คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : CHAP04
CHAP04
ความฝันนั่นหวนกลับมาอีกครั้งในคืนนั้น หลังจากที่คยองซูไม่ได้ฝันแบบนี้มานานหลายปีแล้ว ชายหนุ่มเคยนึกว่ามันจะหายไปตลอดกาล แต่เขาน่าจะตระหนักได้ว่า การกลับมาของคิมจงอินจะจุดประกายฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า รวมทั้งความทรงจำที่เปลี่ยนแปรไปไม่หยุดหย่อนเรื่องคืนที่จงอินตายด้วย
คยองซูสูญเสียความสามารถในการแยกแยะความจริงออกจากความฝันไปแล้ว มีครั้งหนึ่งสมัยที่เขาอยู่ในวัยสิบแปด และเรียนอยู่ม.ปลายปีสุดท้าย ฝันร้ายนั้นรุนแรงขึ้นเกินกว่าจะจัดการได้จนสุดท้ายเขาถึงกับต้องไปพบนักบำบัด เขาได้รับคำแนะนำให้จดบันทึกความฝัน จากนั้นก็จดเหตุการณ์ทุกอย่างที่จำได้ว่าเกิดขึ้นในคืนนั้นแล้วนำมาเปรียบเทียบกัน แต่ความพยายามดังกล่าวกลับล้มเหลว คยองซูอาการหนักถึงขั้นที่ว่าเขาเคลือบแคลงทุกสิ่งที่ตัวเองควรจำได้ ทั้งความจริง ความทรงจำ และฝันร้าย ทุกอย่างปะปนกันไปหมดจนกลายเป็นวังวนแห่งภาพหลอน
ในที่สุดคยองซูเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง เขาต้องการเป็นอิสระจากความฝันนั่น แล้วเขาก็ทำสำเร็จ กระทั่งผู้ชายคนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นคิมจงอินปรากฏตัวขึ้น
ความฝันนั้นเริ่มขึ้นเหมือนอย่างที่เคยเป็น พวกเขาอยู่ในบ้านหลังเก่าในกางฮวาโด ขณะนั้นเป็นเวลาดึกเลยเที่ยงคืนไปแล้ว คยองซูนอนหลับอยู่ในห้องนอนเล็กๆ ทางด้านหลังบ้านเหนือห้องครัว เวลานั้นเขาอายุย่างเข้าสิบสี่ปี ได้ยินเสียงคนในบ้านทะเลาะกัน เสียงนั้นดังอู้อี้ลอดผ่านผนังเพดานมา แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่คิดจะเบาเสียงลงแม้แต่น้อย จงอินต้องทำอะไรเลวร้ายอีกแน่ๆ เขาคิดอย่างง่วงงุนขณะพยายามข่มตานอนหลับ
จู่ๆ คยองซูก็ได้ยินเสียงของจงอินในห้องของเขา แสงจันทร์ที่ส่องสาดเข้ามาโดยปราศจากผ้าม่านกั้นพาดผ่านร่างของจงอินเป็นเงามืด เขาดูสูงชะลูดจนเหมือนกับพวกผู้ใหญ่ในแสงสลัวนั้น ยืนอยู่ที่ตู้เสื้อผ้าของคยองซู กำลังรื้นค้นข้าวของ
“ทำอะไรน่ะ”
จงอินหันมาตามเสียง แต่คยองซูไม่ได้ทำให้เขาสะดุ้งตกใจเลยแม้แต่น้อย
“ฉันกำลังจะไปให้พ้นจากที่นี่ซะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูแปลกกว่าทุกที “ฉันต้องการเงิน”
“แต่ผมไม่มีเงิน”
“นายมีนี่ไง” จงอินคว้าสร้อยคอเงินเลอค่าที่คยองซูได้จากป้าฮยอนจินเป็นของขวัญขึ้นมา เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ร้องค้าน
“ไม่ได้นะ” เขาว่า “สร้อยเส้นนั้นป้าฮยอนจินให้ผมเป็นของขวัญ ถ้าพี่ต้องการเงินเดี๋ยวผมจะลองหาให้...”
