คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Umbrella '8': ร่มคันที่ 8
เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กของฮันกยองดังขึ้นแต่เช้าเล่นเอาเจ้าของไม่อยากจะลุกขึ้นมารับเสียเลย
เด็กหนุ่มชาวจีนคว้าหมอนขึ้นมาปิดหูพลางกลิ้งตัวไปอีกฟากของเตียงให้ไกลจากตู้ข้างเตียงที่ไอ้โทรศัพท์เจ้ากรรมวางอยู่ให้มากที่สุด
แต่แน่นอนว่ามันไม่ยอมเงียบเสียงลงง่ายๆ ริงโทนเพลงแรกจบไป
มันก็เริ่มเล่นซ้ำใหม่เป็นหนที่สองเพื่อย้ำให้เจ้าของเครื่องมารับมันเสียที
ฮันกยองส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างอารมณ์เสีย มือบางป่ายสะเปะสะปะมาบนหลังตู้ข้างเตียง
คว้าได้ก็กดรับด้วยเสียงงัวเงียปนหงุดหงิด
“มีอาราย???”
“ไอ้ฮัน!” เสียงลีทึกแว่วมาตามสาย
“โทรมาหาป่าป๊าเมิงแต่เช้าเหรออีถึก!? นี่มานกี่โมงกี่โยมกานเนี่ย!?” โงหัวยุ่งๆขึ้นมาจากหมอนพยายามลืมตาตี่ๆขึ้นมองนาฬิกาตั้งโต๊ะ
“
‘กี่โมงกี่ยาม’ ไม่ใช่ ‘กี่โมงกี่โยม’ ตอนนี้หกโมงครี่งแล้ว
เฮ้ยไอ้ฮัน เมิงมารับกุที่บ้านหน่อยดิ”
“ตื่นขึ้นมาแล้วขาเมิงหายหรืองายถึงเดินปายเองม่ายด้ายน่ะห๊ะ!!??”
“ตั้งคำถามได้มีน้ำใจมากเลยเพื่อน
คืองี้...ขากุแพลงน่ะ เลยเดินไม่ค่อยสะดวก” ลีทึกอธิบาย
“ปายทามอารายซุ่มซ่อนมาอีกลาสิท่า?” ฮันกยองชินกับนิสัยของเพื่อนจนไม่แปลกใจ
“
‘ซุ่มซ่าม’ ว้อย กุจะไปซุ่มซ่อนหาพระแสงอะไรล่ะ!?”
“พระแสงนี่มานครายวะ? เพื่อนหม่ายเมิงเหรอ?” คนจีนถามซื่อๆ
ก่อนจะได้ยินเสียงลีทึกถอนหายใจใส่โทรศัพท์เสียงดังจนอาจได้ยินไปถึงเปียงยาง
“ไม่หรอก เค้าเป็นเพื่อนเก่ากุน่ะ
รู้จักกันมานานแล้ว เอาเป็นว่าเมิงมารับกุด้วยนะเช้านี้”
“เออ...เออออออ...ดีๆ ดีแล้ว
กุจาด้ายมีข้ออ้างหนีซีวอน” พอมีชื่อซีวอนลีทึกก็หูผึ่งทันที
“ซีวอน? อะไรอีกล่ะ? นี่อย่าบอกนะว่า...มันจะมารับนายไปโรงเรียนน่ะ!?” เรื่องแบบนี้ลีทึกเดาอะไรไม่เคยพลาดอยู่แล้ว
ยิ่งฮันกยองเงียบไปไม่ตอบคำแบบนี้ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง “น่ะน่ะแน๊~ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ย่อยน่ะเนี่ยเพื่อนกุ
นี่เขาถึงขนาดจะมารับเมิงไปโรงเรียนทุกเช้าเลยเหรอวะ? นี่เมิงไปทำยาเสน่ห์ใส่เขาหรือเปล่าเนี่ยไอ้ฮัน? เฮ้ย! หรือว่า...?”
“อาราย?
‘หรือว่า’ อารายอ้ายถึก!?”
“หรือว่า...” ลีทึกหรี่เสียงตัวเองลง “...เมิงเสร็จมันไปแล้ววะ?”
เป็นอีกครั้งที่ฮันกยองเงียบ
คราวนี้ลีทึกตกใจจริงจัง “เฮ้ย! จริงเหรอเนี่ย!? ไอ้ฮัน! เมิงเพิ่งเจอเขาไม่กี่วันเองไม่ใช่เรอะ!?”
“...กะ...กุแค่...” เสียงฮันกยองเหมือนจะร้องไห้ “...ตะ...ตอนน้านกุลืมตัว...ปะ...ปาย...”
