คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1
มารหัวใจ
บทที่1
ร่างเพรียวก้าวลงจากรถซีมูลีนคันยาวซึ่งเป็นพาหะขับเคลื่อนราคาแพงระยับ สมบัติส่วนตัวของ ชลิศา เจ้าของบริษัทสิ่งทอส่งออกไปทั่วโลกยักษ์ใหญ่ และยังเป็นบริษัทชั้นนำในแถบเอเชียแปซิฟิค ชลิศาผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการใหญ่แห่ง C.M.แมททีเรียลถอดแว่นกันแดดสีดำยี่ห้อดังออกจากใบหน้าหวาน เรียวไข่ ดวงตาสีดำคมกริบกวาดมองความสูงของตัวตึกเห็นแสงวูบวาบของกระจกที่สะท้อนกับแสงแดดในยามใกล้บ่าย
หญิงสาวก้าวนำอย่างมั่นคงเข้าไปภายในตัวตึกอันแสนโออ่าและพลุ้งพล่านไปด้วยพนักงานบริษัทกินเงินเดือนที่ต่างทยอยเดินออกจากตัวตึกในเวลาพักเที่ยงโดยมีร่างสูงของชายหนุ่มชาวอเมริกันวิ่งตามไปติดๆ
“เฮ้..” เขาส่งเสียงเรียกเมื่อเจ้านายสาวก้าวฉับๆ กระฉับกระเฉงตามบุคคิกของเจ้าหล่อนไปถึงลิฟต์สีเงินยวงที่อนุญาตสำหรับผู้บริหารระดับสูงใช้บริการเท่านั้น กว่าจะวิ่งตามมาทันประตูลิฟต์เกือบปิดลงแล้ว รอนแทรกตัวผ่านเข้าไปได้อย่างหวุดหวิด
เขาเข้าไปกระพือคอเสื้อเชิร์ตสีฟ้าอ่อนลายทางเพื่อคลายความร้อน “ร้อนเป็นบ้าเลย เมื่อไหร่หิมะจะตกที่ประเทศไทยสักทีนะ” เขาเปรยดังๆ ในลิฟต์มีเพียงเจ้านายสาวและเขาเท่านั้นจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจใคร
ชลิศาเลื่อนสายตาจากแป้นตัวเลขที่เลื่อนขึ้นสูงเรื่อยๆมามองเสี้ยวหน้าของคนพูดแล้วจุดยิ้มที่มุมปาก คล้ายขบขันนักหนากับคำพูดอันเลื่อนลอยของเขา “ถ้าหิมะตกที่ประเทศไทย เมื่อไหร่กรุงเทพฯก็คงจมอยู่ใต้ทะเลเมื่อนั้นล่ะ”
“แล้วคุณว่าคำทำนายที่ว่าโลกจะแตกในปี2012จะเป็นจริงหรือเปล่า” รอนชวนคุยต่อ การสนทนากับเจ้านายสาวนอกเหนือจากเรื่องการทำงานเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายจริงๆ ชลิศาไม่ใช่ผู้หญิงพูดมาก เพราะเธอเลือกที่จะทำมากกว่าที่พูด
“พวกที่เอาแต่พูดจะไม่มีวันเจริญ รอน” นั่นคือคำพูดของเจ้านายสาวที่เคยเอ่ยกับเขาเมื่อนานมาแล้วและเขาก็เชื่อเช่นนั้น เพราะผู้หญิงคนที่ยืนข้างๆเขาอยู่นี่ยังไงละที่ทำให้เขาเชื่ออย่างสนิทใจ ว่าด้วยสองมือเล็กๆของเธอ เธอสามารถนำพาC.M.แมททีเรียลให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างน่าทึ่ง ไม่มีใครเชื่อแน่หากเขาจะบอกว่า ผู้หญิงคนนี้จบการศึกษาเพียงมัธยมต้นเท่านั้น
“ไม่รู้สิ” หญิงสาวยักไหล่น้อยๆ แว่นกันแดดราคาแพงในมือถูกยกขึ้นมาพิจารณาโครงสร้างและการเชื่อมต่อ “คำทำนายอาจจะถูกหรืออาจจะผิด ต้องรอให้ถึงวันนั้นซะก่อน อยู่ที่คนเรามากกว่าว่าจะเลือกเชื่ออย่างงมงายหรือจะเลือกเชื่ออย่างมีสติ”
“ถ้าเป็นคุณ คุณจะเชื่อแบบไหน”
“ฉันเชื่อในตัวของฉันเอง เชื่อในสิ่งที่ฉันมี” ชลิศาหันมายิ้มให้กับลูกน้องหนุ่มเจ้าปัญหาเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู ในปีนี้หญิงสาวอายุสามสิบสองปีบริบูรณ์ ในขณะที่รอนอายุเพียงยี่สิบห้าปี ยังเด็กนักในสายตาของเธอ เปรียบไปเขาคือน้องชายคนเดียวที่เธอมีอยู่
