คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : :: Prologue ::
The Rhythm of Demon, The Sound of Love : Prologue
Author: Daisyincubus
Category: Drama, Romance, Angst
Pairing: Yunho x Jaejoong , Yuchun x Junsu
Rating: ???
▒ ░▓◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫▒ ░▓
The Rhythm of Demon, The Sound of Love
:: Prologue ::
บุรุษรูปงามร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์
ปีกที่บินไม่ได้เป็นดั่งตราบาป
ปีศาจที่ถูกสาป
เปี่ยมด้วยอำนาจแห่งราคะและความยโส
แฝงกายดั่งเงามืด
ออกล่าความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของหญิงสาว
ด้วยลักลอบเข้าในฝัน
ล่อลวงด้วยความหวานของรสกาม
บทรักอาบยาพิษ
ก่อนสะกดจิตครอบครองวิญญาณ
ดูดกลืนไอแห่งชีวิต
เพื่อปลูกเมล็ดพันธ์แห่งความชั่วร้าย
ทิ้งไว้เพียงร่างกายที่ไร้การควบคุม
กับความทรงจำที่เลือนลางในค่ำคืนแห่งฝันร้าย
แม้อยากลืมตาตื่นเพียงใดก็ไม่อาจละจากสเน่ห์ร้ายของจอมมาร
ปีศาจแฝงฝัน
.
.
.
.
แม้มนุษย์ได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกว่าการให้ถือเป็นพรอันประเสริฐ การสละความสุขบางอย่างของตัวเองเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย แต่ในความเป็นจริงบนโลกของสัตว์สองเท้า ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ไม่พ่ายแพ้ต่อความเห็นแก่ตัวอันน่ารังเกียจที่เกาะอยู่ตามเส้นขน ดอกไม้สีดำแห่งความละโมบเบ่งบานจนบดบังดวงตาแห่งความปราณีที่ควรมีให้กับผู้อื่นไปจนหมดสิ้น
นึกถึงแต่ตัวเองจนมองไม่เห็นหัวใคร หน้าไหนจะล้มลุกคลุกคลานอย่างไรไม่สนขอเพียงตัวเองยังยืนอยู่ได้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก นี่คือกฏแห่งธรรมชาติ
“ ปัง ”
เสียงปิดประตูดังลั่นท่ามกลางความเงียบในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กไร้การตกแต่งพาลให้ไม้กลองสีงาช้างที่กำลังถูกควงเล่นในมือของหนุ่มน้อยร่างสูงร่วงลงสู่พื้น สายตาคมภายใต้แว่นตากรอบหนาทรงโบราณหันไปมองร่างสองร่างที่เพิ่งเดินเข้ามาเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มตัวเอื้อมมือไปเก็บของที่ตนทำหล่นเมื่อสักครู่
“ เป็นยังไงบ้าง ” เสียงแหลมเป็นเอกลักษณ์ถูกปล่อยออกมาจากริมฝีปากของร่างเล็กที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากเด็กร่างสูง ความกังวลฉายชัดในใบหน้ากลมใสอย่างปิดไม่มิด มือเรียวเล็กเอื้อมไปแตะท่อนแขนแกร่งของร่างโปร่งที่เพิ่งทรุดกายลงข้างตน
“ ว่ายังหล่ะยูชอน ” คนตัวเล็กเอ่ยถามออกไปอีกครั้งพลางเขย่าลำแขนของคนโดนถามเบาๆราวกับเด็กน้อยที่พยายามเรียกร้องความสนใจจากมารดา
