ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BEHIND THE SHADOWS {KAIDO}

    ลำดับตอนที่ #6 : CHAP05

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 57


    CHAP05

    ฮเยจินน้องคนที่สามแห่งตระกูลคิมรุ่นใหญ่คนนี้ถือเป็นเรื่องง่าย จงอินคิดอย่างกระหยิ่มใจขณะมองสำรวจเธอข้ามโต๊ะอาหาร เธอไม่สนว่าเขาจะเป็นคิมจงอินตัวจริงหรือไม่ ตราบใดที่เขาไม่ได้กวนใจเธอจากสิ่งที่เธอกำลังหมกมุ่นอยู่ เธอติดยาบางอย่าง ชายหนุ่มออกไปท่องโลกอยู่นานมากจนมองออกแม้อาการเพียงน้อยนิด ฮเยจินกำลังมึนเมาด้วยฤทธิ์ยา ร่วมกับฤทธิ์ไวน์คาแบร์เนต์ที่น่าพึงใจ

     

    ลูกๆ ทั้งสามของเธอนิสัยผิดกันคนละเรื่อง เซฮุนกำลังมองเขาราวกับว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้าย ส่วนยูจองก็สะบัดเรือนผมสีน้ำตาลแดงทุกครั้งที่สบโอกาส พร้อมกับจ้องเขาด้วยสายตาคู่งามที่ลุกโชนของเธอ ยองจินลูกพี่ลูกพี่ลูกน้องคนเล็กสุดคงอายุสักสิบขวบได้ตอนที่จงอินจากไป และไม่มีทางที่เขาจะจำเธอได้เลย เธอดูผิดจากพี่ๆ ทั้งสองที่สนแต่ตัวเอง  

     

    จงอินอาจจะกล้าพูดถึงขนาดว่าเธอนิสัยดีด้วยซ้ำ เสียแต่ว่าเธอแทบจะไม่พูดกับเขาเลย แม้เวลาพูดเธอจะสุภาพดีก็ตาม ตลอดเวลาเธอเอาแต่กระซิบกระซาบคุยกับคยองซู ในขณะที่ญาติคนอื่นๆ จดจ่ออยู่ที่จงอินและไม่สนใจคยองซูเลยแม้แต่น้อย

     

    เช่นเดียวกับฮยอนจิน หล่อนไม่นึกอยากลุกขึ้นมานั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่ให้คนอื่นๆ มารวมตัวกันใกล้ห้องนอนของหล่อน แทจุนเข็นเตียงผู้ป่วยของหล่อนออกมาที่ประตูแบบฝรั่งเศสซึ่งเปิดออกสู่ห้องรับประทานอาหารห้องใหญ่ เพื่อให้เธอได้เป็นส่วนหนึ่ง จงอินรู้สึกได้ว่าสายตาของหล่อนกำลังจับจ้องมองเขาอยู่ แต่เขาอ่านสายตาคู่นั้นของหญิงชราไม่ออก ไม่รู้ว่าหล่อนคิดอะไรอยู่ วูบหนึ่งชายหนุ่มนึกสงสัยว่าลึกๆ แล้ว หล่อนเชื่อว่าเขาคือคิมจงอินตัวจริงหรือไม่

     

    แต่นั่นไม่สำคัญหรอก หล่อนจะไม่โต้แย้งอะไรอยู่แล้ว หรือแม้แต่จะร้องขอหลักฐานและขอตรวจดีเอ็นเอ เรื่องนี้เขามั่นใจเต็มร้อยว่าหล่อนตัดสินใจเชื่อว่าเขาคือลูกชายของหล่อน และจะไม่มีอะไรมาทำให้หล่อนเปลี่ยนใจได้

     

    “คยองซู” เสียงของฮยอนจินแม้แผ่วเบาและอ่อนระโหยจากการป่วยไข้ แต่ยังคงดังไปถึงปลายโต๊ะที่ซึ่งคยองซูนั่งอยู่กับยองจิน

     

    ภาวะเงียบงันแบบยอมสยบเกิดขึ้นทันใดในห้องนั้น คยองซูลุกขึ้น เดินเข้าไปหาหญิงชรา

     

    “เหนื่อยหรือครับ ป้าฮยอนจิน” เขาถามอย่างเป็นห่วง “ผมจะให้แทจุนพากลับไป...”