จงอินส่ายหน้า
“ฉันไม่มีเวลาแล้ว เดี๋ยวแม่ก็ซื้อให้นายใหม่อยู่ดี แม่ฉันชอบซื้อความรักด้วยสมุดเช็คอยู่แล้วนี่” น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นขมขื่น
“พี่จะเอาอะไรไปก็ได้ แต่ผมขอสร้อยคอนั้นได้มั้ย ผมขอร้อง” คยองซูพยายามเว้าวอน
“ไม่ได้หรอก โทษทีนะเด็กน้อย ถ้านายพอจะมีความคิดอยู่บ้าง โตขึ้นมาเมื่อไหร่ก็รีบไปให้พ้นจากที่นี่ซะ ก่อนที่พวกเขาจะทำลายนาย” น้ำเสียงของเขาฟังดูเหินห่าง
“แต่พวกเขาคือครอบครัวของผม” คยองซูท้วง แต่แล้วก็ต้องนึกเสียใจที่พูดออกไปอย่างนั้น จงอินเดินมาที่เตียง ยืนตระหง่านอยู่เหนือตัวคยองซูท่ามกลางแสงจันทร์ “ไม่ พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวของนาย” จงอินว่า “นายควรจะดีใจกับความจริงข้อนี้นะ เพราะพวกเขากำลังทำลายครอบครัวตัวเองกันอยู่”
จงอินยื่นมือออกมาสัมผัสกับใบหน้าของคยองซู “แย่ชะมัดที่ฉันพานายไปด้วยไม่ได้ คยองซู” เขาพูด “นายยังเด็กเกินไป ...ดูแลตัวเองด้วยนะ” ว่าแล้วเขาก็โน้มตัวลงมาประกบริมฝีปากจูบ
จงอินไม่เคยจูบคยองซูมาก่อน นอกจากจูบที่แก้มแบบลวกๆ ตามหน้าที่เวลาที่ถูกสั่งให้ทำแบบนั้น ครั้งนี้เป็นจูบที่ปาก หากแต่มันไม่ใช่จูบที่อ่อนโยนเลยสักนิด เพราะมันทั้งรุนแรง และเร่งร้อน วงแขนของจงอินตวัดรัดร่างของคยองซูให้แนบชิดกาย มันเป็นจูบที่หิวกระหาย ชวนให้เผลอใจ และคยองซูก็ไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะเอื้อมโอบรอบคอจงอิน และจูบตอบด้วยความรักอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะอ่อนประสบการณ์
ดูราวกับว่าเหตุการณ์นั้นยาวนานชั่วชีวิต แต่มันก็จบสิ้นลงภายในจังหวะหัวใจที่เต้นเพียงครั้งเดียว แล้วจงอินก็จากไป หายลับไปในความมืด คยองซูยืนนิ่งงันอย่างตกตะลึงและสั่นระริก จากนั้นเขาก็ตั้งสติ ขยับตัว รีบสวมเสื้อผ้าอย่างลวกๆ จงอินคิดว่าตัวเองจะรอดพ้นไปจากความผิดฐานปล้นโดยชดใช้คืนด้วยการจูบลาน่ะเหรอ มากเกินไปแล้ว...จะแกล้งหยามหยันกันแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ เมื่อเดินออกมาถึงด้านหน้าทางเดิน คยองซูคิดว่าเขาเห็นจงอินตรงไปทางหาดที่เป็นท่าเรือ จึงเดินตามไปอย่างเงียบเชียบ
แสงจากดวงจันทร์แรมส่องวับแวมเป็นพักๆ เพราะมีเมฆดำลอยเคลื่อนบดบังแสงจันทร์นั้นไว้ ร่างเล็กลื่นไถลไปบนกรวดหินตามทางไปสู่ท่าเรือจนล้มเข่าคะมำลงไปข้างหนึ่ง และก็รู้สึกได้ถึงเศษหินที่บาดทะลุกางเกง แต่คยองซูก็ไม่ใส่ใจ กลับตะกายลุกขึ้นจับจ้องแผ่นหลังสูงตั้งตรงนั้นไว้ไม่คลาดสายตา
เขาไม่กลัวจงอิน คยองซูพร่ำบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า คืนนั้นน้ำขึ้นสูง ทะเลเกลื่อนกลาดไปด้วยซากปรักหักพังจากหางพายุ จงอินมาหยุดยืนอยู่ริมหาด จ้องมองออกไปไกล จากนั้นก็หันมองกลับมาทางถนนและบ้านหลังเก่า คยองซูรีบมุดตัวหลบหลังเรือยางที่คว่ำอยู่โดยไม่ทันคิด เขาซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น พยายามจะพักหายใจให้เป็นปกติ ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อจะตามจงอินไปขณะที่ได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง
จงอินไม่ได้อยู่ที่ริมทะเลคนเดียว เขาน่าจะรู้อยู่แล้วนี่นา เพราะจงอินคงไม่คิดจะวางแผนว่ายน้ำออกไปจากที่นี่หรอก เขาต้องนัดเจอกับใครสักคน พวกเขามีปากเสียงกัน คยองซูบอกได้เพียงเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ เวลานั้นกลุ่มเมฆได้บดบังดวงจันทร์ไว้ และร่างสองร่างก็อยู่ภายใต้เงามืด ด้วยความที่ทั้งสองมีขนาดรูปร่างใกล้เคียงกัน คยองซูจึงไม่อาจบอกได้ว่าร่างไหนคือจงอินหรือคนที่เขากำลังโต้เถียงอยู่เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง หนุ่มหรือแก่ เป็นคนแปลกหน้าหรืออาจจะเป็นญาติกันแน่
