คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Umbrella '6': ร่มคันที่ 6
“ไม่เห็นมีใครใช้ร่มสีชมพูสักคน ไอ้คยู”
ทงเฮที่ยืนกางร่มตากฝนอยู่หน้าโรงเรียนจูมงเอ่ยกับเพื่อนอีกสองคนที่ต่างก็กำลังสอดส่ายสายตามองหาบุคคลปริศนาผู้ครอบครองร่มสีชมพู
“กุว่าวันนี้พอแค่นี้เหอะ
ยืนกลางฝนแบบนี้มากๆเดี๋ยวไอเย็นจะทำเมิงไม่สบายเอานะ” ฮยอกแจเป็นห่วงเพื่อน
“กุอยากไปเล่นเกมแล้วด้วย” ทงเฮสอดขึ้นมา
“โอยยยกุไม่ไปนะ...” ไอ้ไก่โอดโอย
“กุคงไปไม่ได้เหมือนกัน เดี๋ยวแม่เป็นห่วง” คยูฮยอนว่า
“ยังไงก็ช่าง
แต่เมิงควรเลิกยืนรอชายหนุ่มปริศนาของเมิงได้แล้วตอนนี้เดี๋ยวหวัดจะแดก” ทงเฮว่าคยูฮยอน
“อืมใช่ วันนี้เขาอาจไม่มาเรียน
หรือไม่ก็ไม่ได้ใช้ร่มสีนั้น” ฮยอกแจว่า
“หรือไม่เขาก็อยู่โรงเรียนโซดองโย” ทงเฮสำทับ
“อืม...งั้นพรุ่งนี้กุจะลองไปดักหน้าโรงเรียนโซดองโย” คยูฮยอนตัดสินใจ
“งั้นก็แปลว่าวันนี้พอแค่นี้? โอเค ไอ้ฮยอก ไปเกมเซ็นเตอร์กัน!” ปลาน้อยหันไปทำตาปริบๆใส่เพื่อนรักทันที
“ไม่ว้อยยยยย!!!!”
////////////////////////////////////////
“เกิงอยากกินอะไรครับ?”
มันแน่นอนอยู่แล้วที่สุภาพบุรุษอย่างชเว
ซีวอนจะต้องเอ่ยถามสุภาพสตรี(?)อย่างมีมารยาทว่าอีกฝ่ายสนใจเมนูอะไรเป็นพิเศษก่อนที่จะเสนอความคิดเห็นของตนเอง
ฮันกยองกวาดตาอ่านรายการอาหารด้วยท่าทีประหม่านิดๆ...ก็ไอ้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาคือชเว
ซีวอน...เด็กหนุ่มสุดหล่อพ่อรวย
ดาวเด่นที่ใครหลายๆคนหมายปองแห่งโรงเรียนโซดองโยเชียวนะ!!!
...แล้วทำไมอยู่ดีๆเขาต้องมากินข้าวเย็นกับมันล่ะเนี่ย!? หานเกิงจะเป็นลม!
“เอ่อ...ฉานอยากกินหมูแดงกาบเป็ดปากกิ่ง” ฮันกยองตอบด้วยสำเนียงเหน่อๆ
“สองอย่างเหรอครับ? กินกันสองคนงั้นสั่งผักอีกสักอย่างแล้วกัน
ผักอะไรดีครับเกิงช่วยแนะนำหน่อย” ซีวอนถาม
“ผากเหรอ?...เอ...เอาผาดผากรวมเพื่อนก็ด้ายม้าง” บอกไปก็กวาดตาดูเมนูไป ซีวอนเลิกคิ้วอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ผัดผัก...อะไรนะครับ?” เข้าใจว่าฮันกยองอาจจะออกเสียงเป็นภาษาจีนเพราะในเมนูก็มีภาษาจีนกำกับไว้อยู่เช่นกัน...ถึงเขาจะเคยโดนพ่อบังคับให้เรียนภาษาจีนมาบ้างก็เถอะนะ
แต่คำนี้ซีวอนไม่เข้าใจอย่างแรงครับอย่างแรง
“ผาดผาก...รวมเพื่อนน่ะ” ฮันกยองรู้สึกเสียงเซลฟ์เล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามอธิบาย “...ที่เอาเพื่อนๆผากหลายๆคนมาผาดรวมกานอ่า...” ทำท่าผัดประกอบไปด้วย
“เกิงหมายถึงผัดผักรวมมิตร!!!??” ซีวอนชักเห็นทางสว่าง “ใช่ไหมครับ?”