     

    “อย่าจู้จี้กับป้าเลยจ้ะ ป้าไม่เป็นไรหรอก”  รอยยิ้มจางๆ ของฮยอนจินช่วยบรรเทาความขุ่นข้องจากคำตำหนิเมื่อครู่ของหล่อนลงได้ “แต่ป้ามีเรื่องขอให้เธอช่วยหน่อย ได้มั้ยจ้ะ คยองซู”

     

    จงอินยังคงสงวนท่าทีไว้ เขาคิดว่าคยองซูคงยอมกรีดข้อมือตัวเองเพื่อฮยอนจินได้เลยล่ะ

     

    “ได้สิครับ” คยองซูตอบรับอย่างผลีผลาม

     

    “ป้าคุยกับจงอิน” ฮยอนจินพูดขึ้น คยองซูหรี่ตาลง แต่ก็พยายามหักห้ามใจไม่หันไปมองเขา “เขาสงสัยว่าภาพเหมือนของเขาตอนเด็กๆ น่ะหายไปไหน เธอจำได้ไหม ภาพที่ป้าให้ช่างมาวาดตอนที่ขาอายุสิบสองน่ะ”

     

    “ป้าทิ้งมันไปแล้วนี่ครับ” คยองซูพูดเสียงเรียบ จริงๆ แล้วฮยอนจินยังไม่ได้ทิ้งมันไปหรอก แต่หล่อนไม่อาจทนดูมันได้หลังจากที่ลูกชายได้หนีหายไปต่างหาก

     

    “บ้าน่า” ฮีชอลท้วง “นั่นมันภาพเหมือนฝีมือของชินาโกะนะ มีค่าอย่างกับทองเชียว”

     

    “นั่นสิ ป้าไม่น่าจะทิ้งมันไปได้ เธอจำไม่ได้เลยเหรอว่ามันอยู่ที่ไหนน่ะคยองซู” น้ำเสียงของป้าฮยอนจินฟังดูร้อนรนอย่างคนที่เป็นกังวล

     

    “ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของรึเปล่าครับป้า บางทีอะไรเก่าๆ มันก็ควรจะอยู่ในนั้น” เซฮุนเสนอความคิดเห็นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นๆ ที่กระตุกขึ้นบนมุมปากของเขา สมัยเด็กเซฮุนเป็นพวกขี้ฟ้อง เป็นหมูตอนที่ใครๆ ต่างก็รังเกียจและไม่ชอบ แต่ดูตอนนี้สิ ...เขาคือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่มีภาพลักษณ์ที่สาวๆ กว่าค่อนเมืองพากันหลงใหล

     

    “มันอยู่ที่ไหนคยองซู ป้าไม่ได้ทิ้งมันไปแล้วจริงๆ ใช่มั้ย” หญิงชราถามเสียงแผ่ว หัวใจหล่อนกระตุกวูบ กับความหวังว่าจะได้ภาพนั้นกลับคืนมา

     

    “มันน่าจะอยู่ในบ้านที่กางฮวาโด ป้าใจเย็นๆ ก่อนนะครับ”

     

    “ป้าอยากเอามันกลับมา” ฮยอนจินว่า

     

    “ผมจะให้คนจัดการส่งมา...”

     

    “ไม่จ้ะ ป้าไม่อยากรอ แล้วป้าก็ไม่ต้องการให้คนแปลกหน้าเข้าไปที่บ้านของเราด้วย”

     

    คยองซูรู้หรือเปล่าว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น จงอินคิดตามช้าๆ คยองซูดูระแวดระวัง แต่ก็ยังไว้วางใจ

     

    “ป้าต้องการให้ผมจัดการยังไงดีครับ”

     

    “ป้ารู้ว่าป้าไว้ใจเธอได้ ...ป้าอยากให้เธอขับรถไปที่นั่นแล้วเอามันมา”

     

    “ได้เลยครับ ผมจะไป” คยองซูตอบรับอย่างอบอุ่น

     

    “จงอินอยากใช้รถของเขาเอง  ถึงป้าจะบอกว่าให้เอารถของที่บ้านไปน่าจะดีกว่า...”

     

    “จงอินเหรอครับ” คยองซูร้องถามเสียงหวาดผวา หันขวับไปมองเขา คราวนี้จงอินไม่อาจฝืนทนทำเฉยต่อไปได้อีกแล้ว จึงส่งยิ้มอิ่มเอมใจให้กับอีกคนไป

     

    “แต่ผมชอบขับรถคนเดียว” คยองซูบอกเสียงเรียบ พยายามเหลือเกินที่จะไม่ให้น้ำเสียงของตนแข็งกระด้างจนเกินไปจนป้าฮยอนจินจับสังเกตได้

     

    จงอินยิ้มบอกเสียงเย็น

     

    “แต่รูปนั้นมันใหญ่เอาการเลยนะ นายต้องมีคนช่วย”

