คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : :: Chapter 2 ::
The Rhythm of Demon, The Sound of Love : Chapter 2
Author: Daisyincubus
Category: Drama, Romance, Angst
Pairing: Yunho x Jaejoong , Yuchun x Junsu
Rating: ???
▒ ░▓◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫▒ ░▓
The Rhythm of Demon, The Sound of Love
::Chapter 2::
ยูชอนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้พลาสติกอย่างหมดแรงก่อนจะเอนหลังกับพนักพิงในท่าสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือข้างหนึ่งเอื้อมไปดึงผ้าขนหนูผืนเล็กที่เหน็บไว้ตรงกระเป๋าหลังมาเช็ดเม็ดเหงื่อบนใบหน้า
แล้วใช้มืออีกข้างบีบคลึงตามต้นคอและไหล่เบาๆเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการเดินเสิร์ฟชาจังมยอน
ให้วุ่นแบบไม่ได้พักมากว่าชั่วโมง ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบร้านที่แน่นขนัดไปด้วยลูกค้าทั้งขาประจำ
และขาจรทั้งที่อีกไม่กี่นาทีก็จะล่วงเข้าวันใหม่อยู่แล้ว เขาเองอดทึ่งในฝีมือการปรุงบะหมี่แบบต้นตำรับ
ของเฮียเฉินเจ้าของร้านไม่ได้ สมแล้วกับที่อพยพข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากแผ่นดินใหญ่เพราะทุกคน
ที่ได้ลิ้มชิมรสต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าบะหมี่ของที่นี่อร่อยล้ำกว่าตามภัตตาคารหรูๆเสียอีก
ครืด.....ครืด......
แรงสั่นสะเทือนตรงต้นขาทำให้ยูชอนต้องละสายตาจากลูกค้า มือหนาพาดผ้าขนหนูผืนบางไว้บนไหล่
ก่อนจะล้วงมือไปหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ร่างโปร่งมองโทรศัพท์สีขาวรุ่นกลางเก่า
กลางใหม่ในมือที่ถูกใช้มาอย่างสมบุกสมบันจนมีรอยถลอกมองเห็นเนื้อโลหะที่อยู่ภายใน
แสงไฟตรงหน้าจอสว่างวาบปรากฏเพียงประโยคสั้นๆหนึ่งประโยค
You have received 1 message
ยูชอนเปิดฝาพับโทรศัพท์ขึ้น มือหยาบกดปุ่มเรียกอ่านข้อความที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนส่งมา
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ส่งข้อความให้เขาในเวลาอย่างนี้แทนการโทรเข้ามาเพราะเจ้าตัวรู้ดีว่าเขาไม่
สะดวกรับสาย ร่างโปร่งคิดพลางไล่สายตาไปตามตัวอักษรเล็กๆที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทีละบรรทัด
ยูชอนอา...
วันนี้ล้มเหลวอีกตามเคย แจจุงอาละวาดใหญ่เลย... - _ -
ยังทำงานอยู่ใช่ไหม
.
อย่าหักโหมมากนักหล่ะ....
แล้วฉันจะโทรไปหา....
PS. อยากได้ยินเสียงของนายจัง
“ หึๆ...ไอ้แจจ๋อเอาอีกแล้วเหรอเนี่ย ” ยูชอนหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าถมึงทึงของเพื่อนร่วมวงคนงาม ทั้งที่ก่อนไปเจ้าตัวตั้งใจเสียดิบดีว่าอย่างไรก็จะพยายามเจรจาต่อรองกับว่าที่มือกลองคนใหม่ด้วยความใจเย็นที่สุดเพื่อไม่ให้เสียเรื่อง แต่จนแล้วจนรอดเจ้านักร้องนำตัวยุ่งก็ดีแตกอีกตามเคย หวังว่าคงไม่ใช่ไปเผลอ
ทำรุนแรงกับใครเขาอีก เห็นหน้าหวานๆแบบนั้นเวลาโมโหเลือดขึ้นหน้าทีไรมือไม้ไปก่อนปากทุกที
“ ไงยิ้มใหญ่เชียว เมจเสจจากแฟนมันหวานขนาดนั้นเลยเหรอ ” เสียงแซวจากฮันกุลลูกจ้างอีกคน
ในร้านดังขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับเจ้าเครื่องโทรศัพท์อยู่นานสองนาน
“ไม่ใช่หรอกพี่ เพื่อนที่โรงเรียนหน่ะ ” ยูชอนบอกปัดไปตามความเป็นจริง
“ แหมๆๆไม่ต้องมาทำเขิน แฟนก็บอกว่าว่าแฟนสิวะ ฉันไม่ใช่ปาปารัชชี่สักหน่อยไม่ต้องกลัว ” ฮันกุล
ยังแซวไม่เลิก ไม่เข้าใจว่าการมีความรักมันไม่ดีตรงไหนถึงได้ชอบปิดบังกันนัก ทำยังกะเป็นพวกดารา
เวลาให้สัมภาษณ์สื่อเอะอะอะไรก็เป็นแค่เพื่อนไม่ใช่แฟน ทั้งที่ความจริงลึกซึ้งจนเห็นตับไตใส้พุงกัน
ไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้
“ หึหึ...มุขเยอะนะพี่ ”
“ ฮ่าๆๆ ว่าแต่ไปถึงขั้นไหนกันแล้ววะ ” ฮันกุลถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์พร้อมทำสายตากรุ้มกริ่ม
“ ก็บอกแล้วไงพี่ว่าไม่ใช่แฟน ” ร่างโปร่งตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าเปื้อนยิ้มในตอนแรกเริ่ม
เคร่งขรึมขึ้นมาจนอีกฝ่ายสังเกตได้
“ เพื่อนก็เพื่อน ไม่ล้อก็ได้วะ แค่นี้ทำหน้าซีเรียสไปได้ ว่าแต่เพื่อนแกเขามีแฟนยังวะ ถ้ายังไม่มีบอกด้วย
นะโว้ย ช่วงนี้กำลังขาดแคลนความรัก ”
“ เพื่อนผมเป็นผู้ชายนะพี่ จะเอาเหรอ ”
“ เพื่อนแกน่ารักหรือเปล่าหล่ะ ถ้าน่ารักซะอย่าง ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่เกี่ยงโว้ย อ๊ะ... ยินดีต้อนรับครับ ”
ลูกค้าหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านทำให้การสนทนาระหว่างพนักงานเสิร์ฟทั้งสองจบลง
ยูชอนมองตามร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มรุ่นพี่ที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดออเดอร์ยิกๆอยู่ในมือ อดคิดในใจ
ไม่ได้ว่าถ้าพี่ฮันกุลได้เจอกับจุนซูหล่ะก็คงไม่แคล้วต้องตกหลุมรักเป็นแน่ ถึงไม่ได้มีใบหน้าที่หวาน
หยดย้อยแบบแจจุงแต่ความน่ารักเป็นธรรมชาติซึ่งติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดก็ทำให้จุนซูเป็นที่รักของใครได้
ไม่ยาก ความอ่อนโยนกับรอยยิ้มที่สดใสเจิดจ้าดั่งดอกทานตะวันยามได้รับแสง
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้.....
ยกเว้น...พระอาทิตย์โง่ๆอย่างเขา
พระอาทิตย์ที่ทำให้ดอกทานตะวันเหี่ยวเฉา...
พระอาทิตย์ที่ไม่มีทางหันหน้าให้ดอกทานตะวัน
.
