คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Umbrella '5': ร่มคันที่ 5
“คิม คิบอม!”
เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อเลิกคิ้วสูงหันมามองทางต้นเสียง
เด็กหนุ่มหน้าหวานที่เรียกชื่อเขาอย่างกระด้างและหาเรื่องบัดนี้ยืนเท้าเอวอยู่ข้างตู้เกมที่คิบอมกำลังเล่นอย่างสบายๆ
...อ้อ...ไอ้เด็กคนเมื่อวานนี่เอง...
เหลือบมองด้วยหางตาก่อนจะหันไปสนใจตู้เกมตรงหน้าต่อ
“What’s
up?" ส่งเสียงถามเป็นภาษาอังกฤษอย่างเย็นชา
ทงเฮเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ใบหน้าที่เปลี่ยนจากหวานเป็นงอง้ำมาตั้งนานแล้วบัดนี้หงิกกว่าเดิม
“มาแข่งกันหน่อยไหม?”
คิบอมเลิกคิ้วสูงกว่าเดิมอย่างประหลาดใจในคำท้าที่ได้ยิน
ก่อนจะหันมามองผู้ท้าชิงเต็มสองตาตี่ๆด้วยแววดูถูกอยู่ในที
“เอางั้นก็ได้...just choose game ที่ you
want"
ภาษาอังกฤษปนเกาหลีไม่ทำให้ทงเฮประหลาดใจอีกต่อไป...ถึงเขาจะแปลมันไม่ออกเลยก็เถอะ
ทงเฮเดินอ้อมตู้ของคิบอมไปนั่งลงหน้าตู้เกมข้างๆที่ว่างอยู่อย่างวางท่า
หยอดเหรียญลงตู้โดยไม่พูดพล่ามทำเพลงก่อนจะหันมาถามเด็กหนุ่มหน้ากลมเสียงเย็น
“พร้อมหรือยัง?”
//////////////////////////////////
“แค่สีถลอกกับโครงบุบนิดหน่อย
ซ่อมสองวันก็ได้แล้ว”
พนักงานในอู่ซ่อมรถบอกกับลีทึกอย่างมั่นใจ
คนหน้าสวยพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงรับรู้พลางชายตามองไปยังจักรยานยนต์คันนั้น
ก่อนจะเหลือบไปทาง(ไอ้หมีอ้วน)คังอินที่นั่งมองนู่นมองนี่อย่างเพลิดเพลินใจอยู่บนม้านั่งสำหรับลูกค้า...ความจริงเขาไม่มีความรู้เรื่องรถมอเตอร์ไซค์เลยและอันที่จริงมันก็ดูไม่ได้เสียหายอะไรมากนัก
แต่ตามคำบัญชาและเพื่อความสบายใจของ(ไอ้หมีอ้วน)คังอิน ลีทึกจึงต้องนำมันมาที่อู่ซ่อมและจัดการจ่ายค่าซ่อมแซมให้...
...ทั้งหมดนี่มันเป็นความผิดของเขาเหรอเนี่ย!!?? (เออ)
...แต่เอาเถอะ ค่าซ่อมคงไม่เท่าไหร่
จัดการจ่ายๆไปแล้วเรื่องมันจะได้จบสักที...
“ค่าซ่อม 4 หมื่นวอน รบกวนจ่ายตอนนี้เลยนะครับ” พนักงานพูดขึ้นพลางเดินนำไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน
ลีทึกอ้าปากค้าง
...สะ...สี่หมื่นวอน...
...ละ...แล้ววันที่เหลือในอาทิตย์นี้คนสวยจะกินอะไรเป็นอาหารกันล่ะ!!?? T^T
ไหนบอกว่าซ่อมนิดเดียวไงว๊า!!!??
เงินในกระเป๋าลีทึกเกือบไม่พอจ่ายค่าซ่อม...แต่มันก็แค่ ‘เกือบ’ ละนะ หลังจากจ่ายเงินและรับใบเสร็จมานางฟ้าก็นิ่งเงียบไปในพริบตา
เขาเดินกลับมาหาคังอินที่นั่งรออยู่ด้วยท่าทีสบายใจจนน่าหมั่นไส้
“กลับบ้าน!”