“เฮ้ย! ไอ้ฮัน! ใจเย็นๆเว้ย! ไม่เป็นไรๆ
ของแบบนี้มันพลาดกันได้ พลาดให้ซีวอนมันก็น่าลองอยู่ ว่าแต่...” ลีทึกกระซิบอย่างตื่นเต้น “...ขอกุถาม(เสือก)ได้ไหม
ว่าที่ไหนและเมื่อไหร่วะ?”
“...มะ...เมื่อวานศุกร์ที่ผ่านมา...” ฮันกยองตอบเสียงกระซิบ ลีทึกตบเข่าฉาดทันทีที่ได้ยินคำตอบด้วยความลุ้น
แต่ดันลืมไปว่าขาตัวเองมีแผลถลอกอยู่
แรงตบนั่นเลยไปซ้ำแผลทำเอาพ่อคนซุ่มซ่ามแหกปากร้องด้วยความเจ็บ
“โอ๊ยยยยย!!! เชี่ยยยยยย!!!”
“อืม...ช่าย...กุมานเชี่ยจริงๆ” ฮันกยองยอมรับเสียงหมดอาลัยตายอยาก
“เฮ้ย! ไม่ใช่ๆ กุไม่ได้ด่าเมิง เออ...แล้วเมิงยังไม่ตอบอีกคำถามของกุเลย...ที่ไหนวะไอ้ฮัน? บ้านมัน หรือบ้านเมิง?”
“...หนะ...หน้าร้านขาย...อาหล่ายยนต์ตรงถนน...ยูฮี...” ตอบเสียงละห้อยกว่าเดิม ลีทึกถลึงตา
“อะไรนะ!?
‘หน้าร้าน’!?”
“...อะ...อือ...”
“ตรงไหนของร้านอะไหล่ยนต์นะ!?”
“...ขะ...ข้างหน้าเลย...ตอนน้านฝนมานตกหนัก...พวกเราหลบฝนกานอยู่ต้ายหลังคาผ้าบาย...”
“เดี๋ยวก่อน...เค้าทำอะไรเมิงกันแน่ไอ้ฮัน?”
“...คะ...เค้า...” ไม่กล้าพูดต่อ
“เฮ้ยเร็วๆ!
เมิงกับซีวอนทำอะไรใต้หลังคาผ้าใบหน้าร้านอะไหล่ยนต์เมื่อวันศุกร์?” น้ำเสียงคาดคั้น
“...คะ...เค้า...จูบกุ...” ตอบเสียงอ่อน
“แค่นั้นน่ะนะ!? มันทำอย่างอื่นอีกหรือเปล่า!?”
“...กะ...ก็แค่น้านแหละ
เมิงจาเอาอารายอีกวะอ้ายอีถึก!?”
“โธ่เว้ยไอ้ห่า!!!
กุก็จินตนาการไปไกลถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดแล้ว!!!”
///////////////////////////////////////////
ซีวอนมาดักรอหน้าบ้านตามที่คาด
“อรุณสวัสดิ์ครับเกิง” ฉีกยิ้มหล่อหวังละลายใจคนจีน
แต่ฮันกยองกลับก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา
“...อะ...เอ่อ...อารุณซาหวัด...”
“ผมมารับเกิงไปโรงเรียนตามที่สัญญาไงครับ
เกิงจะได้ไม่เปียกฝน” น้ำเสียงร่าเริง
“...อะ...เอ้อ...จริงๆแล้ววานนี้...ฉานต้องปายราบอีถึกปายโรงเรียนน่ะ” พูดอึกๆอักๆ ซีวอนชะงักไปทันที
“เพื่อนเกิงน่ะเหรอครับ?” น้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ทำไมล่ะครับ?”
“...ก็...อีถึกบอกว่าขาแพลงน่ะ”
เจอแบบนี้ซีวอนก็เถียงไม่ได้
ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอมตามฮันกยองไปรับเพื่อนเพื่อไปโรงเรียนด้วยกันแม้ในใจจะสุดเซ็งกับสถานการณ์ผิดแผนนี้แค่ไหนก็ตาม
เมื่อถึงหน้าบ้านลีทึก
ซีวอนก็พบบุคคลไม่คาดคิด
“ไอ้คังอิน!!!”
