คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Umbrella '7': ร่มคันที่ '7'
“อีถึก”
ถึงมันจะฟังดูไม่ใช่แต่มันก็คล้ายๆว่าเป็นชื่อของเขาลีทึกละเหี่ยใจอย่างเหลือแสนหันไปทางคนเรียกก่อนจะส่งเสียงทักกลับไปเช่นกัน
“ว่าไงไอ้เหน่อ?”
เมื่อก่อนเรียก
‘ลีถึก’ คราวนี้แผลงมาเป็น ‘อีถึก’ นอกจากเปลี่ยนพยางค์หลังแล้วพยางค์หน้ายังไม่มีชีวิตรอดไปกับเขาด้วยและเมื่อเอาคำแผลงทั้งสองคำมาสมาสกัน...ชื่อของเขานั้นก็ฟังดูสวรรค์ช่างไม่เหลียวแลเหลือเกิน
“วานนี้กลาบบ้านกาบกุด้ายป่าว” ฮันกยองพยายามทำเสียงอ้อนวอนแต่มันดันเหมือนอ้อนตีนมากกว่า
“เสียใจด้วยว่ะไอ้ฮันแต่วันนี้กุต้องไปเอารถมอ’ไซค์ที่ส่งซ่อมไว้”
“ห้ายอ้ายอ้วนน่านนาเรอะ?เมื่อหร่ายเมิงจะเลิกเปนบ๋อยห้ายมานซากที?”
“เป็น ‘เบ๊’ โว๊ยไม่ใช่ ‘บ๋อย’! ทำไม?
กลับบ้านกับซีวอนไม่สนุกเหรอเมิง?” ถามเย้าแต่ฮันกยองกลับส่ายหน้าดิก
“กุกลัวอ่าเมิงเขาต้องการอารายจากกุกานแน่วะ?” ถามซื่อๆแต่ลีทึกแทบจะเอาหัวโขกโต๊ะ
“ไอ้เอ๋อ! จนป่านนี้ยังไม่รู้อีกเหรอว่าเขาจีบเมิงอยู่น่ะ!?”
“จีบเหรอ? คือยางงายอ่ะ?” ฮันกยองอาจจะไม่เคยได้ยินคำนี้จึงเอียงคอถามเพื่อนรักแบบงงๆเยี่ยงนี้
“‘จีบ’ ก็หมายความว่าเขาอยากได้เมิงเป็นแฟนเขาไง!”
ฮันกยองทำตาโต “เฮ้ย!บ้าน่า!กุเปนผู้ชายเหมือนกาบเขานาอีกอย่างเขาแค่เหนกุม่ายมีร่มต้องเดินตากฝนเขาก็เลยเข้ามาช่วยกุต่างหาก!”
เถียงเป็นพัลวันลีทึกถอนหายใจนึกอยากจะฆ่าตัวตายขึ้นมาตะหงิดๆ
“ไม่มีใครเค้าเข้ามาช่วยเมิงหลายครั้งหลายคราเพราะเหตุผลแบบนั้นหรอกไอ้ฮันตาสว่างสักที!
ถึงเมิงเป็นผู้ชายมันก็ทำให้เมิงเป็นเมียมันได้โว๊ย!”
////////////////////////////////////
“ไอ้คยู...นี่เมิงจะไปดักบุรุษปริศนาของเมิงหน้าโรงเรียนโซดองโยจริงเหรอวะ?”
ทงเฮกางร่มสีน้ำเงินลายทางที่มีชื่อคิมคิบอมเขียนกำกับไว้อยู่เดินตามคยูฮยอนต้อยๆตรงไปทางโรงเรียนโซดองโยเรื่องของเรื่องคือไอ้เด็กนอกคิบอมก็อยู่โรงเรียนนี้เหมือนกันและเขาก็ไม่อยากจะปะหน้ากับมันตอนนี้
“ใช่!” คยูฮยอนตอบอย่างมั่นใจ
“เด็กนักเรียนตั้งเยอะน่าเมิงจะหาเขาเจอได้ยังไง? ล้มเลิกความคิดแล้วเอาแหวนนั่นมาให้กุดีกว่ามาถ้าเมิงไม่อยากเก็บมันไว้”
“ทงเฮเมิงไปเล่นเกมของเมิงก็ได้นะถ้าไม่อยากมายืนรอกับกุเดี๋ยวไอ้ฮยอกจะไปเป็นเพื่อนกุเอง”
คยูฮยอนว่าส่วนมือก็ลากคอเสื้อฮยอกแจไว้ก่อนแล้ว
“เอออะไรๆก็กุตลอดอ่ะ” ฮยอกแจตอบรับคำพูดนั้นอย่างละเหี่ยใจ
สรุปแล้วทงเฮเลยเผ่นหนีไปเกมเซ็นเตอร์ก่อนคราวนี้ไม่มีการงอแงจะให้ใครไปเป็นเพื่อนแต่อย่างใด...ช่างน่าแปลก...ฮยอกแจคิดในใจเขากับคยูฮยอนจึงยืนกางร่มรอบุคคลปริศนาผู้ถือร่มสีชมพูอยู่หน้าโรงเรียนโซดองโยเพียงสองคน...ถ้าไม่นับผู้หญิงแล้วล่ะก็...นักเรียนชายแทบไม่มีใครเลือกใช้ร่มสีชมพูเลยแม้แต่คนเดียว...
“เฮ้ยนั่นไงไอ้คยู!”
ฮยอกแจร้องเสียงหลงเมื่อสีชมพูจัดจ้านของร่มคันหนึ่งสะท้อนแสงแดดที่มีเพียงน้อยนิดเข้าตาเขาคยูฮยอนรีบชะเง้อคอมอง...และก็เป็นอย่างที่ฮยอกแจว่าจริงๆ...บุคคลที่ถือร่มคันนั้น...ถึงจะหน้าหวานราวสาวน้อยแก้มแดงที่ไหนก็เถอะ...แต่ชุดนักเรียนก็บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาเป็น
‘ผู้ชาย’!