เรียวเท้าสวยในรองเท้าส้นสูงสองนิ้วสีดำก้าวออกจากลิฟต์ก่อนเป็นคนแรก ด้วยความเคยชินที่ตัวเองเป็นผู้นำ หญิงสาวจึงชินที่จะเดินนำโดยปล่อยให้รอนค่อยๆวิ่งตามเธออยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะใช้เวลานานสักเท่าไหร่เธอมักจะรอเขาอยู่ที่เส้นชัยเสมอ
“มีคนมาขอพบท่านประธานค่ะ” อรอนงค์ เลขาสาววัยสามสิบปลายๆยืนขึ้นและแจ้งเรื่องก่อนที่เจ้านายสาวจะผลักประตูเข้าไปภายในห้องทำงาน หญิงสาวชะงักกึกอยู่หน้าประตูไม้สักที่เปิดค้างไว้เพียงเล็กน้อย คิ้วเรียวสีน้ำตาลอ่อนขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจ
“เรื่องอะไร”
“เขาแจ้งเอาไว้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวค่ะ”
“เรื่องส่วนตัว” หญิงสาวหันมามองอรอนงค์ด้วยความแปลกใจก่อนพาตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารและแบบผ้ามากมาย “ฉันไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวเลยสักครั้ง”
“เขามาขอพบท่านประธานหลายครั้งแล้วค่ะ”
“ฉันไม่เคยมีนัดนี่ บอกปัดไปซะ” หญิงสาวตัดความรำคาญเสียงแข็ง เรื่องส่วนตัวหากเป็นเรื่องการสานสัมพันธ์แบบชู้สาวนอกเหนือจากเรื่องงาน ชลิศาเลือกที่จะตัดความรำคาญเช่นนี้เสมอ เป็นจังหวะเดียวกับที่รอนเดินมาสมทบ ทันได้ยินคำพูดไร้เยื่อใยของเจ้านายสาวที่ทำให้อรอนงค์ตัวลีบด้วยความกลัว
“มีอะไรกันหรือครับ” หนุ่มอเมริกันเอ่ยเสียงทุ้มเป็นภาษาไทยแปร่งๆ ด้วยความที่เขาเดินทางเข้าออกประเทศไทยอย่างว่าเล่น แถมยังมีเจ้านายสาว สวยและดุเป็นคนไทย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจำเป็นจะต้องศึกษาภาษาไทยที่แสนจะยุ่งยากนี้ไปโดยปริยาย
ชลิศาเป็นฝ่ายเดินเลี่ยงเข้าไปภายในห้องทำงานของตัวเอง ไม่ตอบคำถามและไม่อยากฟังคำรายงานซ้ำซาก ปล่อยให้รอนเผชิญหน้ากับอรอนงค์ตามลำพัง
เลขาสาวชาวไทยรอจนกว่าประตูห้องจะปิดสนิทแล้วจึงหันมาสบตากับรอนที่ยืนตั้งใจรอรับฟังทุกอย่างด้วยสีหน้าหนักใจ
“มีญาติมาขอพบท่านประธานคะ”
“แซลลี่มีญาติด้วยเหรอ” เป็นคราวที่รอนต้องขมวดคิ้วบ้าง “เขาเป็นใคร”
“ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะคุณรอน แต่เขามาขอพบหลายครั้งแล้ว บอกว่าท่านประธานไม่ได้อยู่เมืองไทยก็ไม่เชื่อ แต่ข่าวการบินกลับมาของท่าประธานหลุดออกไปได้อย่างไรก็ไม่ทราบ ตอนนี้เขารออยู่ที่ห้องรับรองค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวผมขอเข้าไปคุยกับเขาเองดีกว่า” รอนบอกเสียงเรียบ ทุกเรื่องเกี่ยวชลิศาเขาไม่เคยปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง ความผูกพันธ์ระหว่างเขากับหล่อนมีมากเกินกว่าที่จะเป็นเพียงแค่เจ้านายและลูกน้อง
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หมนุตัวเดินไปยังปีกซ้ายของชั้นทำงานซึ่งแบ่งเป็นห้องรับรอง ห้องครัว ห้องน้ำและห้องประชุมเล็ก ส่วนปีกขวานั้นถูกแบ่งเป็นห้องประชุมใหญ่ที่จุผู้บริหารได้นับร้อย ประตูห้องสีเบจถูกผลักเข้าไปเบาๆ รอนเห็นชายหนุ่มร่างสูงกำลังยืนมองทิวทัศน์ของกรุงเทพฯในยามนี้นิ่ง