     

    “ผมไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรทั้งนั้น” คราวนี้ความห่างเหินจากน้ำเสียงไม่อาจปิดได้มิดอีกต่อไป คำพูดของคยองซูทำให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ แล้วป้าฮยอนจินก็มองเขาด้วยสายตาที่ตกใจ

     

    “ทำไมเธอถึงพูดอย่างนั้นล่ะคยองซู” ฮยอนจินปราม “จงอินเขาแค่อยากช่วย ทำไมเธอถึงต้องพูดให้เขารู้สึกแย่ด้วย ป้าไม่เข้าใจเลย”

     

    “ขอโทษครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” คยองซูก้มหน้าพูดลอดไรฟันเสียงเบา “ผมคิดว่าป้าน่าจะดีใจมากกว่าถ้ามีเขาอยู่เป็นเพื่อน ยังไงก็มีเรื่องมากมายในช่วงหลายปีให้รื้อฟื้น...”

     

    “เธอไม่ได้ไปนานขนาดนั้นสักหน่อย คยองซู” ฮยอนจินพูด “แค่คืนเดียว หรืออย่างมากสุดก็สองคืน ป้าไม่ได้จะตายวันตายพรุ่งหรอกรู้มั้ย” หล่อนไม่คิดจะรบเร้า ฮยอนจินรู้ดีว่าคยองซูอยู่ในกำมือหล่อนแล้ว

     

    คยองซูสงบคำอย่างที่จงอินคาดการณ์ไว้ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกคนกำลังออมแรงไว้ต่อกรกับเขาแทนต่างหาก

     

    “ผมจะไปครับ และถ้าจงอินจะขับรถให้ ผมก็มั่นใจว่าคงจะทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้น คงไม่จำเป็นต้องค้างคืน ถ้าเราออกแต่เช้าก็กลับมาถึงเรือข้ามฟากทันช่วงบ่าย และจะกลับมาถึงที่นี่ตอนมืดในวันเดียวกัน”

     

    “ป้าไม่อยากให้เธอต้องเร่งรีบ เธอยอมสละอะไรตั้งมากมายมาดูแลป้า เธอคอยดูแลป้ามาตลอดตั้งแปดเดือนแล้วนะ คยองซู ไปผ่อนคลายกับจงอินเถอะ”

     

    จงอินพยายามทำสีหน้าให้เคร่งขรึมสำรวมสุดฤทธิ์ แต่คยองซูก็ยังไม่วายจ้องเขาเขม็ง และก่อนที่คยองซูจะได้พูดอะไรออกมา ยูจองก็โพล่งขึ้น

     

    “คยองซูคงอยากอยู่ที่นี่มากกว่าน่ะค่ะป้าฮยอนจิน” เธอพูดขึ้นมาลอยๆ “เขาไม่สนใจจะไปผ่อนคลายกับหนุ่มหล่อหรอก ถ้าป้าต้องการ ฉันยินดีที่จะขับรถไปกางฮวาโดกับพี่จงอินเอง เราจะได้มีโอกาสคุยเรื่องเก่าๆ กัน”

     

    นั่นไม่ใช่สิ่งที่จงอินต้องการเลยสักนิด ยูจองเป็นแค่ตัวประกอบเล็กๆ ในละครพิเศษเรื่องนี้เท่านั้น เขาไม่สนเลยว่าเธอจะเชื่อว่าเขาเป็นคิมจงอินตัวจริงหรือไม่ ไม่เหมือนกับคยองซู และเขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาด้วย เมื่อมองใบหน้าของฮยอนจินที่ซีดเผือดและโทรมจากความเจ็บปวดชายหนุ่มก็รู้ว่าไม่มีเวลาจะเสียอีกต่อไป

     

    “เป็นความคิดที่วิเศษเลย” คยองซูแสดงความยินดีผ่านรอยยิ้มอย่างไม่ปิดบัง เมื่อคิดว่าคำพูดของยูจองจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้ “ผมจะอยู่ที่นี่ ส่วนยูจอง...”