ไม่รอใครคยูฮยอนพุ่งตรงไปยังบุคคลปริศนาโดยฮยอกแจยังคิดอะไรไม่ทันเสียด้วยซ้ำเพียงไม่กี่ก้าวสั้นๆคยูฮยอนก็ถึงตัวเด็กชายคนนั้นที่ยังไม่ทันเดินพ้นบริเวณหน้าประตูโรงเรียน
“นาย...!”
อีกฝ่ายหันมามองทันทีที่อยู่ๆมีคนแปลกหน้าพุ่งเข้ามาทักใกล้ๆ
“เจ้าเป็นใคร?”
พอยืนอยู่ในระยะประชิดตัวขนาดนี้คยูฮยอนจึงเพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายมีความสูงน้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ(เตี้ยนั่นเอง)
“นาย...” ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนหมาป่าน้อยจึงหยิบแหวนสีเงินวงนั้นขึ้นมาชู
“เป็นเจ้าของแหวนวงนี้หรือเปล่า?”
คู่สนทนามองวัตถุในมือคยูฮยอนด้วยดวงตาประหลาดใจ
“นี่จะมาสู่ขอฉันอภิเษกสมรสหรืออย่างไร?”
เจอรูปประโยคประหลาดเข้าไปเล่นเอาคยูฮยอนถึงกับผงะ...’อภิเษกสมรส’...เอ...มันแปลว่าอะไรหว่า???
“ฉันชื่อโจคยูฮยอน” ลองแนะนำตัวไปเผื่อจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจอะไรดีขึ้น
“เคยได้ยินชื่อนี้ไหม?”
อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างไม่แน่ใจ “เอ...ไม่ทราบสิ...พระนามคุ้นๆอยู่นา...เราอาจจะเคยพบเจอกันในพระสุบิน”
ทำท่าคิดไปเรื่อย
“เมื่อเย็นวันอังคารฉันเป็นลมอยู่กลางถนนแล้วมีคนเข้าไปช่วยฉันเป็นนายหรือเปล่า?”
“...คือฉันก็จำไม่ค่อยได้ว่าฉันสุบินว่าอย่างไร...”
“สุบินนี่มันใคร? มีนายคนเดียวที่ช่วยฉันคนที่ถือร่มสีชมพูไม่มีคนอื่น!”
“คนที่ถือพระกลดสีชมพูก็คือตัวข้า...”
“งั้นนายคือคนที่ช่วยฉันใช่ไหม!?”
“ขอฉันทอดพระเนตรพระธำมรงค์วงนั้นหน่อย”
คยูฮยอนไม่เข้าใจประโยคที่อีกฝ่ายพูดเลยสักนิดเดียวจึงได้แต่ยืนเอ๋อคนตัวเล็กกว่าจึงต้องเป็นฝ่ายคว้าแหวนไปจากมือของหมาป่า
“วงมันเล็กไป” คนหยิบไปมองสรุป “ทรงพระอนามิกาฉันมิได้หรอก”
ชูนิ้วนางที่มีลักษณะอ้วนป้อมให้อีกฝ่ายดูแต่คยูฮยอนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “ถ้าจะทรงขอฉันหมั้นกรุณานำพระธำมรงค์ที่ใหญ่กว่านี้มาด้วย...อีกอย่าง...ฉันโปรดสีชมพูมากกว่าสีเงิน...”
ส่งแหวนคืนให้อีกฝ่ายที่หน้าตาดูมึนงงขั้นรุนแรง “...อ้อ...ลืมทูลไป...พระนามอันไพเราะของฉันคือ...ลีซองมิน…”
“เป็นไง? ได้เรื่องไหม?” ฮยอกแจถามเพื่อนเมื่อคยูฮยอนเดินทำหน้าเหมือนจะไม่สบายอีกรอบกลับมาหาแหวนสีเงินวงเดิมยังอยู่ในมือ
“ไม่ใช่คนนี้เหรอ?”
“กุคุยกับเขาไม่รู้เรื่องว่ะ” หมาป่าเฉลยฮยอกแจทำท่าหัวจะทิ่ม
“เมิงหายไปคุยกับเขาเสียนานสองนานแล้วบอกว่าคุยไม่รู้เรื่องนี่นะ!?
นี่เมิงป่วยจนภาษาเกาหลีเลอะเลือนไปแล้วหรือไง!?”
“ไม่ใช่ความผิดกุเว้ย! เขาต่างหาก! มีพูดถึงคนชื่อสุบินๆอะไรไม่รู้แล้วนี่กุจะไปหาจากไหน!?” คยูฮยอนโวยวาย
“‘สุบิน’ เหรอ? เอ...อาจจะเป็นญาติกับวอนบินก็ได้นะ”
เสนอความคิดเห็น
“อืม...ก็เป็นไปได้...” คยูฮยอนเห็นด้วย
“ถ้างั้นวันนี้ก็พอก่อนเหอะเมิงยืนรอมานานแล้วเดี๋ยวเมิงจะเป็นหวัดเอานะถ้าคนที่เมิงเจอรู้จักคนที่ชื่อสุบินอะไรนั่นเขาอาจจะอยู่โรงเรียนโซดองโยก็เป็นได้วันจันทร์ค่อยมาดักรอใหม่ก็แล้วกัน”
ฮยอกแจตบไหล่เพื่อนแปะๆอย่างให้กำลังใจ
“อืม...” คยูฮยอนพยักหน้าเห็นด้วยดวงตาเรียวทอดมองแหวนสีเงินวงเล็กในมือความคิดล่องลอยออกไปไกลแสนไกล...
...คุณเป็นใคร...และอยู่ที่ไหนกันนะ...คุณสุบิน?...
//////////////////////////////////////////
เรียวอุคเก็บข้าวของเข้ากระเป๋านักเรียนเรียบร้อยเหลือเขากับเยซองอยู่ในห้องเรียนเพียงสองคนเช่นเดิมคนตัวเล็กสูดลมหายใจ...ด้วยความตั้งใจแน่วแน่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เขาเดินลัดเลาะไปทางหลังห้องเรียนทิ้งร่มสีฟ้าครามไว้บนโต๊ะเรียนข้างๆเยซองเหมือนที่เคยทำก่อนจะก้าวเร็วๆไปยังประตูหลังห้องพร้อมจะเผ่นออกไป
“ทำแบบนี้ทำไม?”