“ไอ้เลว!” เสียงเกรี้ยวกราดของจงอินดังแทรกอากาศยามค่ำคืนแล้วเขาก็ผลักอีกคนหนึ่ง ก่อนจะหันหนีเดินลงไปที่ชายหาด
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมากจนคยองซูคิดว่าเขาฝันไปเองระหว่างจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความกลัวจับหัวใจ แสงจันทร์อาบปืนเป็นมันวาววับ ร่างนิรนามเคลื่อนไหวฉับไวในความมืด เสียงดังระเบิดขึ้นในยามวิกาล จงอินล้มลง แม้จะมองอยู่ห่างๆ คยองซูก็ยังเห็นวงเลือดสีคล้ำไหลจากรูบนแผ่นหลังของเขานองอยู่รอบกาย คยองซูพยายามจะกรีดร้อง แต่เสียงที่หลุดออกมาจากลำคอเป็นเพียงเสียงครางแผ่วเบา
เด็กน้อยลดตัวหลบด้วยร่างสั่นเทา หายใจขาดห้วง ขณะที่คลื่นแห่งความหวาดผวาลูกแล้วลูกเล่าซัดโหมกระหน่ำเขาอยู่ คยองซูต้องทำอะไรสักอย่าง ...เขาต้องออกไปตามคนมาช่วย แต่ตัวเขากลับแข็งทื่อและเย็นยะเยือก ลมหายใจตีบตันอยู่ในอก แต่เขาต้องตั้งสติเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองวูบไป
คยองซูไม่รู้เลยว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไร เขาพยายามจะหายใจและคุมสติให้กลับมา เมื่ออาการหอบสะอื้นจนตัวโยนหยุดลงได้ และคยองซูตะเกียกตะกายขึ้นมาคุกเข่ามองออกไปยังอีกฝั่งของเรือยาง มันก็สายไปแล้ว
ชายหาดนั้นว่างเปล่า กลุ่มเมฆลอยพ้นไปแล้ว แสงจันทร์ส่องต้องผืนทรายว่างเปล่าเป็นประกายระยับ ไม่ปรากฏรอยเท้าใดๆ คลื่นทะเลโหมซัดโขดหิน และใครก็ตามที่เดินบนพื้นทรายก่อนหน้านี้ไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เบื้องหลัง คลื่นซะล้างกองเลือดจนหมดเกลี้ยง มันต้องพัดเอาร่างของจงอินออกทะเลไปแน่ๆ ดูจากกระแสคลื่นลมท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำนี้แล้ว กว่าจะหาร่างของจงอินเจออาจต้องใช้เวลาอีกหลายวัน หรือไม่ก็หลายสัปดาห์ หรืออาจจะไม่พบเลย
คยองซูต้องออกไปขอความช่วยเหลือ มันอาจจะยังไม่สายเกินไป ตอนนั้นคยองซูสูญเสียการรับรู้เรื่องเวลาไปหมด แต่มันอาจผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีนับจากตอนที่จงอินถูกยิงก็ได้ บางทีจงอินอาจจะยังไม่ตาย บางทีกระสุนอาจจะแค่เฉียดหัวใจไป คยองซูค่อยๆ ลุกยืน ก่อนจะรีบทรุดกลายลงอีกครั้งด้วยความตื่นตระหนก
มีคนยืนอยู่ตรงสุดทางเดิน กำลังเฝ้าคอยดู แสงไฟจากถนนส่องอยู่ลิบๆ จนคยองซูเห็นร่างนั้นเป็นเพียงเงาดำ แต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่านั้นไม่ใช่จงอินแน่ๆ เป็นคนที่ยิงจงอินต่างหาก และคนคนนั้นก็กำลังเฝ้ารอดูให้แน่ใจว่าไม่มีพยานรู้เห็นใดๆ
อากาศทั้งเย็นและชื้น เสื้อยืดที่สวมอยู่ชุ่มไปด้วยน้ำค้าง แถมลมทะเลหนาวยังพัดต้องผิวกาย คยองซูขดตัวกลมดิก ใช้แขนทั้งสองข้างกอดรัดร่างตนเองให้อบอุ่นแต่ก็ไร้ผล คนคนนั้นไม่เห็นเขา คยองซูมั่นใจ ใครก็ตามที่ฆ่าจงอินย่อมต้องระวังตัว
คยองซูไม่แน่ใจว่าจงอินตายไปแล้วจริงหรือเปล่า เขาถูกยิงและคยองซูก็เห็นเขาล้มลง เห็นกองเลือดบนพื้นทราย แต่คยองซูไม่เห็นจริงๆ ว่าเขาตาย
คยองซูหลับตาลง ซบหน้าลงแนบหัวเข่าผ่ายผอมขณะหายใจอย่างหนักหน่วงเพื่อแสวงหาไออุ่นจากลมหายใจชื้นๆ ของตัวเอง เขาแค่ต้องรอ ทันทีที่ชายฝั่งไม่มีใครแล้ว เขาจะรีบกลับไปที่บ้าน ไปปลุกป้าฮยอนจินและเล่าให้หล่อนฟัง....
