คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : Umbrella '18': ร่มคันที่ 18 [END]
“นี่ลีทึก”
คังอินตะโกนฝ่าเสียงสายลมหวีดหวิวที่พัดปะทะหน้าเขาขณะขี่มอเตอร์ไซค์ไปยังลีทึกที่นั่งอยู่ข้างหลัง
บ่ายวันนี้เป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่แดดออกและอากาศก็ดีเอามากๆ
คังอินรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
“หืม?”
ลีทึกนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง อ้อมแขนเรียวเกี่ยวกระหวัดเอวของคังอินไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว
“นายชอบฉันบ้างไหมเนี่ย?”
คำถามที่ไดร์ฟชู้ทมาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำเอาลีทึกแทบตกมอเตอร์ไซค์
นางฟ้ามองเด็กหนุ่มร่างหนาที่นั่งอยู่หน้าเขา ก่อนจะยื่นมือไปเขกมะเหงกมันหนึ่งที
“โอ๊ย!”
คังอินร้องลั่น เจ็บแสนเจ็บแต่ไม่กล้าละมือจากแฮนด์รถมาคลำหัวตัวเองกลัวจะทำมอเตอร์ไซค์ล้มอีก
“เขกหัวเขาทำไมอ้า!?”
“ก็ถามอะไรโง่ๆ!”
ลีทึกแหว และคังอินก็สวนกลับทันที
“โง่ยังไง!?
คนเป็นแฟนกันถามกันว่าอีกฝ่ายชอบตัวเองบ้างไหมแบบนี้น่ะเหรอเรียกโง่!?”
ลีทึกหน้าแดงแปร๊ด
อยู่ๆมันก็ทึกทักเอาว่าเขาเป็นแฟนมันแล้ว ไอ้หมีเวรนี่...
“ก็โง่น่ะสิ
ถ้าไม่ชอบกันเขาจะมาเป็นแฟนกันหรือไง!?” ลีทึกย้อน
คังอินกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหัวเราะลั่นขึ้นมาได้ จริงด้วยแฮะเขาลืมไป...
...แต่เออ พูดแบบนี้งั้นก็แปลว่าลีทึกชอบเขาน่ะสิ? และนางฟ้าก็ไม่ปฏิเสธใช่ไหมว่าเราเป็นแฟนกัน!?
จู่ๆคังอินก็เบรกมอเตอร์ไซค์กะทันหัน
ลีทึกที่ไม่เคยตั้งตัวทันสักทีถูกแรงเฉื่อยผลักไปด้านหน้าจนทั้งตัวถลาเข้าหาแผ่นหลังของคังอินเต็มรักกระแทกเข้าไปเต็มแรง
เมื่อทรงตัวได้และปัดเผ้าผมที่ตกลงมารกรุงรังเต็มหน้าเรียบร้อย ลีทึกก็แหวลั่นทันที
“ทำอะไรของนายน่ะหา!?”
แต่สายตาของคังอินที่มองตอบมาไม่ได้เจือความรู้สึกผิดแม้แต่นิด
ประกายแวววาวที่ลีทึกเห็นในนั้นทำให้เขารู้สึกผวาได้อย่างประหลาด
“อะ...อะไร?”
เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ มองกุตาเป็นมันอย่างงี้แปลว่าอะไร?
“ลีทึก...”
น้ำเสียงของคังอินเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
แล้วยังดวงตาคู่กลมที่ท่วมท้นไปด้วยความปิติยินดีนั่นอีก นี่มันอาร๊าย!?
“มะ...มีอะไรคังอิน?”
ลีทึกเริ่มผงะถอย อยู่ดีๆทำไมมันถึงทำตัวน่าขนลุกขึ้นมาล่ะ!?
“ลีทึก
ตกลง...เราเป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม?”
ลีทึกกะพริบตาปริบๆ
ริมฝีปากบางที่เผยอเพียงนิดเตรียมต่อปากต่อคำอ้าหวออยู่อย่างนั้นเพราะพูดไม่ออก
เป็นเวลาครู่ใหญ่กว่าเขาจะหุบปากได้ แก้มเขาขึ้นสีระเรื่อขึ้น
แล้วนางฟ้าก็หลบสายตาอย่างเขินๆ
แค่นั้นก็ทำให้คังอินดีใจจนเนื้อเต้นไปทุกส่วนทั่วเรือนร่าง
หัวใจเขาเต้นรัวเป็นตีกลอง ทั้งๆที่ตั้งใจจะแกล้งถามลีทึกเล่นๆแท้ๆว่าชอบเขาไหม
ไปๆมาๆมันกลายเป็นเรื่องจริงจังไปเสียได้
ไม่ใช่ไม่ชอบหรอกนะที่สถานการณ์กลายเป็นแบบนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
เขาดีใจจะตายห่าเลยต่างหาก
“ลีทึก...”
คังอินเอื้อมมือมากุมมือนิ่มของนางฟ้า และคนตัวเล็กกว่าก็ไม่ได้ขัดขืน หัวใจของคังอินลิงโลดอย่างเริงร่า
เขาแกล้งยกมือของลีทึกขึ้นมามอบจุมพิตเบาๆให้ที่หลังมือนุ่ม
แต่คราวนี้เด็กหนุ่มร่างบางชักมือออกกะทันหัน ดวงตาคู่สวยหันกลับมามองดุๆ
ใบหน้าขุ่นเคืองบึ้งตึง
“ได้คืบอย่าเอาศอกโว้ย!!!”
//////////////////////////////////////////
ทงเฮกับคิบอมนั่งทานไอศกรีมกันอยู่บนชิงช้าที่สนามเด็กเล่นแถวเกมเซ็นเตอร์
วันนี้พวกเขาตัดสินใจจะไม่เล่นเกมสักหนึ่งวันแล้วลองใช้เวลาทำอย่างอื่นด้วยกันดูบ้าง
ทงเฮทานไอศกรีมรสสตอว์เบอร์รี่ของโปรด
เขาถือโคนสีน้ำตาลไว้ในมือแล้วใช้ลิ้นเลียอย่างเมามัน (กรุณาอย่าคิดลึก)
คิบอมนั่งมองท่าทางนั้นอย่างเอ็นดู
เขาไกวชิงช้าของตัวเองเบาๆผิดกับทงเฮที่เหวี่ยงมันเต็มแรงเท่าที่ทีขาทั้งสองของเขาจะส่งพลังไหว
ชิงช้าเขาจึงพุ่งขึ้นสูงไปข้างหน้า
ก่อนจะดิ่งลงมาแล้วถูกเหวี่ยงขึ้นสูงอีกครั้งทางด้านหลัง
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของโซ่ทำเอาคิบอมกลัวอยู่เหมือนกันว่ามันจะรับน้ำหนักทงเฮไม่ไหวแล้วพังลงมาเมื่อไหร่ก็ได้
แต่ปลาน้อยไม่ใส่ใจและก็ดูจะสนุกสนานอยู่คนเดียว
“เดี๋ยวก็
tumble ลงมาหรอก”
คิบอมปรามเมื่อเห็นว่าทงเฮชักจะเล่นเยอะไปแล้ว
ปลาน้อยเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจภาษาเกาหลีสุดวิบัติของอีกคน
“หา!?”