แขนสองข้างของเขาไขว่กันด้านหลัง ความเงียบและความสงบทำให้ผู้ที่อยู่ภายในห้องก่อนรู้สึกตัวว่ามีใครอีกคนรุกล้ำเข้ามาภายในห้องนี้ ทั้งที่หลายครั้งที่เขาใช้มันเพื่อรอคอยบางสิ่งบางอย่าง แต่กลับไม่เคยได้รับการตอบสนองเลยสักครั้ง แต่..การรอคอยของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว ชลิศามาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยความหวัง แม้ความหวังนั้นเปรียบดังสายลมที่จับต้องไม่ได้แต่มันเป็นความหวังที่อาจจะเป็นจริงได้
ไวภพเบี่ยงตัวกลับมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนด้วยสีหน้าประหลาดใจ ในขณะที่รอนเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรกับผู้ชายคนที่อรอนงค์บอกว่าเป็น “ญาติ” ทั้งที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตา “ญาติ” ของเจ้านายสาวเลยสักครั้ง
“สวัสดีครับ ผมรอน” รอนแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง พลางยื่นมือขวาออกไปสัมผัสตามวัฒนธรรมของตนเอง
ไวภพจึงจำต้องยื่นมือรับไมตรีตามมารยาท “สวัสดีครับ ผมไวภพ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผู้ช่วยมือหนึ่งยิ้มและผายมือชวนให้แขกนั่งลงบนโซฟาสีม่วงเข้ม อันเป็นสีโปรดของเจ้าของบริษัทที่โปรดปรานทุกอย่างสีม่วง การตกแต่งภายในบริษัทจึงเน้นตามาสีชอบของเจ้าของ
ไวภพทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาราคาแพงตรงข้ามกับรอน สายตาของเขาไล่สำรวจชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้านิ่ง ดวงหน้าเรียวยาวของรอนช่างโดดเด่น อัญมณีสีเขียวคู่นั้นจริงใจและเปิดเผยเป็นคนน่าคบหา
“คุณแจ้งกับเลขาว่าคุณคือญาติของท่านประธาน” รอนเริ่มต้นการสนทาน เข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาไม่เห็นความจำเป็นใดที่จะต้องเกริ่นนำ ประเมินจากสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามดูฌหมือนไวภพจะมีเรื่องเดือดร้อนที่อาจจะทำให้เจ้านายสาวของเขาเดือดร้อนก็เป็นได้
“ครับ”
“ผมไม่ได้เคยได้ยินท่านประธานเอ่ยถึงญาติเลยสักครั้ง”
“ผมอยากจะขอพบชลิศาจะได้มั้ยครับ” ไวภพเลี่ยงประเด็นตอบ เขาเองก็ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องตอบคำถามแนวสืบสวนสอบสวนของชายหนุ่มชาวตะวันตกผู้นี้ ความร้อนใจของเขาถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่แสนนิ่งเงียบ ดวงตาคมกริบสีน้ำตาลมีความคล้ายคลึงชลิศามากเลยทีเดียว รอนบอกกับตัวเองเช่นนั้น
“คุณแน่ใจหรือครับว่าคุณเป็นญาติกับเจ้านายของผมจริงๆ”
“ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของคุณ ผมเพียงแค่อยากพบหน้าของเธอสักครั้ง” ไวภพกล่าวเสียงเรียบ เขาไม่แสดงความโกรธหรืออาการโมโหออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากบ่อยครั้งกับการมาเยือนสถานที่แห่งนี้แล้วเขาจะถูกบอกปัดแบบสุภาพหรือการปฎิเสธแบบไร้มารยาท
“ก่อนจะพบหน้าท่านประธาน คุณคงต้องตอบคำถามของผมก่อนนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณเป็นใคร” ไวภพย้อนถามกลับ ท่าทีและคำถามของเขาทำให้รอนอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกป้อนคำถามกลับ
