไมกัน? ถ้าเป็นในยามปกติเขาก็คงไม่ว่าอะไร
แต่นี่เนื้อตัวของทั้งสองเปียกม่อล่อกม่อแลก
และในห้างก็ต้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำอย่างแน่นอน
เขาไม่อยากจะคิดสภาพเลยให้ตายสิว่าจะต้องตัวสั่นเป็นลูกนกขนาดไหนเมื่อปะทะเข้ากับอากาศเย็นจนหนาวจวนแข็งแบบนั้น...
แต่เรียวอุคก็เดินตามเข้าไป
ไม่ลังเลเลยสักนิด
อุณหภูมิในห้างช่างสุดแสนทรมานอย่างร้ายกาจ
ทันทีที่เขาย่างก้าวแรกเข้าไป
เรียวอุคก็รู้สึกถึงลมเย็นที่ปะทะกายและแทรกซึมผ่านเสื้อผ้าของเขาเข้าไปจนถึงผิวเนื้อและกระดูก
เขายืนตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เหลียวซ้ายแลขวามองหาว่าเยซองอยู่ที่ไหนในอาณาจักรน้ำแข็งแห่งนี้...
“มานี่!”
ยังไม่ทันจะหาเจอ
แขนของคนร่างบางก็ถูกกระชากไปข้างๆโดยพละกำลังที่เหนือกว่า
หันไปมองก็เห็นว่าเป็นเยซองที่กำลังฉุดลากเขาไปตามทางเดินในห้าง
“จะไปไหน?” ส่งเสียงอ่อนระโหยโรยแรงถาม
“ห้องน้ำน่ะสิถามได้!” คนร่างสูงตะคอกกลับ
เยซองลากเรียวอุคเหวี่ยงเข้าไปในห้องน้ำชายที่ใกล้ที่สุด
คนในห้องน้ำหันมามองเขาอย่างอยากรู้อยากเห็นเป็นตาเดียว
“รออยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหน
และไม่ต้องกลัวว่าฉันจะหนี เดี๋ยวฉันกลับมา
ถ้าฉันมาถึงแล้วไม่เจอนายยืนอยู่ตรงนี้นะ...!” นิ้วยาวชี้หน้าสั่งเรียวอุคเป็นชุดพร้อมกับน้ำเสียงข่มขู่และดวงตาดุดันด้วย
เรียวอุคยืนนิ่ง แม้จะไม่ได้พยักหน้ารับคำก่อนเยซองจะผลุนผลันออกไปจากห้องน้ำ
แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า ณ วินาทีนี้เขาไม่มีอารมณ์จะออกไปไหนแน่
ในห้องน้ำอุณหภูมิถูกปรับให้สูงกว่าข้างนอก
จึงสบายพอที่คนเปียกฝนอย่างเขาจะอยู่ได้โดยไม่ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
เรียวอุคเหลือบมองกระจก แล้วก็เพิ่งเห็นชัดๆว่าสภาพตัวเองดูไม่ได้ขนาดไหน
เด็กหนุ่มหลายคนซุบซิบนินทาเขากันอย่างสนอกสนใจ
คนร่างบางสามารถมองเห็นได้ไม่ยากจากกระจกตรงอ่างล่างหน้าที่เขายืนเกาะยึดมันอยู่
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่
เยซองก็กลับมา
...พร้อมผ้าขนหนูผืนใหญ่สองผืน...
เรียวอุคไม่ได้ถามว่าเขาไปเอามันมาจากไหน
และเยซองก็ไม่ได้บอก ทันทีที่มาถึงเขาก็โปะผ้าผืนหนึ่งลงบนศีรษะเรียวอุค
ขยี้มันอย่างแรงเพื่อจะเช็ดผมให้แห้ง เรียวอุคที่ยังตั้งสติไม่ได้ได้แต่ยืนนิ่ง
ดวงตาเบิกโพลงอย่างประหลาดใจ เขาทำอะไรไม่ถูก
“นายนี่มันทำอะไรไม่รู้จักคิด!” เยซองด่าอุบอิบเสียงเบา เรียวอุคไม่ต่อปากต่อคำ
หลังจากผมบนศีรษะเรียวอุคเริ่มเปลี่ยนสถานะจากเปียกปอนมาเป็นหมาดๆ
เยซองก็เปลี่ยนเอาผ้าขนหนูอีกผืนมาเช็ดตามเนื้อตัว ซับให้เสื้อผ้าหายเปียกไปบ้าง
“เดี๋ยวก็ได้เป็นปอดบวมตาย!” เยซองบ่นอีก และคราวนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ต่อปากต่อคำ
เรียวอุคยังแอบอมยิ้มอีกด้วย
“นายไม่เช็ดบ้างเหรอ?” เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเนื้อตัวของเยซองยังเปียกม่อล่อกม่อแลกอยู่เลย
“ฉันชินแล้ว ไม่ต้องจุ้น!” ไม่วายด่ากลับเสียงเขียว เขาเช็ดเนื้อตัวให้เรียวอุคอีกสักพัก
เมื่อเห็นว่าทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว... “จะกลับบ้านได้หรือยัง?”