ยูชอนก้มดูประโยคสุดท้ายในข้อความที่ได้รับมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกเจ็บหนึบในอกข้างซ้าย ต่อให้อีกฝ่ายหยิบยื่นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งหอมหวานให้มากมายสักเท่าไหร่เขาก็ไม่อาจตอบแทนได้ไปมากกว่าขอบข่าย
ของคำว่าเพื่อน แม้ดูเลือดเย็นแสนร้ายกาจแต่ยูชอนก็เลือกแล้วว่าจะล้อมรั้วหัวใจตัวเองด้วยลวดหนามแหลมคม
โดยไม่คิดจะคลายออก บาดแผลจากคมหนามอาจทำให้จุนซูเจ็บปวดก็จริงแต่มันคงน้อยกว่าการเข้ามายืนอยู่ใน
รั้วอันมืดมนที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แสงสว่างจะส่องถึงอย่างหัวใจของเขา
“ ฉันขอโทษ ” มือหยาบลูบหน้าจอเบาๆเมื่อกล่าวคำที่รู้ดีว่าตนไม่คู่ควร คนที่รังแต่จะทรมานจิตใจของจุนซูผู้แสนบริสุทธิ์ให้จมอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์อย่างเขาไม่คู่ควรกับการให้อภัย แต่ถึงอย่างนั้นริมฝีปากก็ยังเอื้อนเอ่ยออกไปกับสายลมไม่ว่าอีกฝ่ายจะรับรู้มันหรือไม่ก็ตาม เพราะนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้
ยูชอนปิดฝาพับโทรศัพท์ลงช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปจัดโต๊ะให้ลูกค้ารายใหม่ที่เข้ามาในร้านต่อไป
▒ ░▓◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫▒ ░▓
แสงไฟจากร้านรวงต่างๆสองฟากถนนสายรองของอับกูจองเริ่มดับลงเมื่อใกล้เข้าสู่วันใหม่ จุนซูก้มมองภาพถ่ายในโทรศัพท์มือถือเครื่องบางของตน ในภาพคือเด็กหนุ่มขนตางอนยาวที่กำลังหลับไหลอยู่ในห้วงนิทรา
แม้ถูกแสงแดดโลมเลียซีกหน้าไปแถบหนึ่งเจ้าตัวก็ยังคงนอนนิ่งราวกับว่าไม่รับรู้ถึงความร้อนจากดวงอาทิตย์กล้า
เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนปลิวไหวตามแรงลมดูยุ่งนิดๆ จุนซูยิ้มบางกับภาพของยูชอนที่ตัวเองแอบถ่ายกับมือตอนที่
ร่างโปร่งแอบขึ้นไปนอนบนดาดฟ้าของอาคารเรียน ด้วยความที่ต้องทำงานดึกดื่นไม่ค่อยได้พักผ่อนยูชอนจึงมักใช้เวลาช่วงพักกลางวันในการนอนเอาแรงโดยมีเขาเป็นคนรับหน้าที่ซื้อเสบียงไปให้ จริงๆแล้วเขาแอบถ่ายภาพ
ยูชอนไว้หลายต่อหลายภาพ แต่ภาพนี้เป็นภาพที่เขาชอบมากที่สุด แม้ในภาพยูชอนไม่ได้ลืมตามองหรือส่งยิ้มให้
แต่จุนซูกลับรู้สึกว่าใบหน้ายามหลับไหลของอีกฝ่ายมันดูไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยช่างน่าทะนุถนอม
.
ไร้เดียงสาแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นยามที่เจ้าตัวลืมตาตื่น
“ พี่ยูชอนว่าไงบ้างฮะ ” ชางมินเอ่ยถามพร้อมกับยื่นแก้วกระดาษบรรจุชาร้อนที่ตนเพิ่งเข้าไปซื้อมาจากในมินิมาร์ทให้คนตรงหน้า
“ไม่ได้คุยหรอก พี่แค่ส่งเมจเสจไปเฉยๆ ” ร่างบางตอบพลางเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ข้างตัว ก่อนจะยื่นมือรับแก้วจากร่างสูง
ชางมินเหลือบมองใบหน้ากลมใสของร่างบางที่ซับสีเล็กน้อยเมื่อโดนไอร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากแก้วชา
วันนี้วันพุธ
ร้านบะหมี่เฮียเฉินสินะ ถ้าเดาไม่ผิดที่พี่จุนซูไม่โทรไปหาพี่ยูชอนเป็นเพราะรู้ว่าฝ่ายนู้นกำลังง่วน
อยู่กับการทำงานเป็นแน่ พี่จุนซูรู้ใจพี่ยูชอนไปเสียทุกเรื่องจนอดสงสัยไม่ได้ว่ามีเรื่องไหนบ้างเกี่ยวกับพี่ยูชอน
ที่คนๆนี้ไม่รู้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทั้งที่ทุ่มเทให้ขนาดนี้ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงหัวใจที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นได้
ยิ่งพี่จุนซูพยายามเข้าใกล้มากเท่าไหร่พี่ยูชอนก็วิ่งหนีออกไปไกลเท่านั้น ทำไมการรักใครสักคนหรือถูกใครสักคน
รักมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ บางครั้งอยากบอกร่างบางตรงหน้าเหลือเกินว่าถ้าหากการจับจ้องที่จุดใดจุดหนึ่ง
เป็นเวลานานๆมันทำให้เจ็บตาหล่ะก็ ทำไมไม่ลองพักสายตาแล้วหันหน้าไปทางอื่นบ้าง คนที่เฝ้ามองพี่ยังมีอยู่
.