แต่กระนั้นเขาก็ชะลอความเร็วของชิงช้าลง คิบอมอมยิ้ม
อย่างน้อยเขาก็ประสบความสำเร็จในการทำให้ทงเฮหยุดชิงช้านั่นก็แล้วกัน
“ฉันบอกว่า
เดี๋ยวก็คะมำลงมาหรอก” คิบอมอธิบาย
แต่เขาไม่ยอมปล่อยให้ทงเฮเล่นอะไรหวาดเสียวแบบนั้นแล้วทิ้งให้เขานั่งแกร่วอยู่ตรงนี้คนเดียวอีกหรอก
มือใหญ่เลื่อนไปกุมมือนิ่มของทงเฮข้างที่ไม่ได้ถือไอศกรีมซึ่งเป็นด้านที่อยู่ติดกับคิบอมพอดี
ปลาน้อยเลิกคิ้ว
“จับมือทำไม?
แล้วฉันจะเล่นชิงช้าได้ยังไงล่ะ?” ประท้วงเบาๆ
“ก็ไม่ให้เล่น”
คิบอมฉีกยิ้มร่าอย่างน่ารักแบบที่ทำให้เขาตาหาย แต่ทงเฮกลับเห็นว่ามันเป็นยิ้มกวนประสาท
“อะไรอ่ะ?
นายเป็นคนชวนออกมาเล่นชิงช้า แล้วอยู่ๆก็มาบอกว่าไม่ให้เล่นแล้ว
แบบนี้ก็กลับไปเล่นเกมดีกว่ามั้ย?”
“No!” คิบอมปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันอยาก play ชิงช้า
แต่เอาแบบ slowly เราจะได้นั่ง talk กันได้ไง”
ทงเฮเลิกคิ้ว
จริงๆเขาก็เริ่มจะชินกับนิสัยเอาแต่ใจเงียบๆของคิบอม และดังนั้นจึงไม่ประท้วงอะไร
กลีบปากอิ่มงับเบาๆที่เนื้อไอศกรีมสีชมพูสดใส
ก่อนจะใช้ลิ้นไล้ริมฝีปากตัวเองเก็บเกี่ยวรสชาติหวานหอมที่เลอะอยู่บนกลีบปากให้หมด
และคิบอมก็มองกิริยานั้นด้วยตาไม่กระพริบ
“นี่คิบอม...”
ทงเฮเอ่ยขึ้น
สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่ก้อนไอศกรีมมองหามุมที่ทำท่าว่ากำลังละลายเพื่อจะได้จัดการมันก่อนจะหยดใส่มือเขา
“...ตกลงนายเอาร่มฉันไปทำไมเหรอ?”
คิบอมเบิ่งตาโตด้วยความคาดไม่ถึงกับคำถาม
“คือ...ฉันไม่ได้จะทวงร่มคืนหรืออะไรหรอกนะ”
ปลาน้อยรีบบอกก่อนจะงับไอศกรีมสีชมพูไปอีกคำ เขาตัดใจเรื่องนั้นแล้ว
ถ้าหากคิบอมอยากได้มันนักก็เอาไปเหอะ ในเมื่อเขาก็มีร่มของคิบอมไว้ใช้
ก็ไม่ได้เสียหายอะไร “แค่อยากรู้ว่ามันมีเหตุผลอะไรที่นายถึงไม่ยอมคืนฉัน”
“อ้อ...”
คิบอมเอ่ยขึ้นเบาๆ น้ำเสียงเขาฟังดูครุ่นคิดอย่างประหลาด ทงเฮเลิกคิ้ว
เงยหน้าขึ้นจากไอศกรีมของตัวเองแล้วมองอีกคนอย่างรอคอย
จนในที่สุดพ่อเด็กนอกก็ยักไหล่
“I don’t know.” เขาตอบหน้าตาย
แต่น้ำเสียงเหมือนซุกซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในใจ
“ห๊ะ!?
หมายความว่ายังไงที่ว่าไอด๊อนโน?’ ทงเฮโวยวาย
“ก็หมายความว่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะสิ”
คิบอมตอบหน้าตายอีกครั้ง
“ฉันรู้ว่ามันแปลว่าอะไรโว้ย!”
ปลาน้อยขึ้นเสียง “แต่มันหมายความว่ายังไงที่ว่า ‘นายไม่รู้’!? แกล้งหยิบร่มของคนอื่นผิดไปแล้วไม่คืนเนี่ยนะ!?”
“ใครกันแน่ที่หยิบ
umbrella ใครผิดก่อน?” คิบอมอมยิ้มแก้มตุ่ย
“Not me for sure.”
“แต่นายไม่ยอมคืนฉัน!”
ทงเฮแหว “ทำไม!?”
“อยาก
know นักใช่ไหม?” คิบอมถามเสียงเรียบ
และนั่นก็ทำให้ทงเฮหุบปากสนิทได้ในทันที ดวงหน้าสวยหวานนิ่งเงียบอย่างรอคอย
และคิบอมก็รู้ว่าหากเขาไม่ให้คำตอบไป ทงเฮจะต้องตื๊อเขาด้วยคำถามนี้ด้วยเวลาทั้งวันที่เหลืออยู่
คิบอมจึงกลั้นใจ... “เพราะ...my umbrella มันมี my
name เขียนอยู่บนนั้น ฝีมือ my mom แท้ๆเชียว
และ I ก็ dislike มันเอามากๆ”
ทงเฮอ้าปากค้าง
นี่หรือเหตุผลของมันที่เอาร่มของกุไป? ฟังไม่ขึ้นเว้ย! ปลาน้อยตั้งท่าจะด่า
แต่คิบอมก็ขัดขึ้นก่อนด้วยคำอธิบายต่อไป
“นั่นคือ
my idea ในตอนแรก...” เขาเอ่ยเบาๆ “พอ I met you วันต่อมาและนายมาขอ umbrella คืน ฉันก็ change
my mind ฉันไม่มีวันยอมคืน umbrella ให้นายแน่...”