“อือ...ก็รวมเพื่อนอ่า...ไม่ถูกเหรอ?” เอียงคอน้อยๆแต่พองามแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่ามิค่อยเข้าใจ
“เขาเรียกว่าผัดผักรวม ‘มิตร’ ครับเกิง...ไม่ใช่ ‘เพื่อน’ นะ” อธิบายไปซีวอนก็กลั้นยิ้มไป...ไม่ใช่จะหัวเราะเพราะเยาะเย้ยภาษาเกาหลีที่ยังต้องพัฒนาอีกมากของฮันกยองหรอกนะ
เพียงแต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า...
...คนที่เขาแอบเฝ้ามองมานานคนนี้จะน่ารักได้ขนาดนี้...
“อ่าว...แล้ว ‘มิตร’ ม่ายด้ายแปลว่า ‘เพื่อน’ เหรอ?” ฮันกยองยังไม่หายข้องใจ
เอียงคอถามซีวอนอย่างสงสัย ก็เท่าที่เขาจำได้ ลีทึกก็เคยบอกว่า ‘มิตร’ กับ ‘เพื่อน’ มีความหมายเดียวกันนี่นา...
“ใช่ครับ แต่ ‘ผัดผักรวมมิตร’ นี่เป็นชื่อเฉพาะนะ...หมายถึงเมนูที่เอาผักหลายๆอย่างมาผัดรวมกัน...’เพื่อนๆผัก’ อย่างที่เกิงว่านั่นแหละ เพียงแต่ว่าเขาใช้คำว่า ‘มิตร’ นะ” ไม่รู้ว่าดินเนอร์มื้อนี้กลายเป็นคอร์สเรียนภาษาเกาหลีไปตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ซีวอนก็ไม่ขัดข้องอะไร...ในเมื่อมันเป็นคอร์สตัวต่อตัวระหว่างเขากับฮันกยองแบบนี้...
...ออกจะอยากให้มีบ่อยๆเลยให้คนหล่อดิ้นตายเถอะ...
ฮันกยองพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจในที่สุด
หลังจากนั้นซีวอนก็จัดการสั่งอาหารและเครื่องดื่มให้เสร็จสรรพ
...อาหารมื้อนั้นดูจะผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกินสำหรับฮันกยอง...ถึงมันจะอร่อยเพราะเป็นอาหารจีนแบบที่เขาไม่ได้กินมานานและไม่สามารถทำกินเองได้ที่บ้านเพราะสติปัญญาไม่ถึง
แต่การอยู่ต่อหน้าซีวอนทำให้เด็กหนุ่มชาวจีนรู้สึกเกร็งอย่างไรบอกไม่ถูก
รู้ตัวดีว่ากำลังทำตัวไม่เป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่รู้หนทางที่จะแก้ไขมันเช่นกัน...
เคร้ง!
ทั้งๆที่จับตะเกียบมาตลอดชีวิต
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ฮันกยองทำมันหลุดมือ ข้างหนึ่งตกพื้น
ส่วนอีกข้างตกลงบนตักเขาพร้อมด้วยรอยเปื้อนน้ำจิ้มเป็ดปักกิ่งเป็นทางยาวบนเสื้อนักเรียนสีขาวสะอาด
ฮันกยองทำหน้าเบ้ในทันใด
“เสื้อเปื้อนเหรอเกิง?”
