คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Umbrella '3': ร่มคันที่ 3
“กรี๊ดดดดด!!!”
“นอกจากหล่อแล้วยังเล่นเกมเก่งอีก
คนอาไร๊!!??”
“แลปนี้ก็ได้คะแนนท็อปอีกแล้ว
สุดยอด!!!”
ยิ่งได้ยินคำพูดแบบนี้มากเท่าไหร่ทงเฮก็ยิ่งฉุนมากขึ้นเท่านั้น...คิม
คิบอม...เด็กหนุ่มหน้าละอ่อนที่เพิ่งย้ายมาจากอเมริกาตามคำบอกของคนแถวนี้ทำลายสถิติเกมรถแข่งที่ทงเฮมานะอุตสาหะทำเอาไว้จนแพ้อย่างราบคาบ
คนหน้าหวานที่ตอนแรกได้แต่ยืนเกาะขอบจอดูคิบอมเล่นเกมอย่างตกตะลึงในความเซียนมาตอนนี้ชักทนไม่ได้
“แน่ใจเหรอว่าเมิงจะท้าหมอนั่นเล่น?” ฮยอกแจกระซิบข้างหูเพื่อนรักอย่างจะเตือนสติ “แพ้ขึ้นมานี่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนเลยนะเว้ย!”
“แต่ไอ้หน้าอ่อนนี่มันมาหยามกุถึงถิ่น!” ทงเฮกัดฟันกรอดๆ “กุต้องสั่งสอนให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร...แต่เอ๊ะ!
เดี๋ยวก่อน!” ทงเฮหันไปจ้องหน้าฮยอกแจ
“เมิงหมายความว่าไงที่ว่าถ้ากุแพ้ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน? เมิงคิดว่ากุจะแพ้ไอ้แก้มแตกนี่งั้นเรอะ!?” ถามเสียงเขียว
“เออ!” ฮยอกแจตอบชัดเจน
“ไอ้ไก่!!!”
“สถิติสูงสุดของเมิงได้แค่ 3 นาทีเองนะทงเฮ แต่ไอ้นี่มันได้ 2 นาทีนะ” คยูฮยอนสำทับก่อนจะพูดเบาๆเหมือนบ่นกับตัวเอง “จะชนะเร้อ?”
“’แค่’ เหรอ!? สถิติของกุ ‘แค่’ 3 นาทีงั้นเหรอ? พวกเมิงทำได้หรือเปล่าห๊าไอ้พวกลูกกระจ๊อก!!?? อย่ามาหยามกุนะเฟ้ยยยย!!!” ทงเฮแทบจะลงไปดิ้นกับพื้นอย่างเคืองแค้น
แล้วก่อนที่ไอ้ลูกกระจ๊อกตัวไหนจะห้ามได้ทัน ทงเฮก็เดินแหวกฝูงชนพุ่งเข้าไปหาคิม
คิบอมที่นั่งเล่นเกมอยู่ก่อนแล้ว
“นาย...!”
คิบอมเงยหน้าขึ้นมามองบุคคลที่อยู่ดีๆก็โผล่พรวดมาอย่างฉงนฉงาย
คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย “ฉันชื่อลี ทงเฮ
อยากลองเล่นเกมแข่งกับฉันไหม?” ถามออกไปอย่างไม่กลัวเกรง
ผู้ชมที่ส่งเสียงเชียร์เย้วๆอยู่รอบๆเมื่อครู่เงียบกริบกันเลยทีเดียว คนร่างสูงกว่ามองทงเฮอย่างประหลาดใจ
ผ่านไปพักหนึ่งก่อนลาดไหล่จะขยับยกเป็นเชิงไม่แยแส
“My pleasure" ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทงเฮเข้าขั้นหมางงเลยทีเดียว “หะ...หา!?” เมื่อเห็นทงเฮยังยืนเอ๋อแดกอยู่
คิบอมจึงมองซ้ำด้วยสายตาดูถูก
“Sit down สิ”
คราวนี้ทงเฮพอจะเข้าใจบ้าง...sit แปลว่า จ๋อ เคยเรียนมาตอนป.1 น้องด๊องจำได้
ทงเฮจึงหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆเด็กหนุ่มร่างสูงด้วยท่าทีเงอะๆงะๆเล็กน้อย
คิบอมกดปุ่มออกจากเกมแล้วหยอดเงินใหม่
ทงเฮจึงหยอดด้วยเพื่อจะได้เล่นได้สองคน
พวกเขาเลือกรถและปรับแต่งเครื่องเคราตามใจชอบ
การกระทำทุกอย่างเกิดขึ้นในความเงียบท่ามกลางความกดดันจากผู้ชมที่ยืนดูอยู่รอบๆ
เมื่อเลือกเสร็จ ทงเฮก็ใช้มือขวาจับพวงมาลัยในขณะที่มือซ้ายจับเกียร์เตรียมพร้อมเต็มที่อย่างทุกทีที่เคยทำ
“Which circuit ที่นาย want to play?"