เล่าอะไรให้หล่อนฟังอย่างนั้นเหรอ บอกว่าลูกชายคนเดียวของหล่อนตายแล้ว ถูกใครสักคนฆ่า แต่คยองซูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนคนนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อช่วยชีวิตจงอินเลยเนี่ยนะ คยองซูเงยหน้าขึ้น จ้องมองออกไปยังท้องทะเล คลื่นแรงซัดโหมชายฝั่ง แม้แต่นักว่ายน้ำที่แข็งแกร่งยังไม่มีทางรอดชีวิตอยู่ได้นานท่ามกลางคลื่นกระหน่ำขนาดนั้นเลย นับประสาอะไรกับคนที่เพิ่งถูกยิง ....มันสายเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือแล้ว
ร่างของคนคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม หันไปทางขอบฟ้า รอคอยด้วยความอดทนที่ดูราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด และคยองซูก็ไม่อาจทำอะไรได้เหมือนกัน นอกจากรอในสภาพสั่นไปทั่วด้วยความหนาวเย็น
เสียงเด็กๆ ปลุกคยองซูให้ตื่น เป็นเสียงกรี๊ดกราดอย่างรื่นเริงในขณะที่พี่เลี้ยงพาเด็กๆ ในความดูแลลงไปที่หาดเพื่อให้อาหารนกนางนวล คยองซูพยายามจะขยับตัว แต่เขารู้สึกราวกับติดแหง็กอยู่ในน้ำแข็ง กล้ามเนื้อกระดูกแข็งชาไปหมด
วันนั้นแดดจัดแม้จะยังเป็นเวลาเช้าตรู่ น้ำทะเลลดลงอีกครั้ง พัดพาเอาร่องรอยทุกสิ่งอย่างของคิมจงอินหายไปจนหมดสิ้น คยองซูพยายามลุกขึ้นยืน เขาเดินกลับขึ้นไปยังทางเดินด้วยสภาพที่ดูเหนื่อยอ่อน เด็กๆ พากันมองเขาและวิ่งหนี ที่บ้านยังคงเงียบสงัดไร้ความเคลื่อนไหว ไม่มีรถตำรวจจอดอยู่ด้านนอก ไฟก็ยังไม่เปิด มันยังเช้าอยู่ดาเฮกับแทจุนน่าจะยังไม่เริ่มงาน คยองซูย่องเข้าทางด้านหลังผ่านห้องครัวที่เงียบกริบไร้ผู้คนด้วยอาการหนาวสั่น ขึ้นบันไดด้านหลังกลับเข้าไปยังห้องนอนของตัวเอง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงแคบๆ ดึงผ้าห่มให้ลึกขึ้น ขณะที่ร่างก็สั่น
คยองซูเกือบจะตายอยู่แล้ว เมื่อทั้งบ้านเริ่มระแคะระคายและค้นพบว่าจงอินได้หนีออกจากบ้านไปพร้อมกับเงินสดสำรองและเครื่องเพชรทั้งหมดที่เขาสามารถเอามันไปได้ ทุกคนตื่นตระหนก คงมีใครมาดูแล้วว่าคยองซูยังหลับอยู่บนเตียง ภายใต้กองผ้าห่มหนาหนักจนน่าตกใจ แต่แล้วร่างเล็กก็ถูกลืมไปท่ามกลางเหตุการณ์ชุลมุน ทั้งตำรวจ นักสืบ จนแทจุนนึกขึ้นได้นั่นแหละว่าตลอดทั้งวันไม่มีใครเห็นคยองซู ตอนนั้นเขาก็ไข้ขึ้นถึงสี่สิบองศาเซลเซียสเข้าไปแล้ว แถมยังมีอาการชักกระตุกอีกด้วย
พวกผู้ใหญ่ไม่ได้บอกคยองซูว่าจงอินหายไปจนกระทั่งเขาออกจากโรงพยาบาลราวห้าวันให้หลัง ป้าฮยอนจินอยู่กับเขาตลอด นั่งหลับบนเก้าอี้ข้างเตียง ใบหน้าที่เคยงดงามของท่านทรุดโทรมลงด้วยความอาดูรและความกังวล
หลายปีต่อมา คยองซูจึงเริ่มจำทุกสิ่งทุกอย่างได้เมื่อเขาตื่นขึ้นจากฝันร้ายด้วยเหงื่อที่โชกไปทั้งตัว ภาพในคืนที่น่าหวาดผวาหวนกลับมาในความทรงจำของเขาอย่างเต็มที่ คิมจงอินตายแล้ว คยองซูจำได้แค่นั้น มีคนยิงเขาตาย นอกจากนั้นแล้ว ความฝันต่างๆ ล้วนผสมผสานกับความทรงจำจนกลายเป็นภาพหลอนที่ทำให้เขาตื่นกลัวอย่างไร้สติ