เขาหันมาสบดวงตากลมโตที่เปี่ยมไปด้วยความงุนงงของทงเฮ
รอยยิ้มจางระบายอยู่ที่มุมปากดูหล่อเหลายิ่งกว่าใคร “...ถ้าหากมันจะเป็น reason
ที่ทำให้ you มาหาฉัน everyday ละก็ I ก็จะ keep มันไว้ไม่มีวันยกให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น
แม้แต่ you”
/////////////////////////////////////
“ฮีชอลคร๊าบบบ~”
น้ำเสียงใสแต่ระคายประสาทหูของคิม
ฮีชอลเป็นที่สุดทำให้เจ้าของชื่อนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
นี่มันจะยังไม่เลิกตื๊ออีกหรือ? เด็กหนุ่มร่างบางหันไปตามเสียงเรียก
ส่งสายตาหยามเหยียดและใบหน้าบึ้งตึงไปให้เป็นคำทักทายยามสายัณห์
“นายต้องการอะไรจากฉันอีกไม่ทราบ?”
เมื่อวันก่อนที่ไอ้เด็กเวรนี่ทำหน้าด้านมาถามเขาว่า
‘ขอจีบจะได้ไหม?’ ฮีชอลถึงขั้นทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
หน้าตาอย่างเขามีหนุ่มๆสาวๆมารุมจีบตั้งมากมาย
แต่เขาไม่เคยเจอใครที่ปากกล้าหน้าด้านเท่าคนนี้
วันนั้นฮีชอลจึงรีบจ้ำอ้าวจากไปด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ
มานึกตอนนี้แล้วก็อยากจะเขกหัวตัวเองจริงๆว่าทำไมถึงได้เขินมันได้ถึงขนาดนั้น
ทำอย่างกับเป็นเด็กสาวแรกแย้มที่เพิ่งเคยถูกจีบเป็นครั้งแรกไปได้นะคิม ฮีชอล!!!
แล้ววันนี้ไอ้เด็กเวรนั่นมันก็มาดักรอเขาที่หน้าโรงเรียนอีกแล้ว
ยังจะมายุ่งอะไรกับชีวิตกุอี๊ก!!!??
“ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ?”
ฮยอกแจเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเริงร่า ฮีชอลถลึงตา
“เมื่อวันนั้นฉันก็เลี้ยงข้าวนายไปแล้วไงวะ!”
เขาแหวลั่น “ฉันตกลงว่าจะเลี้ยงข้าวนายแค่มื้อเดียว แค่นั้นจบ
ดังนั้นเราไม่ติดค้างอะไรกันอีกแล้ว ขอบใจที่เอาแหวนมาคืน!”
เขาหันหลังกลับตั้งท่าจะเดินไป แต่ฮยอกแจไม่ยอม จ้ำอ้าวตามมาติดๆจนไล่ทันฮีชอล
“มื้อนี้ผมเลี้ยง”
เขาเอ่ยขึ้น “แลกกับที่คุณเลี้ยงข้าวผม”
“ไม่เป็นไรขอบใจแต่ฉันมีเงินกินข้าวเอง!”
เด็กหนุ่มร่างบางสวนกลับอย่างไม่แยแส
“แต่ผมอยากเลี้ยง”
น้ำเสียงยืนกรานอย่างเอาแต่ใจนั่นทำเอาฮีชอลหันไปมองอย่างไม่เชื่อหู
ฮีชอลเป็นคนเอาแต่ใจ และตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครท้าทายเขาด้วยนิสัยเดียวกันนี้มาก่อน
นอกจากนั้นนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วยที่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนนี้มันตื๊อเขาแบบนี้...
ชักน่าสนใจเสียแล้วสิ...
“มั่นใจเหรอว่าจะเลี้ยงข้าวเย็นฉัน?”
ฮีชอลหยุดเดิน เชิดคางขึ้นสูงด้วยท่าทีหยิ่งยโสแบบที่ทำเอาฮยอกแจเสียวสันหลังวาบ
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย เริ่มเห็นแววรำไรว่าถ้าคิดจะจีบคิม ฮีชอล
กระเป๋าเขาคงฉีกตั้งแต่ต้นเดือนเป็นแน่แท้
และลางสังหรณ์นั่นก็ถูกยืนยันด้วยประโยคต่อมาที่ออกจากปากคนร่างบาง
“งั้นก็อย่าปอดแหก
ตอนที่ฉันเลือกร้านก็แล้วกัน”
/////////////////////////////////////
คยูฮยอนดักรอซองมินอยู่ที่หน้าโรงเรียนโซดองโย
แล้วก็ฉีกยิ้มเขินๆขณะเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มร่างเล็ก
ปกติเขามักจะชะเง้อคอมองหาร่มสีชมพูที่ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของซองมิน
แต่ถึงวันนี้ฝนจะไม่ตก กระต่ายน้อยก็ยังดูเด่นด้วยกระเป๋าสะพายสีชมพูแป๋นแหล๋นที่สะดุดตายิ่งกว่าใคร
ดังนั้นจึงหาตัวไม่ยากเลย
“ซองมิน”
คยูฮยอนร้องทักขณะเดินเข้าไปหาคนตัวเล็ก ซองมันหันมาแล้วยิ้มอย่างเอียงอาย
“สวัสดีคยูฮยอน”
สถานการณ์ออกจะกระอักกระอ่วนอยู่สักหน่อย
หลังจาก 3 วันที่ถูกผูกติดกันตลอดเวลาด้วยด้ายแดงแห่งรัก
มาตอนนี้เมื่อพวกเขามีอิสระจะไปไหนได้ตามใจโดยไม่มีอีกคนเดินตามต้อยๆอยู่ข้างๆก็ให้ความรู้สึกที่แปลกออกไป
เหมือนชีวิตของเขาขาดอะไรไปบางอย่าง...