ชางมินละสายตาจากจุนซูแล้วเสมองไปยังร่างบางอีกคนที่กำลังยืนสูบบุหรี่พ่นควันปุ๋ยๆอยู่ใกล้ตู้กดเงินห่างจาก
ม้านั่งตัวยาวที่เขาและจุนซูนั่งอยู่เพียงไม่กี่ก้าว
ความรักเป็นสิ่งที่ออกแบบไม่ได้อย่างที่เขาว่ากันจริงๆสินะ
“ แล้วจะทำยังไงหล่ะทีนี้ ” ชางมินถามพลางเพยิดหน้าไปทางนักร้องนำหน้าหวานที่เริ่มพึมพำสาปแช่ง
มือกลองรูปหล่อเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้นับตั้งแต่ก้าวเท้าออกมาจากคลับหรู
“ ฮ่าๆจะทำอะไรได้ นอกจากรอให้แจจุงใจเย็นกว่านี้ ” จุนซูกล่าวยิ้มๆ ไม่ใช่ว่าแจจุงเป็นคนไม่มีเหตุผล
แต่การคุยกับแจจุงที่กำลังกระฟัดกระเฟียดราวกับช้างตกมันตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับการเอาน้ำมันไปราดลงบน
กองไฟที่นอกจากไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด้แล้วยังอาจทำให้ไฟลุกท่วมเผาผลาญทุกอย่างให้มอดไหม้
ไปกว่าเดิมก็ได้
“ บอกตรงๆนะพี่ ผมสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ว่ามันคงไม่จบแค่นี้แน่ ” ชางมินพูดเมื่อนึกถึงคำพูดของพนักงานร้านหน้าสวยคนนั้น
‘
ปกติเขาไม่ชอบให้ใครเข้าไปยุ่ง
’
วันนี้ที่ทำลงไปไม่ใช่แค่การรบกวนเวลาเฉยๆ ท่านคิมแจจุงเล่นถวายทั้งมือทั้งเท้าเป็นของที่ระลึกในการเจอกันครั้งแรกแบบนั้น มีหรือที่อีกฝ่ายจะแล้งน้ำใจไม่ตอบแทนอะไรบ้าง
“ ทำไมหล่ะ ”
“ แหมก็พี่แจจุงเล่นไปอัดเขาซะขนาดนั้น ” นึกภาพแล้วชางมินยังอดสยองแทนไม่ได้ ถึงจะหน้าหวาน
เหมือนผู้หญิงแต่ในความเป็นจริงพี่แจจุงก็เป็นผู้ชาย แรงจากหมัดและเท้าที่ถูกปล่อยออกไปไม่ใช่เบาๆ
คงทำให้อีกฝ่ายจุกเสียดได้ไม่น้อย
“ ก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ ดูเขาทำสิชางมิน ” จุนซูพูดตามที่ตนคิด
“ มันก็ใช่
แต่ไม่รู้สิฮะโดนคนตัวเล็กกว่าหยามแบบนี้ผมว่าเขาเอาคืนแน่ ” ชางมินพูดพลางนึกดวงตาคมที่แฝงไปด้วยความโอหังยามที่จับจ้องมายังพี่ชายหน้าสวยของตน คำพูดและการกระทำที่ถือดีบ่งบอกให้รู้ว่า
คนๆนั้นเป็นพวกทรนงในตนเองเหมือนๆกับพี่แจจุง จะต่างกันก็ตรงที่มันเป็นอัตตาในเชิงบวกกับเชิงลบ
เพราะพี่แจจุงเชื่อมั่นในตัวเองจึงไม่ชอบให้ใครมาดูถูก แต่ชองยุนโฮชอบดูถูกคนอื่นก็เพราะเชื่อมั่นในตัวเอง
“ คิดมากไปหรือเปล่าชางมิน ยังไงก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วแหละ ” ร่างบางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แน่นอนว่าฝ่ายนู้นคงจะโมโหกับการกระทำของแจจุงแต่ในเมื่อคนๆนั้นเองก็ผิด จึงไม่น่าถือสาเอาความ
หรือตามมารังควานเด็กอย่างพวกเขา
“ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็ดีฮะ ว่าแต่
พี่คิดเหมือนผมไหมว่าคนชื่อชองยุนโฮอะไรนั่นมันหน้าคุ้นๆยังไงก็ไม่รู้ ”
“...............................................” ร่างบางส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ ผมคุ้นตั้งแต่ที่ได้ยินพี่แจจุงพูดชื่อเขาครั้งแรกแล้ว ” ร่างสูงพูดต่อ
“ ทำไมจะไม่คุ้นหล่ะ หมาที่เดินอยู่แถวบ้านแกก็หน้าเหมือนมันนั่นแหละ ” ร่างบางหน้าหวานพูด
ก่อนจะนั่งบนพนักพิงของม้านั่ง ชางมินคิดในใจว่าดีนะที่เขาไม่ได้แอบนินทาพี่แจจุงอยู่ไม่งั้น
โดนลงทัณฑ์แหงๆ ไม่รู้ว่าเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่
“ ฮิยะฮะฮะๆ ทำไมไปว่าเขาอย่างนั้นหล่ะแจจุง หน้าเขาออกจะหล่อ” จุนซูหัวเราะร่า
“ หยุดพูดอย่างนั้นเลยนะจุนซู ” คนสวยเริ่มทำหน้าบูด ริมฝีปากอวบอิ่มเชิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แจจุงไม่ปฏิเสธหรอกว่าไอ้บ้านั่นมันหล่อ แต่แค่รู้สึกว่าหมอนั่นไม่คู่ควรกับคำชมเชยก็เท่านั้น คนอย่างไอ้เลวนั่นเหมาะกับ
การด่าแบบสาดเสียเทเสียมากกว่า
“ แต่ผมก็ว่าเขาหล่อจริงๆนะพี่....หล่อกว่าพี่อีก ” ชางมินกล่าวแบบไม่กลัวตายแม้น้ำเสียงตรงท้ายประโยคจะแผ่วเบากว่าปกติ
.ผมรู้ว่าพี่มั่นใจว่าตัวเองหล่อ แต่หน้าแบบพี่แถวบ้านผมเรียกว่าสวยต่างหาก
“ หุบปากไปเลยไอ้เด็กเวร ” ร่างบางตวาดพร้อมทั้งประเคนฝ่ามือลงบนท้ายทอยของร่างสูงแรงๆทีหนึ่ง
ทำเอากระดูกค้อน ทั่ง โกลน ในของหูชางมินแทบจะพิการ
“โอ๊ย!! พี่ผมเจ็บนะ ” ชางมินพูดเสียงอ่อยพลางเอามือลูบคอตัวเองป้อยๆ
“ อยากปากหมาทำไม แกอย่าพูดชื่อไอ้ห่านั่นให้ฉันได้ยินอีกนะ ไม่งั้นเจอดีแน่ ”
“ เอาน่าๆ อย่าไปว่าน้องมันเลย น้องมันแค่พูดเล่นเองแจจุง” จุนซูห้ามเพราะกลัวว่าชางมินจะเจ็บตัว
มากไปกว่านี้ ถึงชางมินจะเคารพและรักแจจุงมากแต่ก็ชอบแหย่ให้ร่างบางอารมณ์เสียพอๆกับยูชอน
ที่เป็นคู่กัดขาประจำของแจจุง
“ พูดเล่นก็ไม่ได้ แค่ได้ยินชื่อมันฉันก็ขนลุกแล้ว” แจจุงพูดพร้อมทำท่าแขยง มือเรียวลูบต้นแขน
ของตัวเองไปมาราวกับกลัวว่าเสนียดจากชื่อของคนรูปหล่อจะมาติดผิว
“ อ้าว ก็ดีแล้วไง พี่อยากได้คนที่ทำให้พี่ขนลุกได้ไม่ใช่เหรอ ” น้องเล็กที่โดนเข้าไปหนึ่งดอกยังไม่ละ
ความพยายาม
.เอาวะ ไหนๆก็โดนไปแล้วนี่ โดนอีกทีจะเป็นไร
“ ไอ้นี่กวนตีนแล้วไง ฉันอยากได้ขนที่ทำให้ฉันขนลุกเพราะความทึ่งเว้ย ไม่ใช่เพราะขนลุกเพราะขยะแขยงเหมือนไอ้เลวนั่น ”
“ พอเหอะ อย่าเถียงกันเลย กลับบ้านกันดีกว่า ” จุนซูขยำแก้วกระดาษที่ดื่มหมดแล้วจนบู้บี้ก่อนจะโยนลงถังขยะใกล้ๆกับม้านั่ง ร่างบางคว้ากระเป๋าที่วางไว้ขึ้นมาสะพาย
“ อืม ” แจจุงพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นจากพนักพิง
ชางมินมองร่างบางสองร่างของรุ่นพี่ที่เดินนำอยู่ข้างหน้าภายใต้แสงสลัวของเสาไฟข้างทาง ร่างสูงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปคนทั้งสองไว้ก่อนจะจัดการส่งไปให้พี่ชายอีกคนที่กำลังยุ่งกับการเสิร์ฟบะหมี่
รูปถ่ายแสนสวยพร้อมคำบรรยายสั้นๆ
.