“ จะว่ายังไงหล่ะจุนซู ” กลับเป็นเสียงหวานของร่างบางอีกคนที่ดังขึ้นมาแทน ใบหน้าที่งดงามราวกับงานเขียนชิ้นเอกของจิตรกรฝีมือเยี่ยมกำลังบึ้งตึ้ง คิ้วเรียวสวยได้รูปขมวดกันยุ่ง ริมฝีปากอวบอิ่มสีกุหลาบเชิดขึ้นเล็กน้อยยามที่เจ้าตัวไม่สบอารมณ์
“ ก็แบบนี้ไง หมัดซ้ายฮุกเข้าลำตัว อ๊ากกกกก ” คนสวยร้องตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งพลางยกแข้งยกขาขึ้นมาทำท่าประกอบ
“ แล้วก็นี่ หมัดขวาเหี่ยวๆ เข้าหน้าอย่างจัง ฮึก ” ร่างบางทำท่าราวกับถูกหมัดหนักๆเสยได้อย่างสมจริงสมจรังจนคนดูเห็นภาพเหมือนตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ด้วย แม้ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาตรงๆ แต่คนฟังก็พอเข้าใจได้ไม่ยากว่าสุดท้ายแล้วคำตอบที่นั่งรอมานานนับชั่วโมงออกหัวหรือออกก้อย
ร่างบางที่เพิ่งออกท่าทางแมกไม้มวยไทยไปหมาดๆทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังเก่าๆที่ถูกใช้งานมายาวนานจนมีรอยขาดอยู่เป็นช่วงๆ
มือเรียวขาวหยิบบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีดออกมาจุด ก่อนจะสูดเอารสขมเฝื่อนเข้าไปจนเต็มปอด ร่างบางพิงลำคอยาวระหงษ์กับขอบของโซฟา ก่อนจะพ่นควันสีขุ่นออกมาช้าๆ
“ ไอ้ห่านั่นไม่ให้เราเล่น จนกว่าวงเราจะพร้อม... แม่งเอ๊ย ” คำสบถที่แสนจะขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกของคนพูด ถูกปล่อยออกมาตามแรงอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน หากเป็นคนอื่นก็คงอยากจะจับร่างบางมาตีก้นสักทีสองสีโทษฐานที่ทำตัวไม่สมกับเป็นกุลสตรี แต่ไม่ใช่กับอีกสามคนที่ใช้อากาศในการหายใจร่วมกับร่างบางอยู่ตอนนี้ เพราะต่างรู้ดีว่าเมื่อไรก็ตามที่ร่างบางอารมณ์เดือดขึ้นมาจากปากหวานๆก็จะกลายเป็นปากหมาๆได้ในฉับพลัน
“ ทำอย่างนี้ได้ยังไง เราเรียกลูกค้าได้ตั้งเยอะ ”
“ เฮียเขาบอกว่าลูกค้าเบื่อ เพลงช้าๆ เพลงอะคูสติกมันก็เพราะอยู่หรอก แต่ทุกวันมันก็ไม่ไหว ” ยูชอนอธิบาย ก่อนจะรับซองบุหรี่จากคนที่นั่งตรงข้ามมาไว้ในมือ แล้วดึงแท่งสีขาวออกมาจุด
จริงอย่างที่จุนซูว่า แม้วงของพวกเขาเป็นเพียงวงดนตรีเล็กๆ แต่ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าความสามารถบวกกับสเน่ห์ที่ติดกายมาตั้งแต่เกิดของสมาชิกแต่ละคนเป็นเครื่องมือในการเรียกเม็ดเงินให้ไหลเข้ามาต่อชีวิตให้กับผับเก่าๆแห่งนี้ได้ไม่น้อย ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความผิดพลาดที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดกลับกลายเป็นข้ออ้างให้ตาแก่เจ้าของร้านใช้ยื่นคำขาดว่าจะให้วงของพวกเขาหยุดพักชั่วคราวหากสมาชิกของวงยังไม่ครบ เมื่อสัปดาห์ก่อนฮยอกแจมือกลองประจำวงประสบอุบัติเหตุรถชนทำให้ขาหักแขนหักและต้องพักฟื้นร่างกายอย่างน้อยสามถึงสี่เดือน การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของสมาชิกที่เหลือคือการเปลี่ยนจากดนตรีกรันจ์สุดมันส์ที่เล่นอยู่ทุกวันมาเป็นเพลงช้าสลับกับเพลงอะคูสติกเบาๆ แม้ลูกค้าและบรรดาแฟนเพลงที่จงรักรักภักดีจะยังมาฟังพวกเขาเล่นเป็นปกติ แต่นั่นก็ยังไม่มากพอที่จะตอบสนองความต้องการของเจ้าของร้านหน้าเลือด