และคยูฮยอนก็ไม่ชอบความรู้สึกเว้าแหว่งนี้เอาเสียเลย
“วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง?”
หมาป่าเอ่ยถามขณะที่พวกเขาเดินเคียงกันไปยังรถเวสป้าสีชมพูกระตู้ฮู้ว~ของซองมินที่จอดอยู่ริมรั้วโรงเรียน
“ทรงน่าเบื่อหน่ายเช่นทุกวัน”
ซองมินยักไหล่ เขาปลดโซ่ล็อกล้อรถเวสป้าแล้วลากมันออกมาที่ถนน
“เอ่อ...ซองมิน”
คยูฮยอนขัดขึ้น “วันนี้ให้ฉันเป็นคนขับได้ไหม?”
“หา?”
ซองมันหันมามองอย่างแปลกใจ แต่คยูฮยอนฉีกยิ้มให้อย่างมั่นใจ
“ขอฉันขับบ้างสิ
เวสป้าคันนี้น่ะ” เด็กหนุ่มร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“นายเป็นคนขับอยู่คนเดียวทุกวัน ไม่แฟร์เลยนี่นา
ฉันเองก็อยากเป็นคนที่ดูแลซองมินได้ในทุกเรื่องๆแบบที่เสด็จแม่ของนายวางใจให้ฉันทำเหมือนกัน”
ถ้าแสงแดดสดใสยามบ่ายไม่ได้หลอกเขา
คยูฮยอนก็สาบานได้ว่าใบหน้าหวานของซองมินแดงระเรื่อขึ้นมาวูบหนึ่ง
ก่อนจะกลับมาเป็นสีเดิม
“นายทรงขี่เป็นเหรอ?”
ซองมินถามอย่างไม่แน่ใจ
“นายก็สอนฉันได้นี่”
คยูฮยอนก้าวไปข้างหน้า ทาบมือของตัวเองลงบนมือนิ่มของซองมินที่จับอยู่บนแฮนด์รถเวสป้าอยู่ก่อน
“พร้อมจะสอนฉันหรือยังล่ะ?”
ดวงตากลมใสแป๋วของซองมินจ้องเข้าไปในดวงตาคู่คมของคยูฮยอน
เด็กหนุ่มร่างสูงเห็นประกายตื่นเต้นปรากฎอยู่ในนั้น
ก่อนที่ซองมินจะพยักหน้าอย่างแข็งขัน
“โอเค”
หมาป่าหัวเราะ ก่อนจะก้าวขึ้นคร่อมที่นั่งคนขับ ซองมินเลื่อนกายขึ้นซ้อนท้าย
เขากระชับอ้อมแขนอวบรอบเอวของคยูฮยอนอย่างให้กำลังใจ
กลีบปากสีชมพูอิ่มของเขาขยับเจื้อยแจ้วบอกวิธีขับรถให้คยูฮยอน
“นายต้องใช้พระบาททรงถีบขาหยั่งตรงนั้นพร้อมกับใช้พระหัตถ์ขวาบิดที่แฮนด์เร่งเครื่องยนต์...ค่อยๆบิดเบาๆก่อนนะคยูฮยอน
นั่นแหละ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายบิดคลัชตรงนี้เพื่อเปลี่ยนเกียร์
เห็นไหมรถทรงเคลื่อนแล้ว...”
แล้วคยูฮยอนก็ขับรถเวสป้าคันนั้นออกไป
มีซองมินซ้อนท้าย แสงแดดอบอุ่นอาบไล้ร่างของทั้งสอง
มันช่างเป็นวันที่สดใสเหมาะแก่การเริ่มต้นสิ่งแปลกใหม่ กับใครคนเดิม
คนที่เขาจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ
“อากาศดีแบบนี้อย่าเพิ่งกลับบ้านเลยนะ”
คยูฮยอนเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง “ไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหมซองมิน?”
คยูฮยอนรู้สึกถึงแรงกอดที่เอวที่กระชับแน่นขึ้นครู่หนึ่ง
ก่อนซองมินจะตอบกลับมา
“อื้อ...ตกลง”
/////////////////////////////////////
ห้องทั้งห้องเงียบกริบแม้จะมีคนอยู่ไม่น้อย
ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสองแต่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิบ
แต่กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือขยับตัว
แม้แต่ลมหายใจก็พยายามจะปล่อยออกมาให้เบาที่สุดเพราะเท่าที่เป็นอยู่นี้
พวกเขาก็ได้ยินเสียงหายใจของกันและกันชัดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
เยซองเบิกตาโพลง
จ้องคนร่างเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาและประสาทสัมผัสของตัวเอง
เรียวอุคยืนนิ่ง จ้องเขม็งกลับมาที่เขา
ดวงตาคู่สวยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแฝงประกายท้าทาย
แต่เยซองจับได้ถึงอาการสั่นเทาในร่างของอีกฝ่ายแม้จะเพียงเล็กน้อย เรียวอุคกลัว
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะเผชิญกับความกลัวนั้นซึ่งๆหน้าอย่างบ้าบิ่นแบบที่ทำมาเสมอ
ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่กล้าหาญชาญชัยดีแท้
ความเคลื่อนไหวซึ่งปรากฏที่หางตาทำให้เยซองตระหนักได้ว่าไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคนอยู่ในห้อง
จริงๆเขาก็รู้ข้อนี้อยู่แล้วเพียงแต่สมองราวกับจะลืมเลือนไปชั่วขณะ
เลือกที่จะรับรู้แต่เพียงรสสัมผัสและสายตาของเรียวอุคเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นข้อเท็จจริงนั้นกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอับอายแบบที่ควรจะเป็น
ตรงกันข้ามสมองของเขากลับหันไปสนใจบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากขึ้นอีก
มันสั่งให้เขามองแต่เรียวอุค รับรู้แต่เรียวอุค
และเยซองก็ไม่รู้สึกอยากจะขัดใจมันตอนนี้เสียด้วย
“...นายคิดว่าไง?”
คำถามของเรียวอุคสะท้อนก้องไปมาอยู่ในสมอง
ฉันคิดอะไรว่ายังไง? ยังจะเหลืออะไรให้คิดได้อีก?