คังอินกำลังนั่งยองๆอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามบ้านลีทึก
มือหนาถือร่มสีน้ำตาลคันใหญ่ประจำตัวบังเม็ดฝนที่ตกโปรยปรายยามเช้า
คนร่างหมีหันมาตามเสียงเรียก ดวงตาของคังอินลึกโหลเหมือนคนอดนอน
หน้าตาหมดอาลัยตายอยาก
ถ้าใครไม่รู้จักเดินผ่านมามองเผินๆคงคิดว่าเขาเป็นขอทานหรือแย่กว่านั้นคือเป็นผีเฝ้าถนนเป็นได้
“เออ ว่าไงไอ้ซีวอน?” ทักทายเพื่อนร่วมก๊วนด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
ก่อนจะหันไปสนใจกิจกรรมของตัวเองต่อ นั่นคือการนั่งจ้องประตูบ้านลีทึก
“เมิงมาทำห่าอะไรแถวนี้แต่เช้า?” ซีวอนส่งเสียงทักด้วยสำนวนไพเราะตามประสาคนสนิทกันมานาน
คังอินเบือนหน้ากลับมาพร้อมกับจงใจใช้สายตากวาดมองซีวอนตั้งแต่หัวจรดเท้า
“กุน่าจะเป็นคนถามคำถามนั้นกับเมิงมากกว่า
แหม...ทำตัวเป็นหมาเดินตามตูดเมียไม่ห่างตั้งแต่เช้าวันจันทร์เชียวนะ!” จบประโยค
คังอินก็โดนฝ่าพระบาทของซีวอนเสยเข้าให้เต็มรักจนเซคะมำลงไปกับพื้น
“เฮ้ยยยย!!!”
“ถ้าเมิงจะพาดพิงถึงเกิง พูดให้มันดีๆหน่อย
ของสูงเว้ย!!!”
ประตูบ้านของลีทึกเปิดออก
ฮันกยองรีบวิ่งเข้าไปช่วยพยุงเพื่อนอย่างรู้หน้าที่
คังอินกระเด้งตัวขึ้นพลางปรี่เข้าไปหาคนเจ็บทันที
“ลีทึก ฉันขอโทษน่า ทำไมต้องโกรธกันขนาดนี้ด้วย? นี่เห็นไหมฉันก็มารับนายตอนนายเจ็บเหมือนที่นายไปรับฉันที่บ้านไง? ให้ฉันไปส่งที่โรงเรียนให้นะ”
“ฉันไม่ได้ขอให้นายมาช่วย” ลีทึกตอบกลับเสียงห้วนและเย็นชา
ฮันกยองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทำหน้างง
จากบทสนทนาเพียงสองประโยคของคังอินกับลีทึกก็พอจะเดาได้ว่าทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่
และเด็กหนุ่มชาวจีนก็เพิ่งรู้ตัวว่าถูกเรียกมาที่นี่เพื่อจะทำหน้าที่เป็นไม้กันหมา
“ลีทึกน่า
ฉันไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลยนะที่ทำแบบนั้น สาบานได้...” คังอินโอดครวญ
“ฉันไม่อยากฟังข้อแก้ตัวอะไรจากนายทั้งนั้น!
นายหลอกใช้ฉัน! สนุกนักละสิใช่ไหมที่มีคนเป็นเบ๊ให้ทุกวัน!!?? สบายมากเลยใช่ไหมหืม!!?? นายเห็นฉันเป็นของเล่นหรือยังไงกัน!!??” มาเป็นชุด ฮันกยองที่ทำหน้าที่ช่วยพยุงอยู่ข้างๆชักผวา
ซีวอนพุ่งเข้ามาเดินข้างๆฮันกยอง
ทำหน้าที่ถือร่มบังฝนให้คนตัวเล็กกว่าเพราะฮันกยองไม่มีร่ม แต่แม้ร่มจะใหญ่
ขนาดของมันก็บังฝนคนได้เพียงสองคนเป็นอย่างมาก
แม้ลีทึกจะหยิบร่มตัวเองติดมือมาด้วยเขาก็ถือมันได้ไม่ถนัดนัก
คังอินเห็นช่องโหว่นี้จึงพุ่งเข้าเสียบทันที
“ให้ฉันถือร่มให้แล้วกัน” จัดแจงใช้ร่มของตัวเองบังฝนให้ลีทึก
“ไม่ต๊องงงงง!!!” ลีทึกกรีดเสียง
ใช้ร่มในมือตัวเองฟาดคังอินหลายๆทีหวังจะไล่
“เฮ้ยยย!!! จะตีกันทำไม!? เจ็บนะ!!!” ใช้มืออีกข้างปัดป้องตัวเองเป็นพัลวัน
“ก็จะตีให้เจ็บนะสิวะ!!!”
“เฮ้ย!!! เลิกทาเลาะกานด้ายหมายเนี่ย!? เดี๋ยวก็ม่ายเถิงโรงเรียนกานพอดี!” ฮันกยองที่ทนฟังอยู่นานสอดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
แล้วมันเรื่องของเขาไหมเนี่ยที่ต้องมาตกอยู่กลางเวทีมวยของคนสองคนที่เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย?