คยองซูเรียนรู้ที่จะไม่คิดถึงเหตุการณ์นั้นอีก แล้วความฝันเหล่านั้นก็หายไปในที่สุด เขาสลัดเรื่องราวทั้งหมดทิ้งไว้กับอดีตที่ลบเลือน ป้าฮยอนจินไม่เคยถามว่าเขารู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องคืนนั้นรึเปล่า และในช่วงเวลาปีแล้วปีเล่าที่ผ่านเลย ท่านก็เริ่มคะนึงหาลูกชายที่สาบสูญโดยไม่คิดจะถามไถ่คยองซูเลย ส่วนเขาเองก็ไม่นึกอยากจะทำลายความหวังของผู้มีพระคุณ คงง่ายกว่าที่จะลืมคืนในฤดูร้อนที่ผ่านไปนานแสนนานนั้นซะ โดยทำเหมือนกับว่าไม่ได้เกิดขึ้น
แต่แล้วคยองซูก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป ในตอนนี้ ตอนที่มีคนแปลกหน้าคนนั้นกำลังแทรกตัวเข้ามาหลอกใช้ความยินดีปรีดาของป้าฮยอนจินเป็นเส้นทางสู่ทรัพย์สมบัติของเธอ
คยองซูน่าจะบอกความจริงออกไปเมื่อหลายปีก่อน แม้ว่ามันอาจทำให้ป้าฮยอนจินต้องเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่ได้ทำ คยองซูไม่อยากจะรื้อฟื้นความทรงจำที่แหว่งวิ่นของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็ไม่อยากจะนำความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้นมาสู่บุคคลที่เขารักที่สุด
คยองซูไม่อาจปริปากเล่าความจริงได้ในเมื่อเวลาผ่านไปถึงสิบสองปีแล้ว ตอนนี้เขาทำได้เพียงปิดปากให้เงียบและเปิดตาให้กว้าง รอคอยจนกว่านักต้มตุ๋นคนนั้นจะเพลี่ยงพล้ำเอง ...และก็หวังว่าความฝันเหล่านั้นจะไม่หวนคืนกลับมาทำร้ายเขาอีก
คิมฮเยจินยังดูไม่เปลี่ยนไปเลยจากครั้งสุดท้ายที่คยองซูได้เจอกับหล่อนเมื่อประมาณปีที่แล้ว เธอคือตุ๊กตากระเบื้องเคลือบอันแสนงดงามถึงแม้อายุจะล่วงเลยถึงห้าสิบปีแล้วก็ตาม นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องตรงมายังคยองซู แฝงแววเฉยชารางๆ ตามปกติ เธอจุดบุหรี่ด้วยท่วงท่าสง่างาม
“เป็นไงบ้าง คยองซู” เธอทักทายตามมารยาท ดูก็รู้ว่าคงไม่ได้สนใจคำตอบของคยองซูด้วย
“หงุดหงิดครับ” ชายหนุ่มตอบตามตรงเรียบๆ
ฮเยจินตอบกลับด้วยรอยยิ้มหยันมากกว่าจะเป็นรอยยิ้มทั่วไป “เราทุกคนต่างก็รู้สึกแบบนั้นอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วนี่พ่อทายาทผู้ลึกลับสาบสูญหายไปอยู่ที่ไหนล่ะ ฉันไม่ได้ยกเลิกตารางงานของตัวเองเพื่อนมาเสียเวลาเปล่าหรอกนะ”
ฮเยจินเหยียดกายบนโซฟาในห้องนั่งเล่น ขาเรียวงามไร้ที่ติของเธอไขว่ห้างอย่างที่จริต
“ผมไม่เห็นเขาตั้งแต่เช้าแล้วครับ” คยองซูตอบโดยละความจริงที่ว่าเขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเจอกับจงอินมาตลอดสามวันตั้งแต่ที่อีกฝ่ายปรากฏตัวต่างหาก “น้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“หลายชั่วโมงแล้วจ้ะ” ฮเยจินตอบ พลางหาวเบาๆ “เซฮุนขับรถพาฉันมาน่ะ ...ช่วยไปตามจงอินให้ฉันทีสิ บอกเขาด้วยว่าน้าฮเยจินที่รักอยากเจอเขาใจแทบขาดอยู่แล้ว ยิ่งเซฮุนลูกพี่ลูกน้องของเขายิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาสองคนรุ่นราวคราวเดียวกันเลยนี่นะ แถมยังเป็นเพื่อนรักกันด้วยสมัยที่ยังเป็นเด็ก”