ภาษาอังกฤษปนเกาหลีของหมอนี่ยิ่งทำเอาทงเฮอึ้งแดกเข้าไปใหญ่
คนหน้าหวานอ้าปากพะงาบๆตอบคำถามไม่ถูกเอาเลยทีเดียว คิบอมเห็นดังนั้นก็เลยตัดสินใจเองเป็นที่เรียบร้อย “งั้นเอา racecourse ที่ desert ก็แล้วกัน”
ด่านที่ทะเลทรายถูกเลือกขึ้นมาเป็นสนามแข่งรถประลองความสามารถของทั้งคู่
มือซ้ายของทงเฮบีบแน่นอยู่ที่เกียร์ ปอดเล็กสูดลมหายใจเข้าลึก
เสียงนับถอยหลังเป็นวินาทีดังออกมาจากในเกม…3, 2, 1, Ready"
...ก่อนที่รถทั้งสองคันจะพุ่งตัวออกไป...
////////////////////////////////////////
สายฝนที่โปรยปรายไม่ขาดสายรวมทั้งน้ำขังสกปรกเจิ่งนองพื้นทำให้การเดินทางไปคลีนิคของลีทึกและคังอินเป็นไปอย่างทุลักทุเล
ยิ่งฝ่ายหนึ่งที่ตัวใหญ่กว่าเจ็บขาจนเดินไม่ได้ต้องให้คนตัวเล็กพยุงอย่างนี้ด้วยแล้ว
มือข้างหนึ่งของลีทึกพยุงเอวคนที่ร่างหนาราวกับหมีควาย
ในขณะที่อีกมือกำร่มคันใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเพราะไม่ว่ายังไงเขาทั้งสองคนก็เปียกปอนไปทั้งตัวอยู่แล้วจากตอนที่คังอินมอเตอร์ไซค์ล้ม…อันที่จริง...คังอินน่ะเปียกตั้งแต่แรกแล้วเพราะเจ้าตัวไม่ได้พกร่ม
ได้แต่ใส่เสื้อกันฝนขี่มอเตอร์ไซค์เป็นเด็กแวนท์กลับบ้านเท่านั้น
“เจ็บโว้ยยยย!!!”
เสียงคังอินแหกปากตลอดทางที่เดินไปกัน
ลีทึกทำหน้าละเหี่ยใจ
“นายไม่ต้องย้ำบอกฉันด้วยคำๆนี้ทุกๆ 1 นาทีก็ได้
อีกแป๊บเดียวก็ถึงแล้วน่า อีกอย่าง ตัวก็โตอย่างกับควาย
แผลแค่นี้ทำมาเป็นบ่นว่าเจ็บ”
“แกลองมาเป็นบ้างไหมเล่า!?” คังอินสวนทันที “แผลถลอกทั้งขาอย่างงี้แล้วยังจะโดนน้ำอีกนะ!