ขึ้นเสียงใส่คนเจ็บอย่างกระด้าง
คังอินมองตอบกลับมาอย่างลอยหน้าลอยตา
“จ่ายเงินเสร็จแล้วเหรอจ๊ะ?” ถามกวนตีนอีกด้วย ลีทึกกัดฟันกรอด
“เออ!” กระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด
“ต้องมาเอามอ’ไซค์วันไหน?” คังอินถามต่อ
“เค้าบอกว่าสองวัน” สายตาของคังอินเงยหน้ามองเพดานขณะนับเลข...วันนี้วันพุธ...บวก 2 วันก็เป็น...วันอะไรน๊า???...
“มาเอาวันศุกร์เว้ย!!!” หลังจากรอมันสักพักลีทึกก็เฉลยให้อย่างจนใจ
ลีทึกต้องเป็นคนแบกคังอินกลับบ้านอีกตามเคย
แต่หลังจากเดินไปๆกลับๆมาสองครั้งระยะทางไปบ้านคังอินก็ดูสั้นขึ้นอย่างน่าประหลาดคงเป็นเพราะมันชักคุ้นตา
คราวนี้ลีทึกไม่ได้บ่นเรื่องที่ต้องแบกคนตัวหนักกว่าตนเกือบสองเท่ามาส่งบ้านแต่อย่างใด
เมื่อมาถึงหน้าประตูเรียบร้อย
คนสวยก็ชิงพูดตัดหน้าคังอินขึ้นมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะขยับปาก
“พรุ่งนี้ตอนเช้าเวลาเดิมใช่ไหม? ฉันรู้แล้วน่า!” น้ำเสียงยังคงกระด้าง คังอินกระพริบตาปริบๆ
“เปล่านี่ ฉันจะบอกว่าขอบคุณต่างหาก” แก้อย่างงงๆ
ลีทึกเงยหน้ามองอย่างประหลาดใจในคำขอบคุณนั่นเช่นเดียวกัน
“...อ้อเหรอ?”
“อืม...ขอบคุณที่มาส่ง” คังอินยิ้มให้อย่างจริงใจ เล่นเอาหัวใจของลีทึกกระตุกไป
แต่ยังไม่ทันไร... “ส่วนพรุ่งนี้ก็...เวลาเดิมนะคนสวย”
รอยยิ้มของคังอินกลายเป็นรอยยิ้มปีศาจในพริบตา
ลีทึกที่กำลังเริ่มจะคิดว่าหมอนี่มันก็ไม่ได้ใจดำอย่างที่คาดรีบดึงความคิดตัวเองกลับมาอยู่
ณ จุดเดิมทันที
“เออ!!!”
/////////////////////////////////////
“โห่ แพ้อีกแล้ว”
“โธ่เอ๊ยไม่สนุกเลย กลับบ้านกันเถอะเธอ”
“แต่ฉันอยากดูอีกนี่
เดี๋ยวทงเฮก็ท้าคิบอมแข่งเกมอีกอื่นอีกนะ”
“ปล่อยเขาไปเถอะน่า
จะเล่นกี่ตาๆยังไงทงเฮก็แพ้อยู่ดีนั่นล่ะ!!!”
เสียงโห่ของคนรอบข้างดังกลบความคิดในสมองของทงเฮไปจนหมด...แพ้...เขาแพ้อีกแล้ว...หลังจากท้าคิบอมแข่งเกมต่างๆมากี่เกมก็มากเกินจะนับ
ผลการชนะของเขาก็ยังคงเป็นศูนย์...ไข่...โบ๋เบ๋ว่างเปล่าเหมือนกับตอนแรกที่เขาก้าวขาเข้ามาไม่มีผิดเพี้ยน...
...นี่เขาจะชนะหมอนั่นสักตาไม่ได้หรือไง?...