เป็นเวลาพักใหญ่ที่เยซองยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
จ้องมองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่ไม่อาจตีความหมาย
นานจนใจของเรียวอุคเริ่มฝ่อและเขาก็เริ่มจะท้อจนกู่ไม่กลับแล้ว
ในที่สุดเยซองก็ยื่นมือมาข้างหน้า
แววตาที่แข็งกร้าวอยู่เสมอบัดนี้แฝงประกายอ่อนโยน...แม้จะเพียงนิดเดียวเท่านั้น
แต่เรียวอุคก็ยังสังเกตเห็น...
“มานี่สิ...” เด็กหนุ่มหน้ากลมเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาแต่มั่นคง
เขากระตุกยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่งเมื่อเห็นเรียวอุคเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“...ไปกินข้าวกันไหม? มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
/////////////////////////////////////
ร้าน
ที่ฮีชอลเปิดประตูเข้าไปเป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่เขาเล็งมานานแล้วแต่ยัง
ไม่มีโอกาสได้ย่างกรายเข้ามากินสักทีเพราะเห็นราคาแล้วก็หนาวไม่ใช่เล่น
วันนี้ฤกษ์งามยามดีมีคนกระเป๋าหนักใจบุญอยากจะช่วยให้เขาท้องอิ่ม
และแม่ก็สอนเขาเสมอๆว่าอย่าขัดคนมีศรัทธา ดังนั้นฮีชอลก็จะสงเคราะห์ให้เดี๋ยวนี้แหละ
ฮยอกแจปากอ้าตาค้างเมื่อเดินตามฮีชอลเข้าไปในร้าน
เขาเคยเดินผ่านที่นี่หลายครั้งแต่ไม่เคยคิดที่จะเหยียบเข้ามาเลยเพราะราคาท่าจะไม่น่ารักเท่าไหร่
แต่ฮีชอลกลับเดินเข้าไปแบบไม่ยี่หระต่อสิ่งใด เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ
เขากลืนน้ำลายเอื๊อกแล้วสูดลมหายใจลึกเข้าปอด...เอาก็เอาวะ!
“อ้าวฮีชอล”
หืม...ใครเอ่ยชื่อคุ้นๆ? เสียงคุ้นหูที่ร้องทักทำให้ฮีชอลหันขวับไปมองอย่างไม่เชื่อสายตา
ซีวอนนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านริมระเบียงที่เปิดออกไปเห็นสวนสไตล์ยุโรปด้านนอกสวยสะดุดตาพร้อมด้วยฮันกยองที่รักคนใหม่ของมัน...แม่ง!
อะไรนักหนาเมื่อวันก่อนก็เจอกันในร้านอาหารไม่ใช่หรือไง!? ทำไมรสนิยมช่างตรงกันได้ขนาดนี้เมิงช่วยเลือกร้านอื่นที่ไม่ใช่ร้านเดียวกับกุมั่งได้ไหม!?
กุไม่อยากเจอเมิงตอนเน้ๆๆๆๆ!!!
ฮีชอลนึกในใจอย่างหัวเสีย
สมองกระหวัดคิดไปถึงเย็นวันนั้นแล้วก็เสียวสันหลังวาบ แล้วต่อไปจะอะไรอีก? คังอินรึ?
“กุรู้ว่าเมิงคิดอะไรอยู่
ไม่ต้องมามองหน้ากุอย่างนั้น” ซีวอนเอ่ยขึ้นเสียงเขียว
คิดว่าเขาสบอารมณ์นักรึไงวะที่เจอฮีชอลที่นี่? กะจะมากะหนุงกะหนิงกับฮันกยองสักหน่อยดันมีมารผจญซะได้
ตูละเบื่อจริงๆ!
ฮีชอลกระแทกก้นนั่งลงบนโต๊ะที่จงใจให้อยู่ห่างกับซีวอนและฮันกยองพอสมควร
ซีวอนหรี่ตามอง
วันนั้นเขามัวแต่พะวงเรื่องฮันกยองจนไม่ทันได้สนใจคู่เดทคนใหม่ของฮีชอล
ยังดูเด็กอยู่เลยหมอนั่นไปสอยมาจากไหนอีกละเนี่ย!?
“ม่ายปายน่างกาบเพื่อนเหรอ?”
คนจีนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหน่อสุดตีนที่ชาตินี้ก็คงจะพัฒนาไปมากกว่านี้ไม่ได้
แต่นี่แหละเป็นสเน่ห์พิสดารที่ซีวอนหลงหนักลงหนาในตัวฮันกยอง
เด็กหนุ่มร่างสูงส่ายหน้าพลางอมยิ้ม
“ไม่เอาหรอก...ผมจะไปนั่งกับมันทำไมเจอหน้ากันทั้งวันอยู่แล้ว?
อยู่กับเกิงน่าชื่นใจกว่าตั้งเยอะ” สิ้นคำพูดเขา ประตูร้านก็เปิดออกอีกครั้งและบุคคลสองคนที่เดินเข้ามาในร้านก็ทำให้ฮยอกแจเบิกตาโพลง
“ไอ้คยู!”
คยูฮยอนหันขวับมาตามเสียงเรียกในทันใด
“อ่าวไอ้ฮยอก มาทำอะไรที่นี่?”
น้ำเสียงประหลาดใจเพียงนิดของคยูฮยอนทำให้ฮยอกแจรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ...หนอย
กุจะมานั่งเสนอหน้าอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือยังไงวะ? คยูฮยอนกับซองมินเดินมานั่งที่โต๊ะว่างไม่ห่างจากโต๊ะของฮยอกแจ
แล้วทั้งคู่ก็คุยกันกะหนุงกะหนิงราวกับเขาไม่มีตัวตน
ไม่สนใจเสียด้วยซ้ำว่าฮยอกแจนั่งอยู่กับใคร
เอาเหอะ
สองคนนั่นมันคงไปกันได้ดีแล้วล่ะนะ
“มัวแต่มองชาวบ้านอยู่ได้
ดูเมนูสิจะสั่งอะไร!” ฮีชอลแหวเบาๆเมื่อเห็นฮยอกแจเอาแต่มองนั่นมองนี่
เด็กหนุ่มสะดุ้งเพียงนิดก่อนจะหันกลับมาสนใจเมนูของตัวเองตามคำสั่ง
“ฮีชอลกินอะไรล่ะครับ?”
เขาเอ่ยถามขณะกวาดสายตาไปทั่วเมนู
หืม...เห้อะไรเนี่ยอ่านไม่ออกสักนิดอย่าว่าแต่กินเป็นหรือเปล่าเลย
“อะไรก็ได้ที่แพงที่สุด”
ฮีชอลปิดเมนูดังป้าบ เชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางดั่งนางพญาแล้วยกมือขึ้นเรียกบริกร
“เสด็จแม่ของซองมินว่าอะไรบ้างเรื่องฉัน?”