“ผมเป็นเลขาส่วนตัวของคุณชลิศา”
“ถ้าอย่างนั้นกรุณาแจ้งคุณชลิศาด้วยว่าผมต้องการขอพบด่วน เรื่องสำคัญมาก” ไวภพยังคงยืนยันคำเดิม
“หากคุณต้องคำถามของผมไม่ได้ ผมคงให้คุณเข้าพบท่านประธานไม่ได้เช่นกัน”
บรรยากาศภายในห้องเริ่มร้อนระอุ เมื่อต่างฝ่ายต่างยืนยันจุดประสงค์และความต้องการของตนเองแน่วแน่ ดวงตาสองสีสบกันนิ่งก่อนที่รอนจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง
“ผมหวังว่าจะไม่เห็นคุณที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง”
“ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้แน่” ไวภพลุกขึ้น ยอมรามือแต่โดยดีเมื่อหมดความหวังที่จะได้พบกับชลิศาในวันนี้แต่เขาจะไม่มีวันยอมแพ้ ชายหนุ่มลุกขึ้นเต็มความสูง หยิบเสื้อแจ็คเกตที่ถอดพาดทิ้งไว้กับพนักโซฟาพาดกับลำแขนของตัวเองแล้วลุกจากไปง่ายๆ
แต่สายตาของผู้มาเยือนก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปนั้น ทำให้รอนรู้สึกประหลาดใจน้อยๆ มันเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวังบางอย่างและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันน่ากลัว
ไวภพสวมเสื้อแจ็กเกตผ้าเนื้อดีเสร็จเรียบร้อย สายตาคอยชำเลืองมองประตูห้องไม้สักบานที่อยู่ตรงข้ามกับลิฟต์ หลายครั้งที่เขาเดินทางมาที่นี่ประตูห้องนั้นมักจะปิดสนิทเสมอ แต่วันนี้มันต่างออกไปจากทุกวัน อรอนงค์เลขาสาวที่เคยรับหน้าของเขาเพิ่งจะเดินออกจากห้องนั้นพร้อมแฟ้มงานในมือ นั่นย่อมหมายความว่าบุคคลที่เขาต้องการพบได้อยู่ภายในห้องนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หากไม่ใช้โอกาสในครั้งนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่มีโอกาสเป็นครั้งต่อไป ชายหนุ่มเหลียวมองรอบตัว บนชั้นทำงานแห่งนี้เงียบสงบ สมกับเป็นพื้นที่โดยเฉพาะสำหรับผู้บริหารระดับสูง
จากประตูห้องรับรองที่เขาเพิ่งเดินจากมา ยังไร้เงาของชายหนุ่มชาวต่างชาติ ไวภพเหลียวมองรอบตัวอีกครั้งก่อนตัดสินใจในวินาทีนั้นที่จะเดินเข้าไปภายในห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูงแห่ง C.M.แมททีเรียล
อรอนงค์ลุกออกจากโต๊ะทำงานของหล่อน เลขาสาวเพียงหันมายิ้มให้เขาแล้วน้อยแล้วจึงเดินหายเข้าไปยังพื้นที่ที่เป็นห้องครัว อีกครั้งที่ไวภพเหลียวมองรอบๆพื้นที่ที่เขายืนอยู่ วินาทีนั้นที่เขาตัดสินใจผลักบานประตูไม้สักเนื้อดีเข้าไป
ภายในห้องทำงานอันกว้างขวาง เน้นโทนสีดำและสีขาวที่ถูกจัดแต่งเอาไว้อย่างลงตัว แอร์คอนดิชั่นนิ่งตัวใหญ่ครางเบาๆให้ไอเย็นเยียบทะลุผ่านเสื้อแจ็กแกตที่ชายหนุ่มสวมอยู่ ดวงตาคมกริบกวาดมองไปทั่วทั้งห้องทำงานที่ไร้สิ่งมีชีวิตอื่นใด
“วางไว้บนโต๊ะนั่นล่ะ บอกรอนให้เข้ามาพบฉันด้วย” เสียงหวานๆที่ดังกังวาลไปทั่วทั้งห้อง ทำให้ไวภพหันไปมอง สายตาของเขาปะทะกับร่างเพรียวสวยในชุดนอนผ้าซาตินบางพลิ้วเนื้อผ้าสีแดงเลือดนก มีเสื้อคลุมยูกาตะสีขาวไข่ไก่คลุมทับ ดวงตาเรียวหวานอิดโรย เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนดังสีเดียวกับดวงตาคมกริบของเขาเหยียดยาวอยู่กลางหลัง