     

    “ไม่ได้” ฮยอนจินพูดขึ้น และจะไม่มีความคิดเห็นใดๆ คัดค้านการชี้ขาดของหล่อน “เธอขลุกอยู่กับป้ามานานแล้วนะ ป้าอยากให้เธอออกไปเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอกบ้าง”

     

    “แต่ผมไม่อยากไปนี่ครับ” คยองซูพูดเหมือนเป็นเด็กดื้อ “ผมอยากอยู่กับป้ามากกว่า”

     

    ฮยอนจินหลับตาลง ดูเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที

     

    “ป้าไม่มีแรงจะเถียงกับเธอหรอกนะคยองซู”

     

    จบเกมแล้วละ จงอินคิด ขณะที่สีหน้าของคยองซูดูรู้สึกผิด

     

    “ป้าจะให้เราไปเมื่อไหร่ครับ” เขาถาม

     

    รอยยิ้มของฮยอนจินดูมีสีสันขึ้นมา แต่หญิงชราไม่ได้แสดงออกว่าหล่อนเป็นต่อ

     

    “ต้องอย่างนี้สิ เด็กดีของป้า” หล่อนพึมพำอย่างอ่อนระโหย และคยองซูก็ฝืนยิ้มเฝื่อนๆ ตอบหล่อนไป

     

     

     

    มือของคยองซูสั่นแรงเสียจนเขาทำขวดยาระงับประสาทล่นบนพื้นครัวโล่ง ยาสีขาวเม็ดเล็กๆ กระจัดกระจายเต็มพื้นกระดานไม้โอ๊กแผ่นกว้างและกลิ้งเข้าไปใต้ตู้เย็นเครื่องยักษ์ เขามองยาเหล่านั้นกลิ้งไปด้วยสายตาว่างเปล่า

     

    คยองซูไม่ได้แตะต้องมันเลยจนกระทั้งคิมจงอินปรากฏตัว ถ้าเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ได้พลิกผันไปในทางที่ดีขึ้น เขาคงได้กินยาเม็ดเล็กสีขาวพวกนี้จนหมดแน่นอน แถมอาจจะต้องสั่งเพิ่มอีกต่างหาก

     

    ชายหนุ่มร่างเล็กกำลังคุกเข่าลงเก็บยาใส่ขวดเมื่อได้ยินเสียงคนผลักประตูครัวเปิด ไม่ต้องถามเลยว่าคนคนนั้นเป็นใคร คยองซูคิดอย่างขมขื่น ในบรรดาคนเก้าคนในบ้าน นี่ต้องเป็นคนที่เขาอยากจะเลี่ยงที่สุดแน่นอน

     

    “นี่นายลงไปควานหาอะไรอยู่ที่พื้นน่ะ คยองซู” เสียงทุ้มนุ่มหูหากแฝงความหยิ่งทะนงของเซฮุนดังขึ้น เล่นเอาคยองซูสะดุ้งโหยงจนทำเม็ดยาที่เก็บขึ้นมาล่นลงไปอีก เขาเลิกสนใจมันแล้วยืนขึ้นอย่างสง่างาม จิตใจวอกแวกเมื่อต้องรับรู้อย่างเลี่ยงไม่ได้ว่าผิดหวังที่เป็นเซฮุนไม่ใช่จงอิน ในเมื่อคยองซูมั่นใจเหลือเกินว่าต้องเป็นเขา

     

    “มีอะไรให้ช่วยมั้ย” คยองซูถามเสียงเรียบ

     

    “ฉันหิว นายอยากจะทำอะไรให้ฉันทานหน่อยมั้ย”

     

    “ไม่ล่ะ” คยองซูเรียนรู้วิธีรับมือกับเซฮุนมานานแล้ว เขาเป็นคนที่ชอบให้คนอื่น เชี่ยวชาญการสั่งให้ใครต่อใครทำในสิ่งที่เขาต้องการ

     

    เซฮุนยักไหล่ เห็นได้ชัดว่าเขาคาดว่าคำตอบจากคยองซูจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เขาเดินอย่างเหนื่อยหน่ายเข้ามาให้ห้องครัว เซฮุนชอบเข้าไปประชิดตัวกับคนที่เขากำลังจ้องจะเค้นหาอะไรบางอย่างที่เขาต้องการ คยองซูจึงใช้โต๊ะเตรียมอาหารซึ่งวางอยู่กลางครัวเป็นตัวกั้นระยะห่างระหว่างเขากับเซฮุนไว้

     

    “นายคิดยังไงกับเขาล่ะ คยองซู” เซฮุนถามสบายๆ “นายคิดว่าเขาเป็นตัวจริงรึเปล่า”

     

    “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ”

     

    “ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของฉันนี่ เพราะฉันไม่มีเอี่ยวกับเงินของป้าฮยอนจินเลย นอกจากในทางอ้อม”

     

    “ผมว่ามันเชื่อยากอยู่นะครับ”

     

    รอยยิ้มของเซฮุนเผยให้เห็นฟันซี่เล็กๆ ของเขา

     