เสียงคนที่นั่งตรงข้ามเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
และนั่นคือสิ่งที่ฮันกยองกลัวที่สุด
“มะ...ม่ายเยอะหรอก” ตอบปฏิเสธ มองหากระดาษทิชชู่บนโต๊ะแต่ไม่มี
“ผมมีทิชชู่” ซีวอนเดาใจอีกคนได้ไม่ยาก
ฮันกยองเอ่ยปากจะบอกว่า ‘ขอหน่อย’ แต่ซีวอนจัดการเดินอ้อมโต๊ะมาด้วยตนเองโดยไม่สนใจท่าทีประหม่าขั้นรุนแรงของอีกคน
“นี่เหรอที่บอกว่าไม่เยอะ...?” ซีวอนพึมพำขมุบขมิบขณะย่อตัวก้มลงใช้กระดาษทิชชู่เช็ดรอยเปื้อนบนเสื้อให้ฮันกยอง
น้ำเปล่าสำหรับดื่มถูกซีวอนนำมาซับใส่ทิชชู่เพื่อช่วยให้เช็ดคราบง่ายขึ้น “ดีขึ้นแล้วเห็นไหม?”
เอ่ยขึ้นอย่างภูมิใจเมื่อใช้ฝีมือกำจัดคราบอาหารออกไปได้จนเกือบจะหมดจด
ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นทันควัน
ดวงตาลึกล้ำเป็นประกายสบเข้ากับดวงตาของฮันกยองที่ก็มองเพลินอยู่ก่อนแล้ว...ในชั่ววินาทีนั้น
ลมหายใจของฮันกยองสะดุดกึกและขาดห้วงไป...
...ดวงตาใสรีบหลบจากการจ้องมองของอีกฝ่ายในทันใด...ใบหน้าของซีวอนช่างอยู่ใกล้...ใกล้แบบที่เขาไม่เคยใกล้กับใครขนาดนี้มาก่อน...และตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งชีวิตฮันกยองก็เพิ่งรับรู้
ณ บัดนี้ว่าอาการที่คนอื่นเรียกว่า ‘หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมานอกอก’ มันเป็นอย่างไร...
...เหมือนซีวอนจะจงใจอ้อยอิ่งอยู่ในอิริยาบทนี้นานๆทั้งๆที่ฮันกยองกลับสวดนะโมสามจบหวังจะไล่อีกฝ่ายให้ไปที่ชอบๆเสียที...ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดไปเองหรือเปล่า
แต่ฮันกยองกลับรู้สึกได้ว่าดวงตาเป็นประกายสนุกสนานของซีวอนกำลังจับจ้องใบหน้าของเขาอยู่ราวกับจะสำรวจทุกรายละเอียดในทุกซอกทุกมุม...
ซีวอนขยับกายนิดหนึ่ง
ในชั่วความคิดแรกฮันกยองโล่งใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะผละไป...ซีวอนก็กำลังจะทำอย่างนั้นจริงๆนั่นแหละ
เพียงแต่ว่า...
...สันจมูกคม...กลับเฉี่ยวเข้ามาที่แก้มนิ่มของฮันกยอง
ทิ้งค้างในท่านั้นเป็นช่วงเวลาหนึ่งวินาทีเต็ม ก่อนที่เจ้าตัวจะผละออกไป...
“เดี๋ยวผมไปขอตะเกียบใหม่ให้นะครับ”
น้ำเสียงร่าเริงนั่นดังมาจากปากไอ้คนหล่อที่ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โดยหารู้ไม่...หรือจริงๆแล้วมันอาจจะรู้...ว่าทำให้หัวใจของคนที่เพิ่งโดนกลั่นแกล้งอย่างจงใจเมื่อครู่เต้นได้แรงขนาดไหน...
...และลมหายใจอุ่นๆของซีวอนที่รินรดในช่วงหนึ่งวินาทีที่ราวกับเวลาหยุดนิ่งไปนั้น...ก็ยังตรึงอยู่ที่แก้มเขา...สมจริงและชัดเจนที่สุดในชีวิตกว่าทุกสิ่งที่ฮันกยองเคยสัมผัสมา...