เสียงหนักๆของเยซองรั้งขาของเรียวอุคไว้ทำให้ก้าวไม่ออกหัวใจของเด็กน้อยเต้นรัวราวกับตีกลอง...นั่นเสียงของเยซองใช่หรือเปล่า?...เยซองพูดกับเขา...ไม่ใช่ใครอื่น...อย่างนั้นใช่ไหม?...
เรียวอุคค่อยๆหมุนตัวกลับไปมองเยซอง...ท่าทางแข็งขืนอย่างไรพิกลและสิ่งที่เขาพบ...คือเยซองที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ...
...เรียวอุครวบรวมความกล้าทั้งหมดที่เหลืออยู่ก่อนจะโพล่งออกไป...“ทำไมนายไม่ใช้ร่ม?”
เยซองเลิกคิ้วหนักราวกับไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคำถามเสียเต็มประดา
“แล้วมันธุระอะไรของนาย?”
เจอคำถามไร้น้ำใจแบบนี้เข้าไปเรียวอุคถึงกับลำคอแห้งผากบอกตัวเองมาตลอดอยู่แล้วว่าเยซองเป็นคนเย็นชาเพียงแต่ว่าไม่เคยเจอตรงๆกับตัวเท่านั้นเอง...
“ฉันกลัวนายไม่สบาย...”
“ฉันไม่เป็นอะไรแค่เพราะตากฝนหรอกเป็นห่วงตัวเองเถอะอย่ายุ่งเรื่องชาวบ้าน...และก็เลิกทำแบบนี้สักทีมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น!”ด่าจบเยซองก็สะพายกระเป๋าเดินสวนเรียวอุคออกไปจากห้องอย่างไร้เยื่อใยทิ้งให้คนตัวเล็กยืนอึ้งพูดไม่ออกทอดมองร่มสีครามที่ถูกทั้งเยซองและเรียวอุควางมันทิ้งไว้ด้วยสายตาเลื่อนลอย...
...แต่ในแววตานั้น...เขากลับแอบซ่อนรอยยิ้มแห่งชัยชนะเอาไว้อยู่ลึกๆ...
...ฉันชอบนาย...ไม่เข้าใจหรือยังไงเยซองว่าฉันแอบหลงรักนาย?...ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพียงเพื่อจะเรียกร้องความสนใจจากนายก็เท่านั้นแล้วตอนนี้...ฉันก็ทำมันสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่งเห็นไหม?...ไม่ว่านายจะโกรธฉันจะเกลียดฉันหรือเห็นฉันเป็นตัวเสนียดในชีวิตนายยังไงก็ช่าง...ฉันยินดีแลกมันกับการที่ทำให้นายได้รู้จักฉัน...
...จำหน้าฉันเอาไว้ให้ดีเถอะเยซองเพราะต่อจากนี้ไป...นายจะได้รู้ว่าฉันหน้าด้านหน้าทนกว่าที่นายคิดขนาดไหน...นายจะได้รู้ว่าไม่ว่าจะไล่ตะเพิดอย่างไร...
...คิมเรียวอุคคนนี้จะไม่มีวันออกไปจากชีวิตของนาย...
///////////////////////////////////
“ฉันมาแล้ว”
ทงเฮส่งเสียงร่าเริงกว่าปกติยามร้องทักคิบอมเมื่อเข้ามาในเกมเซ็นเตอร์เล่นเอาผู้คนรอบข้างชักสีหน้างงงวยไปตามๆกันชินดงที่เล่นเกมกับคิบอมอยู่ก่อนใช้ศอกสะกิดแซวเพื่อนแต่การ‘สะกิด’ของชินดงมันกลับแรงเสียจนคิบอมแทบหงายก่อนคนร่างใหญ่จะผละออกไปอย่างรู้ตัวดีว่าไม่ควรอยู่เป็นก.ข.ค.ชิ้นเบ้อเร่อ
“วันนี้จะแข่งเกมอะไรกันดี?” ทงเฮถามเสียงระรื่นทำท่าวอร์มร่างกายอยู่ข้างๆคิบอมเป็นการเตรียมพร้อมไปด้วย
“Today
I มีข้อเสนอ...” คิบอมเอ่ยขึ้น ทงเฮหูตาโต
“อะไร? ว่าไง?”
“วันนี้ฉันไม่ค่อยมี money
เพราะฉะนั้นแข่งเกมเด็ดๆสักเกมแล้วใคร
lose ต้องเลี้ยงข้าวอีกฝ่าย”
เป็นคำท้าที่ฟังดูน่ากลัวอย่างไรพิกลทงเฮกลืนน้ำลายเอื๊อก
“ความจริง...ฉันก็ไม่ค่อยมีเงินเหมือนกัน...เก็บตังค์มาแข่งเกมกับนายเนี่ยข้าวกลางวันก็ไม่ได้กิน...”
“เหรอ?งั้นก็ the
same แหละ”คิบอมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจข้อแก้ตัว“Choose เกมเลย”………..
…………..และผลก็เป็นไปดังที่คาด...
“คิบอมอย่ากินอะไรแพงๆนะฉันไม่มีเงิน”ทงเฮโอดโอยหลังจากแพ้อีกฝ่ายหลุดลุ่ยทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนเลือกเกมเองแท้ๆเป็นวันแรกที่ทั้งคิบอมทั้งทงเฮได้ออกจากเกมเซ็นเตอร์ก่อนพระอาทิตย์ตกเด็กตี๋แต่อิมพอร์ตทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนจะเสนอ
“ร้าน bakery
ข้างๆนี้เป็นไง?”