คิมแจจุงและ คิมจุนซู
คู่ยูริอันดับหนึ่งของเกาหลี
พี่ว่างั้นไหม
▒ ░▓◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫▒ ░▓
ชายหนุ่มร่างสูงยืนพิงแผ่นหลังกับประตูรถ Maserati Quattroporte สีดำคันงามท่ามกลางแดดจ้า ใบหน้าคมคายในชุดเสื้อยืดแขนเต่อสีขาวลายกราฟฟิคกับกางเกงยีนส์เดนิมเอวต่ำเข้ารูปสีน้ำเงินเข้ม เข็มขัดหนังปักหมุดสีเงินถูกคาดตรงบั้นเอวแบบหลวมๆ ขาเรียวยาวสวมรองเท้าบูทสีดำสูงครึ่งน่อง ร่างกายที่สมส่วนบวกกับใบหน้าที่หล่อเหลาราวเทพบุตรมาจุติทำให้คนๆนี้ดูโดดเด่นเสียจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาต้องเหลียวมองแต่เจ้าตัวหาได้สนใจไม่ ร่างสูงยกยิ้มที่มุมปาก สายตาคมจับจ้องไปตรงป้ายหินอ่อนสีดำอันใหญ่ที่ประดับด้วยตัวอักษรสีทองกับรูปปั้นสำริดของชายชราที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้ก่อตั้งหรือไม่ก็ผู้มีอุปการะคุณกับสถานที่แห่งนี้
โรงเรียนมัธยมแดยอง โรงเรียนของ
.คิมแจจุง
Flash Back
“ สวัสดีครับพี่โฮจุน ”
“...............................................”
“ สบายดีครับ พอดีผมมีเรื่องอยากให้พี่ช่วย ”
“...............................................”
“ สืบประวัติคนให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ”
“...............................................”
“ ชื่อแจจุงครับ..คิมแจจุง ”
Flash Come
คืนนั้นหลังจากที่ถูกยัยเปี๊ยกตัวแสบฝากรอยรักไว้จนเลือดออกซิบๆในปาก ชองยุนโฮปีศาจผู้ไม่เคยปล่อยให้คนที่มารุกรานอาณาเขตของตนหลุดรอดไปได้ก็รีบต่อสายตรงไปหาโฮจุนมือซ้ายคนสนิทของแม่ผู้เชี่ยวชาญในการหาข้อมูลไม่ว่าจะเป็นของบริษัทคู่แข่งหรือลูกค้า ต่อให้ต้องงมเข็มในมหาสมุทรถ้าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับงานของตระกูลชองหล่ะก็ไม่มีทางที่พี่โฮจุนจะสืบหามาไม่ได้
ไม่เว้นแม้แต่ประวัติของยัยตัวร้าย
ที่บังอาจมาทำร้ายร่างกายว่าที่ประธานรุ่นต่อไปของชองกรุ๊ป ยุนโฮดูนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือซ้าย
อีกไม่กี่นาทีเข็มยาวกับเข็มสั้นก็จะทาบทับกันพอดีที่เลขบนสุดของหน้าปัด
“ จะได้เจอกันอีกแล้ว
ดีใจไหมยัยเปี๊ยก หึหึ ”
∙
∙
∙
∙
∙
“ เอาหล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อน อย่าลืมทำการบ้านมาส่งหล่ะนักเรียน ” เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กราวนกกระจอก
แตกรังดังขึ้นทันทีเมื่อสิ้นเสียงคุณครูสั่งงาน เป็นผลให้ปาร์คยูชอนที่นั่งติดริมหน้าต่างหลังห้องต้องจำใจตื่น
จากนิทรา มือหนาขยี้ตาเบาๆ ก่อนจะทำท่าบิดขี้เกียจไปมา
“ เมลล่อนปังกับอูหลง ” เสียงงัวเงียเหมือนเด็กที่ยังไม่ตื่นดีร้องสั่งเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมวงที่นั่งอยู่ข้างหน้าเก็บข้างเก็บของเตรียมตัวจะลุกจากเก้าอี้
“ แค่นี้พอเหรอ เอาอย่างอื่นเพิ่มไหม ” เสียงแหลมเล็กของคนที่กำลังเก็บสมุดลงในกระเป๋าเป้เอ่ยถาม
“ ไม่หล่ะ ” ร่างโปรงหาววอดหนึ่งทีก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะนักเรียนของตน ลมเอื่อยๆที่พัดเข้ามาพาลให้เปลือกตาหนาค่อยๆปิดลงอีกครั้ง จุนซูยิ้มกับท่าทางน่าเอ็นดูของยูชอนในขณะที่คนสวยอีกคนกลับส่ายหัวเบาๆ พลางใช้มือเรียวขาวขยับแว่นสายตากรอบดำให้กระชับใบหน้ามากขึ้น
แม่งนอนมาทั้งคาบแล้วยังไม่พออีกเหรอวะเนี่ย
“ นี่แก ถ้าไม่ไหวก็ไปนอนที่ห้องพยาบาลสิวะ ” ร่างบางพูด แจจุงรู้ว่ายูชอนนอนไม่ค่อยพอแต่เล่นนอนหลับน้ำลายยืดในห้องเรียนไม่เกรงใจอาจารย์แบบนี้กลัวว่าจะถูกอัปเปหิให้ไปนอนยาวนอกโรงเรียนไม่ได้จบ
พร้อมกันหน่ะสิ
“ ฉันไม่ได้ไม่สบาย ทำไมต้องไปนอนห้องพยาบาลด้วยวะ ” ยูชอนเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะก่อนจะตอบคำถามคนสวยด้วยใบหน้าเรียบเฉย ร่างโปร่งแอบยิ้มในใจเมื่อเห็นว่าแก้มใสของเพื่อนตัวแสบเริ่มพองลมขึ้น
เหมือนปลาทองหิวอาหารเม็ดชิบเป๋งเลยไอ้แจจ๋อ
“ อุตส่าห์อยากให้นอนสบายๆ ไม่ต้องแอบหลับในคาบ เสือกมากวนตีนอีกนะ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยว
จะช่วยสนองให้สักทีสองทีแกจะได้ป่วย มีเหตุให้ต้องไปห้องพยาบาลดีไหม” ร่างบางพูดพร้อมชูกำปั้น
ใส่ยูชอน
“ ตัวแกแค่นี้คิดว่าฉันกลัวหรือไง ” ยูชอนแกล้งยั่วแจจุงตามประสาเพื่อนผู้แสนประเสริฐ เขารู้ว่าที่แจจุง
พูดอย่างนี้เพราะความเป็นห่วงและแจจุงเองก็ไม่ได้อ่อนแอตามรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็น แต่การทำให้แจจุง
ของขึ้นเป็นเรื่องสนุกที่เขาอดไม่ได้ เหมือนกับที่ชางมินเคยพูดไว้ว่า
ได้แกล้งพี่แจจุงแล้วผมรู้สึกว่าพลังชีวิตเพิ่มขึ้นยังไงไม่รู้
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีวันไหนที่เขาและน้องเล็กของวงไม่กวนประสาทแจจุง มากบ้างน้อยบ้างตามแต่โอกาส
จะเอื้ออำนวย ถึงจะเสี่ยงต่อการโดนปากหมาๆของมันไล่กัดเอาก็ตาม
“ ลองสักหมัดไหมละมึง ”
“ ไปเถอะแจจุง เดี๋ยวชางมินรอนาน ” จุนซูรีบตัดบทเมื่อเห็นว่าเพื่อนหน้าหวานเริ่มเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกร่างโปร่ง จุนซูลุกจากที่นั่งแล้วใช้มือเรียวดึงแขนขาวของแจจุงให้ลุกตาม