/////////////////////////////////////////
“มาแข่งกัน”
มาถึงตอนนี้
ทุกครั้งที่คิบอมได้ยินคำพูดนี้...โดยไม่จำเป็นต้องหันไปมองเด็กหนุ่มก็รู้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร...หรืออีกที
อาจจะเป็นเพราะเสียงๆนี้มันชินติดหูเขาไปแล้วก็เป็นได้...
“Which
game do u want?"
เอ่ยถามกลับเป็นภาษาอังกฤษโดยไม่คิดจะหันไปมองหน้าอีกฝ่ายจริงๆ
ทงเฮหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างข้างๆคิบอม เตรียมพร้อมเต็มที่
“เกมที่นายกำลังเล่นอยู่ก็ได้...แต่วันนี้...”
ทงเฮพูดทิ้งท้ายไว้
คราวนี้คิบอมจึงต้องหันไปมอง
“What?"
“ฉันแค่ตั้งข้อแม้ให้ตัวเอง
ว่าถ้าวันนี้ฉันชนะนายไม่ได้...ฉันจะยอมแพ้และเลิกดวลกับนายอีกต่อไป...พอใจป่าว?” หันมามองอีกฝ่าย สีหน้าของคิบอมมีแววประหลาดใจ
แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบอะไรมากไปกว่า...
“Up
to u"
...วันนี้ฮยอกแจไม่มาด้วย
และทงเฮก็เบื่อที่จะบังคับจิตใจเพื่อนรักอีกต่อไป
รู้ตัวดีว่าเขาเองก็หมกมุ่นกับเกมและการต่อสู้แห่งศักดิ์ศรีนี่มากเกินไป
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย...หากเขาไม่สามารถเอาชนะไอ้เด็กนอกคิม
คิบอมนี่ได้...เขาจะเลิกท้ามันแข่ง เลิกเล่นเกม
ทำตัวเป็นเด็กดีของพ่อแม่เอาเงินค่าขนมทั้งหมดที่ปกติใช้เล่นเกมไปทำบุญบ้านเด็กกำพร้า และไอ้เรื่องร่มก็ช่างหัวแม่งมันไป...
...แต่นั่นก็ในกรณีที่เขาแพ้คิม
คิบอมทุกแมทช์น่ะนะ...
...ไม่ว่าความหวังจะดูช่างริบหรี่สักเพียงไหน...แต่ในเมื่อยังไม่หมดวันก็ถือว่าเขายังไม่แพ้โว๊ยยยย!!!
วันนี้เหล่าผู้ชมที่มาดูพวกเขาแข่งกันมีจำนวนน้อยกว่าที่เคย
อาจจะเป็นเพราะมันน่าเบื่อในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็รู้อยู่แล้วว่าใครจะชนะใครจะแพ้...เวลาล่วงเลยไปจนถึงสามทุ่ม
และคนในเกมเซ็นเตอร์ก็ดูบางตาลงไปมาก ถึงจะยังไม่อยากกลับบ้าน
แต่เงินค่าขนมของทงเฮกำลังจะหมด
ทั้งๆที่เขายอมอดข้าวกลางวันเพื่อที่จะได้แข่งเกมกับคิบอมได้มากที่สุด
แต่ครั้งนี้เขาคงต้องยอมเสียที...
“เกมนี้จะเป็นตาสุดท้าย...” ทงเฮพูดขึ้น เขาชูเหรียญเงินเหรียญสุดท้ายที่เขามีให้คิบอมดู
ก่อนจะหยอดมันลงตู้เกมที่เขาเลือกไป คิบอมยักไหล่ก่อนจะหยอดเหรียญของตัวเองบ้าง
“ทำให้ best ที่สุดแล้วกัน” เขาเอ่ยอวยพรทงเฮ
ทงเฮเล่นอย่างดีที่สุดจริงๆ
เมื่อคิดซะว่าศักดิ์ศรีของการเป็นนักเล่นเกมมือหนึ่งในละแวกนี้ของเขาทั้งหมดเดิมพันอยู่กับเกมตานี้...ถึงเขาจะเป็นคนกำหนดมันขึ้นมาเองก็เถอะ...ทงเฮก็ใส่ความสามารถทั้งหมดที่เขามีลงไปไม่ยั้ง
เกมตานี้จึงดูยาวนานกว่าที่ควรเป็นสำหรับคนทั้งสอง
อีกทั้งยังดุเดือดกว่าทุกๆเกมที่ผ่านมา...