คยูฮยอนเอ่ยถามขึ้นหลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้ว
ริมฝีปากบางของเขาจุดรอยยิ้มจางๆและซองมินก็เสหน้ามองไปทางอื่น
เขาอยากรู้ว่าหลังจากด้ายแดงถูกถอดออกจากนิ้วพวกเขาแล้วเสด็จแม่กล่าวอะไรกับซองมินบ้าง
อย่างเช่นเขาเป็นคู่หมั้นที่ผ่านหรือเปล่า?
“ก็...ไม่มีอันใดมากนักหรอก”
ซองมินพองลมที่แก้มเหมือนกับจะกลั้นยิ้มตัวเอง
“เหรอ?
เรื่องหมั้นน่ะว่าไง?” คยูฮยอนนั่งหลังตรง
เดาจากสีหน้าของซองมินได้ไม่ยากว่าไม่ว่าเสด็จแม่จะพูดเรื่องอะไรก็ตาม
มันต้องเป็นเรื่องดีแน่ หัวใจเขาเต้นรัวอย่างตื้นเต้น
“ก็ไม่มีอะไรพิเศษนี่”
ซองมินยู่ปากอย่างน่ารัก “ทรงเป็นไปตามพระราชพิธีนั่นแหละ”
“แปลว่ายังไงนั่น?”
คยูฮยอนหัวเราะ บิขนมปังจากตะกร้าใบเล็กที่บริกรเพิ่งนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะพวกเขาเล่น
“ก็ทรงแปลแบบที่มันจำต้องแปลน่ะสิ”
ซองมินหัวเราะสดใสบ้าง ก่อนจะตีหน้าเคร่งขึ้นมานิดหนึ่ง
น้ำเสียงที่เอ่ยราบเรียบแต่มีความหมายที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของคยูฮยอนไป ตลอดกาล
“แปลว่าพวกเราเป็นคู่หมั้นกันที่ถูกต้องตามกฎของตระกูลแล้วนะ คยูฮยอน”
ประตูร้านอาหารเปิดขึ้นอีกครั้งและเด็กนักเรียนชายสองคู่เดินเข้ามา
คนคู่หนึ่งทำเอาซองมินกระซิบอย่างประหลาดใจ “นั่นเรียวอุคนี่! แล้วนั่น...”
เด็กหนุ่มร่างอวบเบิ่งตาโตขึ้นอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น “นั่นเยซองนี่นา!”
เรียวอุคเดินเข้ามากับเยซอง
พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของซองมิน
เด็กหนุ่มทั้งสองเลือกนั่งที่นั่งอีกมุมหนึ่งของร้านที่อยู่ห่างออกไป
น่า
ตกใจยิ่งกว่านั้นที่คนอีกคู่ที่เดินเข้ามาด้วยกันทำเอาฮีชอลแทบจะมุดพื้น
เสียตรงนั้นด้วยความระอากับลางสังหรณ์อันแสนจะแม่นยำของตัวเอง
คังอินกับลีทึกเดินเข้ามา
แทบจะผงะเมื่อเห็นโจทก์เจ้าเดิมๆที่นั่งประจำที่อยู่แล้วในร้านอาหาร
“พวกเมิงอีกแล้วเรอะ!?”
คังอินโวยวาย
แต่กระนั้นขาแข็งแรงก็ยังก้าวอย่างมั่นใจมานั่งแหมะลงที่โต๊ะอาหารตัวที่อยู่ตรงกลางระหว่างโต๊ะของซีวอนกับฮีชอลพอดิบพอดี
ลีทึกเดินมานั่งตาม เขาไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรนัก
วันนี้ฮันกยองดูสบายอกสบายใจดี และในเมื่อเพื่อนเขาไม่มีเรื่องอะไรให้หนักใจ
เขาก็ไม่มีอะไรต้องหนักใจเหมือนกัน
“นายยังไม่บอกฉันเลยว่าคิดยังไง”
เรียวอุคเอ่ยขึ้นเมื่อเขากับเยซองสั่งอาหารเรียบร้อย
เขาเดินตามเยซองมาที่นี่ด้วยใจระทึกโดยไม่ปริปากถามแม้แต่คำเดียว แต่นับจากตรงนี้
เขาจะไม่ยอมนั่งเงียบอีกต่อไป
เยซองยกยิ้ม
เขาจ้องตอบดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถามของเรียวอุค
และอีกฝ่ายก็จ้องกลับมาอย่างท้าทายไม่แพ้กัน
“คิดยังไง
เรื่องอะไร?” เยซองเอ่ยถาม เรียวอุคนั่งหลังตรงขึ้นมาทันที
ถ้าหากเยซองตั้งใจจะกวนเขาละก็ เรียวอุคก็เตรียมคำตอบเอาไว้เหมือนกัน
แต่ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากเอ่ยคำสวนเยซองไปนั้น เด็กหนุ่มร่างสูงก็ชิงพูดขึ้น
“ถ้าเป็นเรื่องที่นายบอกว่าเบื่อการเล่นเกมกับฉันแล้วละก็ ไม่จริงนะ
ฉันยังไม่เบื่อ...” นิ้วเรียวของเยซองจุ่มน้ำเย็นในแก้ววนเล่นอย่างใจลอย
เรียวอุคอ้าปากจะเถียงอีกครั้งถึงแม้คำตอบสำหรับคำถามแรกจะทำเขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะก็เถอะ
แต่เยซองก็ไม่เปิดจังหวะนานพอให้เขาได้เริ่มคำแรกด้วยซ้ำ
“แต่ถ้าหากเป็นเรื่องจูบละก็...”
หัวใจของเรียวอุคเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม
และเยซองก็ยิ้มกริ่มแบบที่เรียวอุคขอคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาก็หัวใจพองโตไม่แพ้กัน
“...ฉันชอบมันมากเลย”
“สปาเก็ตตี้โฟร์กราส์กับไข่ปลาคาเวียร์ราดซอสไวน์ขาวอร่อยไหมครับคุณผู้หญิง?”