‘ เฮียจะหาโชว์อื่นมาเล่นแทนไปก่อน อย่าว่าเฮียใจร้ายเลยแจจุง เฮียเองก็เห็นพวกนายเหมือนลูกเหมือนหลาน เพลงอะคูสติกของพวกนายหน่ะมันก็เพราะอยู่หรอกแต่มันไม่เร่าร้อน ลูกค้าที่มาผับเขาก็ต้องการมาปลดปล่อยอารมณ์กันทั้งนั้น พวกนายเข้าใจที่เฮียพูดใช่มั้ย
วงดนตรีที่ไม่มีกลองหน่ะมันไม่ได้หรอก ร้านเฮียก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีลูกค้าเข้าร้านเฮียก็เจ๊ง...’
ลูกหลานแม่มึงสิ ถ้ารู้ว่าจะต้องมาเจอญาติแบบนี้กูไม่เกิดมาร่วมตระกูลกับมึงแน่
ดวงตากลมโตของนักร้องนำประจำวงฉายแววเคืองขุ่นเมื่อนึกใบหน้าอ้วนกลมที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลากับหัวใสๆไร้เส้นผมของเจ้าของร้าน เขาเองก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าวงดนตรีจะขาดกลองไม่ได้ เพราะกลองเปรียบเสมือนหัวใจของวงที่ควบคุมจังหวะการเล่นของทุกคนให้ออกมาสม่ำเสมอ แต่คำกล่าวอ้างเห็นแก่ตัวที่อีกฝ่ายหยิบยกขึ้นมาใช้ทำให้เส้นแห่งความเคารพบนับถือขาดผึง คิดแต่ว่าตัวเองจะเสียประโยชน์ แล้วไม่คิดบ้างเหรอว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่พระเจ้าหรือซุปเปอร์ฮีโร่กลับชาติมาเกิดนี่ถึงจะได้ห้ามอุบัติเหตุไม่ให้เกิดได้ จะต้องให้เขาลากเพื่อนมาเล่นทั้งสภาพที่ผ้าพันแผลเต็มตัวหรือไงถึงจะพอใจ อยากเฉาะหัวใสๆนั่นดูสักทีจะได้รู้ว่าเลือดที่อยู่ข้างในมันสีแดงหรือสีดำ
โชว์อื่นรึ ถุย!! ก็แค่โคโยตี้ราคาถูกที่ทำอะไรไม่เป็นนอกจากแอ่นสะโพกเด้งหน้าเด้งหลังกับเอานมฟาดหน้าไอ้พวกตัณหากลับ
นอกจากหุบๆอ้าๆแล้วสเต็ปการเต้นแม่งนับเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้
“ แล้วจะเอายังไงกันดีฮะพี่ ” ชิมชางมินน้องเล็กของวงเอื้อนเอ่ย ก่อนจะขยับขาแว่นอันโตให้กระชับขึ้น
พลางกวาดตามองไปยังใบหน้าของพี่ชายต่างสายเลือดทั้งสาม
ยูชอนกดมวนบุหรี่ที่ยังสูบไม่หมดลงบนจานเขี่ยบุหรี่สีขาว ใช้มือหยาบขยี้เบาๆจนไฟสีแดงตรงส่วนปลายดับลง ก่อนจะลุกไปหยิบกีตาร์เบสคู่ใจที่ถูกวางชิดกับผนังห้องด้านหนึ่งมาเก็บใส่กระเป๋า โดยมีสายตาของมือกีตาร์ร่างเล็กมองตามแบบตาไม่กระพริบ
“ ก็แค่หามือกลองคนใหม่ ” พูดเสร็จก็สะพายกระเป๋าใบโตขึ้นบ่า
“ พูดง่ายนะมึง แล้วนี่จะไปไหน ” แจจุงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่ายูชอนทำท่าเก็บข้าวเก็บของ
ไอ้ห่านี่ ยังไม่เคลียร์เลยจะรีบไปไหนของมันว่ะ อย่าบอกนะว่า
.