“ตอนนี้พวกเขาก็ยังอายุเท่ากันนี่ครับ และก็ไม่เคยลงรอยกันเลยด้วย” คยองซูขัดขึ้นเสียงเรียบ ทว่าฮเยจินไม่ได้สนใจนัก เพราะเธอพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเรื่องราวของครอบครัวตามอำเภอใจอยู่แล้ว
สิ่งต่างๆ แปรเปลี่ยนจากแย่เป็นเลวร้าย แค่มีฮเยจินกับฮีชอลก็ว่าแย่เต็มทนแล้ว ทว่า โอเซฮุน หรือที่รู้กันดีในสมัยเด็กๆ ว่าเซฮุนหมูตอนนั่นเข้าขั้นเหลือรับเลยทีเดียว ชายหนุ่มรูปร่างหล่อสง่าทว่าจองหองคนนี้คล้ายจะคอยเฝ้ามองทุกคนและจ้องจับผิดพวกเขาตลอดเวลา
“ผมคิดว่าจงอินออกไปข้างนอกกับน้าฮีชอลมั้งครับ สองคนนั้นดูจะถูกคอกันดี” คยองซูพูดอย่างเย็นชา
“น่าแปลก” ฮเยจินพึมพำราวกับไม่อยากจะเชื่อ “ฉันไม่นึกเลยว่าจงอินกับฮีชอลจะเป็นคนประเภทที่ถูกชะตากัน แต่ก็แหงละ ตั้งสิบสองปีมาแล้วนี่ คนก็ย่อมเปลี่ยนแปลงกันได้”
“ครับ”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” ฮเยจินว่าต่อ “ฉันว่ามันน่าสนใจมากนะถ้าฮีชอลยอมรับเขาจริง ฉันก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกังขาว่าเขาคือจงอินตัวจริงรึเปล่า เพราะยังไงฮีชอลก็เป็นคนช่างสังเกตขี้ระแวงยิ่งกว่าฉันซะอีก เขาเองยังบอกฉันอยู่บ่อยๆ เลย ฉันว่าฉันคงเชื่อเขาว่าจงอินเป็นตัวจริง”
คยองซูไม่ปริปากพูดอะไร เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจฟังอยู่แล้ว
“ฮยอนจินเชื่อว่าเป็นเขาใช่มั้ย”
“แน่นอนครับ”
“แล้วเธอล่ะ ดโย”
คยองซูเกลียดเวลาที่ถูกเรียกว่าดโย และเขาก็สงสัยว่าฮเยจินก็คงรู้ดี ชายหนุ่มยิ้มเยือกเย็นออกมา สบตากับอีกฝ่าย
“ผมเป็นพวกช่างสงสัยอยู่แล้วครับ”
ฮเยจินยักไหล่ “งั้นฉันว่าฉันคงต้องตัดสินใจเองแล้วล่ะ” เธอเหลือบมองออกไปนอนหน้าต่าง มันเป็นวันที่หนาวเหน็บและหม่นมัว หิมะที่เพิ่งตกลงมายังคงกองอยู่บนพื้น “นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีสำหรับการรวมญาติเลยว่ามั้ย ยูจองกับยองจินก็จะมาถึงวันนี้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยฉันก็บอกยองจินแล้วว่าไม่ต้องพาลูกเล็กๆ ที่น่ารำคาญของเธอมาด้วย ฉันเป็นโรคแพ้เด็กน่ะ”
คยองซูไม่คิดมาก่อนเลยว่าสิ่งต่างๆ ยังเลวร้ายลงกว่าที่เป็นอยู่ได้อีก แต่การที่ลูกๆ ของฮเยจินซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้วกำลังจะมานั้นถือเป็นหมัดน็อกเลยล่ะ
“ผมจะไปบอกแทจุนแล้วกันครับ” คยองซูพูดพร้อมกลับหลังหันด้วยอยากหนีออกมาใจแทบขาด
“ไม่ต้องหรอก” ฮเยจินพูดพร้อมกับโบกมืออย่างมีจริต “ฉันบอกแทจุนไปแล้วล่ะ ฉันรู้มาว่าเธอนอนอยู่ในห้องที่ยูจองเคยใช้ประจำ แต่เธอคงไม่รังเกียจที่จะย้ายออกไปใช่มั้ยจ้ะ ยูจองน่ะค่อนข้างจู้จี้เรื่องที่อยู่ที่นอน เธอคงเข้าใจใช่มั้ย” เธอส่งยิ้มหวานให้