ฮยอกแจเอ่ยปากถามหลังจากพวกเขานั่งทานกันมาเงียบๆได้ครึ่งจานและมันชักจะเงียบเกินไปจนฮยอกแจรู้สึกคันปาก
เขาเงยหน้าขึ้นมองฮีชอลที่กำลังละเลียดอาหารในจานใส่ปากด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“เริ่ด”
คนร่างบางตอบสั้นๆแล้วตักไข่ปลาคาเวียร์เข้าปาก
ฮยอกแจไม่อยากจะคิดเลยว่าบิลจะออกมาเป็นเท่าไหร่
ถ้าเงินในกระเป๋าเขาไม่พอไปขอยืมทงเฮหรือคยูฮยอนมันจะให้เขาไหมนี่?
แต่เวลานั้นยังมาไม่ถึง
เพราะฉะนั้นมีความสุขกับตอนนี้ก่อนดีไหม?
“วันนี้กินอาหารอิตาเลี่ยน
งั้นพรุ่งนี้เราไปกินอะไรกันดีล่ะครับ?” นั่น
ข้ามช็อตเช็คบิลไปเลยทีเดียวเชียว
วันนี้ไม่รู้จะมีเงินจ่ายค่าอาหารหรือเปล่าเลยยังมีหน้าคิดจะชวนเขาไปกินข้าวพรุ่งนี้อีกนะ!
แม้จะด่าตัวเองในใจ
แต่ฮยอกแจก็ยังนั่งฉีกยิ้มไม่ใส่ใจคำทักท้วงจากมโนสำนึกของตัวเองต่อไป
ขอแค่ได้อยู่กับฮีชอลเท่านั้นแหละ
เรื่องอื่นเอาไว้คิดทีหลังก็แล้วกัน
ฮีชอลดูจะชะงักไปครู่หนึ่ง
ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไอ้เด็กเมื่อวานซืนไม่สะทกสะท้านกับไข่ปลาคาเวียร์และโฟร์กราส์ของเขา
นี่ยังจะกล้าชวนเขาไปกินข้าวอีกอย่างงั้นเหรอ? แบบนี้มันต้องเจอ...
“งั้นพรุ่งนี้ไปกินบุฟเฟต์ที่โรงแรมโฟร์ซีซันกันไหม?
แต่ต้องนั่งรถไฟไปที่เขตคังนัมนะ อาหารที่นั่นเด็ดสุดๆไปเลย”
ดวงตาคู่สวยเป็นประกายวิบวับอย่างตื่นเต้น
และฮยอกแจก็กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกอย่างลืมตัว
แต่ก่อนที่เขาจะห้ามตัวเองไว้ได้
ไอ้ปากเจ้ากรรมของเขามันก็ตอบออกไปเสียแล้วว่า
“โอเคครับ”
...หม่าม๊าฮยอกขอเบิกเงินค่าขนมล่วงหน้าสองเดือนได้มั้ยง่า? T^T
“สปาเกตตี้อร่อยไหมครับเกิง?”
ซีวอนเอ่ยถามพร้อมส่งรอยยิ้มหล่อเหลาให้เด็กหนุ่มชาวจีนที่เขามองเท่าไหร่ก็ไม่รู้เบื่อ
ถ้าหากสายตาทำให้คนสึกหรอได้ ป่านนี้ฮันกยองคงเหลือแต่โครงกระดูกไปแล้ว
ก็ดูสิคนอะไรน่ารักชะมัดยาด
ไม่รู้จะสั่งอะไรเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกินอาหารอิตาเลี่ยนสักอย่าง
ซีวอนก็เลยสั่งสปาเกตตี้ให้เพราะเห็นว่าเป็นเส้นเหมือนก๋วยเตี๋ยวฮันกยองอาจจะรู้สึกคุ้นเคยและกินไม่ยาก
แต่พอบ๋อยเอาอาหารมาเสิร์ฟเท่านั้นคนจีนก็ร้องหาตะเกียบจะเอามาคีบเส้นสปาเกตตี้เสียนี่
และซีวอนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกลั้นหัวเราะลูกเดียว
น่าร๊ากกกกกกกกกกก!!! >////<
“อืม
ก็ช้ายด้าย ว่าแต่ม่ายมีจิ๊กโฉ่วห้ายจิ้มเหรอ?”
แม่งน่ารักอีกแล้วคนอะไร
“ไม่มีครับ คนอิตาลีเขาไม่ทานจิ๊กโฉ่วกันน่ะครับ”
ซีวอนตอบแล้วตัดพิซซ่าเข้าปากชิ้นพอดีคำด้วยท่าทางผู้ดีสุดๆ
“เกิงอยากลองชิมพิซซ่าบ้างไหม? อร่อยนะ”
ตัดอีกชิ้นขนาดไม่ใหญ่เกินไปนักใส่จานให้ฮันกยองสำหรับลองชิม
“หืม
ขอบคุณ”
เด็กหนุ่มร่างโปร่งพึมพำขอบคุณเบาๆแล้วใช้ส้อมจิ้มชิ้นพิซซ่าขึ้นด้วยท่าทางเงอะๆงะๆ
แต่สำหรับซีวอนแล้วมันน่าเอ็นดูสุดๆไปเลย
“เกิงนี่น่ารักจังเลยนะครับ”
จู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาอย่างใจคิด
ฮันกยองตัวแข็ง ก่อนแก้มเนียนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออย่างน่าหลงใหล
และซีวอนก็หลงรักไปแล้วหัวปักหัวปำ “เอ่อ...ขอบจาย”
ดูเหมือนฮันกยองจะพูดเป็นอยู่ประโยคเดียวในตอนนี้ ซีวอนเม้มริมฝีปาก
เอ่ยสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไปโดยไม่สนใจว่ามันจะทำให้อีกคนตะลึงแค่ไหน
“ขอจูบทีนึงได้ไหมครับ?”