“ เมื่อสองวันก่อนได้งานพิเศษเพิ่ม ไปก่อนนะ ” ยูชอนตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินออกไป
“ อ๊ะ! ฉันกลับด้วย ไปก่อนนะแจจุง ชางมิน ” มือเล็กๆของจุนซูกวาดสัมภาระของตัวเองลงกระเป๋าแบบลวกๆ แล้วรีบวิ่งตามมือเบสของวงออกไปทันที
แจจุงมองตามร่างเล็กที่เพิ่งวิ่งออกไปด้วยสายตาที่บอกไม่ได้ว่ารู้สึกเช่นไร ผิดกับสายตาของชางมินที่ดูเหมือนว่าสามารถอ่านความเป็นไปทุกอย่างออกได้แบบทะลุปรุโปร่ง
“ พี่แจจุง แล้วเราจะไปหามือกลองที่ไหนฮะ ” ร่างสูงเอ่ยถามออกไปเพื่อเบี่ยงความสนใจของพี่ชายหน้าหวาน
“ ไม้รู้โว้ย!! ”
“ งั้นเราจะต้องพักจริงๆเหรอฮะ ”
“ ไม่มีทาง ฉันไม่มีทางยอมแพ้ไอ้แก่นั่นง่ายๆ ”
ใช่ไม่มีทาง คนที่รักดนตรีกับคนที่ทำการค้ากับดนตรีมันต่างกันตรงนี้เอง ต่อให้ฮยอคแจไม่เจ็บ ในอนาคตไอ้สัตว์สองเท้าคนนั้นมันก็ต้องหาทางบีบพวกเราออกอยู่ดี ในเมื่อพวกเรามันไม่ใช่พวกเนื้อนมไข่ที่ล่อเสือล่อตะเข้ได้ ค่าเข้าผับหรือค่าบัตรคอนเสิร์ตจากแฟนเพลงของพวกเขาคงเทียบไม่ได้กับทิปหนักๆจากไอ้พวกโคแก่อยากกินหญ้าอ่อนที่หนีบอยู่ตามเสื้อในกางในของผู้หญิงพวกนั้นได้หรอก ด้วยเหตุนี้คนอย่างแจจุงจึงยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่างจะให้ไปหาที่เล่นใหม่ก็คงไม่ได้เหมือนกัน เพราะคงไม่มีใครกล้าเสี่ยงรับคนที่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างพวกเขาเข้าทำงานเหมือนไอ้แก่นั่น แล้วที่สำคัญเขาเป็นห่วงเจ้าสองคนนั่น เพราะคบกันมานานจนพอจะรู้ว่าสำหรับยูชอนและร่างที่นอนเหงาอยู่ในโรงพยาบาลนั้นดนตรีไม่ใช่แค่สิ่งที่รักหรือหลงไหล แต่มันคือน้ำทิพย์ที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ชีวิตยังดำรงอยู่ได้ เงินค่าจ้างที่ได้จากไอ้แก่เจ้าของร้านช่วยลดภาระให้กับคนที่ต้องหาเลี้ยงตัวเองอย่างสองคนนั่นได้ไม่น้อย
“ แล้วอีกอย่าง
ฉันไม่อยากให้เจ้าพวกนั้นลำบาก ”
ชางมินมองใบหน้าหวานของพี่ชายแล้วยิ้มบางบางที่มุมปาก ใครๆก็ชอบว่าพี่แจจุงปากร้ายและเย็นชา แต่สำหรับเขาพี่แจจุงคือคนที่ใจดีที่สุดเสมอ ร่างสูงลุกขึ้นมาเก็บสัมภาระของทั้งตัวเองและของพี่ชายที่ยังนั่งนิ่งไม่ขยับเยื้อน
“ พี่ กลับกันเถอะฮะ ”
แจจุงถอนหายใจเบาๆก่อนจะพยักหน้าให้น้องเล็กของวง
“ อืม ”
.