    “อืม ฉันยอมรับนะว่ายิ่งมีเงินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่ฉันเป็นคนที่อดทน แต่นายสิ ถ้าเกิดหมอนั่นเป็นตัวจริงขึ้นมา ดูท่าว่านายจะต้องสูญเสียอะไรไปเยอะเลยล่ะ”

     

    คยองซูจ้องอีกฝ่ายนิ่ง

     

    “อย่าเพ้อเจ้อไปหน่อยเลย”

     

    “โอ ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินนะ” เซฮุนพูดอยางนุ่มนวล “ยังไงซะเราต่างก็รู้ว่านายไม่ใช่คนในครอบครัวตามกฎหมาย ฉันแน่ใจว่าป้าฮยอนจินจะทิ้งเงินค่าขนมไว้ให้นายก้อนโต นายเป็นคนฉลาด คงไม่หวังมากไปกว่านั้นหรอกใช่มั้ย ไม่สิ นายมีแววว่าจะเสียบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญยิ่งกว่าเงินด้วยซ้ำ”

     

    “ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะคิดได้ว่ามีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าเงินน่ะเซฮุน”   

     

    “ป้าฮยอนจินจะไม่เทใจให้นายอีกแล้ว ท่านไม่ต้องการนายแล้วล่ะคยองซู ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของป้าฮยอนจินที่นายเคยแทนที่เขามาตลอดสิบสองปีกลับมาทวงที่ของเขาคืนแล้ว ส่วนนายก็จะโดนถีบหัวส่งไปอยู่ที่ไหนสักที่ และนายก็จะไม่ได้อะไรเลย”

     

    เซฮุนไม่ใช่ผู้ชายที่ฉลาดล้ำ แต่เขาก็มีความสามารถในการสร้างแผลเหวอะหวะในใจของผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็น คยองซูกำหมัดแน่น ฝืนยิ้มออกไปตอนที่พูดเสียงเย็นกับเซฮุนว่า

     

    “ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้นเลย ยังมีอพาร์เมนต์ในโซลที่รอให้ผมกลับไปอยู่ และผมก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องหางานอื่น แต่ยังไงซะก็ต้องขอบคุณนะครับที่อุตสาห์เป็นห่วงเป็นใยผม”

     

    เซฮุนเหยียดยิ้มกว้างเมื่อเข้าใจนัยประชดประชัน

     

    “คยองซู ถ้าเขาเป็นนักต้มตุ๋นจริง ก็อยู่ที่นายแล้วละที่จะต้องเปิดโปงเขา”

     

    “ทำไมต้องเป็นผม”

     

    “ก็เพราะนายอยู่ที่นี่ไง นายรู้จักเขาดีกว่าพวกเราทุกคน และนายก็อยู่กับเขาทั้งวันทั้งคืน การไปกางฮวาโดช่วงสั้นๆ ครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่นายจะได้รู้จักเขามากขึ้น ดูซิว่านายจะจับโกหกเขาได้บ้างรึเปล่า”

     

    “โกหกงั้นเหรอ” คยองซูทวนคำ “คุณไม่เชื่อเหรอว่าเขาคือจงอินตัวจริง”

     

    “ฉันไม่ได้บอกว่าอย่างนั้นสักหน่อย แต่ก็ไม่เสียหายนี่ที่เราจะระวังเขาเอาไว้หน่อย แล้วก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่ามันไม่ใช่เงินของฉัน แต่เพราะมันเป็นของป้าที่ฉันรัก ฉันไม่อยากเห็นท่านยกมันให้อาชญากร”

     

    “คุณนี่ประเสริฐจังเลยนะครับ” คยองซูพูดประชดเบาๆ

     

    เซฮุนขยับโน้มตัวข้ามโต๊ะเข้ามาใกล้ คยองซูไม่ได้ขยับถอยหนี ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะแสดงความกลัวออกไปให้เซฮุนได้เห็นถึงแม้คยองซูจะนึกหวั่นกลัวว่าเซฮุนจะทำอะไรบ้าๆ ก็ตาม 

     

    “ฉันเป็นพวกขี้ระวังน่ะ ชอบจับตามองแล้วก็คอยฟังสิ่งแปลกปลอมอยู่เรื่อย ถ้านายรู้อะไรผิดปกติเกี่ยวกับเขาก็บอกฉันหน่อยแล้วกัน บางทีเราอาจจะช่วยกันหาทางออกเรื่องนี้ก็ได้ นายสนใจไปดื่มกับฉันหลังจากที่กลับไปโซลรึเปล่า ฉันคิดว่าเราสองคนน่าจะคุยกันได้สนุกเลยล่ะ”