“จะ play เกมอื่นอีกไหม?” คิบอมหันมาถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ทงเฮเม้มปาก
“เฮ้ยทงเฮ! กลับบ้านเหอะ ถือว่ากุขอร้อง
นี่มันสามทุ่มกว่าแล้ว วันนี้พอแค่นี้เหอะทงเฮ” ฮยอกแจที่เคียงข้างเพื่อนไม่ห่างเริ่มเว้าวอน
ทงเฮหันไปมองหน้าคิบอม
“งั้น...วันนี้พอแค่นี้ก็ได้...” ต้องใช้ความพยายามกว่าจะพูดออกมาได้เต็มเสียงและหนักแน่นอย่างที่ตัวเองหวัง
ทงเฮลุกขึ้นท่ามกลางเสียงฮือฮาของผู้ชมรอบๆที่ติดตามดูศึกชิงเจ้าแห่งเกมเซ็นเตอร์อย่างใจจดใจจ่อ
แต่ครั้งนี้คนอื่นๆพูดว่าอะไร...ทงเฮไม่ได้ฟัง...มือเล็กยื่นออกไปข้างหน้า
ขอเชคแฮนด์กับคู่ต่อสู้อย่างผู้มีน้ำใจนักกีฬา คิบอมมองมือนั่นอย่างงงๆในตอนแรก
แต่ก็ยื่นมือตัวเองมาจับเขย่าอย่างรับน้ำใจเช่นกัน ทงเฮไม่ได้ยิ้มให้อีกฝ่าย
แต่กลับเอ่ยเสียงหนักที่ดังพอจะให้ทุกคนที่ยืนมุงอยู่รอบๆพวกเขาได้ยิน
“...ไว้พรุ่งนี้เราเจอกัน...”
//////////////////////////////////////
สายฝนยังคงไม่ปราณีใครเหมือนเคย
ขนาดเรียวอุคออกจากบ้านเช้ากว่าปกติเขาก็ยังมาถึงโรงเรียนช้ากว่าที่ตั้งใจไว้เพราะสายฝนกระหน่ำทำให้เดินทางลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเขามาถึงห้องเรียน
จำนวนนักเรียนในห้องก็ยังจัดว่าน้อยมากเพราะอีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าเรียน...
...สายตาของเรียวอุคตวัดไปยังโต๊ะเรียนข้างๆโต๊ะของเยซองเป็นอันดับแรก...
...มันว่างเปล่า...
หัวใจของคนร่างเล็กเต้นรัวเป็นตีกลอง...ร่มสีครามที่เขาวางไว้เมื่อวานมันหายไป...นี่หมายความว่าเยซองหยิบมันไปหรือเปล่า? หรือจะเป็นใครคนอื่นกัน?...
ดวงตาคู่สวยตวัดมองต่อไปยังโต๊ะของเยซอง...มันว่างเปล่าเช่นเดียวกัน
มือเล็กลองควานค้นสำรวจดูเก๊ะใต้โต๊ะ แต่ก็ไม่พบอะไรที่พอจะดูเหมือนเป็นร่มของเขา ตอนนี้หัวใจของเรียวอุคเต้นแรงกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก
ขาเรียวก้าวช้าๆตรงไปยังโต๊ะของตัวเอง
ดวงตาเลื่อนลอยเนื่องจากกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด
มือนิ่มวางกระเป๋าลงข้างๆเก้าอี้โดยอัตโนมัติ แต่เมื่อเบนสายตามาอีกที
เขาก็เห็นมัน...
...ร่มสีฟ้าครามคันนั้นถูกใครบางคนเอามาวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะของเขานั่นเอง...
////////////////////////////////
“อรุณสวัสดิ์ฮยอกแจ ทงเฮ”
เสียงเอ่ยสวัสดียามเช้าของคยูฮยอนฟังดูไม่ค่อยสดใสนัก
แต่การได้เห็นคนร่างสูงโผล่หัวมาเรียนก็ทำให้เพื่อนๆดีใจได้มากโขแล้ว
“อ้าวเฮ้ย ไอ้คยู! หายไข้แล้วเหรอวะ!? เป็นไงบ้างล่ะเพื่อน!?” ฮยอกแจลุกขึ้นยืน
ฟาดมือหนักลงบนหลังคยูฮยอนดังป้าบเป็นการทักทายอย่างเด็กผู้ชาย
แต่นั่นก็ทำให้คนร่างสูงแต่ผอมบางเกือบจะล้มคะมำไปข้างหน้า “กุโทรไปหาเมิงเมื่อวันก่อน
แม่เมิงรับเห็นบอกว่าเมิงไม่สบายมากนี่?”