///////////////////////////////////////
“เกิงวันนี้ไปหาอะไรกินกันไหมครับ?”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นกิจวัตรประจำวันของซีวอนไปแล้วหรือไรที่จะต้องมาคอยดักคนจีนหน้าโรงเรียนจูมงทุกวี่ทุกวันแล้วเพื่อนๆมันหายหัวไปไหนกันหมดไม่มีใครคบหรือไง?ทั้งๆที่วันนี้ฮันกยองก็มีร่มแต่ดูเหมือนนั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่เด็กหนุ่มชาวจีนจะใช้เลี่ยงการกลับบ้านกับซีวอนได้
“เอ้อ...วานนี้พ่อกาบแม่ฉานอยู่บ้านอ่าคงต้องกลาบไปกินข้าวกาบท่าน”ก็เป็นข้ออ้างที่ใช้ได้ทีเดียว
“เหรอครับ?” เสียงดูหงอยลงทันใด “งั้นไปกินร้านเบเกอรี่ข้างโรงเรียนกันไหม?ผมหิวน่ะแล้วเย็นนี้ผมต้องกินข้าวคนเดียวด้วย...”ตอแหลชัดๆแต่ฮันกยองเหรอจะจับได้?
“จิงเหรอ? ม่ายมีครายอยู่บ้านเลยเหรอ?” ฮันกยองถามอย่างเป็นห่วง
“ครับพ่อกับแม่มีประชุมงาน” แต่เสร็จตั้งแต่บ่ายสามแล้วแหละ...อันนี้ต่อเองในใจ
“อืม...ง้านปายก็ด้ายแต่ฉานกินม่ายเยอะนา” ใจอ่อนจนได้ซีวอนนี่ท่าทีระริกระรี้เลยทีเดียว
“ครับเกิงน่ารักจังเลย!” ...มันแน่นอนอยู่แล้ว...
ร้านอาหารเจ้าประจำแถวโรงเรียนที่ซีวอนชอบไปก็คือร้านเดียวกับร้านโปรดของฮันกยองทั้งสองเอาร่มไปตากไว้บริเวณหลังร้านก่อนจะสั่งอาหารง่ายๆทานกัน
“วานนี้ฉานเลี้ยงแล้วกาน” จู่ๆฮันกยองก็เอ่ยขึ้นซีวอนเลิกคิ้ว
“ทำไมล่ะครับ?”
“ก็เมื่อวานนายจ่ายค่าข้าวห้ายฉานนี่นา”
“โอ๊ยไม่เป็นไรหรอกครับ!ให้เกิงเลี้ยงผมคงรู้สึกแปลกๆผมเลี้ยงนี่ไม่เป็นไร”
“นายเลี้ยงฉานก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกานอ่า” ฮันกยองว่าเขินๆ
แต่จนแล้วจนรอดซีวอนก็ยัดเยียดเป็นคนจ่ายค่าอาหารจนได้ด้วยความเจนเทิลแมนสุดแสนเด็กหนุ่มร่างสูงขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนที่พวกเขาจะออกจากร้านกัน...
...“ล่มกุหาย!” นั่นแน่...ต่อให้โง่ขนาดไหนใครๆก็คงเดาได้ไม่ยากใช่ไหมว่าร่มของฮันกยองจะไม่หายได้อย่างไรเด็กหนุ่มชาวจีนทำหน้าเลิ่กลั่กปนโมโหพยายามพลิกแผ่นดินแถบนั้นหาร่มของตัวเองที่วางคู่ไว้กับร่มของซีวอนให้เจอ...ทำไมต้องเป็นร่มของเขาทุกทีด้วยวะ!? ทีร่มของซีวอนมันยังไม่หายเลยยยยยยยย!!!!!???
“หาไม่เจอเหรอครับเกิง?” ซีวอนทำเป็นคนดีมีมารยาทถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอย่างเป็นห่วงในขณะที่ฮันกยองทำท่าเหมือนจะร้องไห้
“ฉานวางเอาว้ายตรงนี้อ้านายก็เหนช่ายหมาย? มานหายปายหนายอ้า?”
“อาจจะมีคนหยิบผิดไปก็ได้ครับไม่เห็นเป็นไรเลยเดี๋ยวผมเดินไปส่งเกิงที่บ้านไง” พยายามพูดให้ฮันกยองหายโมโหแต่ก็ดูเหมือนนั่นจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่
“ทำมายต้องเปนล่มของฉานทุกที!? ล่มของคนอื่นหายบ้างม่ายด้ายหรองาย!? แม่งกุจาม่ายมีตางซื้อคานหม่ายอยู่แล้วนาโว้ย!!!” โวยวายๆ
“ก็ไม่เห็นต้องซื้อเลยนี่ครับผมไปรับไปส่งเกิงได้อยู่แล้ว”
“แต่ยางงายฉานก็ต้องช้ายฝนมานตกทุกวานแบบนี้โว๊ยยย!!! มานหายปายหนายด้ายยางงายว๊ะ!!!” โวยวายเสียงดังขึ้นเรื่อยๆจนคนในร้านชักหันมามองซีวอนที่เห็นว่าคนน่ารักของเขาเริ่มตั้งท่าจะอาละวาดรีบฉวยข้อมือฮันกยองพลางลากออกไปนอกร้าน
“เกิงอย่าเสียงดังไปสิครับคนในร้านมีตั้งเยอะเราจะโดนด่าเอาได้นะ” ปรามเสียงเบา
“แต่ล่มฉานหายเน่!!!” กรีดเสียงอย่างโกรธสุดๆแต่ก็ยอมให้ซีวอนลากออกมานอกร้านที่ฝนยังคงตกปรอยๆ
“แล้วดูเซ่!ฝนตกอย่างนี้แล้วฉานจากลับบ้านด้ายยางงายว๊ะ!!??”
“ผมไปส่งเกิงเองไงครับ” พ่อสุภาพบุรุษกางร่มสีดำของตัวเองที่คันใหญ่พอจะคุ้มฝนคนสองคนได้สบายๆออก“ผมจะไปส่งเกิงถึงหน้าบ้านเลยแล้วเกิงก็ไม่ต้องห่วงนะครับว่าจะมาโรงเรียนพรุ่งนี้ได้ยังไงถ้าไม่มีร่มพรุ่งนี้เช้าผมจะไปรับเกิงที่หน้าบ้านเองเกิงไม่ต้องซื้อร่มใหม่หรอกครับเปลืองเงินจะตายไป”เพราะเดี๋ยวมันก็หายอีก...อันนี้คิดในใจนะ
ข้อเสนอของซีวอนช่างฟังดูเป็นสุภาพบุรุษจนฮันกยองชักหน้าขึ้นสี...ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมต้องหน้าแดงด้วยในเมื่อซีวอนแค่เสนอตัวตามมารยาทเพราะเห็นเขาไม่มีร่มเท่านั้นเอง(เรอะ!!??)