“ผมไม่รังเกียจหรอกครับ” คยองซูพูดด้วยความรู้สึกด้านชา
“ยังดีนะที่ฮยอนจินปรับปรุงที่นี่ใหม่แล้วเมื่อสองสามปีก่อน ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องติดแหง็กอยู่ในส่วนของคนใช้กับดาเฮและแทจุน” เธอส่งยิ้มมีเมตตามาให้
คยองซูต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะรับรู้ว่านิ้วมือของเขาเจ็บแปลบ มือของเขากำแน่นกระทั้งไม่อาจรู้สึกอะไรอีก คยองซูบังคับตัวเองให้นิ่งเป็นปกติ ไม่แสดงอาการอะไรออกไป ประสานรอยยิ้มหวานของฮเยจินด้วยรอยยิ้มของเขาเอง เขารู้จักฮเยจินมาตลอดชีวิต และก็รู้ดีว่าอะไรคือความมุ่งร้าย และอะไรเป็นเพียงผลพวงจากการหมกหมุ่นแต่ผลประโยชน์ของตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น
“ผมจะไปย้ายของออกครับ” ชายหนุ่มพูดขึ้น
“อ้อ ระหว่างนั้น...” ฮเยจินตอบอย่างสบายอารมณ์ “เธอช่วยไปตามจงอินให้หน่อยได้มั้ย”
“ได้ครับสิครับ” คยองซูโกหกลอดไรฟัน คนสุดท้ายในโลกที่เขาพร้อมจะเผชิญหน้าก็คือคิมจงอินจอมหลอกลวงนี่แหละ แม้ว่าที่ตามมาติดๆ เป็นอันดับสองจะเป็นเซฮุนก็ตาม
และก็เป็นไปตามคาด จงอินกำลังรออยู่ที่โถงทางเดินหน้าห้องเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ท่าทางนายนี่เหมือนพร้อมจะฆ่าคนได้เลยนะ” เขาพูดเนือยๆ พลางเอนตัวพิงผนัง หลุบตาลงมองคยองซูด้วยท่าทีที่ไม่อาจรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ร่างสูงอยู่ในชุดกางเกงยีนสีซีดพอดีรูปร่างกับเสื้อสเวตเตอร์ผ้าฝ้ายเนื้อหนาและรองเท้าผ้าใบ
คยองซูหยุดมองเขาด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ “คุณแต่งตัวไม่สุภาพเท่าที่ควรนะ ดูไม่เหมือนทายาทของที่นี่เลย”
“คำพูดนั้นไม่ทำให้ฉันสะทกสะท้านหรอกนะ” เขาพูด “แล้วทายาทของที่นี่เขาแต่งตัวกันยังไงล่ะ”
“ข้อมูลที่คุณค้นคว้ามาไม่ได้บอกไว้หรอกเหรอครับ”
จงอินเดาะลิ้น
“จริงๆ เลยนะ คยองซู ทำไมนายถึงไม่ยอมเชื่อฉันเนี่ย”
“ก็รู้อยู่แล้วนี่” คยองซูเดินผ่านเขาเข้าไปในห้องตัวเองแล้วกระแทกประตูปิด แต่จงอินก็รั้งประตูไว้ ก่อนจะเข้ามาข้างใน แล้วปิดมันลงเบาๆ ขังตัวเองไว้ข้างในกับคยองซูสองต่อสอง
“ออกไป” คยองซูบอกเสียงแข็ง รู้สึกไม่ปลอดภัยเลยสักนิดกับการที่อยู่ให้ห้องนี้สองต่อสองกับนักต้มตุ๋น
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดสิ ฉันก็แค่อยากเห็นว่าทายาทของที่นี่เขาต้องแต่งตัวยังไงก็แค่นั้นเอง”
“ถ้าคุณอยากรู้คุณก็รอดูเซฮุนเอาแล้วกันนะครับ เพราะผมไม่ใช่ทายาทซะด้วยสิ” คยองซูตอบเขาเสียงห้วน เดินไปเปิดลิ้นชักหยิบเสื้อผ้าที่พับเก็บไว้เรียบร้อยออกมา
“หมอนั่นมาด้วยเหรอ” จงอินถามด้วยน้ำเสียงรังเกียจกลายๆ “เขายังเป็นหมูอยู่รึเปล่า”
“เปล่าครับ” คยองซูตอบ “เขามาถึงแล้ว กำลังรองานรวมญาติอยู่ ขอตัวนะครับ ผมต้องเก็บของออกจากห้องนี้ให้น้องสาวเขามาอยู่”
“อ่า....นายจะกลับไปนอนกับฉันก็ได้นะ เราสองคนจะได้ทบทวนความหลังกันหน่อยเป็นไง”