ลองบอกมาสิว่าแกจะไม่เจ็บ ห๊ะ!!??” ส่งเสียงคุกคามจนลีทึกหัวหด
“เออๆ ขอโทษๆ”
เพียงไม่ถึงสิบนาทีแต่ยาวนานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์สำหรับทั้งคู่
พวกเขาก็มาถึงคลีนิค
และใช้เวลาอีกราวครึ่งชั่วโมงในการรอคิวและทำแผลกว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อย
“บ้านนายอยู่ไหน?” ลีทึกถามออกไป
“ถนนแดจังกึม” คังอินตอบเสียงห้วน
“อืมมม...ไกลอยู่นะ”
“ก็ไม่ได้บอกว่าใกล้” ตอบกวนตรีน ลีทึกสูดลมหายใจพยายามข่มอารมณ์
“เอางี้ เดี๋ยวฉันเดินไปส่งนายที่บ้านก็แล้วกัน
นายคงขี่มอ’ไซค์กลับเองไม่ไหวใช่ไหม?”
“แล้วนายคิดว่าฉันจะขี่อีท่าไหนไม่ทราบ?”
เออ!
กุขอโทษที่ถามอะไรงี่เง่าออกไป กุผิดหมดล่ะ!!!
ลีทึกจึงจำใจต้องเป็นฝ่ายเดินไปส่งคังอินที่บ้านซึ่งอยู่ห่างออกไปเป็นกิโลโดยทำหน้าที่เป็นไม้ค้ำยันให้คนที่เดินกะเผลกคอยพักพิงไปด้วย
ยังดีที่ฝนซาลงไปมากแล้ว
ร่มคันใหญ่ที่ลีทึกถือบังสายฝนให้พวกเขาทั้งสองจึงแลดูมีประโยชน์มากกว่าตอนขามามากนัก
“หลังนี้ ถึงแล้ว” คังอินพยักเพยิดไปที่บ้านหลังหนึ่ง
ลีทึกจึงพยุงอีกคนไปส่งที่หน้าประตูหลังจากใช้เวลาเดินทางมาร่วมชั่วโมง
คังอินไขกุญแจเข้าบ้านแล้วหันมาบอกอีกฝ่ายก่อนที่คนร่างบางจะทันได้บอกลา “พรุ่งนี้เจอกัน”
ลีทึกอ้าปากค้าง
“ว่าไงนะ?” กะพริบตาปริบๆ
“ฉันบอกว่า ‘พรุ่งนี้เจอกัน’” คังอินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ็ดโมงเช้า ที่หน้าบ้านฉัน
ไม่งั้นฉันจะไปโรงเรียนสาย”
“เฮ้ย! แล้วทำไมฉันต้อง...!!??”
“นายไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง
มันความผิดฉันหรือเปล่าที่ฉันเดินขากะเผลก? ความผิดฉันหรือเปล่าที่พรุ่งนี้เช้าฉันต้องเดินไปโรงเรียนเพราะไม่มีมอ’ไซค์ขี่ ไกลก็ไกลขนาดนี้? อีกอย่างมอ’ไซค์ฉันล้มไปอย่างนั้นไม่รู้เสียตรงไหนบ้างไหม ต้องเอาไปซ่อมอีก นายคิดว่าทั้งหมดนี่เป็นความผิดของฉันเหรอไง? นาย...”
“โอเค พอๆหยุด สต๊อป!!!” ลีทึกยกมือขึ้นวางเป็นรูปกากบาท
น้ำเสียงฉุนเฉียว “ฉันรู้แล้วว่ามันเป็นความผิดฉัน!
ทั้งหมดเลย!!! พรุ่งนี้ฉันจะมารับนายที่หน้าบ้านตอนเจ็ดโมงตรง
จะพานายไปส่งที่โรงเรียนและแวะดูมอ’ไซค์ของนายด้วยว่าชำรุดเสียหายตรงไหนไหม
ถ้ามีฉันจะออกค่าซ่อมให้ พอใจหรือยัง?”
“อืมมม...” คังอินทำหน้าครุ่นคิด “...ก็พอนะ” พูดจบก็หันมามองลีทึกเต็มสองตา “ว่าแต่คุยกันมาตั้งนาน...นายชื่ออะไรเหรอ?”