     

    “ไม่ดีกว่าครับ” นี่เป็นครั้งที่สองที่คยองซูพูดคำว่าไม่กับคนพวกนี้ เขาไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวอะไรกับตัวอันตรายอย่างโอเซฮุน

     

    “ทำไมล่ะ ดโย”

     

    “ผมไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น อีกอย่างเงินของป้าฮยอนจินก็ไม่ใช่เงินของผม ลูกชายของท่านกลับมาแล้ว และไม่ว่าเขาจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม ผมก็ไม่สนใจทั้งนั้น” คยองซูพูดเสียงเย็นพร้อมกับเหยียดริมฝีปากยิ้มแบบเดียวกับที่เซฮุนเคยทำ

     

    “ขอตัวก่อนนะครับ ผมมีงานอย่างอื่นต้องทำ” ว่าแล้วคยองซูก็เดินอ้อมโต๊ะเตรียมอาหารออกไปอย่างสง่า ทิ้งเม็ดยาให้เกลื่อนอยู่บนพื้นไม้ ถึงแม้จะยังเป็นกังวลอยู่ แต่เขาก็ไม่คิดจะหันหลังกลับไปแน่ๆ

     

     

     

    แม้จะผ่านการปรับปรุงสถานที่ครั้งใหญ่ไปแล้ว แต่อาณาบริเวณของบ้านตระกูลคิมก็ยังไม่ใหญ่โตพอที่จะรองรับครอบครัวใหญ่ซึ่งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างสะดวกสบาย ชายคนแปลกหน้าคนนั้นพักอยู่ในห้องนอนเก่าของจงอิน ซึ่งปรับปรุงใหม่แล้ว ยูจองกับยองจินพักอยู่ด้วยกันอย่างไม่ค่อยจะเต็มในนักในห้องนอนเก่าของคยองซูที่ถูกยึดไปอย่างเป็นทางการ ส่วนฮเยจิน ฮีชอล และเซฮุนใช้ห้องชุดที่มีทุกอย่างครบครันไปคนละห้อง

     

    เหลือแต่โซฟาพับได้ในห้องหนังสือให้คยองซู

     

    ปกติแล้วเขาไม่ถือสาอะไรหรอก แต่ช่วงนี้อะไรๆ ก็ผิดปกติไปหมด เซฮุนกำลังคิดทำอะไรไม่ซื่อ ส่วนฮีชอลก็ดูจะเป็นมิตรผิดวิสัย และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ มีคนแปลกหน้าจอมหลอกลวงอยู่ในบ้านด้วย

     

    นอกจากนั้นแล้ว ในห้องหนังสือนั้นมีทั้งโทรทัศน์จอใหญ่กับบาร์เครื่องดื่ม และอย่างน้อยก็จะต้องมีใครสักคนสองคนที่มานั่งแกร่วอยู่เป็นแน่ แต่จงอินก็ไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นหน้าหรอก บางทีเขาอาจจะมัวแต่ขลุกอยู่กับป้าฮยอนจิน คยองซูถอดทอนหายใจยาว เมื่อคิดว่าจะต้องติดแหง็กอยู่ในรถกับนักต้มตุ๋นคนนั้นไม่รู้ตั้งกี่ชั่วโมง ถ้าไม่หลอกตัวเองแล้วทำเป็นเข้มแข็ง คยองซูก็รู้ว่าเขากำลังกลัว จงอินทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นอย่างที่เขาเองก็ไม่อาจจะคิดถึงด้วยซ้ำ

     

    พวกผู้ใหญ่อยู่ในห้องนั่งเล่น ส่วนรุ่นลูกๆ ก็อยู่ในห้องหนังสือกัน คยองซูไม่กล้ากลับไปที่ห้องครัวอีก แม้กระทั้งจะไปเก็บเม็ดยาที่หล่นเกลื่อนกลาด อีกทั้งคืนนี้ยังหนาวมาก คยองซูไม่คิดที่จะออกไปเดินเล่นรับแสงจันทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าครั้งก่อนเขาออกไปเจอใครเข้า

     

    กว่ายูจองกับเซฮุนจะออกจากห้องหนังสือได้ก็ปาเข้าไปหลังตีหนึ่งแล้ว คยองซูรอจนกระทั้งบ้านทั้งหลังเงียบสงัด ให้รู้ชัดว่าทุกคนหลับกันหมดแล้ว เขาจึงค่อยย่องไปที่ห้องครัวเพื่อหายาระงับประสาท แต่มันหายไปแล้ว คนใจดีบางคนเก็บกวาดเรียบร้อยจนไม่เหลือร่องรอยของเม็ดยากลาดเกลื่อนหรือขวดเปล่า ชายหนุ่มได้แต่หวังให้เป็นดาเฮที่เข้ามาทำความสะอาดห้องครัว แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนั้น