“บะ...บ้า!...นายจาทามแบบน้านปายทามมายกาน? เรื่องค่าล่มม่ายเปนรายหรอกเดี๋ยวฉานปายขอเงินหม่าม๊าก็ด้ายบอกว่าล่มหาย...อาจจาโดนด่านิดหน่อยเรื่องทามหายบ่อยแต่คงม่ายเปนราย...” ทำหน้าสลดเล็กน้อยเมื่อจินตนาการอนาคตของตัวเองออกว่าจะโดนหม่อมแม่เฉ่งยังไง
“เกิงไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่หรอกครับจริงๆนะครับผมไปรับไปส่งเกิงได้อยู่แล้วทั้งที่โรงเรียนและที่อื่นๆถ้าเกิงอยากออกไปไหนก็แค่โทรหาผมแล้วผมจะไปรับเกิงเอง” ซื้อใหม่เดี๋ยวมันก็หายอีกเชื่อกุเหอะน่า!
“แต่...”
“เอาเป็นว่าเกิงลองไปคิดดูก่อนก็ได้แต่ยังไงวันนี้ผมก็จะไปส่งเกิงถึงบ้านเองห้ามปฏิเสธครับ!”
/////////////////////////////////////////////
ลีทึกพาคังอินไปเอามอเตอร์ไซค์ที่ส่งซ่อมไว้และขับพาไปส่งที่บ้านโดยให้คังอินซ้อนท้ายไปด้วยตามหน้าที่เบ๊ที่ดีเพราะคนร่างหมียังเจ็บขาอยู่จึงขับเองไม่ได้
“ไม่น่าเชื่อว่านายจะขับไหวทั้งๆที่มีฉันซ้อนท้าย”คังอินว่าอย่างรู้ตัวดีว่าตัวเองหนัก(มาก)
“เออกุก็ไม่เชื่อตัวเองเหมือนกัน”ลีทึกตอบ
ในขณะที่ลีทึกเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์คังอินก็อาสาเป็นคนถือร่มให้เนื่องจากฝนกำลังตกปรอยๆร่มคันใหญ่สีน้ำตาลของคังอินช่วยกำบังพวกเขาสองคนจากสายฝนโปรยปรายได้มิดชิดคังอินไม่จำเป็นต้องบอกหรือช่วยดูทางสารถีจำเป็นก็จำทางไปบ้านคนร่างใหญ่ได้ขึ้นใจเสียแล้วคังอินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
“สบายใจจริงนะ!” ลีทึกแขวะบุคคลที่นั่งซ้อนท้ายเขาอยู่อย่างหมั่นไส้...ก็แหงสิมีคนไปรับไปส่งถึงบ้านมอเตอร์ไซค์ก็ใหม่เอี่ยมเสียตังค์ซักวอนหรือก็เปล่าคิดได้แบบนี้ลีทึกก็อยากจะคว่ำรถให้หมอนี่มันเจ็บซ้ำสองให้มันรู้แล้วรู้รอดอีกสักทีติดแต่เพียงคราวนี้เขาคงจะต้องติดร่างแหเจ็บตัวไปด้วยก็เลยไม่เอาดีกว่า
“ก็นายเป็นสารถีฉันก็เป็นวิทยุให้ไง” ตอบอย่างคนอารมณ์ดีแล้วก็ฮัมเพลงเดิมต่อ
“งั้นขอเปลี่ยนคลื่นได้ไหมเนี่ย?” สวนอย่างเอือมระอา
“งั้นเปลี่ยนเป็นสถานีเพลงฮิปฮอป” พูดเองเออเองแล้วคังอินก็เริ่มต้นร้องท่อนแร็พของเพลงอะไรสักอย่างที่ตั้งแต่เกิดมาลีทึกไม่เคยได้ยินหรือมันจะแต่งเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ได้
“เฮ้ยปิดวิทยุเหอะ!” ทนฟังไม่ไหวจริงๆ
“งั้นเปลี่ยนเป็นสถานีข่าว” ว่าแล้วคังอินก็เริ่ม “พยากรณ์อากาศวันนี้ฟ้ารั่วตามปกติเขตดองแดมุนขอให้ระวังพายุฝนฟ้าคะนองทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการจราจรในเขตนั้นเพราะรถจะโคตรติดและถนนลื่นบรรลัย...”
ลีทึกเริ่มรู้สึกสนุกไปกับอารมณ์ขันแปลกๆของคังอินกลายเป็นฟังสถานีข่าวคังอินเพลินจนลืมไปสนิทว่าข้างหน้าพวกเขาเป็นทางแยก...
“เฮ้ยระวัง!!!”
เป็นคังอินที่ได้สติก่อนเมื่อเห็นรถเวสป้าสีชมพูอีกคันสวนมาในระยะที่มีแนวโน้มว่าจะประสานงากับมอเตอร์ไซค์ของเขาลีทึกตกใจจึงหักรถหลบ...แล้วก็เป็นไปดังคาด...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปช่างดูคุ้นตาเหมือนเดจาวูอย่างไรอย่างนั้น...มอเตอร์ไซค์ของพวกเขาลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้น...รวมทั้งลีทึกและคังอินด้วย...
“เฮ้ยทรงรถอย่างไรกันเนี่ยไม่ทอดพระเนตรทางเลย!!!??” เด็กหนุ่มหน้าหวานบนรถเวสป้าสีชมพูโวยวายลงมาเขาเองก็หักรถหลบไปเพียงแต่ยังทรงตัวไว้ได้ไม่ล้มลงไปเหมือนอีกคัน“แล้วนี่บาดเจ็บอะไรกันมากหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มคนนั้นลงมาจากรถเข้ามาหวังจะช่วยพยุงคนทั้งสองให้ลุกขึ้นแต่ปัญหาก็มีอยู่ว่า...พวกนั้นตัวใหญ่กว่าเขาตั้งเยอะน่ะสิ!