.
.
.
ร่างสองร่างกำลังเดินเคียงข้างกันในตรอกเล็กๆหลังร้านที่ลัดออกถนนสายหลักได้ แสงสลัวจากร้านรวงต่างๆที่เดินผ่านสว่างพอให้จุนซูมองเห็นใบหน้าของยูชอนได้อย่างชัดเจน ดวงตาเรียวเล็กจับจ้องไปที่ขนตางอนยาวของยูชอน จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากหยักเป็นกระจับ มองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไม่สามารถละสายตาจากคนๆนี้ได้ ในอกข้างซ้ายนี่ก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันร้องหาแต่คนตรงหน้า แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เคยรับรู้เลยก็ตาม
“ คราวนี้งานอะไรเหรอยูชอน ”
“ ปรับปรุงผิวถนน ”
“ หา จะไหวเหรอ ฉันว่ามันหนักเกินไปหรือเปล่า ” จุนซูกล่าวออกไปด้วยความเป็นห่วง แค่งานพิเศษที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็แน่นเอี้ยด
จนยูชอนเองก็แทบไม่ค่อยได้พักผ่อนอยู่แล้ว ขืนทำเพิ่มอีกร่างกายอาจรับไม่ไหวก็ได้
“ ไหวสิ ฉันมันชนชั้นรากหญ้า เรื่องแค่นี้สบายมาก ” ยูชอนตอบออกไปตามความเป็นจริง ด้วยความที่ต้องหาเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ทำมาสารพัดตั้งแต่ล้างจานในร้านอาหาร เป็นพนักงานเสิร์ฟ ส่งหนังสือพิมพ์ ชีวิตไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองให้เสวยสุขได้สบายๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่างานหนักงานเบาเขาก็ไม่เคยเกี่ยงถ้าทำแล้วได้เงินมายาไส้
“ ฉันแค่
เป็นห่วง ” จุนซูกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ร่างสูงหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปสบใบหน้าของคนที่อยู่ข้างกาย ยูชอนรู้ว่าคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงนี้รู้สึกอย่างไรกับตนรู้ดีว่าคำว่าเป็นห่วงของจุนซูหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่สามารถรับมันไว้ได้
ไม่ใช่รังเกียจ
ไม่ใช่ไม่ต้องการ
แต่โลกของยูชอนกับโลกของจุนซูต่างกันเกินไป
ไม่อยากให้ความมืดมิดกลืนกินแสงสว่าง
ไม่อยากให้ผ้าสีขาวอย่างจุนซูต้องแปดเปื้อนด้วยน้ำครำสีดำอย่างเขา
“ ขอบใจ ”
เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นถนนดังขึ้นอีกครั้ง ยูชอนฮัมเพลงขึ้นเบาๆ ราวกับต้องการตัดบนสนทนาเพื่อไม่ให้ความรู้สึกบางอย่างถลำลึกไปมากกว่านี้