“ได้ยินไหมคังอิน? เพราะฉะนั้นนายก็ไปๆซะได้แล้ว!” ลีทึกออกปากไล่อย่างได้ที
“ไปไหนล่ะ!? ฉันก็ต้องเดินไปโรงเรียนทางเดียวกับพวกนายนี่แหละ!” คังอินสวนอย่างผู้ชนะ ลีทึกนึกประโยคเถียงสวนแทบไม่ทัน
“แล้วทำไมต้องมาเดินกับฉันเล่า!? ไปเดินไกลๆตีนทางนู้นเลยไป!!!”
“แต่เพื่อนฉันอยู่นี่
ฉันก็ต้องเดินกับเพื่อนสิ...” บุ้ยใบ้ไปทางซีวอน
แล้วบทสนทนาก็เป็นแบบนี้ไปตลอดทางเดินไปโรงเรียนของคนทั้งสี่
เสียงของคังอินกับลีทึกทะเลาะกันดังแข่งกับเสียงสายฝนโปรยปรายยามเช้า
ในขณะที่บทสนทนาของซีวอนและฮันกยองมีขึ้นบ้างเป็นระยะๆ
“เฮ้ย! จะเสียงดังโวยวายกันไปถึงไหนเนี่ย?”
เมื่อใกล้ถึงโรงเรียน
ใครอีกคนก็ส่งเสียงตะโกนทักมา ทุกคนหันไปมอง แล้วก็พบกับคิม
ฮีชอลและร่มประจำวันจันทร์...สีเหลือง...ที่เจ้าตัวถือมาด้วยอย่างเฉิดฉาย “กุได้ยินเสียงไอ้คังอินตั้งแต่อยู่ห่างไปสามกิโลแน่ะ”
“อันนั้นก็เว่อร์ไปฮีชอล” คังอินดักคอเพื่อน
ฮีชอลหันไปมองฮันกยองและซีวอน...และถ้าหากมีอาการประหลาดใจแม้สักนิดละก็...
...ฮีชอลก็ซุกซ่อนมันได้อย่างแนบเนียนไม่มีที่ติ...
“อรุณสวัสดิ์วันฝนตก ลีทึก ซีวอน...ฮันกยอง...”
//////////////////////////////////////////
“เรียวอุค! ทำไมนายถึงตัวเปียกมะล่อกมะแล่กแบบนั้น!!??”
กระต่ายน้อยซองมินร้องทักเพื่อนรักอย่างตกอกตกใจเมื่อเรียวอุคก้าวเข้าห้องเรียนมาด้วยเนื้อตัวเปียกปอน
ยังดีที่เขาสวมเสื้อฮู้ดดี้มาด้วย ชุดนักเรียนข้างในจึงไม่เปียกมากเท่าที่ควร
แต่กระนั้นหากใส่เสื้อผ้าชื้นๆแบบนี้ทั้งวันเขาก็อาจถูกอาการปอดบวมถามหาได้
“ฉันลืมเอาร่มมา” เรียวอุคตอบเพื่อนพลางถอดเสื้อคลุมมีฮู้ดออกวางพาดกับเก้าอี้
“แล้วทำไมถึงไม่แวะซื้อคันใหม่ระหว่างทางเล่า!?” ซองมินยังคงถามอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันลืมเอากระเป๋าตังค์มาเหมือนกัน...ฮะ...ฮะ...ฮัดเช้ย!!!”
“โอ๊ยยย!!!
นี่นายจะขี้หลงขี้ลืมอะไรกันหนักกันหนาเนี่ยเรียวอุค!!?? นายต้องไปเช็ดตัวนะไม่งั้นพระโรคหวัดจะเสวยเอาได้ง่ายๆ ไปๆ
ไปห้องสรงกัน ใช้ผ้าซับพระพักตร์สีชมพูกระตู้ฮู้ว~ผืนนี้ของฉันเช็ดก็ได้
ฉันยอมสละราชสมบัติให้เลย! ส่วนตอนเย็นก็ไปขอยืมพระกลดของพระอาจารย์สักท่านก็ได้
นายจะได้กลับบ้านโดยไม่ต้องทรงเปียก...เร็วๆเข้า จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว!” ซองมินร่ายเป็นชุดพลางรุนหลังเพื่อนให้ไปห้องน้ำ
ระหว่างทางที่เดินออกจากห้องเรียน
เรียวอุคเหลือบมองไปยังเยซองที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ...
...จะว่าเป็นวันแรกก็ได้ที่เรียวอุคมาโรงเรียนสายกว่าเยซอง
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ...เขาจงใจมาให้สายกว่าเยซองต่างหาก
เด็กหนุ่มยืนหลบอยู่ที่ร้านค้าแถวหน้าโรงเรียน
และเมื่อเห็นเยซองเดินเข้าโรงเรียนไปด้วยเนื้อตัวเปียกปอนในเวลาใกล้ออดเต็มที
เรียวอุคก็เดินตามเข้ามาอย่างจงใจจะให้เยซองเห็นว่าเขาไปทำอะไรมา...