ริมฝีปากสีซีดเรียบเป็นเส้นตรง ในมือของเธอมีผ้าขนหนูผืนเล็กกำลังซับใบหน้าหวานนั้นอย่างแผ่วเบา
“คุณเป็นใคร” ชลิศาเอ่ยถามเสียงเรียบ สำรวจชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้อย่างสำรวจ ในหัวกำลังทำงานอย่างหนัก คิดถึงใบหน้านี้ที่แสนคุ้นเคยแต่กลับนึกไม่ออกว่าเธอและเขาเคยพบเจอกันที่ไหนและเมื่อไหร่
ไวภพได้สติ ขยับตัวเล็กน้อย “ผมไวภพ”
“ถ้าฉันจำไม่ผิด คุณไม่มีสิทธิ์เข้ามาในห้องของฉัน” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นราบเรียบ ชลิศาทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้บุหนังตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานประจำตัว ลิ้นชักบนด้านขวามือมีปืนสั้นที่เธอทิ้งไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินเช่นวันนี้ มือบางเคลื่อนอย่างเชื่องช้าสัมผัสมันเบาๆ เตรียมตัวทุกขณะและคอยกวาดตาสำรวจอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
“ผมมีธุระอยากจะคุยกับคุณ”
“คุณควรจะแจ้งให้ทางประชาสัมพันธ์หรือเลขาของฉันทราบก่อน” หญิงสาวแนะนำเสียงเรียบ เริ่มเบาใจที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีคุกคาม แต่ความประมาทคือจุดจบของผู้กล้า หญิงสาวชำเลืองหางตามองที่โทรศัพท์ใกล้ตัว
“ผมทำแบบนั้นหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีโอกาส”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาของฉัน” หญิงสาวตัดบทเสียงทรงอำนาจ “ฉันไม่มีธุระอะไรจะคุยกับคุณ ฉันให้เวลาคุณสิบวินาที ออกจากห้องของฉันซะไม่อย่างนั้นฉันจะจับคุณส่งตำรวจข้อหาบุกรุก”
“เรื่องนี้สำคัญมาก ผมขอเวลาคุณแค่สิบนาที” ไวภพขอร้อง ในขณะที่หญิงสาวนิ่งคิด ท่าทีของเขามุ่งมั่น แม้ไม่สำเร็จในครั้งนี้ เชื่อแน่ว่าครั้งต่อไปเขาจะต้องพยายามมากยิ่งขึ้น
หญิงสาวผ่อนท่าทีคลายลง พยักหน้าเป็นสัญญาณอนุญาต ร่างสูงสง่าของไวภพจึงเดินอย่างเชื่องช้ามานั่งที่เก้าอี้ด้านตรงข้ามกับเธอ ที่มีเพียงโต๊ะไม้สักตัวใหญ่ขวางกั้นเท่านั้น
เขาใช้โอกาสในครั้งนี้ประเมินร่างบางตรงหน้าด้วยความชื่นชมในใจลึกๆ ชลิศาเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากเมื่อยามอยู่ใกล้ คล้ายดังเป็นแม่เหล็กที่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาไปเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะดับดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นที่ซ่อนเสน่ห์อันร้ายกาจและชวนค้นหาประหนึ่งหนังสือมีคุณค่าหนึ่งเล่มที่ใครๆต่างอยากเปิดอ่าน
“ว่าธุระของคุณมา สิบนาทีกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
น้ำเสียงหวานใสของเธอฉุดให้ชายหนุ่มหลุดออกมาจากภวังค์ ไวภพยุติการสำรวจของตัวเอง กระแอมเสียงเบาๆเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา จดจ่ออยู่กับธุระสำคัญ