     

    ดาเฮได้ขนเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของเขาไปไว้ในห้องที่ยูจองกับยองจินใช้อยู่ตอนนี้แล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็รวบมันออกมาได้หอบหนึ่งไปเก็บไว้ในห้องเก็บของที่ไม่ค่อยได้เปิดใช้ ชายหนุ่มสวมใส่ชุดนอนหลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้วตรงเข้าหาโซฟาเบด ให้ห้องสมุดไม่มีผ้าม่านหรือสิ่งใดมาบังหน้าต่าง ดวงจันทร์สุกสว่างสะท้อนหิมะละลายเป็นแสง ส่องระคายตาไม่ว่าคยองซูจะพลิกตัวหลบท่าไหนก็ตาม

     

    กว่าเขาจะหลับได้ก็หลังตีสี่แล้ว เสียงกังวานทุ้มลึกจากนาฬิกาลูกตุ้มเรือนใหญ่ยังคงดังสะท้อนในหัว เป็นเวลาหกโมงเศษตอนที่คยองซูตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดเงียบงันในห้องนั้น ด้วยความที่ยังตื่นไม่เต็มตา ชายหนุ่มจึงจำไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เขากระพริบตาปริบๆ อย่างงงงวย ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้กลับไปซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนุ่มและลืมทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้า

     

    “ตื่นได้แล้ว คนสวย” เสียงต่ำเย้ายวนกระซิบอยู่ในหูของคยองซู “ได้เวลาออกเดินทางแล้ว” 

     

    เจ้าของร่างเล็กฟาดไม้ฟาดมือออกไปทันทีด้วยอาการตื่นตระหนก คิมจงอินกำลังโน้มตัวอยู่เหนือร่างของคยองซูและจับแขนของคนตัวเล็กไว้ขณะที่อีกฝ่ายพยายามจะตีเขา

     

     “เฮ้ๆ นิ่งซะ” เขาพูด “ฉันไม่ได้จะลากนายขึ้นเตียง ก็แค่คิดว่านายน่าจะอยากออกแต่เช้าเพราะอยากกลับมาถึงที่นี่ภายในวันเดียว”

     

    ชายหนุ่มสะบัดแขนออกจากมือเขา ตัวสั่นสะท้านท่ามกลางความเงียบสงบในยามเช้าขณะที่พยายามรวบรวมสติที่แตกกระเจิงให้กลับมาอีกครั้ง

     

    “วันนี้เหรอ” คยองซูถามด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง เขายังหอบหายใจอยู่เนื่องจากสะดุ้งตื่นกลัวกับเหตุการณ์เมื่อครู่

     

    “แล้วจะผัดไปทำไมล่ะ นายจะยิ่งหวาดหวั่นมากขึ้นเท่านั้นเอง”

     

    “ไปให้พ้น” คยองซูสั่งเสียงเด็ดขาด แต่จงอินกลับไม่ขยับตัว

     

    “นายจะใช้เวลาแต่งตัวนานแค่ไหน”   

     

    “สิบห้านาที” คยองซูตอบ

     

    “โอเค ตามนั้น” จงอินยืดตัวขึ้น คยองซูแอบหวังในใจลึกๆ ว่าเขาจะไม่ทำแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง มันเป็นความรู้สึกที่อึดอัด ...การนอนอยู่บนฟูกโดยมีใครสักคนที่อ้างตัวว่าเป็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีอิทธิพลต่อหัวใจมายืนค้ำอยู่แบบนี่น่ะ

     

    รอยยิ้มของปีศาจร้ายไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกปั่นป่วนที่เกิดขึ้นของคยองซูทุเลาลงเลย มันคือรอยยิ้มเยือกเย็นที่คลี่ออกมาจากเรียวปากที่เย้ายวน คล้ายจะบอกว่าเขาอ่านคยองซูออกทั้งหมด

     

    “ฉันชงกาแฟมาให้นายแน่ะ” เขาบอกพร้อมพยักพเยิดไปทางโต๊ะ

     

    “ผมไม่ดื่มกาแฟตอนเช้า”

     

    “ดาเฮบอกว่านายชอบกาแฟใส่นมไม่ใส่น้ำตาล” จงอินพูดต่อโดยไม่สนใจคำโกหก “ดูแล้วฉันว่านายน่าจะเติมสารให้ความหวานสักหน่อยนะ”