ปล่อยให้อีกคนก้าวเท้าตามมาอย่างเงียบๆเพียงลำพัง
โลกของฉันมีนายอยู่เต็มไปหมด
ในฝันฉันก็ยังเห็นนาย
จะมีวันนั้นมั้ย
วันที่โลกของนายมีฉัน
▒ ░▓◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫◘╫▒ ░▓
“ ว่าไงจ๊ะน้องสาว ให้พี่นั่งเป็นเพื่อนมั้ย ”
“ ไอ้สาด ”
“ โหไอ้แจ แดกหมาแทนข้าวหรือไง กูอุตส่าห์ถามดีๆ ” ร่างสูงใหญ่ของเพื่อนร่วมชั้นนามว่าคังอินนั่งปุกลงบนม้าหินข้างๆร่างบาง
เห็นว่าเป็นเพื่อนหรอกนะไอ้แจ ไม่งั้นกูจับทำเมียไปนานแล้ว ปากแม่งดีจริงๆ
“ สมน้ำหน้า เสือกเรียกกูว่าน้องสาว ”
“ แล้วนี่ไอ้พวกที่เหลือไปไหน ” คังอินถามก่อนจะคว้ากระป๋องน้ำผลไม้ที่คนสวยกินเหลือมาซดต่อโดยไร้การขออนุญาต ทำราวกับว่าตัวเองเป็นคนซื้อมาก็ไม่ปาน
“ จุนซูกับชางมินไปห้องสมุดส่วนยูชอนคงไปแอบหลับอยู่ที่ไหนสักที่ ” ร่างบางตอบก่อนจะซุกหน้าลงบนแขนขาวที่วางพาดอยู่บนโต๊ะ
“ อ๋อเหรอ เออนี่ได้ข่าวว่าวงมึงยุบ งั้นมาเล่นวงกูมั้ย ”
“ ไม่เอา วงมึงมีแต่คนขี้เหร่ไม่คู่ควรกับกู อีกอย่างพวกกูยังไม่ได้ยุบวงเว้ย ”
“ แล้วมึงเอาไง ไอ้ฮยอคมันต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปอีกหลายวันไม่ใช่เหรอ ”
“ กูถึงได้เครียดอยู่เนี่ยไง ”
“ ทำไมไม่ลองงประกาศรับสมัครดูวะ อาจมีคนสนใจก็ได้นะมึง ” คังคินแนะนำ
“ ที่มึงพูดหน่ะ พวกกูทำหมดแล้ว แต่แม่งไม่ได้เรื่อง
เฮ้อ ”
แจจุงถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย เมื่อสองวันก่อนมีคนมาคัดตัวตามที่ชางมินไปติดประกาศไว้ แต่ไม่มีใครน่าสนใจสักคน
มีแต่พวกขาดๆเกินๆ บางคนทำท่าเหมือนตัวเองเป็นกลองฮีโร่ที่เก่งขั้นเทพ แต่พอตีออกมากลับไม่ได้เรื่อง บางคนแค่จังหวะธรรมดายังตีมั่ว
บางคนแม่งก็หน้าหม้อ สรุปคือการคัดตัวล้มเหลว
“ นี่มึงรู้จักมือกลองดีๆบ้างเปล่าวะ ” แจจุงเอ่ยถามออกไป เมื่อนึกได้ว่าคังอินเองก็เล่นดนตรีเหมือนกัน น่าจะพอรู้จักคนในแวดวงนี้อยู่บ้าง
“ ดีของมึงเนี่ย หมายถึงแบบไหนหล่ะ ” ร่างใหญ่เอ่ยถามออกไป คังอินรู้ดีว่าคนอย่างแจจุงมีมาตรฐานสูงดูจากสมาชิกในวงก็พอรู้ เพราะฉะนั้นคำว่าดีของแจจุงมันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
“ อย่างน้อยก็ต้องสูสีกับฮยอคแจหรือไม่ก็ดีกว่า เอาแบบที่เล่นแล้วทำให้กูขนลุกได้อ่ะมีมั้ย ”
“ มี โยชิกิวงเอ็กซ์แจแปนไงมึง ”