...แล้วมันก็เกิดขึ้น...
...ในโค้งสุดท้ายก่อนจะถึงเส้นชัย ยานอวกาศของทงเฮเฉี่ยวไปกระแทกกับวัตถุบางอย่างที่กลับไม่ทำอันตรายยานของเขา
มันกระเด้งต่อไปกระแทกยานอวกาศของคิบอมจนเฉออกนอกทางไป และในวินาทีนั้น
ยานของทงเฮก็พุ่งเข้าเส้นชัย...
...ทงเฮอ้าปากค้าง...
หน้าจอตู้เกมส่งเสียงแห่งชัยชนะ
และยานของทงเฮก็ขึ้นมาเป็น ‘Winner’ ปลาน้อยยังคงไม่เชื่อสายตาตัวเอง
จนหน้าจอปรากฏคะแนนรวมที่ยานอวกาศทั้งสองลำทำได้
และยานของทงเฮก็มีคะแนนนำชนะยานของคิบอมไปเพียงไม่กี่สิบคะแนนเนื่องจากแต้มของการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง...
...นี่แปลว่าเขา ‘ชนะ’ ใช่ไหม?...นี่หมายความว่าไอ้คิบอมเล่นเกม ‘แพ้’ เขาใช่ไหม???
ทงเฮค่อยๆหันมามองคู่ปรับที่ยังคงนั่งอยู่ข้างๆด้วยสเต็ปการหมุนคอราวกับหุ่นยนต์กระป๋อง
คิบอมละมือจากแท่นควบคุม มองตอบทงเฮด้วยสายตาประมาณว่า
‘ก็กุแพ้...ทำไงได้?’
“เมื่อกี๊ฉันชนะใช่ไหม?” ทงเฮเอ่ยความคิดตัวเองออกมาด้วยเสียงอันดัง จำต้องถามคิบอมเพราะ
ณ เวลานี้เขาไม่เชื่อสายตาตัวเองจริงๆ
ความอยากเอาชนะของเขามันอาจจะมากเกินจนบดบังความเป็นจริงอันโหดร้ายและทำให้เขาคิดไปเองได้ว่าเขาชนะการดวล
ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่...
“นาย win" คิบอมย้ำ เด็กหนุ่มจากอเมริกาลุกขึ้นยืน
ยื่นมือมาให้ทงเฮพร้อมจะเชคแฮนด์ด้วย ทงเฮมองมือนั่นอย่างงงๆในตอนแรก
แต่แล้วก็นึกได้ว่าคนอเมริกันเขาทำกันยังไง “พรุ่งนี้ไว้ challenge กันใหม่” คิบอมว่าพลางกระชับมือนิ่มของทงเฮขณะเชคแฮนด์
“หะ...หา!? พรุ่งนี้!?” ทงเฮที่ยังไม่ได้สติดีกล่าวอย่างงงๆ “อืมใช่ ฉันบอกว่าถ้าฉันแพ้นายทุกแมทช์ฉันก็จะเลิกท้านายแข่งนี่เนอะ
แต่นี่ฉันชนะ ก็แปลว่าเรายังต้องแข่งกันต่อวันพรุ่งนี้ ใช่ๆ” พูดเองก็เหมือนจะงงเอง ณ
เวลานี้ดูเหมือนทงเฮจะลืมเลือนเรื่องทุกอย่างไปเสียสิ้น
การแข่งขันระหว่างเขากับคิบอมเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี และในเมื่อเขาชนะวันนี้
ก็แปลว่าในวันพรุ่งนี้เขาอาจจะเอาชนะได้อีก...