“ อืม..ฝากไว้ก่อนนะมึง ” แจจุงตอบแล้วหันไปทำท่าฮุกซ้ายฮุกขวาใส่ยูชอน
“ ฮ่าๆๆ แล้วจะรอเว้ย
ไอ้แจจ๋อ ขอบใจนะที่เป็นห่วง” ร่างโปร่งยิ้มบางๆ ให้กับคนปากร้ายใจดีที่กำลัง
จะเดินออกจากประตูห้อง ก่อนจะเบนสายตาไปที่คนใจดีอีกคน
“ จุนซูด้วย ขอบใจมาก ”
∙
∙
∙
∙
∙
ม้านั่งสีขาวใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เยื้องกับอาคารเรียนของเด็กมอปลายถูกชายแปลกหน้ารูปงามยึดเป็นที่นั่งฆ่าเวลา ลมอ่อนๆที่พัดโชยมาพาให้เส้นผมที่เพิ่งถูกย้อมเป็นสีดำสนิทปลิวไหวเสริมให้เจ้าของใบหน้าหล่อคมยิ่งดูเท่ขึ้นไปอีก นิ้วเรียวเคาะกับพื้นม้านั่งเป็นจังหวะระหว่างรอเวลาเผชิญหน้ากับลูกแมวน้อย สายตาคมเหลือบมองเด็กสาวสามสี่คนที่ยังยืนจับกลุ่มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับจุดที่เขานั่งอยู่ ร่างสูงยิ้มบางๆให้กับเด็กสาวเหล่านั้น
เพื่อตอบแทนที่พวกเธออุตส่าห์นำทางเขามายังจุดหมายที่ต้องการ ก่อนจะหันหน้ากลับไปที่เดิมอีกครั้งเมื่อได้ยิน
เสียงออดที่เป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาพักกลางวันของบรรดาเด็กนักเรียนแล้ว ดวงตาเรียวกวาดมองไปที่ร่างของหนุ่มสาวที่กำลังทยอยเดินออกมาจากตึกเรียน เด็กผู้หญิงในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวคอปก เนคไทเส้นสั้น
สีครามเข้มรับกับกระโปรงจีบสีเดียวกัน แถบสีขาวสองเส้นตรงชายกระโปรงกับถุงเท้าสีดำคู่ยาวทำให้ชุดนักเรียน
ธรรมดาดูน่ารักขึ้น อดคิดในใจไม่ได้ว่าชุดนี้ช่างเหมาะกับยัยเปี๊ยกตัวแสบเสียจริงๆ เหมาะมากกว่าเสื้อเชิ้ต
แขนสั้นสีขาวที่ปกและสาบเป็นสีครามกับกางเกงสีเทานั่นเสียอีก ริมฝีปากหยักยกยิ้มด้วยความปิติ
เมื่อเห็นร่างบางๆของเหยื่อตัวจ้อยที่เขาลงทุนมาจัดการด้วยตัวเองถึงถิ่น
“ ใส่แว่นด้วยเหรอยัยเปี๊ยก น่ารักดีหนิ ” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเอง ก้อนเนื้อที่อกด้านซ้ายกระตุกวาบแปลกๆโดยไม่ทราบสาเหตุแต่เจ้าตัวก็พยายามไม่ใส่ใจมากนัก เพราะกำลังจดจ่ออยู่กับร่างบางหน้าหวาน
ที่กำลังเดินห่างออกไป
“ เฮ้อ ได้เวลาแล้วสินะ ” ร่างสูงลุกขึ้นจากม้านั่ง มือเรียวจับเครื่องแต่งกายให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะสาวเท้าไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกับลูกแมวน้อยอย่างไม่เร่งรีบตามกฏของจอมมาร
ปีศาจที่ฉลาดจะไม่รีบร้อนผลีผลามยามออกล่าเหยื่อ
∙
∙
∙
∙
∙
“ ว้าว!! น่ากินจังเลย ขอบใจนะชางมิน”คิมแจจุงยิ้มกว้างจนตาแทบปิด มือเรียวเอื้อมไปขยุ้มเส้นผม
สีน้ำตาลเข้มของน้องชายต่างสายเลือดด้วยความเอ็นดู
“ เพราะอุด้งของพี่นั่นแหละ ดูสิผมเลยอดกินข้าวแกงกะหรี่เลย ” ชิมชางมินบ่นอุบ เป็นเพราะต้องไปต่อแถวรอซื้ออุด้งเทมปุระผักรวมตามบัญชาของคุณนักร้องนำในร้านที่มีคนต่อแถวยาวเป็นห่างว่าว ทำให้ชิมชางมินไปซื้อข้าวราดแกงกะหรี่ที่ตัวเองหมายมั่นไว้ตั้งแต่เช้าว่ายังไงวันนี้จะต้องกินให้ได้ไม่ทัน สุดท้ายก็เลยต้องกลับมากินอุด้งร้านเดียวกับพี่แจจุง
ไหนจะต้องรีบไปจองโต๊ะ ไหนจะต้องไปซื้อข้าวให้ เกิดเป็นชิมชางมินนี่มันเวรกรรมจริงๆเลย
“ แกจะบ่นทำไม ถ้าไม่อยากทำแกก็เกิดให้เร็วกว่าฉันสักปีสองปีสิ ฉันจะได้ไม่กล้าใช้แก” คนสวยพูด
พลางทำท่ายักไหล่ราวกับไม่สนใจร่างสูงที่กำลังทำหน้าบูดบึ้งอยู่ฝั่งตรงข้าม แจจุงถอดแว่นตาออกวางไว้ข้างชาม
ก่อนจะเริ่มลงมือกินอาหารตรงหน้าด้วยความเอร็ดอร่อย
“ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นหล่ะชางมิน ” จุนซูที่เพิ่งเดินกลับมาจากซื้อข้าวเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าชางมินทำหน้าเบ้ มือขาววางถุงใส่ขนมปังและชาอูหลงบนโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างๆร่างสูง
“ ไม่มีอะไรหรอกฮะ แค่เบื่อพวกไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ” ชางมินแกล้งพูดเสียงดังหวังให้ร่างบางที่กำลังก้มหน้าตากินอุด้งแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้สะอึก จุนซูหัวเราะเบาๆ
รู้ว่าแจจุงเป็นอย่างนี้แต่ก็ไปต่อแถวให้ทุกทีไม่ใช่เหรอชางมิน
“ อ่ะ.. เอาไป แล้วหยุดพล่ามได้แล้ว ” มือเรียวคีบเทมปุระฟักทองยื่นให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากชาม
“ชิ
”
“ จะเอาไหม หนึ่ง.. สอง.. สะ” ชิมชางมินไม่ตอบแต่รีบงับชิ้นฟักทองสีเหลืองอ่อนรสหอมมันในมือของพี่ชายเพราะเกรงว่าเจ้าตัวจะเปลี่ยนใจเสียก่อน
.เอาวะ ได้ชิ้นหนึ่งยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
“ ว่าแต่กินอุด้งเทมปุระผักล้วนแบบนี้จะลดน้ำหนักหรือไงพี่ ” ร่างสูงเอ่ยถาม
“ เปล่า แค่อยากกิน ” ร่างบางตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ เหรอ ผมนึกว่าพี่ควบคุมอาหารเพราะกลัวสะโพกไม่ได้รูป ” ชางมินพูดหน้าตายในขณะที่ปากก็เคี้ยวเส้นอุด้งตุ้ยๆ ไม่สนใจสายตาเขียวปั้ดของคนที่ถูกพาดพิง
“ ไอ้ปากหมา ถามจริงเหอะวันไหนแกไม่ได้กวนตีนฉันเนี่ยมันจะตายหรือไง ”
“ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพี่ แค่รู้สึกว่าหายใจไม่คล่องยังไงก็ไม่รู้ ” ชางมินตอบด้วยรอยยิ้ม