ลีทึกฉุนกว่าเดิม...จริงสิ
เขาได้แต่ถามชื่อหมอนั่นทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่ได้คิดจะทำความรู้จักเขาเลยสินะ “ลีทึก!” ตอบเสียงสะบัดๆ
“ลีถึกเหรอ? อืมมม...ชื่อแมนดีนะ”
“ลีทึกโว้ย!!! ‘ลีทึก’ ไม่ใช่ ‘ลีถึก’ ออกเสียงให้มันดีๆ!!!”
///////////////////////////////////
“ว้าวเก่งจังเลย!!!”
“ชนะตั้งเกือบนาทีแน่ะ
สุดยอดไปเลย!!!”
“ขับแทบไม่ตกถนนเลยด้วยทั้งๆที่โค้งหักศอกนั่นยากโคตรๆแท้ๆ!”
“คิบอมชนะทงเฮแน่ะ
มีคนทำลายสถิติทงเฮแล้วเว้ย!!!”
การแข่งขันสิ้นสุดลงไปแล้วและทงเฮก็ได้แต่นั่งเป็นบ้าใบถือใยบัว...คิม
คิบอม...เด็กหนุ่มผู้ถูกอิมพอร์ตมาจากอเมริกาลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสบายๆ
มือใหญ่ยื่นมาตรงหน้าทงเฮอย่างจะขอเชคแฮนด์
คนหน้าหวานที่ตอนนี้ได้แต่ทำหน้าเอ๋อมองมือนั่นอย่างงงๆครู่หนึ่ง
ก่อนจะนึกได้ว่าต้องยื่นมือไปจับตอบตามมารยาท
คิบอมฉีกยิ้มจนแก้มจะปริพลางบีบมือเล็กตอบอย่างหนักแน่น “You’re so welcome for the next
match." ก่อนจะผละจากไปพร้อมกับแฟนคลับเป็นขบวนที่หามาได้ภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที
“เห็นมั้ยไอ้ลิง!? กุบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปแข่งกับไอ้นั่น!? ไม่เจียมกะลาหัวเลยนะเมิง!” ฮยอกแจไม่ทิ้งช่วงให้เพื่อนดื่มด่ำกับความพ่ายแพ้นานรีบสำทับทันที “ทีนี้ล่ะเมิงจะเอาหัวไปซุกไว้ไหนไอ้เพื่อนยาก!!??”
“เฮ้ย! คิบอม!!!” เหมือนทงเฮเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
คนร่างเล็กตะโกนลั่นพลางกระโจนออกจากที่นั่งหน้าตู้เกม คิบอมหันมามอง
เลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย
ทงเฮพุ่งเข้ามาหาเขาโดยแทบไม่ต้องแหวกฝูงชนราวกับทุกคนเต็มใจเปิดทางให้
เมื่อถึงตัว คนหน้าหวานก็ยื่นวัตถุบางอย่างออกไป...
...ร่มสีน้ำเงินลายทางคันนั้นนั่นเอง...
“นี่ร่มนาย
ฉันหยิบมันผิดไปเมื่อวาน” พูดรัวเร็ว
เขาเองก็ไม่อยากจะยืนอยู่ตรงนี้นานนักหรอก อายชาวบ้านจะตาย
“ร่ม? My umbrella?" คิบอมยังคงเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ใช่ ร่มของนาย
มันมีชื่อนายเขียนเอาไว้ แปลว่านายก็เอาร่มของฉันสลับไปเหมือนกัน” ทงเฮอธิบายด้วยความอดทน
คิบอมจึงหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
“This one?" ร่มสีน้ำเงินลายทางเหมือนกับคันที่อยู่ในมือของทงเฮเด๊ะถูกชูขึ้นตรงหน้า
คนหน้าหวานพยักหน้าหงึกหงักอย่างจะบอกว่าใช่จนคอแทบหลุด
“ใช่ๆ อันนั้นแหละ นั่นร่มฉัน
และนี่ก็ร่มนาย”
“No, อันนี้แหละ my umbrella"
คิบอมปฏิเสธ
พูดจบก็ยัดร่มคันเดิมกลับเข้าไปในกระเป๋าเรียบร้อย
ทงเฮอ้าปากค้างอย่างไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น
“หมะ...หมายความว่าไง?” น้ำเสียงเลิ่กลั่ก “อันนั้นน่ะร่มฉัน นายหยิบมันผิดไปเมื่อวานนี้
ส่วนร่มคันนี้น่ะของนาย มันมีชื่อนายเขียนอยู่นะ คิม คิบอม!!!”