...และแน่นอน เยซองเห็น...
เด็กหนุ่มหน้ากลมชักสีหน้าเหยียดหยามเมื่อเรียวอุคกับซองมินเดินผ่านโต๊ะของเขาไปทางหลังห้อง...แวบหนึ่งที่เรียวอุคเห็นว่าเยซองชายตามองเขาด้วยหางตา
ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปด้วยสีหน้าขยะแขยงเต็มทน...
...แต่เรียวอุคกลับยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ...
...เอาสิ เยซอง นายอาจจะคิดว่าฉันเป็นคนหัวอ่อน
ขี้กลัว...คิดว่าด่าฉันแล้ว...ฉันจะเลิกยุ่งกับนายยังงั้นหรือ?...ขอบอกไว้ก่อนเลยว่านายคิดผิดนะแบบนั้น
เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับฉันใหม่เสีย เพราะคิม เรียวอุคคนนี้...มันทั้งโง่ ทั้งบ้า
ทั้งเสียสติ แบบที่นายไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
และไม่เคยจินตนาการถึงแน่...ถึงขนาดที่ว่า...
...สาบานกับตัวเองไว้
ว่าไม่ว่าจะเป็นจะตายอย่างไร...
...คิม
เรียวอุคคนนี้จะทำให้นายหันมารักฉันให้ได้...
...คอยดูก็แล้วกัน...
///////////////////////////////////
“นี่นาย...”
เสียงเรียกคุ้นหูที่ดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจของเด็กนักเรียนยามเลิกเรียนทำเอาซองมินหันไปมอง
แล้วคนที่เขาพบก็คือเด็กหนุ่มโรงเรียนจูมงนามว่าโจ
คยูฮยอนที่มาดักเขาเมื่อวานนี้...
...วันนี้มันก็มาดักเขาอีกหรือนี่? ท่าทางจะอยากอภิเษกสมรสกับเขาเอามากๆเลยล่ะสินะ...
“ว่าไง?” ทักทายกลับไป
“ฉันยืนรอมาตั้งนานแล้ว เข้าไปถามใครตั้งหลายคน
ก็ไม่เห็นจะมีคนชื่อสุบินอะไรของนายถือร่มสีชมพูออกมาจากโรงเรียนเลย” คยูฮยอนถามซื่อๆ ซองมินเลิกคิ้ว
“ก็บอกแล้วว่าคนที่ถือพระกลดสีชมพูก็คือฉัน”
“แต่นายพูดถึงคนที่ชื่อสุบิน...”
“
‘สุบิน’ แปลว่า ‘ฝัน’ โว้ย!!!” ซองมินเฉลย
แต่นั่นก็ดูจะไม่ได้ช่วยคลายหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นเป็นปมบนหน้าหล่อๆของคยูฮยอนไปได้สักเท่าไหร่
“
‘ฝัน’ เหรอ? เอ...แล้วมันเกี่ยวอะไรกันง่ะ?” เกาหัวแกรกๆ
“ช่างเหอะ
ตกลงวันนี้เอาพระธำมรงค์สีชมพูมาถวายฉันหรือเปล่า?”
“เอ๋?” คยูฮยอนไม่เข้าใจ “แหวนที่ฉันตามหาเจ้าของอยู่
มีวงเดียวก็คือวงนี้...” หยิบแหวนสีเงินออกมาอีกครั้ง ซองมินส่ายหน้า
“นายนี่จีบคนเป็นหรือเปล่าเนี่ย!?”
“หา?”
“บอกแล้วไงว่าฉันโปรดพระธำมรงค์สีชมพู...มานี่มา
ฉันจะพาไปหาร้านที่มีพระธำมรงค์สวยๆ แล้วนายต้องซื้อถวายฉัน ตกลงไหม?”
“หะ...หา!?”
///////////////////////////////////
“สวัสดียามเย็นคิบอม”
เสียงร้องทักดังขึ้นอย่างร่าเริงเรียกให้เด็กหนุ่มแก้มแตกหันไปมอง
รอยยิ้มเล็กๆปรากฎขึ้นที่มุมปากก่อนที่คิม คิบอมจะร้องทักอีกฝ่ายตอบไป
“Good
evening ลี ทงเฮ”
“เล่นเกมอะไรอยู่น่ะ?” ปลาน้อยแสลนหน้าเข้ามามองจอตู้เกมของคิบอม
“Puzzle
Quest" คิบอมตอบ
“อ้อ เกมนี้นี่เอง...” ทงเฮจัดแจงวางกระเป๋านักเรียนไว้ข้างตู้เกม “...มาแข่งกันไหม?”