ที่ดูยังไงมันก็แสนจะกวนประสาทในสายตาของแจจุง
“ ฮิยะฮะฮะฮะ ” เสียงหัวเราะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวดังขึ้นแทรกกลางการโต้คารมของเพื่อนร่วมวง
อดคิดในใจไม่ได้ว่าชางมินใกล้จะกลายพันธ์เป็นสปี่ชี่ย์เดียวกับแจจุงเข้าไปทุกวัน ปากคอเลาะร้ายเหลือเกิน
“ หัวเราะอะไรจุนซู แกก็เหมือนกันถ้าหายใจไม่คล่องก็บอกสิ ฉันจะได้นิ้วเท้าที่ยังว่างๆอยู่แหย่ให้
จมูกของแกจะได้หายใจสะดวกขึ้น คราวนี้ได้โล่งไปถึงสมองแน่ เอาไหม ” คนสวยตอบ มือเรียววางตะเกียบ
ลงบนชามที่พร่องไปเกือบครึ่งชาม ก่อนจะคว้าแก้วชาเชียวเย็นใส่นมรสนุ่มมาดูด
ชิมชางมินอ้าปากกำลังตั้งท่าจะเถียงกลับแต่ก็ต้องชะงักค้างเมื่อเห็นร่างของคนที่เพิ่งเจอเมื่อวันก่อน
กำลังเดินมาตรงที่พวกเขานั่งอยู่
ร่างสูงสง่าในชุดไปรเวทก้าวเดินด้วยท่วงท่าดุจราชันย์ รัศมีแห่งปีศาจแผ่ซ่านออกมาเจิดจ้าเสียจน
คนมองแสบตา
ชางมินขยี้ตาตัวเอง มือใหญ่สะกิดแขนของคนที่นั่งข้างๆเมื่อรู้แล้วว่าตนไม่ได้ตาฝาด จุนซูละสายตาจากจานข้าวแล้วหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังทำปากเพยิดๆ ร่างบางเสมองตามที่ร่างสูงบอก
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ช้อนสีเงินในมือร่วงหล่นลงในจาน
แกร๊ง..เสียงโลหะกระทบกันเรียกให้คนสวยเงยหน้าขึ้นจากการดูดน้ำสีเขียวอ่อน
“ เป็นอะไร ” แจจุงเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าชางมินนั่งอ้าปากค้างส่วนจุนซูก็ทำหน้าตื่นตระหนกราวกับเห็นผีตอนกลางวันก็ไม่ปาน ไม่ใช่แค่นั้น พวกเด็กผู้หญิงที่นั่งโต๊ะถัดไปก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดแปลกๆ
พลางชี้ไม้ชี้มือมาทางด้านหลังของเขาให้วุ่นวายกันไปหมดจนแจจุงต้องเหลียวหลังกลับไปมองบ้าง
ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลังห่างออกไปราวสองก้าวทำให้ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ร่างบางลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ
รอยยิ้มร้ายที่ปรากฏแก่สายตาทำให้คิมแจจุงแทบหยุดหายใจ..
แม่งจะตามจองล้างจองผลาญกูไปถึงไหนวะเนี่ย
“ ไงยัยเปี๊ยก คิดถึงฉันไหม ”
“ แกมาได้ไง ”
“ ถามโง่ๆนะคิมแจจุง ฉันคงเหาะมามั้ง ” ร่างสูงตอบพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้แจจุงมากขึ้น
“ ออกไปนะ โรงเรียนของฉันไม่ต้อนรับคนอย่างแกหรอก ” แจจุงตวาดเสียงดังลั่น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าหล่อเหลาพาให้อารมณ์ของร่างบางปะทุ
. แม่งจะมาไม้ไหนอีกเนี่ย
“ นายเป็นเจ้าของโรงเรียนหรือไงถึงมีหน้ามาไล่ฉัน ” ยุนโฮแสยะยิ้มที่มุมปากราวกับไม่สนใจคำพูด
ของร่างบาง มือหนายื่นออกไปคว้าข้อมือขาวของคนตรงหน้าที่พยายามถดกายหนีเขาทั้งที่ๆดูไปมันก็ไม่มีที่
ให้หนีเสียหน่อย
“ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะไอ้ชาติชั่ว ” แจจุงพยายามสะบัดข้อมือสุดแรงเพื่อให้พ้นจากการกอบกุมแต่ก็ไร้ผล
“ พูดไม่เพราะเลยนะแจจุง คุณครูไม่ได้สอนเหรอ หรือว่าสอนแล้วแจจุงไม่จำ ดูสิคนอื่นมองกันใหญ่เลย
ไม่อายหรือไง ” แจจุงหันไปมองรอบตัวตามคำพูดของร่างสูง จริงอย่างที่ไอ้บ้านี่ว่าตอนนี้คนในโรงอาหาร
หันมามองที่พวกเขาเป็นตาเดียว
“ มองห่าอะไรวะ แดกข้าวไปสิ ”
“ พูดไม่เพราะอีกแล้ว เพิ่งจะบอกไปหยกๆ ” ชองยุนโฮพูดก่อนจะหันไปก้มหัวให้เกาหลีมุงที่ยืนอยู่รอบๆ
แจจุงเลิกคิ้วความแปลกใจกับการกระทำของร่างสูง
“ ต้องขอโทษน้องๆทุกคนด้วยนะครับ พอดีว่าเมีย.. เอ๊ย.. แฟนพี่เขาเป็นคนขี้โมโหไปหน่อย อย่าถือสา
เราเลยนะครับ ชีวิตคู่ก็ยังเงี้ยแหละต้องกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ” ร่างสูงอธิบายพร้อม
ปล่อยรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ ทำเอาคนที่ยืนดูพยักหน้าหงึกหงักตามกันเป็นแถวราวกับเชื่อว่าสิ่งที่ยุนโฮพูด
เป็นเรื่องจริง เด็กผู้หญิงบางคนก็กรี๊ดแทบสลบเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อๆนั่น ผิดกับแจจุงที่ตอนนี้
รู้สึกปวดหัวตึบๆรู้สึกเหมือนเส้นเลือดในสมองกำลังจะแตก มือเรียวเตรียมจะตะบันหน้าของอีกฝ่าย
โทษฐานที่สร้างเรื่องโกหกมดเท็จให้คนอื่นเข้าใจผิด แต่กลับถูกแขนแกร่งรวบไว้เสียก่อนแถมร่างสูงยังดัน
ร่างของแจจุงให้ชิดกับโต๊ะแบบขยับไปไหนไม่ได้อีกต่างหาก
“ คิดเหรอว่าจะทำอะไรฉันได้ คราวที่แล้วฉันอ่อยให้หรอกนะ ” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยออกไปพลางเคลื่อนตัว
เข้าไปใกล้จนใบหน้าของแจจุงอยู่ห่างจากอกของยุนโฮไม่ถึงคืบ
“ ชางมิน จุนซูยืนบื้อทำไมวะ” ร่างบางตะโกนร้องให้เพื่อนร่วมวงที่ตอนยืนนิ่งเหมือนกับถูกสาป
ให้เป็นหินช่วย ร่างสูงที่ได้สติก่อนพยายามจะยื่นมาเข้ามา แต่ก็ถูกดวงตาคมที่แฝงแววดุร้ายของท่านจอมมาร
ขัดไว้เสียก่อน
“ มันเป็นเรื่องของฉันสองคน เพราะฉะนั้นอย่ายุ่ง” เสียงทุ้มราบเรียบแต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจทำให้จุนซู
ต้องไปแอบอยู่ข้างหลังรุ่นน้อง ในขณะที่ชางมินกำลังใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะช่วยพี่แจจุงหรือทำตาม