ฮันกยองเบิกตาโพลง
และไม่ทันที่เขาจะตอบอะไร ซีวอนก็ลุกขึ้น ชะโงกหน้าข้ามโต๊ะ
แล้วขโมยจูบไปจากเรียวปากบาง...จูบเบาๆที่เต็มไปด้วยความหมาย
และเมื่อซีวอนละใบหน้าออกมาอีกครั้ง ฮันกยองก็เหมือนถูกแช่แข็งอยู่ในท่านั้น
ดวงตาคู่สวยของเขาที่จ้องมองกลับมายังคงแฝงแววประหลาดใจเหมือนตอนก่อนที่ซีวอนจะประทับริมฝีปากลงไป
กลีบปากบางเผยอน้อยๆอย่างไม่มั่นใจ
เป็นปฏิกิริยาของคนน่ารักที่ประเมินค่าไม่ได้สุดๆ
และในเมื่อคนจีนยังทำหน้าเอ๋อไม่เลิกรา
ซีวอนจึงตัดสินใจชะโงกหน้าไปอีกครั้งแล้วจูบฮันกยองอีกที อีกที อีกที และอีกที
จนกว่าอีกคนจะหายเอ๋อ
ซึ่งก็คงไม่หายได้ง่ายๆนักหรอกนะ
ทงเฮ
กับคิบอมเดินจูงมือกันมายังร้านอาหารอิตาเลียนที่คิบอมพาทงเฮมากินเมื่อคราว
ก่อนเพราะปลาน้อยบ่นว่าหิวข้าวและคิบอมก็เสนอว่าเขาอยากกินอาหารอิตาเลียน อีกครั้ง
ทงเฮยอมตามใจโดยไม่อิดออดเพราะเขาเองก็คิดถึงรสชาติไม่คุ้นลิ้นของมันเช่น เดียวกัน
พวกเขาเปิดประตูเข้าไปในร้าน
และก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นฮยอกแจนั่งอยู่กับใครบางคนที่เขาไม่รู้จัก
“ไอ้ฮยอก!”
ฮยอกแจหันมาตามเสียงเรียกแล้วก็แทบจะพ่นอาหารออกมาเป็นเส้นสปาเกตตี้
“ไอ้...ทงเฮ!
มาทำอะไรของเมิงเนี่ย!?”
“เมิงนั่นแหละมาทำอะไร?”
ปลาน้อยเอียงคออย่างสงสัย
“ไงทงเฮ”
เสียงร้องทักที่ดังมาจากโต๊ะข้างๆทำให้ทงเฮหันไปมองแล้วก็พบกับคยูฮยอนและซองมิน
คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูงกว่าเดิม นี่มันอะไร? วันรวมญาติหรือยังไง?
ไอ้คยูฮยอนมันมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออะไรที่นี่ล่ะเนี่ย!?
“Your friends ทั้งนั้นเลยนี่”
คิบอมว่าแล้วเดินไปลากเก้าอี้นั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งในจำนวนไม่กี่ตัวที่ ว่างอยู่
โต๊ะตัวที่พวกเขานั่งตอนมาเดทกันคราวก่อนโดนแย่งไปเสียแล้ว
“อืม...นั่นสิ”
ทงเฮนั่งลงบนเก้าอี้ฟากตรงข้าม “ทำไมใจตรงกันจัง ทุกคนเลย”
ประตูหลังร้านเปิดขึ้นและชินดงเดินออกมาพร้อมจานอาหารในมือ
วันไหนถ้าร้านมีลูกค้าเข้าเยอะและเขาอยู่บ้าน ชินดงจะโดนลากออกมาช่วยงานทันที
“ชินดง!”
คิบอมร้องเรียกเพื่อน เด็กหนุ่มร่างกลมหันมา พยักหน้าทักทาย
เขานำอาหารไปเสิร์ฟที่โต๊ะของคยูฮยอนกับซองมิน ก่อนจะเดินมา
“ว่าไง?
สั่งอาหารหรือยังเนี่ยเพื่อน?” เขาพยักหน้าให้ทงเฮเป็นการทักทาย
“We haven’t
gotten the menus yet” คิบอมแบมือขอและชินดงก็เลิกคิ้วอย่างหมั่นไส้
“เออแป๊บ”
เขาเดินไปหยิบเมนู 2 เล่มให้ที่เคาน์เตอร์
เอามายื่นให้ทั้งคู่แล้วบอกว่าจะกลับมารับออร์เดอร์ทีหลัง
ก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว
พวกเขาสั่งอาหารกับชินดงแล้วนั่งคุยกันฆ่าเวลา
แม้จะมีคนอยู่เต็มร้านอาหาร แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจใคร คิบอมกับทงเฮก็เหมือนกัน
ราวกับโลกใบนี้มีเพียงพวกเขาเท่านั้น
“นี่คิบอม”
“หืม?”
ทงเฮมุ่นหัวคิ้ว
เขาครุ่นคิดเรื่องนี้มาครู่ใหญ่
“ที่นายบอกว่าจะไม่คืนร่มให้ฉันหากมันเป็นเหตุผลที่ฉันจะมาหานายทุกวันเนี่ย...”
เขาหยุดนิดหนึ่งอย่างอึกอักและชั่งใจ แต่ก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ถามต่อได้
แก้มเนียนของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อขณะถามอ้อมแอ้มแต่เต็มไปด้วยความอยากรู้
ปลาน้อยก้มหน้ามองผ้าปูโต๊ะอย่างเอียงอาย “...แปลว่านายหลงรักฉันหรือเปล่า?”
คิบอมเบิ่งตาโต
ริมฝีปากอิ่มเผยอออกเพียงนิดอย่างตกตะลึง หลังจากเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดนี้
ทงเฮยังมีหน้ามาถามคำถามนี้กับเขาอีกเหรอ?
แล้วอยู่ๆคิบอมก็หัวเราะ
เป็นเสียงหัวเราะที่ทำเอาทงเฮเลิกคิ้วสูงยิ่งขึ้นไปอีก
เขาไม่แน่ใจว่าเสียงหัวเราะนั้นควรจะหมายความว่ายังไง
แต่แล้วพ่อเด็กนอกก็ตอบคำถามเขา ไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่ด้วยการกระทำ
คิบอ
มลุกขึ้นยืน ชะโงกหน้าข้ามโต๊ะมาแล้วจูบเขาที่ริมฝีปาก ทงเฮเบิกตาโพลง
จุมพิตนั้นค้างอยู่เพียงครู่ก่อนคิบอมจะละริมฝีปากออก
ใบหน้าของเขาเองก็ขึ้นสีระเรื่อแต่ก็ยังเอ่ยประโยคที่ทำให้ทงเฮหน้าแดงกว่า
เขาอีกเท่าตัว
“ถ้า
you ยัง don’t know อีกล่ะก็ I จะ kiss you แบบนี้จนกว่า you จะรู้ซึ้งเลยลี
ทงเฮ!”
ความคิดเห็น