เรียวอุคตอบทันที “นั่นขึ้นอยู่กับว่า...”
“ฉันจะเอาร่มของนายไปคันหนึ่ง พอใจหรือยัง?” เยซองขัดขึ้นด้วยรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะว่าอะไร
เรียวอุคทำตาโต ก่อนจะจามออกมาทีหนึ่ง “ถ้ายังขืนให้นายเดินตามฉันต่อไป นายได้ตายแน่ๆ
ไม่รู้จักเจียมสังขารตัวเองเอาซะเลย...” พูดด้วยน้ำเสียงดูถูก
กวาดสายตามองคนตัวเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้า “...เพราะฉะนั้นฉันจะเอาร่มไป
ส่วนนายก็กลับบ้านไปได้แล้ว เข้าใจรึเปล่า?”
เรียวอุคพยักหน้าช้าๆ
แต่สีหน้ายังไม่ไว้ใจ “เราเดินออกไปข้างนอกด้วยกันสิ...” เขาว่า “...ฉันจะรู้ได้ยังไงว่านายเอาร่มฉันไปแล้วใช้มันจริงๆน่ะ?”
“นายนี่นะ...!” เยซองทำท่าจะตวาดอีก
แต่แล้วเขาก็ยอมอ่อนลงให้เปลี่ยนเป็นเพียงพึมพำเบาๆ “...ดื้อด้านชะมัดยาด!”
ไม่ได้ว่าอะไรต่อจากนั้น
เขาก็เดินออกไปจากห้องน้ำ คนตัวเล็กรีบจ้ำตามไปติดๆ
สายฝนข้างนอกยังตกหนัก
แต่เรียวอุคเลือกที่จะยืนอยู่ข้างนอกมากกว่าจะอยู่ในห้างที่เปิดแอร์เย็นเฉียบ
เยซองก็คงคิดอย่างเดียวกัน พวกเขาสองคนออกไปจากห้างสรรพสินค้า ยืนอยู่กลางสายฝน
เรียวอุคเปิดกระเป๋าและหยิบร่มสองคันออกมา คันหนึ่งของเขาและอีกคันสำหรับเยซอง
เยซองคว้าคันสีฟ้าครามออกไปจากมือของเรียวอุคโดยไม่พูดพล่ามทำเพลงใดๆ
เขากางร่มออกกำบังตนเองจากสายฝน
เหลือบมองเรียวอุคด้วยหางตาก่อนจะเอ่ยคำลาเสียงเหยียดหยาม “ไปนะ”
แล้วก็หันหลังเดินจากไป
เรียวอุคยืนตากฝนอยู่ตรงนั้น
มองเยซองเดินจากไปจนลับหายไปกับฝูงชน ก่อนจะหันหลัง มุ่งหน้ากลับบ้านตัวเอง
ร่มอีกคันเหลืออยู่ในมือเขา แต่เรียวอุคไม่ยักใช้มันบังสายฝน
เขาเดินข้ามถนน
เนื้อตัวกลับมาเปียกปอนเหมือนเก่า แต่คนร่างเล็กไม่สนใจ ตอนนี้เขาเอาแต่ยิ้ม ยิ้ม
ยิ้ม เหมือนคนบ้า
... ‘ใช่สิ ฉันมันคงบ้าแน่ๆเลยใช่ไหม?’ คิดในใจก่อนจะกางร่มขึ้นบังฝนให้ตัวเองในที่สุด
หนทางกลับบ้านเขายังอีกไกล เช่นเดียวกับหนทางสู่หัวใจเด็กหนุ่มนิสัยประหลาดคนนั้น
แต่ตอนนี้เขาก้าวเข้าใกล้มันเข้าไปอีกสเต็ปหนึ่งแล้ว...และอีกก้าว...และอีกก้าว...ที่ดียิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้...
...เขาไม่ต้องเดินตัวเปล่าฝ่าความหนาวเหน็บและความเจ็บปวดเหมือนเข็มทิ่มแทงของสายฝนอีกต่อไป...
ความคิดเห็น