     

    “ถ้าคุณไม่รีบออกไปเดี๋ยวนี้ มันจะยิ่งช้านะครับ” คยองซูพูดเสียงนิ่ง จ้องเขาไม่วางตา

     

    “ฉันจะไปรอนายในห้องครัว อย่างน้อยดาเฮก็ยินดีที่ฉันกลับมา” จงอินจ้องไปทางประตู แล้วชะงักก่อนจะหันกลับมา “อ้อ ฉันลืมนี่ไปเลย” เขาโยนวัตถุชิ้นเล็กๆ ลงมาบนโซฟาเบด คยองซูรู้ได้จากเสียงกรุ๊กกริ๊กว่ามันต้องเป็นขวดยาของเขาแน่ๆ

     

    “คราวหลังเก็บให้ดีๆ ล่ะ เพราะน้าฮเยจินติดทานยา ถ้ามาเห็นเข้าเธอคงฟาดมันไปหมดแน่”

     

    คยองซูไม่คิดจะปฏิเสธ เพราะมีชื่อของเขาติดเด่นอยู่บนขวดยา เป็นจงอินจริงๆ ด้วยที่เข้าไปเก็บมันมา ทำไมพระเจ้าถึงไม่เคยเข้าข้างเขาเลย

     

    “ผมเอาไว้แก้ปวดหัว”

     

    “มันเป็นยาระงับประสาทนะ คยองซู” จงอินแก้ “ถึงเป็นแบบอ่อนๆ แต่ก็เป็นยาระงับประสาทอยู่ดี และฉันก็ตั้งใจจะทำให้นายต้องใช้ยานั่นจริงๆ ซะด้วยสิ”

     

    พูดจบเขาก็จากไปพร้อมกับรอยยิ้มของปีศาจ 



     

    t a l k. 
    ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ เราเองก็รู้สึกสนุกที่ได้เห็นทุกคนลองเดาเนื้อเรื่องกันไปต่างๆ นาๆ 
    ตอนหน้าไคกับคยองซูจะออกเดินทางกลับไปบ้านหลังเก่าที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดกันตามลำพังแค่สองคนแล้ว 
    เรื่องจะเป็นยังไงต่อขอฝากให้ติดตามกันต่อไปแล้วกันนะคะ :)

    13.05.14

    ช่วงตอบความคิดเห็นเคอะ 


    คห.18 :: คนที่รอบฆ่าจงอินอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกค่ะ
    แต่ตอนที่อ่านจบ เรามึนเลยล่ะ (อุ๊ตะ แอบสปอย ฮ่าๆ)


    คห.19 :: ถึงจะบอกว่ามั่วแต่เราว่าตัวเองมั่วแบบมีหลักการมากเลยนะ 
    ยังไงเราขออุ๊บไว้ก่อนนะคะว่าเดาถูกหรือเดาผิด เอาไว้ติดตามกันเอาเองจ้า >_<

    คห.20 :: จัดอยู่ในหมาดวรรณกรรมแปล ส่วนแนวเราว่าน่าจะเป็นนิยายรักโรมานซ์นะคะ แต่ไม่แน่ใจเหมือนกัน 
    ปกติเราไม่ค่อยได้อ่านแนวนี้เลยค่ะ แต่อันนี้เพื่อนให้ยืมมา ก็เลยได้อ่านเฉยเลย ฮ่าๆ 

    คห.24 :: อยากว่างเหมือนตัวเองจังเลยอ่ะ TOT แต่ทำไงได้ เราสอบได้คะแนนการวัดผลต่างๆ ค่อนข้างแย่อ่ะ
    เลยต้องได้เรียนปรับพื้นฐาน เศร้าเนอะ T_T

    คห.25 :: ถ้าเป็นมหาลัยทางภาคเหนือล่ะก็ คงที่เดียวกันแน่ๆ เลยค่ะ 
    ถ้ามีโอกาสยังไงก็ต้องได้เจอกันแน่ๆ แต่อย่าเพิ่งหนีเราไปก่อนนะคะ ฮ่าๆ >_<

    คห.26 :: อย่าว่าแต่พวกเรางงกับจงอินเลยค่ะ ขนาดในเรื่องจงอินก็งงกับตัวเองเหมือนกันว่าจะต้องทำตัวยังไงกันแน่
    ยังไงก็ต้องรอติดตามกันไปเรื่อยๆ นะคะ <3  


    ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นเลยค่ะ.




      #ficbehindtheshadows 
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×