กูดูทีไรขนลุกทุกที กลัวชิบหายเลย
“ กวนตีนและมึง ” ร่างบางพูดพร้อมส่งสายตาเขียวปั้ดไปให้
คนเครียดจะตายอยู่แล้วเสือกล้อเล่นอยู่ได้
“ มึงนั่นแหละ มึงคิดว่ามือกลองดีๆขั้นเทพที่ไหนเขาจะมาเล่นให้วงนักเรียนธรรมดาอย่างพวกเราวะ ”
“ นั่นสิ เฮ้อ เครียดโว้ย !!” แจจุงตะโกนออกมาดังลั่น เป็นอย่างที่คังอินว่า เขามั่นใจพอสมควรว่าวงของเขาทำได้ดีไม่แพ้มืออาชีพบางวง แต่ก็อีกนั่นแหละ คนเก่งที่ไหนจะมาสนใจพวกเขา พวกที่เก่งมากๆก็มักมีอีโก้ในตัวเองสูงจนมองคนอื่นเป็นเพียงฝุ่นผงที่ติดอยู่บนส้นรองเท้า
ไม่มีค่าอะไรให้ต้องลดสายตาลงไปมอง
“ เออ แต่จะว่าไปก็มีอยู่อีกคนหนึ่ง” ร่างใหญ่พูดขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่ามีอีกคนที่เข้าข่ายที่ร่างบางต้องการ
“ ใครวะ ” เสียงหวานๆเอ่ยถามออกไปด้วยความสนใจ แววตาขุ่นมัวเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนประกายตาระยิบระยับด้วยความหวัง
“ อินคิวบัส ”
“ หา!! คนเชี่ยอะไรชื่ออินคิวบัส ”
“ ไอ้แจ มึงโง่หรือไง อินคิวบัสหน่ะมันฉายาโว้ย อินคิวบัส อดีตมือกลองที่ฝีมือเยี่ยมที่สุดในวงการใต้ดิน”
“ อดีตเหรอ ” แจจุงถามด้วยสีหน้าสงสัย
“ เออ ได้ยินมาว่าไม่เล่นแล้วแต่ก็มีคนเคยเห็นว่ายังวนเวียนอยู่ในผับแถวอับกูจอง มึงลองไปดูสิ ไม่แน่นะเขาอาจยอมเล่นให้วงมึงก็ได้ ” ได้ข่าวมาว่าเจ้าตัวชอบของสวยๆงามๆ แบบไม่มีจำกัดเพศไม่จำกัดอายุ
หน้าสวยๆอย่างไอ้แจนี่นอกจากจะเล่นให้ฟรีแล้วฝ่ายนู้นอาจจะแถมของสมนาคุณให้อีกเพียบจนตูดบานเลยมึงเอ๊ย
“ นี่มึง ว่าแต่ชื่อจริง”
“ ยุนโฮ ”
“ ยุนโฮเหรอ ”
ยุนโฮ
อินคิวบัส
.
.
.
.
บุรุษรูปงามร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์
ปีกที่บินไม่ได้เป็นดั่งตราบาป
ปีศาจที่ถูกสาป
เปี่ยมด้วยอำนาจแห่งราคะและความยโส
แฝงกายดั่งเงามืด
ออกล่าความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของหญิงสาว
ด้วยลักลอบเข้าในฝัน
ล่อลวงด้วยความหวานของรสกาม
บทรักอาบยาพิษ
ก่อนสะกดจิตครอบครองวิญญาณ
ดูดกลืนไอแห่งชีวิต
เพื่อปลูกเมล็ดพันธ์แห่งความชั่วร้าย
ทิ้งไว้เพียงร่างกายที่ไร้การควบคุม
กับความทรงจำที่เลือนลางในค่ำคืนแห่งฝันร้าย
แม้อยากลืมตาตื่นเพียงใดก็ไม่อาจละจากสเน่ห์ร้ายของจอมมาร
ปีศาจแฝงฝัน
อินคิวบัส
To be continued
ความคิดเห็น