และแล้วความอดทนอดกลั้นตลอดหลายวันอันแสนเลวร้ายก็ขาดผึงลงทันที คยองซูตวัดฟาดฝ่ามือลงบนแก้มของจงอินจนเกิดเสียงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบในห้องนั้น
ร่างสูงไม่ได้ถอยหนี ไม่ได้ขยับตัว ดวงตาสีอำพันของเขาแข็งกร้าวขึ้นมาวูบหนึ่ง จากนั้นปากที่เย้ายวนอย่างชั่วร้ายก็เหยียดยิ้มออกมา
“นั่นถือเป็นความผิดพลาดนะ ที่รัก” เขาพึมพำ
“อย่าเรียกผมแบบนั้น” คยองซูหอบหายใจถี่จ้องหน้าเขานิ่ง “มันเป็นความผิดพลาดของคุณหรือของผมกันล่ะ”
ในชีวิตคยองซูไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน แล้วนี่จงอินก็ยังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าสีเข้มปรากฏให้เห็นรอยนิ้วมือสีแดงที่ข้างแก้มอย่างชัดเจน
“ถือว่าเสมอแล้วกัน ฉันจะเก็บความคิดซุกซนนี่เอาไว้ ส่วนนายก็เก็บมือของนายไว้ซะ” ท่าทางสำนึกผิดของชายตรงหน้า ช่างเหมือนกับจงอินตัวจริงเหลือเกิน ตอนที่พยายามจะทำตัวอบอุ่นเพื่อให้ใครสักคนกลับมารู้สึกดีๆ ด้วย ...เหมือนจนคยองซูรู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังถูกบีบ
จงอินยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เป็นมือของคนทำงานที่มีนิ้วเรียวยาว “สงบศึกกันมั้ย” เขาถามดีๆ ด้วยคำลวง
คยองซูจ้องมองมือเขาเขม็ง “รอวันผมตายก่อนเถอะ”
คยองซูนึกว่าจะได้เห็นเขาแสดงความแค้นเคือง หรืออะไรก็ตามที่แสดงออกว่าเขาไม่พอใจกับคำตอบเมื่อครู่ แต่กลับกลายเป็นรอยยิ้มกว้างอย่างรู้เท่าทันที่ยังคงน่าหลงใหลจนชวนให้หัวเสีย
“นี่ คยองซู” ร่างสูงพึมพำ “การทำให้นายเชื่อได้นี่ต้องเป็นเรื่องสนุกมากๆ แน่เลย”
แล้วจงอินก็ออกไปโดยปิดประตูตามเบาๆ
t a l k.
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นที่ทำให้เรารู้สึกอยากจะอัพฟิคเรื่องนี้ต่อเร็วๆ
เพราะมีคนที่ยังรออ่านอยู่ แต็งยูโซมััชค่ะ* คุณทำดีแล้ว เพราะถ้าไม่มีใครเม้นอะไรเลย
เราก็คงไม่รู้ว่าจะอัพต่อเพื่ออะไร ในเมือไม่มีใครแสดงความคิดเห็นอะไรออกมาเลย
อ่านแล้วสนุกมั้ย? ชอบรึเปล่า? น่าเบื่อเหรอ? เฮ้ย ไม่ชอบอ่ะ?
โพสมาเถอะค่ะ เรายังรออ่านความคิดเห็นของทุกคนอยู่เสมอ
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ
ขอบคุณสำหรับคนที่กดแอดแฟ๊บไว้ แต่ไม่เคยเข้ามาดูเลย
คุณคือเงามืดสำหรับเราจริงๆ :)
ออกมาแสดงตัวกันได้แล้วค่ะ เราไม่กัด ไม่ดุด้วย (ฮา)
สำคัญ ม า ก*
มีใครรู้บ้างว่าตอนนี้เราอายุสิบแปด กำลังจะเป็นเฟรชชี่
แล้วคือแบบ เราต้องไปเข้าค่ายปรับพื้นฐานตั้งแต่วันที่ 23 เดือนนี้ จนถึงเปิดเทอม
และพอถึงตอนนั้นก็คงไม่ได้เข้ามาอัพบ่อยๆ แล้วล่ะ แต่คือโชคดีที่ฟิคเรื่องนี้มันเป็นนิยายแปลง
ถ้าอยากอ่านเร็วๆ ก็ช่วยกันแสดงความคิดเห็นนะ เราก็อยากรีบๆ อัพให้ได้มากที่สุดก่อนจะเข้าค่ายเหมือนกัน
เพราะงั้นแฟนคลับจ๋า คอมเม้นเถอะ =O=
ติดแท็กสกรีม
#ficbehindtheshadows
ความคิดเห็น