“วันนี้ก็กลับบ้านเร็วๆล่ะ
กุกับไอ้ฮยอกอาจจะไปเกมเซ็นเตอร์ เมิงห้ามไปกับพวกกุ
ถ้าไข้ขึ้นอีกอย่าหาว่ากุไม่เตือน” ทงเฮขู่ทันควัน
“เออ
กุคงไม่ไปหรอก...แค่กๆ...แม่กุกำชับเหมือนกัน” คยูฮยอนเอ่ยเสียงอ่อยก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะตัวเอง
ฮยอกแจหันไปมองทงเฮอย่างละเหี่ยใจ
“วันนี้ก็ต้องไปอีกเหรอเมิงงง...?” ถามเสียงอ่อยราวกับจะขอความเห็นใจ
“แน่นอน!” คนหน้าหวานตอบเสียงแข็งและหนักแน่นอย่างโคตรบังคับเพื่อน
“เออนี่...” คยูฮยอนเริ่มพูด “...เมื่อวันที่กุไปเกมเซ็นเตอร์กับเมิงน่ะ
ตอนขากลับกุเป็นลมไป...”
“หา? ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฮยอกแจตกใจ “แล้วเมิงเป็นไรมากป่าวไอ้คยู?”
“กุจามจนกุปวดหัว แล้วอยู่ๆกุก็หน้ามืดไปเลยว่ะ” คนร่างสูงเล่า “แล้วทีนี้มีคนมาช่วยกุ...”
ทงเฮเลิกคิ้ว “ใคร?”
“กุก็ไม่รู้ ตอนนั้นกุหน้ามืดไปแล้ว
จำอะไรไม่ค่อยได้ เขาคงหาที่อยู่กุจาก tag ที่กระเป๋านักเรียน เพราะกุเขียนติดไว้...” คยูฮยอนชี้ป้ายชื่อตัวเองที่ห้อยเป็นพวงกุญแจเล็กๆไว้ตรงกระเป๋านักเรียน “...แล้วเขาก็อุ้มกุไปส่งบ้าน”
“อุ้มเมิงไปส่งบ้านเลยเหรอ!?” ทงเฮถามอย่างประหลาดใจ
“ใช่
เพราะบ้านกุอยู่ห่างจากจุดที่กุเป็นลมไปนิดเดียวเอง...”
“แล้วแม่เมิงไม่ได้ถามชื่อเขาไว้เหรอ?” ฮยอกแจซัก
“แม่บอกว่าแม่ลืม” คยูฮยอนเล่าต่อ “ตอนนั้นแม่ตกใจมากที่เห็นกุเป็นลม
แม่เลยรีบอุ้มกุขึ้นไปที่ห้อง รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและอื่นๆ
แล้วพอแม่นึกได้ลงมาอีกที คนที่ช่วยกุก็หายไปแล้ว...”
“แปลกมาก...” ทงเฮมุ่นหัวคิ้ว “...แล้วเมิงหรือแม่เมิงจำอะไรอย่างอื่นเกี่ยวกับคนๆนั้นไม่ได้เลยจริงๆเหรอ? ซักนิดเดียว?”
“แม่บอกว่าเขาเป็นเด็กนักเรียนชาย
ไม่โรงเรียนจูมงก็โซดองโยนี่แหละ แม่จำไม่ได้ว่าอย่างไหนแน่เพราะมัวแต่สนใจกุ
ส่วนที่กุพอจำได้...” คนร่างสูงเล่าเสียงเบา “คือคนๆนั้นถือร่มสีชมพู...กุมองเห็นลางๆก่อนกุจะหมดสติไป
แล้วก็...ไอ้นี่...” คยูฮยอนวางวัตถุบางอย่างลงบนโต๊ะเรียน
ฮยอกแจกับทงเฮรีบมุงเข้ามาดู
...สิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะคือแหวนสีเงินวงหนึ่ง...
“ไอ้นี่มันเกี่ยวอะไร?” ทงเฮถามคำถามที่อยู่ในใจฮยอกแจเช่นเดียวกัน
“มันอยู่ในมือกุตอนกุตื่นขึ้นมา...” เล่าเสียงเรียบ “...กุถามแม่ แม่กุก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแหวนนี่มาอยู่ในมือกุได้ยังไง
กุเลยคิดว่ามันคงเป็นของคนที่ช่วยกุ มือกุอาจจะไปกำโดนนิ้วเขา
แหวนมันเลยหลุดติดมือกุมา หรืออะไรทำนองนั้น”
“โอ๊ย!
ยิ่งฟังยิ่งเหมือนนิยายน้ำเน่าเลยเว้ยเฮ้ย!!!” ฮยอกแจโวยวาย
ยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองที่ยุ่งอยู่แล้วให้มันยุ่งยิ่งขึ้นราวกับหมาแถวบ้านที่คันเพราะหมัดขึ้นตัว
“แล้วนี่เมิงจะทำยังไงต่อไป?”