“ไม่เป็นไรๆฉันไม่เจ็บอะไรมากหรอก” คังอินว่าจริงๆแล้วเขาไหวตัวได้ทันว่าจะเกิดการชนและในเมื่อเขาไม่ได้เป็นคนขับประกอบกับรถวิ่งมาเพียงช้าๆคังอินจึงกระโดดออกมาจากรถได้ทันก่อนที่รถจะล้มลงไปเต็มที่...แหงละเขาเองก็เจ็บไม่ใช่ไม่เจ็บได้แผลถลอกมานิดหน่อยแต่ไม่ว่าอย่างไรคงไม่เท่าลีทึกที่ตอนนี้ได้แต่นอนครวญครางอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้น
“ลีทึกนายเจ็บตรงไหน?” คังอินรีบถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงคว้าร่างลีทึกมาได้ก็พยายามพยุงให้ลุกขึ้นโชคยังดีที่ขาข้างใดข้างหนึ่งของลีทึกไม่ได้ถูกตัวรถทับไม่เช่นนั้นอาจมีการหักได้แบบนี้ก็คงแค่ถลอกนิดหน่อยแบบที่เขาเป็นต้องขอบคุณหมวกกันน็อคด้วยที่ช่วยให้พวกเขาไม่เป็นอะไรมากไปกว่านี้
“โอ๊ยเจ็บขา...ขาฉัน...ขาฉัน...สงสัยกระดูกคงหักเป็นสิบท่อนช้ำเลือดช้ำหนองข้างในฉันต้องตายแน่ๆ!” ลีทึกโอดโอยคังอินรีบเข้าไปช่วยดู
“ไหนดูหน่อย” คลำนิ้วไปตามข้อเท้าข้างที่ลีทึกจับอยู่เบาๆ “เจ็บตรงไหนบอกนะ”
“โอ๊ยไม่รู้มันเจ็บไปหมดนั่นแหละ!” โวยวายต่อ
“ให้ข้าช่วยพาไปส่งโรงพยาบาลไหม?” เด็กหนุ่มเวสป้าสีชมพูถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“ขาไม่น่าหักหรอกนะคงจะแพลงเฉยๆนายต้องลุกขึ้นนะลีทึกฉันจะได้พาไปทำแผลได้”
คังอินคว้าแขนข้างหนึ่งของลีทึกมาพาดกับไหล่ตัวเองเตรียมจะพยุงคนร่างบางให้เดินไปด้วยกัน
“แน่พระทัยหรือว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือของข้า?” เด็กหนุ่มยังคงถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยคังอินเลิกคิ้วนิดๆอย่างงงๆกับภาษาประหลาดๆของอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรหรอกไม่ใช่ความผิดนายเลยสักนิดแล้วคลีนิคก็อยู่ใกล้ๆนี่เองฉันชินทางแถวนี้นายแค่ช่วยเอารถฉันไปจอดริมทางให้หน่อยเดี๋ยวพาเพื่อนไปทำแผลเสร็จฉันจะกลับมาเอาแล้วนายก็กลับบ้านไปเถอะขอโทษจริงๆที่ทำให้ต้องลำบาก”
“โอย...รถมอเตอร์ไซค์เพิ่งจะไปซ่อมมา...นี่ต้องจ่ายค่าซ่อมใหม่อีกแล้วเหรอเนี่ย!!??” แม้จะเจ็บแต่ลีทึกก็ยังห่วงเรื่องเงิน
“ช่างมอเตอร์ไซค์มันเหอะน่าเอาตัวเองให้รอดก่อนนี่ยังเจ็บมากไหม?” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยจริงจังระหว่างพยุงอีกคนเดินกะโผลกกะเผลกไปด้วยกัน
“ก็ดีขึ้นแล้วคงจะแค่ขาแพลงละมั้ง...ว่าแต่นายละคังอิน?...แต่เอ๊ะ!!??” ลีทึกทำตาโตเหมือนนึกอะไรขึ้นได้กวาดตามองร่างใหญ่ๆของคังอินตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตางุนงงคังอินหน้าเหรอหรา
“อะไร? ทำไมเหรอลีทึก? เกิดอะไรขึ้น?”
“ไอ้คังอิน...” ลีทึกกรีดเสียงอย่างโมโหสุดขีด “...นายเดินเองได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!!!??”
//////////////////////////////////////////////////
หนทางจากร้านเบเกอรี่ไปยังบ้านฮันกยอง...จะเรียกว่าใกล้ก็ใกล้จะบอกว่าไกลก็ไกลเดินอยู่ใต้ร่มคันเดียวกับซีวอนไปสักพักฝนที่ตกปรอยๆในตอนแรกก็เทกระหน่ำขึ้นๆผสมกับลมพายุรุนแรงเล่นเอาร่มของซีวอนชักเอาไม่อยู่
“เกิง! ผมว่าเราไปหาที่หลบฝนกันก่อนดีไหม? มันชักตกหนักเกินไปแล้วนะ”ซีวอนส่งเสียงถามแต่ด้วยความที่เสียงฝนซู่ซ่ารอบกายดังสนั่นเกินไปฮันกยองจึงต้องเงี่ยหูถามกลับไป
“อารายนะ!!??”
“หาที่หลบฝนกันก่อนไหม?ฝนมันตกหนักเกินไปพวกเราเปียกหมดแล้วร่มก็จะไม่ไหวด้วย”เป็นความจริงพวกเขาสองคนโดนฝนสาดจนชุดนักเรียนเปียกปอนไปหมดโดยเฉพาะขากางเกงที่ชุ่มจนเหมือนเอามันไปจุ่มน้ำมาทั้งขาร่มของซีวอนเองถึงจะคันใหญ่แต่เจอพายุแบบนี้ก็ส่งเสียงตีพึ่บพั่บจนน่ากลัวว่าจะกลายเป็นซากเอาได้ง่ายๆ
...แต่ฮันกยองก็ยังคงได้ยินไม่ชัดถนัดใจ “อารายนะ!!!??” ตะโกนแข่งกับเสียงฝนถามอีกทั้งๆที่ก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ทำไมถึงได้ยินไม่ชัดสักที? คนร่างเล็กกว่าเอียงหน้าเข้าไปใกล้ซีวอน...ใบหูนิ่มแทบจะชนริมฝีปากของอีกคนด้วยความหวังดีว่าซีวอนจะได้พูดได้ถนัดๆโดยไม่ต้องตะโกนและเขาเองจะได้ได้ยินชัดๆด้วย...
...หารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นเล่นเอาซีวอนชะงักไป...
...กลิ่นกายหอมๆของฮันกยองโชยมาเข้าจมูก...ใช่ว่าเขาจะไม่เคยได้กลิ่นหรือก็เปล่าเพราะเมื่อวานเป็นเขาเองที่จงใจยื่นจมูกไปใกล้ๆหวังจะแต๊ะอั๋งคนน่ารักเพียงแต่คราวนี้ซีวอนไม่ทันได้ตั้งตัวจึงตกใจนิดหน่อยแต่เพียงครู่เดียวเขาก็ตั้งสติได้คราวนี้ปรับ volume ให้เป็นระดับปกติก่อนจะพูดกรอกหูฮันกยอง
“เราไปหาที่หลบฝนกันก่อนดีไหม? ผมว่าฝนมันตกหนักเกินไปแล้วนะครับ...”
“อ้ออืม...ฉานก็คิดอย่างง้านเหมือนกาน...”พยักหน้าเห็นด้วยกำลังจะอ้าปากถามว่าควรจะไปหลบที่ไหนกันดีคนร่างเล็กกว่าก็รู้สึกว่าอะไรนิ่มๆอุ่นๆบางอย่างประทับลงมาบนใบหูของเขา...
...มันบางเบาและรวดเร็วเกินกว่าจะไหวตัวได้ทันและเมื่อฮันกยองสะดุ้งแล้วหันกลับไปมองทางซีวอนอีกครั้งคนร่างสูงก็ตีหน้าซื่อไม่รู้ไม่ชี้ไปเสียแล้ว...
“ไปหลบตรงนั้นกันดีกว่า” ซีวอนว่าพลางชี้มือไปหน้าร้านขายของร้านหนึ่งที่มีหลังคาผ้าใบยื่นออกมาและมีคนไปยืนหลบฝนจำนวนหนึ่งอยู่ก่อนแล้วฮันกยองไม่ได้แม้แต่จะหันมองตามมือของซีวอนด้วยซ้ำว่าคนร่างสูงชี้ไปทางไหนเขาเพียงพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงรับก่อนจะเดินตามอีกคนไปอย่างว่าง่าย...
...สมองของฮันกยองในตอนนี้ครุ่นคิดอยู่เพียงเรื่องเมื่อครู่พร้อมกับใบหน้าที่จู่ๆก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้...
...หากเขาจะไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป...อะไรบางอย่างที่กระทบใบหูเขาเมื่อครู่เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นริมฝีปากของซีวอน?...
...หากฮันกยองคนนี้จะไม่ฝันกลางวันจนเกินไป...เป็นไปได้ไหมที่ซีวอน...เด็กหนุ่มที่ป๊อปปูล่าร์ที่สุดแห่งโรงเรียนโซดองโย...จะชอบคนอย่างเขา...แบบที่ลีทึกบอกจริงๆ?...
////////////////////////////////////
อาหารรองท้องราคาไม่แพงตกถึงกระเพาะที่ว่างเปล่ามาตั้งแต่ตอนกลางวันของคนทั้งคู่จนได้ทงเฮเสียเงินค่าอาหารเลี้ยงคิบอมไม่มากผิดกับที่คาดเพราะคิบอมกินนิดเดียวผิดกับตัวเองที่สั่งเอาๆเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าหิวข้าวขนาดไหน
“หิวข้าวนักทำไมไม่ have lunch? เก็บ
money มาเล่นเกมทำไม?” ไอ้หนุ่มหน้ากลมถามหลังจากเห็นอาการสวาปามของอีกคน
“อื๋อ? อ้ออั้นอ้องแอ่งเอมอับอายอี้ (หือ?ก็ฉันต้องแข่งเกมกับนายนี่)”
พูดทั้งๆที่อาหารเต็มปาก
“เคี้ยวให้ finish
ก่อนก็ได้แล้วค่อย talk "คิบอมยังคงวางมาดนิ่งขณะพูดหลังจากนั้นเขาก็เฝ้ามองทงเฮกินเบเกอรี่อย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่พูดอะไรต่อบรรยากาศวันนี้ดูแปลกไปวันก่อนๆที่ผ่านมาทงเฮจะรู้สึกเคียดแค้นอาฆาตอยากเอาชนะอีกฝ่ายดังนั้นบรรยากาศของความเป็นศัตรูจึงคุกรุ่นอยู่รอบๆพวกเขาไม่จางหายไปไหนแต่วันนี้บรรยากาศนั้นกลับเจือจางลงไปเหมือนกับเป็นมื้ออาหารกระชับมิตรระหว่างศัตรูคู่อริหลังจากการแข่งแมทช์สำคัญ...
...กว่าทงเฮจะกินเสร็จก็ปาเข้าไปหกโมงกว่าแล้ว...
“Play
เกมกันต่อไหม?” ดูเหมือนชีวิตนักเรียนอันแสนเศร้าของคิมคิบอมจะไม่มีทางเลือกอะไรมากไปกว่านี้ในเมื่อมันเพิ่งจะหกโมงเย็นซึ่งใช่เวลาที่เขาจะต้องกลับบ้านเสียเมื่อไหร่...
...อีกอย่าง...เขาอยากอยู่กับทงเฮนานๆ...
แต่ปลาน้อยกลับถลึงตา “นายให้ฉันเลี้ยงข้าวแล้วยังจะกลับไปเล่นเกมอีก!?
ไม่มีเงินแล้วง่ะ!”
“อืม...จริงด้วย...” คิบอมทำหน้าครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้น...today เปลี่ยน atmosphere
หน่อยเป็นไง? ไป
take a walk ที่ park
กันไหม?”