“My umbrella ไม่มี my name เขียนอยู่” คิบอมพูดเสียงเย็น “นายคงจำ wrong person แล้ว ฉันขอตัว”
คิบอมเดินจากไปโดยยังคงทิ้งความมึนงงไว้กับทงเฮ
คนร่างสูงเดินไปหาเพื่อนร่างอ้วนที่นั่งเล่นเกมอยู่ไม่ไกล
ก่อนจะพากันกางร่มเดินออกไปจากร้านท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย
“คิบอม...”
“What’s up, ชินดง?”
“ร่มนายจริงๆแล้วมีชื่อนายเขียนอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“นายจำได้เหรอ?” คิบอมถามกลับเสียงเรียบ
“อืมมม...ก็แปลว่าร่มที่เด็กคนนั้นมีก็คือร่มนายน่ะสิ
แล้วร่มที่นายถืออยู่นี่ก็คือร่มของเด็กคนนั้น?”
คิบอมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “I think so."
“แล้วทำไม...?”
“ฉันไม่อยากได้ that umbrella คืน” คิบอมว่า “By the way, หมอนั่นเป็นคน pick umbrella ไปผิดแต่แรก”
“ทำไมล่ะ?” ชินดงไม่เข้าใจ
“Forget it." คิบอมพูดเสียงแข็ง “มันมี reasons ที่นายไม่จำเป็นต้อง know หรอก”
////////////////////////////////////
หลังจากการดวลกันของทงเฮและคิบอมที่ผลปรากฏออกมาว่าทงเฮแพ้หลุดลุ่ยผ่านไปเรียบร้อย
คยูฮยอนก็แยกตัวเดินกลับบ้านเนื่องจากบ้านของเขาอยู่คนละทางกับเพื่อนร่วมก๊วนอีกสองคน
ฝนยังคงตกโปรยปรายแม้จะไม่หนักมาก
คนร่างสูงจึงได้แต่หวังว่ามันจะไม่เทลงมาหนักกว่านี้ก่อนที่เขาจะเดินถึงบ้านซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่บล็อกถนนเสียก่อน
จู่ๆสายลมเย็นก็โชยมาไม่เบานักเล่นเอาเขาหนาวสั่นไปทั้งตัว
จะใช้ร่มช่วยบังก็ไม่ได้เพราะมันทำหน้าที่บังฝนอยู่
“ฮัดชิ้ว!!!”
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คยูฮยอนจะจาม
ด้วยดีกรีของเขาที่เป็นคนเป็นหวัดง่ายอยู่แล้ว
เด็กหนุ่มหน้าคมยกมือขึ้นเช็ดจมูกฟุดฟิด ก่อนที่จะ...
“ฮัดเช้ย!!!”
การจามเป็นวิธีหนึ่งในการนำเชื้อโรคออกจากร่างกาย
แต่การจามแรงๆก็อาจทำให้สมองของท่านกระทบกระเทือนได้ เหมือนคยูฮยอนในตอนนี้
อยู่ๆเขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงราวกับมีเข็มนับพันทิ่มเข้ามาในเนื้อสมอง
แล้วก็รู้สึกหนักศีรษะอย่างบอกไม่ถูก คนร่างสูงยกมือขึ้นกุมหัว
พยายามฝืนกายเดินต่อไปอีกพักเพราะอีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านของเขาแล้ว
ท่าทางสายฝนวันนี้จะทำให้ไข้ของเขาที่ลดไปเมื่อวานกลับมาอีก
คยูฮยอนรู้สึกว่าหัวของเขาหนักขึ้นเรื่อยๆในทุกๆก้าวที่ย่างไป
ดวงตาคมเข้มของเขาเริ่มพร่าและมองเห็นอะไรได้เพียงรางๆ...