ยุนโฮว่าดี ใจหนึ่งก็เป็นห่วงแต่อีกใจก็อยากเห็นว่าคนปากเก่งอย่างพี่แจจุงจะแก้สถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร
สุดท้ายความคิดในด้านมืดก็เป็นฝ่ายชนะ ชางมินเลือกที่จะยืนดูเฉยๆในฐานะผู้ชมด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้า
คลายไม่ออก
ผมขอโทษฮะพี่แจจุง
“ ปล่อยนะไอ้เลว ไอ้ชาติหมาปล่อยสิ ” แจจุงเห็นว่างานนี้คงพึ่งใครไม่ได้นอกจากตัวเอง ร่างบางจึงใช้ขาเรียวเตะไปมาด้วยหวังว่าจะหลุดพ้นจากการคุกคาม แต่ร่างสูงกลับใช้ขาแกร่งล็อคขาแจจุงไว้ซึ่งนั่นทำให้ระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่เหลือน้อยเข้าไปใหญ่จนใบหน้าของยุนโฮและแจจุงแทบจะชนกัน บรรดาคนที่ยืนดูอยู่
ต่างก็ส่งเสียงอื้ออึงด้วยลุ้นจนตัวโก่ง เด็กผู้ชายหลายคนอดอิจฉาคนแปลกหน้าไม่ได้ที่ได้ใกล้ชิดกับรุ่นพี่สุดสวย
พอๆกับเด็กผู้หญิงที่อยากตกอยู่ในอ้อมแขนของคนหล่อแทนพี่แจจุง
“ อยากให้ปล่อยงั้นเหรอ เรียกอปป้าสิแล้วจะปล่อย ไหนเรียกสิ
ยุนโฮอปป้า ” ร่างสูงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่ว่าใครเห็นก็คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
โคตรหล่อ แต่ไม่ใช่กับคิมแจจุงที่คิดว่ามันช่างเป็นรอยยิ้มที่กวนอวัยวะเบื้องล่างเสียเหลือเกิน
“ ได้ ยุนโฮ
ไอ้สัตว์ ”
“ ดื้อจังเลยคิมแจจุง ท่าทางพูดดีๆจะไม่รู้เรื่องใช่ไหมเนี่ย.. เฮ้อ ” ยุนโฮถอนหายใจเบาๆ ทั้งที่ให้โอกาสแล้วแต่ร่างบางก็ปฏิเสธมันทิ้งทุกที ตอนแรกกะว่าแค่จะพูดให้ได้อายนิดหน่อยแต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมให้ความร่วมมือแบบนี้ก็ถือว่าช่วยไม่ได้ ยุนโฮผลักแจจุงให้นอนราบลงกับโต๊ะกินข้าวก่อนจะใช้ร่างอันสูงใหญ่ของตัวเองทาบทับ
“ หยุดนะไอ้บ้า แกจะทำอะไรหน่ะ ” แจจุงพยายามขัดขืน แต่ยิ่งดิ้นมากเท่าไหร่คนข้างบนก็ยิ่งทิ้งน้ำหนักลงมามากเท่านั้น
“ จำไม่ได้เหรอว่าเคยทำอะไรไว้กับฉัน ” ใบหน้าคมที่อยู่ใกล้แสนใกล้จนเขาสามารถมองเห็นเงาสะท้อน
ของตัวเองในดวงตาของอีกฝ่ายกับลมหายใจที่รินรดอยู่ตรงจมูกทำให้หัวใจดวงน้อยของแจจุงเต้นระรัว
จนแทบจะหลุดออกมา ความร้อนแปลกๆแล่นไปทั่วร่างอย่างรวดเร็วราวกับกระแสไฟที่ไหลเข้าสู่ร่างกายยามถูกไฟดูดยุนโฮที่จับได้ถึงเสียงหัวใจของอีกฝ่ายยิ่งเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้คนข้างล่างมากขึ้น
“ เอาหน้าออกไปนะไอ้บ้า”
ชองยุนโฮมองใบหน้าหวานๆ อย่างพินิจพิจารณา ความงามตรงหน้ามันช่างล่อตาล่อใจเขาเสียเหลือเกินไม่รู้ว่าหลุดมาจากสวรรค์ชั้นไหน ทุกอย่างบนใบหน้าถึงได้ถูกรังสรรค์มาอย่างลงตัวเช่นนี้
“เมื่อวันก่อนนายทำให้ปากฉันเลือดออก วันนี้ฉันเลยว่าจะทำแบบเดียวกัน” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียง
ที่ไม่ได้เป็นการคุกคามแต่กลับทำให้คนฟังหนาวสะท้านราวกับตกลงไปในธารน้ำแข็ง คิมจุนซูบีบท่อนแขนชางมินแน่นเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนกำลังเสียเปรียบ ในขณะที่ชางมินเจ้าน้องผู้ทรยศกลับอมยิ้ม
เสร็จแน่พี่แจจุง
“ ไอ้ชั่ว ก็มันสมควรแล้วไม่ใช่หรืองะ
อุ๊บ ” ริมฝีปากสีกุหลาบถูกครอบครองด้วยรสจูบแห่งมนตรา
ของจอมมาร ริมฝีปากหยักบดเบียดเรียวปากอวบอิ่มอย่างเร่าร้อนรุนแรงทำให้สมองของแจจุงว่างเปล่าขาวโพลน
ไปหมดไม่ต่างกับการถูกกระชากวิญญาณให้หลุดลอยออกจากร่าง แจจุงแทบจะไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
เรี่ยวแรงที่เคยมีในตอนแรกมลายหายไปสิ้นเมื่อถูกเรียวลิ้นหนารุกล้ำเข้ามาในโพรงปาก ร่างกายที่สั่นน้อยๆ
กระตุ้นให้ปีศาจอยากดูดกลืนไอวิญญาณอันหอมหวานของเหยื่อผู้งดงามมากขึ้น ยุนโฮแทรกลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กของร่างบางก่อนจะดูดดึงเคล้นคลึงให้อีกฝ่ายหมดแรง ดวงตากลมใสของผู้ที่ตกลงในหลุมพรางของปีศาจหลับลงช้าๆ อย่างห้ามไม่ได้ ปล่อยให้อีกฝ่ายชักนำสู่โลกแห่งความฝันอันหฤหรรษ์อย่างไร้การขัดขืน ความรู้สึกรังเกียจเกิดขึ้นพร้อมกับความสุขสมอันแสนประหลาดที่ตัวเองก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ดวงตาเรียวฉายแววแห่งความพอใจเมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าของร่างบางเริ่มซับสีชมพูระเรื่อ
จูบที่ดุดันในคราแรกจึงแปรเปลี่ยนรสจูบที่เนิบนาบนุ่มนวล
..เพราะยุนโฮอยากให้แจจุงจดจำแม้เพียงวินาทีว่าจุมพิตของปีศาจอย่างเขาก็มีรสชาตหวานหอม
ไม่ต่างอะไรกับจุมพิตของเทวดาที่อยู่บนสวงสวรรค์..
“ อือ อือ
” เสียงประท้วงในลำคอของร่างบางดังขึ้นแผ่วเบาเมื่อรู้สึกว่าเริ่มหายใจไม่ออก ยุนโฮถอนจูบออกมาด้วยความเสียดาย ร่างสูงดึงร่างของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นแล้วใช้แขนแกร่งโอบรอบเอวไว้ สายตาคมจ้องมองดวงหน้าของคนนั่งหอบหายใจถี่ๆด้วยความเหนื่อยล้าราวกับคนที่เพิ่งผ่านการถูกช่วงชิงลมหายใจสุดท้ายไปหมาดๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเด็กปากดีจะทำให้เขาเกิดอารมณ์ได้มากขนาดนี้ ร่างกายท่อนล่างที่เริ่มเจ็บหน่วงๆบ่งบอกให้เจ้าตัวรู้ว่ายุนโฮต้องการมากกว่าการจูบ ที่มาวันนี้ก็เพราะต้องการสั่งสอนให้ลูกแมวตัวนี้รู้ว่าไม่ควรรุกรานปีศาจอย่างเขาแต่ตอนนี้ยุนโอชักไม่แน่ใจแล้ว..
ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นใต้ปีกสีดำ
ไม่อยากให้ใครได้เห็น
ไม่อยากให้ใครได้สัมผัส
ไม่อยากให้ใครได้สบตาสีรัตติกาลย์คู่นี้
อยากจะกกกอดให้อีกฝ่ายจมหายไปในร่างกายของตน
ความหอมหวานที่อยากจะเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
ยอมรับ.. ยุนโฮยอมรับว่าปีศาจอย่างเขากำลังกลัว
กลัวว่าตัวเองจะตกอยู่ในมนต์สะกดอันน่าหลงไหลของลูกแมวตัวน้อยตรงหน้าจนถอนตัวไม่ขึ้น..
ยุนโฮใช้มือหนาข้างหนึ่งเช็ดหยาดน้ำใสตรงริมฝีปากของร่างบาง สายตาคมฉายแววอ่อนโยนที่แจจุงมองไม่เห็น
“ เอามือสกปรกของแกออกไป ” แจจุงปัดมือหนาออกพร้อมทั้งตวาดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ความจริงอยากจะฝากรอยแผลให้คนตรงหน้าสักรอยสองรอยแต่ก็ไม่สามารถทำได้ สำหรับคิมแจจุงยามที่ไร้เรี่ยวแรงเช่นในตอนนี้แค่การพยุงตัวเองให้ยืนตรงอยู่ได้ก็เป็นเรื่องที่ยากเต็มที ความรู้สึกสับสนปนเปประดังประเดเข้ามา
จนแทบรับไม่ไหว
ไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร
แจจุงกำลังเกลียดตัวเอง
เกลียดตัวเองที่ปล่อยให้ศัตรูเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตัวเองเป็นครั้งที่สอง
เกลียดตัวเองที่เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับรสจูบอาบยาพิษของอีกฝ่าย
เกลียดตัวเองที่หาคำตอบไม่ได้ว่าความร้อนที่พลุ่งพล่านทั่วกายนี่มันคืออะไร
เกลียดตัวเองที่ปล่อยให้ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวในใจ
คิมแจจุง
เกลียด
คิมแจจุง
“ ไปให้พ้นหน้าฉันได้หรือยังชองยุนโฮ ” ร่างบางดัดเสียงให้ดูดุดันไม่ต่างจากใบหน้าหวานที่ถูกเจ้าตัวปั้นแต่งให้ดูน่ากลัว แจจุงกำลังทำตัวราวกับเป็นนักแสดงฝีมือเยี่ยมโดยการพยายามซ่อนแววไหววูบในดวงตาไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ถึงความเปราะบางทางอารมณ์ของตัวเองในตอนนี้ เช่นเดียวกับจอมมาร ชองยุนโฮเองก็เลือกที่ตัดความต้องการในก้นบึ้งของหัวใจทิ้งแล้วหยิบหน้ากากแห่งความเฉยชาขึ้นมาสวมโดยฉับพลับ ดวงตาคมที่ทอประกายระยิบระยับยามจับจ้องคนตรงหน้าเมื่อสักครู่กลายเป็นดวงตาปีศาจที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากอง
“ รู้ไหมฉันคิดอยู่ตั้งนานว่าจะจัดการกับนายยังไงดีมันถึงจะสาสมกับที่ทำไว้กับฉัน
ฉันเองก็ไม่ชอบให้ใครมาเหยียบหัวเฉยๆโดยที่ไม่ตอบโต้เหมือนกัน นายโชคดีที่เกิดมาหน้าตาแบบนี้
หน้าตาแบบที่ฉันเอ็นดู ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงอัดให้เละคามือไปตั้งแต่คืนนั้นแล้ว” ร่างสูงทรงอำนาจ
เอื้อนเอ่ยบรรยากาศที่โอบล้อมคนทั้งคู่เย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก เสียงอื้ออึงของคนที่มุงดูอยู่ในตอนแรก
มลายหายไปกับอากาศ ทุกคนเงียบกริบด้วยกำลังกลั้นหายใจลุ้นกับบทสรุปของคนหล่อและคนสวย
“ เพราะฉะนั้นก็อดทนเอาหน่อย ถ้าช่วงนี้เดินไปไหนแล้วจะได้ยินคนในโรงเรียนนินทากันหลับหลังอย่างสนุกปากว่าคิมแจจุงมอหกห้องสองถูกผู้ชายจับกดแถมจูบกลางโรงอาหาร หึหึ..ถือว่าหายกันก็แล้วกัน ” ชองยุนโฮแสยะยิ้ม ก่อนจะหันหลังกลับแล้วออกเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบเหมือนตอนที่เข้ามา
“ อ๊ะ ลืมบอกไปอีกอย่าง” ยุนโฮเอี้ยวตัวกลับ ดวงตาเรียวจับจ้องร่างที่ยังคงยื่นนิ่งราวกับถูกสตาฟฟ์
“ ชาเขียวใส่นมของที่นี่หวานดีจัง ” พูดจบก็พาร่างสูงของตนเดินฝ่าผู้คนออกไป ทิ้งไว้เพียงคำลาแฝงความเจ้าเล่ห์กับรอยยิ้มร้ายที่คงจะตราตรึงในโสตประสาทของแจจุงไปอีกนาน
บรรดาเกาหลีมุงต่างแยกย้ายไปตามทางของตนเมื่อเห็นว่าละครช่วงพักกลางวันปิดม่านลงแล้ว บางคนก็กลับไปก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ บางคนก็เริ่มจับกลุ่มพูดคุยถึงฉากที่กึ่งจะเป็นเลิฟซีนของพระเอกและนางเอก
“ ไหวไหมแจจุง” คิมจุนซูที่เดินอ้อมมาอยู่ฝั่งเดียวกันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่างบางมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก มือเรียวจับที่ไหล่ของแจจุง ถึงแม้เพื่อนของเขาจะเป็นพวกไม่กลัวใครแต่เจอเข้าอย่างนี้คงจะเสียขวัญอยู่ไม่น้อย
จุนซูเสมองไปทางชินมินที่ทำหน้าหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน
เล่นแรงไปหรือเปล่าวะ พี่แจจุงจิตหลุดไปเลย
คิมแจจุงทรุดกายลงกับเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองเจอกับคู่ปรับที่ต่อกรได้ยาก ริมฝีปากที่เคยเอื้อนเอ่ยวาจาเจ็บแสบให้ใครต่อใครพากันร้อนๆหนาวๆกลับไร้ซึ่งเสียงราวกลับว่าตัวเองเป็นใบ้ไปชั่วขณะ มือเรียวยกขึ้นมาถูริมฝีปากไปมาหวังจะลบคราบยาพิษจากจอมมารออกไปให้หมดสิ้น แจจุงถูมือแรงขึ้นและแรงขึ้นแต่กลับไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะพยายามมากขนาดไหนรสสัมผัสประหลาดๆ
ที่ติดอยู่ก็ยังคงไม่จางหาย
ขมเฝื่อนแต่อ่อนหวาน
จุมพิตแห่งปีศาจแฝงฝัน
จุมพิตแห่ง
ชองยุนโฮ
“ฉันเกลียดมัน”
To be Continued
ความคิดเห็น