คิบอมเลิกคิ้วกวน “ใคร lose เลี้ยงข้าวนะ?”
“อีกละ!!??” ทงเฮโวยวาย “นี่แม่นายไม่ให้เงินมากินข้าวหรือยังไง!?”
“ฉัน sick
of อาหารที่ school" คิบอมว่า “แล้วตอนนี้ก็ hungry ด้วย”
“อะไรนะ? นายป่วย?” ไม่เข้าใจ
“ฉัน ‘เบื่อ’ น่ะ” เด็กนอกบอก “Deal ตามนั้นนะ?”
“เออๆ ก็ได้!”
...แหงสิ...หน้ากลมๆอย่างคิบอมหรือจะแพ้
ทงเฮก็เป็นฝ่ายแพ้แล้วก็ต้องเลี้ยงข้าวตามระเบียบเหมือนเคย แม้จะหงุดหงิดนิดหน่อย
แต่ก็เพราะรู้สึกหิวเหมือนกันทงเฮจึงยอมกินแต่โดยดี
“ไปนั่งเล่นที่ playground กันไหมวันนี้?” คิบอมเอ่ยปากชวนขณะมองทงเฮสวาปามไปด้วย
“เพลย์กาวน์?”
“สนามเด็กเล่น” คิบอมว่า “มี playground ในร่มที่นึงอยู่แถวนี้ จะได้ไม่เปียกฝนไง...”
คิบอมและทงเฮเดินถือร่มสีเดียวกันเป๊ะๆเข้ามายังสนามเด็กเล่นในร่มไม่ไกลจากเกมเซ็นเตอร์และร้านอาหาร
จำนวนเด็กรวมทั้งผู้ปกครองที่พาลูกมาเล่นที่นี่มีไม่มาก
คงไม่ค่อยมีใครอยากพาลูกออกมานักในเมื่อฝนตกไม่ยอมหยุดแบบนี้
เด็กหนุ่มทั้งสองเดินไปนั่งชิงช้า แกว่งไกวไปมาเล่นฆ่าเวลา...
“นายย้ายมาจากอเมริกาทำไมน่ะ?” ทงเฮเอ่ยถามขึ้นขัดความเงียบและเสียงเอี๊ยดอ๊าดของชิงช้ายามไหว
“My
parents กลับมา work ที่นี่” คิบอมตอบ
“อ๋อเหรอ?...นายอยู่อเมริกามานานแค่ไหน?”
“ฉัน moved ไปตอนเรียน lower elementary"
“หา?”
“ประถมต้นน่ะ”
“อ้อ...” ทงเฮเข้าใจแบบเขินๆ “...แล้ว...อยู่ที่อเมริกาสนุกไหม?”
“ก็ดีนะ...” คิบอมครุ่นคิด “...มีเกมให้ play เยอะแยะ”
“ฮ่าๆ ความสุขนายเลยสินะ”
“Kind
like that"
“หา?”
“ทำนองนั้น”
“อ้อ...”
...เงียบไป...
“นี่ทงเฮ...”
“หืม?”
“อยู่กับฉันสนุกไหม?”
“หา?” ตกใจเพราะเป็นคำถามไม่คาดคิด ทงเฮตอบไม่ถูก
“...อะ...เอ้อ...ก็สนุกดีนะ...ถามทำไม?”
“แล้วถ้าตอนไม่ play เกมล่ะ? แบบตอนนี้ หรือเมื่อ Friday ที่เรานั่งเล่นกันเฉยๆแบบนี้...ยังสนุกอยู่ไหม?”
“...หืม...ก็...สนุกสิ...ถามทำไมเหรอ?”
“เหรอ?” คิบอมว่า “...อืม...ไม่มีอะไรหรอก...”
“อะไรเนี่ยคิบอม? ทำไมถามอะไรแปลกๆ?” ปลาน้อยหัวเราะขัน “เออ...แล้วทำไมอยู่ดีๆฉันถึงมาเจอกับนายได้นะ?”
“เพราะ umbrella ของนายสลับกับของฉัน” คิบอมตอบนิ่งๆ
“เออใช่...ร่มฉัน...เฮ้ย!
นายก็ยังไม่ได้คืนร่มฉันมาเลยนี่!!!” เพิ่งจะนึกขึ้นได้หลังจากลืมเรื่องนี้ไปเสียหลายวัน
ที่ผ่านๆมาตั้งใจเพียงแค่จะเอาชนะคิบอมให้ได้เท่านั้นจนลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงไป “นาย...เอาร่มฉันคืนมาเดี๋ยวนี้!”