“กุอยากรู้ว่าใครเป็นคนช่วยกุ
กุจะได้ขอบคุณเขาถูก อีกอย่างกุเอาแหวนเขามาด้วย กุคงจะต้องเอาไปคืน
เพราะฉะนั้น...” คยูฮยอนหันมองเพื่อนทั้งสองคนด้วยสายตาแน่วแน่ “...พวกเมิงจะต้องช่วยกุหาคนที่ใช้ร่มสีชมพู
และเป็นเจ้าของแหวนวงนี้!!!”
///////////////////////////////////////////
“ต๊าย! ซีวอนมายืนรอใครอยู่ที่หน้าโรงเรียนเราอีกแล้วก็ไม่รู้ล่ะเธอ!”
ประโยคที่เล็ดรอดเข้าหูฮันกยองเล่นเอาเด็กหนุ่มชาวจีนทำตัวลีบ
มือนิ่มที่ถือร่มสีครีมคันใหม่อยู่รีบกระชับมันมาใกล้ตัวหวังจะใช้มันบังหน้าเขาให้มิดตอนเดินพ้นประตูโรงเรียนออกไปเพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับชเว
ซีวอน...ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจหมอนั่นหรอกนะ...หล่อขนาดนั้นใครมันจะไปรังเกียจได้ลง!? เพียง
แค่ว่าเด็กหนุ่มธรรมดาอย่างนายฮันกยองไม่คุ้นกับการเดินเคียงข้างคนดังและต้องตกเป็นเป้าสายตาของนักเรียนแทบทุกคนที่เดินผ่านมา
อีกทั้งยังเสียงซุบซิบตามหลังเมื่อพวกเขาเดินผ่านไปอีกเล่า? อีกอย่างเขาเองก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับซีวอน...ก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวซักหน่อยนี่!
เมื่อวานนี้เขาจึงหุบปากสนิทไปตลอดทางที่ซีวอนเดินไปส่งเขาที่บ้าน...
...ก็เข้าใจหรอกนะว่าซีวอนเป็นคนใจดี
เห็นเขาไม่มีร่มอาจจะนึกสงสารก็เลยอาสาไปส่งให้ แต่วันนี้เขามีร่มแล้วนะ!
สีครีมอันใหม่เพิ่งซื้อมาเมื่อเช้า นี่ไงๆเห็นป่าว? วันนี้ไม่ต้องไปส่งเขาก็ได้ซีว๊อนนนน!!!
“เกิงครับ”
เสียงเรียกชื่อเขาดังมาเล่นเอาฮันกยองเดินสะดุด
มือนิ่มที่ถือร่มบังหน้าตัวเองไว้ค่อยๆย้ายตำแหน่งจนพ้นจากการเป็นสิ่งกีดขวางสายตา
เผยให้เห็นซีวอนที่กำลังมองตรงมาทางเขาพลางยิ้มขันอย่างหุบไม่อยู่
ส่วนสายตาฮันกยองที่มองตอบไปกลับเต็มไปด้วยความงงงวยและประหลาดใจจนทำอะไรไม่ถูก
…ชื่อภาษาเกาหลีของเขาคือ ‘ฮันกยอง’ แต่ถ้าออกเสียงเป็นภาษาจีน ชื่อของเขาก็คือ ‘หานเกิง’…
...เอ...แล้วนี่เขากับซีวอนสนิทกันจนหมอนั่นรู้ชื่อภาษาจีนของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?...
“เกิงไม่ต้องหลบผมขนาดนั้นก็ได้” ซีวอนเดินตรงมาพร้อมร่มสีดำคันใหญ่ในมือ
ใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้ม สายตาเหลือบมองไปยังร่มสีครีมในมือฮันกยองอย่างมีเลศนัย “คุณได้ร่มคันใหม่แล้วนี่?”
“อ้อ...เอ้อ...ช่าย...ซื้อมาเมื่อเช้านา” ฮันกยองตอบอย่างทั้งตะกุกตะกักทั้งเหน่อ
ซีวอนเหลือบมองมันอีกที คราวนี้ด้วยสายตาอาฆาต
แต่ก็เพียงชั่วครู่ก่อนจะหันกลับมาทำตาหวานให้ฮันกยอง
“เกิงอยากไปกินข้าวก่อนกลับบ้านไหม? ผมเลี้ยง” ซีวอนเอ่ยชวนโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง
ฮันกยองกระพริบตาปริบๆอย่างอึ้งๆงงๆ
“หะ...หา?”