...จนในที่สุดทุกอย่างก็มืดมิด...
“โอ๊ย!!!”
ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิวก่อนที่ร่างสูงเพรียวจะล้มคะมำลงไปกับพื้นฟุตบาท
ใบหน้าหล่อเหลาเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำฝนสกปรกรวมทั้งเสื้อผ้าและร่างกายส่วนอื่นๆของเขาด้วย
คยูฮยอนหอบหายใจแรง
แม้ร่างกายจะหมดแรงเอาดื้อๆแบบนี้แต่เขาก็ยังพอมีสติอยู่บ้างแม้จะเพียงลางเลือนก็ตาม…
“เฮ้ยนาย! เป็นอะไรหรือเปล่า!?”
เด็กหนุ่มร่างสูงได้ยินเสียงๆหนึ่งดังมาจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ร่างของใครบางคนโน้มตัวลงมามองเขา คยูฮยอนลืมตาขึ้นมาได้นิดหนึ่ง
มองบุคคลตรงหน้าเห็นเป็นเพียงเงาร่างมัวๆที่เครื่องหน้าผสมกลมกลืนกันไปหมดจนไม่สามารถแยกแยะรายละเอียดอะไรได้...
...ในที่สุด
สติของคยูฮยอนก็ดับวูบไปโดยสมบูรณ์...
...สิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้...คือร่มสีชมพูรางๆที่บดบังท้องฟ้าสีเท่าหม่นมัวไปจากสายตาของเขาเท่านั้น...
//////////////////////////////////////
“นี่นาย…!” ลีทึกส่งเสียงขู่ฟ่อใส่คังอิน...คนป่วยภายใต้การดูแลของเขาที่ดูจะสบายใจกับการมีไม้ค้ำยันเป็นลีทึกเกินไปหน่อยแล้ว “นายช่วยเดินให้มันตรงๆหน่อยจะได้ไหม!? ไม่ใช่เซไปเซมาแบบนี้
ไม่งั้นเราจะไปโรงเรียนสายกันทั้งคู่นะ!”
ขณะนี้เวลา 7.45 น.แล้ว
แต่ต้องข้ามถนนอีกหลายสายกว่าจะไปถึงตัวโรงเรียนโซดองโย...ทั้งๆที่ลีทึกตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าเนี่ยนะ!
ให้ตายเถอะตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยตื่นไปโรงเรียนเช้าขนาดนี้มาก่อนเลย!
ลีทึกใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวครึ่งชั่วโมงก่อนจะเดินออกไปรับคังอินตามคำบัญชา
แล้วก็ต้องใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมงในการลากสังขารอ้วนๆของมันมาโรงเรียนกับเขาด้วย
ถ้าเขาต้องตื่นตั้งแต่ไก่โห่ แล้วยังจะเข้าเรียนสายอีกเพราะอีตาคังอินนี่
วันนี้เขาจะใช้ตีนงามๆกระทืบแผลมันซ้ำเลยคอยดูเถอะ!
“ขอโทษนะ!
แต่ขาฉันมันเจ็บอย่างงี้แล้วจะให้ฉันเดินตรงๆได้ไงไม่ทราบ!? พูดอะไรหัดคิดซะบ้างนะนาย!
อีกอย่างช่วยเบิ่งตาดูให้ดีๆ ขาฉันมันบวมขึ้นจากเมื่อวานด้วย! เพราะนายคนเดียวเลย
ตัวซวย!”