“นาย forgot มันไปแล้วใช่ไหมล่ะ?” คิบอมหัวเราะขันท่าทางของทงเฮ
“ก็เออสิ! ทำเงียบอยู่ได้ตั้งนานนะนาย!
ฉันชนะเกมนายไปแล้วด้วยหนึ่งตา เพราะฉะนั้นนายต้องคืนฉันมา!”
“แต่ I
won นายเยอะกว่าหนึ่งตานะ” คิบอมย้อนยิ้มๆ “แล้วถ้าฉันไม่คืนล่ะ? นายจะทำไม?”
“ฮึ้ยยย! ต้องให้ฉันชนะอีกกี่ตาล่ะ นายถึงจะคืน!?”
“มันไม่เกี่ยวหรอกว่านายจะ win ฉันหรือ lose ฉันอีกสักกี่ตา ถ้า you อยากได้มันคืนล่ะก็...” คิบอมหยิบร่มของทงเฮมาถือมั่นไว้ในมือ... “...เข้ามาแย่งมันไปให้ได้สิ...”
ทงเฮแยกเขี้ยว “เล่นงี้เหรอ? ก็ได้!” ขาดคำ
คนร่างเล็กก็กระโจนเข้าหาคิบอมที่นั่งอยู่บนชิงช้าอีกตัว แรงถลาของทงเฮทำให้คิบอมเสียหลักหงายหลังตกชิงช้าลงไปคลุกทรายบนพื้นสนามเด็กเล่น
มีทงเฮคร่อมทับอยู่ด้านบน มือเล็กพยายามคว้าร่มจากมือของคิบอม
แต่คิบอมยึดมันไว้มั่นพลางยื่นไปสุดแขน
ในจังหวะที่ทงเฮตะกายจะคว้ามันมาให้ได้นั่นเอง
คิบอมที่ร่างใหญ่และแรงเยอะกว่าเป็นทุนเดิมก็พลิกสถานการณ์โดยการพลิกร่างตัวเองขึ้นมาคร่อมทับร่างของทงเฮจนได้
...ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันแค่คืบ...
...ลมหายใจอุ่นของคิบอมที่รินรดใบหน้าทำให้ทงเฮชะงักไป...แล้วยังกลิ่นหอมของแชมพูที่โชยมาเข้าจมูกนั่นอีกเล่า? แต่เพียงครู่ทงเฮก็ตั้งสติได้ ปลาน้อยกระพริบตาปริบๆ งงงวยเมื่อมองเห็นความจริงว่าคิบอมผลักเขาให้ลงมานอนแล้วตัวเองขึ้นไปทับเขาอยู่ข้างบนโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวได้อย่างรวดเร็วแค่ไหน
คิบอมยืดมือซ้ายที่ถือร่มของตัวเองขึ้นไปสุดแขน
ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่ทงเฮจะคว้าถึงมัน
“ทำไมนายตัวหนักอย่างงี้ว๊ะ!?” ทงเฮโวยวาย
บิดตัวไปมาอยู่ใต้ร่างหนาหนักของคิบอมแต่ก็ไม่เห็นหนทางที่จะหลุดออกไปได้ง่ายๆ
คิบอมยิ้มกริ่ม
รอยยิ้มนั่น...ในระยะใกล้จนเกือบประชิดแบบนี้...ทำเอาทงเฮลืมหายใจไปชั่วขณะ...
“ยอมแพ้ป่าว?” ถามกวน
เจอคำถามแบบนี้ทงเฮจึงมองอีกฝ่ายตาเขม็ง ดิ้นหนักกว่าเดิม แต่ยิ่งดิ้นคิบอมก็ยิ่งเพิ่มแรงกดทำให้อีกคนเป็นเหมือนปลาติดข้องดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
“หนักโว๊ยยย! ออกไปจากตัวฉันคิบอม!!!” ทงเฮโวยลั่น
“ถ้า I ปล่อยก็ถือว่า you lose นะ” ดวงตาแฝงเลศนัย ทงเฮกัดฟัน
แม้ไม่อยากจะยอมรับว่าตัวเองแพ้แต่ในสถานการณ์แบบนี้คนตัวเล็กกว่าอย่างเขาก็ทำอะไรไม่ได้
แววตาแข็งขืนดื้อดึงของทงเฮจ้องแน่วแน่เข้าไปในดวงตาเป็นประกายของคิบอมที่อยู่ห่างกันไม่กี่เซนติเมตร “ว่าไง?” คนร่างหนาถามย้ำ
“เออ!!!”
ปลาน้อยตอบรับอย่างไม่เต็มใจเอาเสียเลย
คิบอมยิ้มร่าจนตาหยีเห็นแล้วน่าหมั่นไส้เสียเต็มประดา “แล้วจะลุกออกไปจากตัวฉันได้หรือยัง!?” ทวงอิสรภาพของตัวเอง
“อืม...ในเมื่อฉัน win เนี่ย...” คิบอมลากเสียง “...ก็ขอ reward อะไรหน่อยแล้วกัน...”