“ผมรู้ว่าคุณอยู่เบื้องหลังในการคุกคามบริษิทอนันตชัย” เขาเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไม่อ้อมค้อม สังเกตปฎิกิริยาของหญิงสาวผู้นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้หนังขนาดใหญ่ที่ข่มตัวของเธอให้เล็กและผอมบางลงไปมาก
ชลิศาหัวเราะเบาๆในลำคอ เหยียดรอยยิ้มน้อยๆ “การทำธุรกิจไม่เรียกว่าเป็นการคุกคามค่ะ คำพูดของคุณเมื่อครู่ฉันฟ้องหมิ่นคุณได้นะคะ”
“ถ้าเป็นการทำธุรกิจจริง คุณคงไม่จงใจเล่นงานบริษัทเล็กๆแห่งนี้”
“อะไรทำให้คุณเชื่อมั่นขนาดนั้นคะ” หญิงสาวย้อนถามกลับ ยกมือกอดอก ดันเนินอกขึ้นมาอย่างลืมตัวว่าตนเองนั้นแต่งกายอย่างไม่สุภาพสักเท่าใดนัก ในขณะที่อีกฝ่ายต้องละสายตาจากใบหน้าหวาน จ้องเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาใกล้ๆกันแทน “ปลาใหญ่กินปลาเล็กมันก็เป็นเรื่องปกตินี่คะ”
“ปลาใหญ่แบบคุณมาสนใจปลาเล็กๆอย่างอนันตชัยต่างหากคือสิ่งที่น่าแปลกใจ”
“ก็ถ้าอนันตชัยทำธุรกิจแบบเดียวกันกับฉัน ฉันคิดว่าถ้าไม่กำจัดคู่แข่ง ฉันก็ยืนยัดอยู่ไม่ได้”
“คุณอยู่ได้ ถ้าคุณไม่มาตั้งบริษัทแม่ของคุณที่ประเทศไทยและไม่จงใจแย่งลูกค้าของอนันตชัยไปตลอดสิบกว่าปี”
ปัง!
ชลิศาทุบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโห ยืนขึ้นแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามข่มอารมณ์โกรธของตัวเอง
“คุณกล่าวหาฉันเป็นครั้งที่สองแล้วนะคุณไวภพ ฉันไม่เคยแย่งลูกค้าของอนันตชัย พวกเขาเห็นข้อเสนอของฉันดีกว่า สินค้าดีกว่าและราคาถูกกว่า พวกเขาก็ต้องสนใจและหันมาใช้บริการของฉันแทนที่จะใช้บริการบริษัทเก่าๆที่ไม่เจริญเติบโตและไม่รู้จักการพัฒนาแบบอนันตชัย มันเป็นสิทธิ์ในการเลือกบริโภคของลูกค้า ฉันคงไม่มีอำนาจไปบังคับใคร กรุณาทำความเข้าใจด้วย”
“คุณทำไปทั้งหมดเพราะคุณอนันต์เป็นพ่อของคุณยังไงล่ะ”
ชลิศาชะงัก ลมหายใจของเธอติดขัด สองมือกำเข้าหากันแน่น ดวงตากลมโตของเธอเบิกกว้างขึ้นอีกเท่าตัว แววตาเปล่งประกายดุดัน
“คุณอนันต์ต้องต่อสู้กับคุณมาตลอดการบริหารของคุณสิบสี่ปี คุณจงใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นคุณจงใจให้มันเกิด”
“แล้วไง” หญิงสาวกล้ำกลืนความโมโหกลับไปในอก เชิดหน้าขึ้นสูงแล้วยังระบายยิ้ม “มันจะเป็นความจงใจหรือเรื่องบังเอิญแล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับคุณไม่ทราบ คุณไวภพ”
“เพราะผมไม่อยากเห็นคนเป็นลูกอย่างคุณต้องกลายเป็นคนอกตัญญู”
ดวงตาสีรัตติกาลตวัดมองเขา จ้องนิ่งๆ แววตาวาววามน่ากลัวดุจนางเสือซุกซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ภายใต้ดวงตาคมกริบที่กำลังข่มขวัญของเขาอยู่ ไวภพถอนหายใจเบาๆเพื่อขับไล่ความรู้สึกกดดันและความรู้สึกอึดอัดที่จู่โจมเขาอย่างรวดเร็ว ไม่ทันให้ตั้งตัว
“คุณอนันต์กำลังป่วยหนัก สิ่งที่ผมอยากจะมาบอกคุณก็มีแค่นี้ ผมอยากให้คุณไปเยี่ยมท่าน”
ไวภพหยิบกระดาษและปากกาจดยุกยิกใส่กระดาษแผ่นน้อยให้ยื่นให้หญิงสาว ทว่าผู้รับกลับฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและโปรยทิ้งอย่างไม่แยแส เศษชิ้นส่วนล่องลอยอยู่ในอากาศและหล่นลงบนพื้น
“ต่อให้ตาย ฉันก็ไม่ไปเผาผี”
ความคิดเห็น