...เขาจะต้องกู้ความเป็นมือหนึ่งของเขาคืนมาให้ได้!...
“งั้น...ก็เจอกันพรุ่งนี้...” ทงเฮกล่าวลาคิบอมอย่างล่องลอย
เด็กหนุ่มคว้ากระเป๋าสะพายแล้วหมุนตัวจะเดินออกจากเกมเซ็นเตอร์ไปอย่างสติหลุด
จนคิบอมต้องร้องเรียก
“ทงเฮ”
“หืม?” หันกลับมามองด้วยดวงตาล่องลอย
“นาย forgot
umbrella ของนาย” เด็กหนุ่มหน้ากลมส่งร่มสีน้ำเงินลายทางที่ทงเฮวางทิ้งไว้คืนให้
ปลาน้อยรับมันไปถืออย่างไม่สนใจ
“อืมๆขอบใจ” ก่อนจะเดินออกไปจากเกมเซ็นเตอร์จริงๆ
คิบอมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าตู้เกมเดิมที่เขาเล่นกับทงเฮ
คะแนนของทั้งสองยังคงขึ้นหราอยู่บนหน้าจอ
เด็กหนุ่มจ้องมองมันอย่างนิ่งงันเพียงครู่ก่อนจะลอบยิ้มกับตัวเอง...
“นายล้มมวย”
ชินดงเดินเข้ามาหาคิบอมพร้อมกับประโยคกระแทกใจ
คิบอมถามกลับ
“นาย watch อยู่เหรอ?”
“ใช่ ตอนโค้งสุดท้าย
นายหลบวัตถุนั่นได้...ฉันเคยเห็นนายทำ...”
“แล้วไง?” คิบอมยักไหล่อย่างไม่เห็นเป็นเรื่อง
“ทำไม?” ชินดงเอ่ยถามอย่างข้องใจ
“ฉันมี reason ของฉัน” คิบอมตอบอย่างแน่วแน่ เขาลุกขึ้นยืน
คว้ากระเป๋าสะพายพลางหยิบร่มคู่ใจออกมาถือไว้เตรียมพร้อมกับสายฝนที่เขารู้ดีว่ากำลังสาดกระหน่ำอยู่ด้านนอก...ร่มคันเก่าของทงเฮ...
“และนายก็ไม่ได้คืนร่มหมอนั่นด้วย” ชินดงย้ำอีกรอบ
“Yes, แล้วไง?
Ready ที่จะกลับบ้านกันแล้วหรือยัง?”
/////////////////////////////////////
มันเป็นเช้าวันใหม่ที่ยังคงหมองหม่นด้วยสายฝนเช่นหลายๆวันที่ผ่านมา
เรียวอุคมาถึงโรงเรียนแต่เช้าตามนิสัย...แน่นอนอยู่แล้วที่เยซองยังไม่มา...รายนั้นมักจะโผล่มาก่อนเวลาเข้าเรียนเพียงไม่กี่นาที
ไม่ก็สายเสมอ เรียวอุคเดินเข้ามาทางหลังห้องเรียน
กวาดตามองแถวๆโต๊ะของเยซองไม่พบร่มของเขาวางอยู่ แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าใดนักเมื่อเดินไปถึงโต๊ะของตัวเองแล้วเห็นมันถูกวางทิ้งอยู่บนเก้าอี้...
เรียวอุคถอนหายใจ...
...คิดว่าทำแบบนี้แล้วเขาจะล้มเลิกความตั้งใจหรือไงเยซอง? ขอบอกว่าเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ ถ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วคิม
เรียวอุคคนนี้จะยอมแพ้
ยอมเลิกตื๊อนายแล้วละก็...ขอบอกไว้ต่อหน้าท้องฟ้าและสายฝนตรงนี้เลยว่า...
...ไม่มีวัน...
ความคิดเห็น