“ขอโทษนะที่ไม่ได้สังเกต
แต่ฉันก็ว่ามันก็สมส่วนกับตัวนายดีนะจะได้รองรับน้ำหนักนายได้ไง”
“นายว่าฉันอ้วนเหรอ!!??” คังอินขึ้นเสียง
ลีทึกได้แต่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“อ้าวคังอิน!” เสียงใครบางคนทักมาจากด้านข้าง
ลีทึกและคังอินหันไปมองตามเสียง
“อ้าวฮีชอล!” คนร่างใหญ่ยิ้มร่าเมื่อเจอเพื่อนร่วมก๊วน “วันนี้ออกจากบ้านสายหรือไง? อีก 15 นาทีโรงเรียนจะเข้าแล้วนะเว้ย!”
“เมิงก็เหมือนกันนั่นแหละ
แล้วนั่นใคร?” ชะเง้อคอมองบุคคลหน้าใหม่ที่เขาไม่รู้จักชื่อ
คังอินจึงจัดการแนะนำ
“ลีทึกนี่ฮีชอล ฮีชอลนี่ลีทึก”
“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ฮีชอลทักทาย ลีทึกเองก็ทักกลับไปแบบเดียวกัน “ว่าแต่ขาเมิงเป็นอะไรล่ะเนี่ย
ทำไมต้องให้คนอื่นช่วยพยุง?” ฮีชอลมองเพื่อนตั้งแต่หัวจรดตีน
“เออเดี๋ยวค่อยเล่า” คังอินตอบปัดๆไป
“อ้อ
นี่นายเป็นเพื่อนกับฮีชอลหรอกเหรอ?” หลังจากพวกเขาเริ่มออกเดินไปด้วยกัน
ลีทึกก็กระซิบถามคังอิน
“ใช่ ทำไม? นายรู้จักหมอนี่เหรอ?”
“แล้วรู้จักซีวอนด้วยหรือเปล่า?” ลีทึกไม่ยอมตอบคำถาม
“ไอ้ซีวอนน่ะเหรอ? รู้จักสิ เพื่อนกลุ่มเดียวกับฉันเอง” คังอินตอบงงๆ
“มิน่าฉันถึงว่านายหน้าคุ้นๆ
เป็นเพื่อนกับซีวอนและฮีชอลนี่เอง”
“หมายความว่าไง?” คนร่างใหญ่เลิกคิ้วอย่างข้องใจ “นายรู้จักสองคนนั่น
แต่ไม่รู้จักฉัน?”
“ใช่ ก็นายมันเด่นไม่พอ” ลีทึกตอบหน้าตาย คังอินกัดฟันกรอด
“เดี๋ยวเหอะ...!”
อยู่ๆสายฝนก็เริ่มลงเม็ดเปาะแปะทั้งๆที่ฟ้าโปร่งมาตลอดทั้งเช้า
ลีทึกเบ้หน้าก่อนจะหยิบร่มคู่ใจคันใหญ่ออกมาจากกระเป๋านักเรียนกางให้ทั้งเขาและคังอิน เนื่องจากไอ้หมีควายก็คงจะบ่นว่าเจ็บแขนทำสำออยถือร่มเองไม่ได้อยู่ดี
ฮีชอลเปิดกระเป๋าควานหาร่มของตัวเองบ้างก่อนจะหยิบร่มสีเขียวสดใสออกมา
“หืมมม...สีเขียวเชียวนะเมิง!” คังอินทำเสียงหมั่นไส้
“แหงสิ” ฮีชอลเชิดใบหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโสในขณะที่กางร่มสีเขียวคันนั้นบังสายฝนให้ตัวเอง “วันนี้วันพุธ ฉันก็ต้องใช้สีเขียว
เหมือนที่เมื่อวานเป็นวันอังคารฉันก็ใช้ร่มสีชมพูไง!”
////////////////////////////////////
“แม๊งงงงง
ล่มกุหายปายหนายอีกแล้ววววววววววววว!!!”