“ไปกินข้าวกันไหมครับ?” ซีวอนเอ่ยย้ำโดยไม่มีทีท่าว่ารำคาญ “ผมเลี้ยงเอง”
ผ่านไปชั่วครู่(ใหญ่)ฮันกยองถึงจะเข้าใจความหมายของประโยคนั้น “เฮ้ยๆ ม่ายเป็นรายๆ” มือนิ่มโบกไปมาในอากาศเป็นเชิงปฏิเสธ “ฉานกลับปายกินข้าวเย็นที่บ้านด้าย
เจี๊ยะปึ่งกับอาม้าอาปา...เออ...แต่วานนี้อาจจาต้องเจี๊ยะคนเดียวเพราะอาม้าอาปาปายทามงานกลับบ้านดึก
แต่ม่ายเป็นราย ฉานทามข้าวผัดปากกิ่งกินด้าย ของโปรดๆ” ฮันกยองยังคงโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน ซีวอนยิ้ม
“แทนที่จะต้องกลับบ้านไปกินข้าวคนเดียว
ไปกินกับผมไม่ดีกว่าเหรอครับ?”
“ม่ายเป็นรายๆ
ถึงเมื่อวานก่อนฉานจะทำข้าวผัดไหม้ก็เถอะ...”
“ผมรู้จักร้านที่ขายเป็ดปักกิ่งอร่อยๆ...”
“...แต่ม่ายเป็นรายๆ นายม่ายต้องมาเสียตางค์เลี้ยงข้าวฉานหรอก
ม่ายช่ายเรื่อง...”
“...อยู่ไม่ไกลจากแถวนี้ ราคาไม่แพงด้วย...”
“...แต่ฉานก็ม่ายด้ายกินเป็ดปากกิ่งมานานแล้ว
ล่าสุดก็คงเมื่อปีที่แล้วอ่า...”
“...แล้วก็มีติ่มซำอร่อยๆขายด้วย
แล้วยังอาหารจีนตามสั่งทุกอย่างเลย...”
“...ร้านที่ว่านี้มานอยู่ตรงหนายอ่าซีวอน?”
“ให้ผมพาไปง่ายกว่ามั้ยครับ?” กระดิกหางดิ๊กๆ
ฮันกยองที่ห้ามใจตัวเองไม่ไหวจึงต้องพยักหน้าเบาๆตอบไป...
...นี่มานเกิดอารายกานเขิ้นเนี่ย!? ครายช่วยบอกเขาที๊!!!...
//////////////////////////////////////
เลิกเรียนแล้ว
เรียวอุคเก็บกระเป๋าอย่างเชื่องช้าอีกตามเคย
ซองมินขอตัวออกไปก่อนตั้งนานแล้วเพราะขี้เกียจรอ
เมื่อเหลือคนเพียงสองคนในห้องเรียนเหมือนทุกครั้ง คนร่างเล็กจึงลุกขึ้น
เดินอย่างมั่นใจอ้อมไปทางหลังห้องตรงโต๊ะที่เยซองยังคงนั่งเก็บกระเป๋าอยู่ด้วยท่าทีไม่รีบร้อนแต่อย่างใด...
...เรียวอุคเดินออกไปจากห้องเรียน...
ถึงจะมีท่าทีไม่สนใจ
แต่เยซองก็มองตามแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่เพิ่งพ้นมุมห้องไป
และเขาก็ไม่ประหลาดใจเท่าไหร่นัก
ที่เห็นร่มสีฟ้าครามคันเดียวกับเมื่อวานนี้ถูกทิ้งเอาไว้บนโต๊ะข้างๆเขาเหมือนเดิม...
เด็กหนุ่มหน้ากลมเหมือนซาลาเปาเบนหน้ากลับมาจัดของลงกระเป๋าตัวเองต่อ
ผ่านไปอีกพักใหญ่ๆเขาจึงลุกขึ้น...ลังเลนิดหนึ่ง
ก่อนจะหยิบร่มสีครามคันนั้นขึ้นมา...
...เพื่อจะนำมันกลับไปวางไว้ที่โต๊ะของเรียวอุคเช่นเดิม...
ความคิดเห็น