“หา? รีหว่งรีหวอดอะไร!? ไม่ได้มีในข้อตกลงนี่!!!” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทงเฮไม่เข้าใจภาษาหรือคัดค้านจริงๆกันแน่จึงโวยวายออกมาแบบนี้
ในทางตรงกันข้ามคิบอมกลับยิ้มเป็นทองไม่รู้ร้อน
ใบหน้าหล่อเหลาที่ก็อยู่ใกล้อยู่แล้วกลับยื่นเข้ามาประชิดใบหน้าของทงเฮมากขึ้น...มากขึ้น...
“ทะ...ทำอะไรน่ะ!?” ทงเฮที่เริ่มเห็นแววอันตรายส่งเสียงถามตะกุกตะกัก
คิบอมเพียงแค่ยิ้มรับ กระซิบเสียงเบาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนหน้าที่จะลงมือทำ
“ขอ reward ไง…”
แม้ทงเฮคิดจะคัดค้านหรือเอ่ยปากถามต่อ
เขาก็ไม่อาจทำได้...
...เพราะริมฝีปากของเขาถูกปิดสนิทด้วยริมฝีปากของคิบอมเสียแล้ว...
...มันเป็นแค่จูบเบาๆที่รวดเร็วจนทงเฮตั้งตัวไม่ติด...เพียงสัมผัสปากในชั่ววินาทีหนึ่งเท่านั้น...ยังไม่ทันรับรู้รสอะไรด้วยซ้ำ
คิบอมก็ละริมฝีปากของตัวเองออก กระเด้งตัวขึ้นจากการคร่อมทับร่างของทงเฮ
แล้วโบกร่มสีน้ำเงินลายทางของทงเฮไปมาพลางเอ่ยคำลาอย่างไม่มีเยื่อใย
“See
you again tomorrow นะ”
เหมือนจะรู้ตัวดีว่าไม่ควรอ้อยอิ่งอยู่นานมิฉะนั้นอาจโดนตีนได้
คิบอมคว้ากระเป๋านักเรียนของตัวเองเดินดุ่มตรงไปยังทางออกสนามเด็กเล่น
ทงเฮนอนนิ่งอึ้งอยู่บนพื้นทรายสักพัก ก่อนจะดีดตัวขึ้นนั่ง
มือเรียวยกขึ้นสัมผัสริมฝีปากบางอย่างจะยืนยันให้มั่นใจว่ามันยังอยู่ตรงนี้และยังคงเป็นริมฝีปากของเขา
สายตาสับสนงุนงงปนโมโหมองตามแผ่นหลังกว้างของคิบอมที่เดินออกห่างจากเขาไปทุกวินาที
“นะ...นาย!!!” นานสองนานกว่าทงเฮจะตั้งสติได้
ยันตัวจะลุกขึ้นยืนแต่ไม่รู้ทำไมเรี่ยวแรงมันถึงหายไปไหนหมด “อะ...ไอ้...คิม คิบอม!!!”
เสียงเรียกชื่อไม่ได้ทำให้เจ้าตัวหันกลับมามองคนที่เขาทิ้งเอาไว้ข้างหลังแต่อย่างใด
คิบอมยังคงจ้ำต่อไปพลางใช้มือคันที่ถือร่มของทงเฮโบกมือให้เป็นการบ๊ายบาย
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ทงเฮอารมณ์ดีขึ้นนัก ปลาน้อยนั่งกระฟัดกระเฟียดอยู่บนพื้นทราย
แหกปากลั่นสนามเด็กเล่นเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่มียางอาย
“ไอ้คิบอม! นายทิ้งฉันไว้อย่างนี้ได้ไงว๊ะ!? อะ...อะ...ไอ้เวร!!! ที่ทำไปเมื่อกี๊มันหมายความว่ายังไง!? กลับมาอธิบายกับฉันเดี๋ยวนี้นะโว๊ย!!!”
/////////////////////////////////////////
“นาย...!” คยูฮยอนส่งเสียงถามไปยังคนขับที่เขาใช้มือหนึ่งเกาะเอวอยู่ส่วนอีกมือต้องทำหน้าที่ถือร่มบังฝนให้ทั้งตัวเขาและคนขับรถ
รถเวสป้าสีชมพูอู้วอ้า~ของซองมินแล่นอย่างมั่นคงไปบนถนนสายเล็ก “นายจะพาฉันไปไหน? อีกไกลไหมเนี่ย!?”
“เดี๋ยวก็รู้” ซองมินตอบกลับมายิ้มๆ
ความคิดเห็น