เสียงเหน่อๆของฮันกยองโวยวายลั่นร้านกาแฟยามเช้าที่มีเด็กนักเรียนพลุกพล่านเหมือนปกติ
เมื่อ 5 นาทีที่ผ่านมาอยู่ๆฝนก็ตกซู่ลงมาจนเขาแทบจะกางร่มคันใหม่ไม่ทัน
เกิดความคิดว่าจะแวะเข้ามาหลบฝนที่ร้านกาแฟนี่พร้อมทั้งซื้อขนมปังและกาแฟกินเป็นอาหารเช้าเพราะกำลังจะเข้าเรียนสายอยู่รอมร่อ
ฮันกยองจึงตากร่มไว้บนที่ว่างของร้านที่มีประชากรร่มจำนวนมากวางอยู่ก่อนแล้ว
หลังจากซื้อกาแฟและขนมปังเสร็จ หันมาอีกทีเขาก็พบว่า...
...ร่มกุมันหายไปไหนอีกแล้วโว๊ยยยยยยยยยย!!!!???
เสียงโวยวายนั่นทำเอาคนหันมามองทั้งร้าน
แต่ก็ไม่มีใครช่วยเขาได้
ฮันกยองแทบจะพลิกกองร่มที่ตากเบียดเสียดกันอยู่นั่นหาด้วยความโมโห...ไอ้โง่ตัวไหนมันหยิบร่มของเขาผิดไป!? ทั้งๆที่เขาเขียนชื่อติดเอาไว้แล้วก็ยังจะตาถั่วไม่ดูให้ดี!
อีกอย่างตอนวางร่มเอาไว้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าของเขาเป็นร่มสีเทาคันเดียวที่มีอยู่ในบริเวณนั้น
ขนาดนี้แล้วยังจะมีไอ้ฟายตัวไหนหยิบผิดไปอี๊กกกก!!!?? ฮันกยองโกร๊ธธธธธ!!!
จนแล้วจนรอดเด็กหนุ่มชาวจีนก็หาร่มไม่เจอ...มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆ...ทำไมโชคชะตาถึงชอบเล่นตลกกับเขาแบบนี้อยู่เรื่อย!? ฝนที่ตกหนักข้างนอกนั่นทำให้ใจหนึ่งฮันกยองอยากจะหยิบร่มคันไหนก็ได้ที่อยู่ตรงนั้นไปเสียเป็นการแก้แค้น
แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ...เขาเข้าใจความรู้สึกของคนที่โดนขโมยร่มดีแล้วถ้างั้นเขาจะไปทำแบบนั้นกับคนอื่นทำไม?...
ฮันกยองจัดการกินขนมปังและซดกาแฟให้หมดอย่างรวดเร็วก่อนจะออกไปจากร้าน
อีก 5 นาทีโรงเรียนจะเข้าแล้ว
ถ้าเขาไม่อยากไปสายก็คงรอให้ฝนซาไม่ได้และเขาก็คงจะต้องเดินตัวเปียกไปโรงเรียน...
ฮันกยองยกกระเป๋าสะพายขึ้นบังศีรษะแทนร่มก่อนจะก้าวเท้าออกไปจากใต้ชายคา
เตรียมตัวเต็มที่ว่าจะต้องเปียกบ้างไม่มากก็น้อย
แต่แล้วเด็กหนุ่มชาวจีนก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่มีฝนสักแหมะหยดลงมาใส่กระเป๋านักเรียนของเขา...
“ไปด้วยกันไหมครับ?”
เสียงๆหนึ่งดังขึ้นข้างๆกาย
เล่นเอาฮันกยองตกใจว่ามีใครบางคนมายืนอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่...ร่างโปร่งหันไปมองต้นเสียง
แทนที่เขาจะยืนตากฝนอยู่อย่างที่คิด
ใครบางคนข้างเขานั้นกลับกำลังกางร่มสีดำคันใหญ่บังสายฝนให้เขา...
...และรอยยิ้มอบอุ่นของชเว
ซีวอนที่ส่งมานั้น ก็ทำเอาลมหายใจของฮันกยองขาดห้วงไปในบัดดล...
ความคิดเห็น