“ป๊าค?” ปลาน้อยไม่เข้าใจภาษาปะกิด
“ที่สวนน่ะ” คิบอมแปลให้ “eat ไปตั้งเยอะเดินย่อยหน่อยเป็นไง?
แล้วฉันค่อย walk ไปส่ง you ที่บ้าน”
“เอางั้นเหรอ?” แม้จะประหลาดใจแต่ทงเฮก็คิดว่ามันเป็นไอเดียที่ไม่เลว
“อืม...ก็ได้...”
//////////////////////////////////
สายฝนที่เทกระหน่ำไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆตรงกันข้ามพายุกลับรุนแรงขึ้นกว่าเดิมจนคนเดินถนนที่เข้ามาหลบฝนใต้หลังคาผ้าใบหน้าร้านแห่งนี้มีจำนวนมากขึ้นๆทำให้พื้นที่กว้างๆกลายเป็นแน่นขนัดขึ้นทันใดฮันกยองยืนเบียดอยู่กับซีวอนด้วยความที่ทั้งสองมีความสูงไม่ต่างกันนักใบหน้าของทั้งคู่จึงอยู่ใกล้กัน...แต่แม้ว่าฮันกยองจะคิดว่ามันใกล้เกินไปแค่ไหนเขาก็ไม่อาจขยับกายให้ออกห่างได้เนื่องด้วยฝูงคนจำนวนมากที่รายล้อมทั้งเขาและซีวอนอยู่จนติดแหง็กกันอยู่แบบนี้
“เกิงเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
ซีวอนเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าฮันกยองเอาแต่หลบตาเขาและไม่พูดอะไรเลยสักคำหลังจากเข้ามาหลบฝนกันอยู่ตรงนี้
“ปละ...เปล่า...” คนจีนตอบไม่เต็มเสียงซีวอนเลิกคิ้ว
“แน่ใจหรือครับ? เกิงหนาวหรือเปล่า?
หรือรู้สึกไม่สบาย?” มือใหญ่ยกขึ้นอังหน้าผากเนียนเพื่อจะวัดอุณหภูมิร่างกายคนตัวเล็กกว่าฮันกยองสะดุ้งเพราะไม่ทันตั้งตัวหวังจะเอียงหน้าหลบแต่ก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่ดี
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย?”
ซีวอนยิ่งไม่เข้าใจ “เกิงตัวอุ่นๆนะ...แล้วทำไมหน้าแดงๆ?”
...ฉันก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม...
...ทำไมตัวฉันมันถึงร้อน...ทำไมหน้าถึงแดง...และทำไมหัวใจถึงได้เต้นแรงแบบนี้...
...ไม่อยากจะยอมรับแต่ก็คงเลี่ยงไม่ได้...ถ้าหากคำตอบมันเป็นเพราะว่า
‘มีนายอยู่ใกล้ๆ’ ล่ะซีวอน?...
...นายจะว่าอะไรฉันไหม?...
ซีวอนเลิกคิ้วงงหนักขึ้นเมื่อฮันกยองกลับเบือนหน้าหนีและไม่ยอมตอบคำถามของเขากำลังคิดว่าคนตัวเล็กกว่าอาจจะไม่สบายขึ้นมาจริงๆแต่แล้วก็สะดุดกึกกับความคิดบางอย่างที่แทรกขึ้นมา...
...หรือว่า?...
ใบหน้าหวานก้มงุดด้วยพยายามไม่สบตาเขา...หรือว่าฮันกยองเขินเขากันแน่?...ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆละก็...ซีวอนนึกกระหยิ่มในใจ...ถ้าฮันกยองกำลังวางตัวไม่ถูกหรือสับสนในอะไรบางอย่างเขาควรจะทำให้อีกฝ่ายแน่ใจในความรู้สึกของเขาไปเลยจะเป็นไร!?
ในเมื่ออีกฝ่ายทำตัวน่ารักเสียขนาดนี้...
...อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าหากเขาทำแบบนั้นไป...ฮันกยองจะทำหน้ายังไง?...
...ท่ามกลางเสียงสายฝนซัดสาดและเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนรอบๆกายซีวอนกลับไม่ลังเลที่จะยื่นหน้าเข้าไปอย่างไวเท่าความคิด...
ฮันกยองสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจร้อนที่รินรดพวงแก้มนิ่มของตัวเอง...ซีวอนจู่โจมเร็วเกินกว่าที่เขาจะตั้งตัวได้ทัน...ยังไม่ทันจะคิดได้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรในวินาทีถัดมาริมฝีปากของซีวอนก็ประทับลงมาเต็มๆที่แก้มเขาเสียแล้ว...
...ลมหายใจของฮันกยองขาดห้วง...
...จิตสำนึกของเขาสั่งตัวเองให้ผละหนีแต่จิตใต้สำนึกของเขาดันคัดค้านแล้วสั่งตัวเขาให้ตอบสนองเสียนี่ฮันกยองได้แต่ยืนนิ่งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่หวังว่าซีวอนจะเป็นผละออกไปเองก่อนแต่ดูเหมือนความหวังนั่นจะไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆเอาเสียเลย...
...ใบหน้าหล่อเหลายังคงคลอเคลียอยู่กับแก้มของฮันกยองไม่ห่างคนร่างเล็กสามารถบอกได้จากลมหายใจร้อนที่รินรดพวงแก้มเขาเป็นห้วงๆริมฝีปากอุ่นชื้นย้ำรอยจุมพิตราวกับจะยืนยันให้มั่นใจ...จากข้างแก้ม...จนถึงมุมปากบาง...หลังจากนั้นก็...
...ดวงตาสับสนของฮันกยองพาลสบกับสายตาหนักแน่นแต่แฝงแววอ่อนโยนของซีวอนในวินาทีสุดท้าย...ก่อนที่ดวงตาของพวกเขาทั้งคู่จะใกล้กันเกินกว่าจะสบกันได้อีกต่อไป...
...เมื่อริมฝีปากของฮันกยองถูกปิดด้วยริมฝีปากของอีกคน...
ความคิดเห็น