คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CHAP03
“ขอโทษที่บุกรุก” ฮีชอลพูดจาวางโตขณะเดินเข้ามาในห้องและมองเขาอย่างไม่พอใจ “แต่ฉันคิดว่านายกับฉันน่าจะถือโอกาสนี้พูดคุยบางเรื่องให้กระจ่าง”
จงอินเหลือบมองไปยังประตูที่ปิดสนิท “เข้าเรื่องเลย” เขาพูดเนิบๆ “นี่ไม่ใช่หนังมินชั่นอิมพอสซิเบิลนะครับ ห้องนี้ไม่มีอุปกรณ์ดักฟัง ไม่มีใครได้ยินที่เราคุยกันหรอก”
ใบหน้าของฮีชอลย่นแสดงความไม่พอใจ ขณะมองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง “ไม่มีใครระวังมากเกินไปได้หรอก” เขาว่า ใจหนึ่งจงอินนึกว่าเขาจะทำเสียงฟึดฟัดอย่างเหยียดหยันขึ้นมา
“คนเดียวที่สงสัยผมคือคยองซู แล้วผมก็แน่ใจว่าเขาจะรักษาระยะห่างระหว่างผมกับเขา อย่างน้อยก็ในช่วงนี้”
“ฉันเตือนนายแล้วว่าเขาเป็นคนที่ชักจูงได้ยากที่สุด” ฮีชอลว่า “คยองซูเป็นคนเงียบๆ แต่ก็ฉลาด แถมยังสนิทกับจงอินตัวจริงมากกว่าฉันด้วย”
ชายที่นอนอยู่บนเตียงยิ้มเนือยๆ “ผมไม่กังวลเรื่องนั้นหรอก ผมว่าเขายังมีใจให้ลูกชายของฮยอนจินตอนที่เขาจากไป คงใช้เวลาไม่นานหรอกที่จะทำให้ถ่านไฟเก่าปะทุ”
“อย่าคุยฟุ้งไปหน่อยเลย” ฮีชอลทัดทาน “ตอนนั้นคยองซูอายุแค่สิบสาม เขาอาจจะตกหลุมรักจงอินก็จริง แต่ก็คงไม่ได้จริงจังอะไรหรอก เขายังเด็กเกินกว่าจะคิดเรื่องแบบนั้น”
“ตามที่คุณบอกผม คิมจงอินไม่ได้เป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดานี่ คุณบอกว่าเขาเป็นพวกเจ้าเล่ห์แล้วก็ยังมีเสน่ห์มากด้วย เพราะอย่างนั้นอย่าเพิ่งดูถูกแรงปลุกเร้าจากฮอร์โมนของเด็กวัยเจริญพันธุ์ต่ำเกินไป คยองซูอาจจะยังโหยหาคิมจงอินอยู่ก็ได้”
“เลิกพูดเรื่องน่าขยะแขยงสักทีเถอะ” ฮีชอลพูด และครั้งนี้น้ำเสียงของเขาฟังดูฟึดฟัดจริงๆ
“คุณคิดว่าผมทำไม่ได้งั้นเหรอ” จงอินพูดนิ่งๆ
“หึ ฉันเชื่อในความสามารถของนายเต็มที่อยู่แล้ว” ฮีชอลพึมพำ “ฉันเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วนายจะทำให้ทุกคนเชื่อได้ว่านายคือคิมจงอิน แต่ฉันคิดว่านายน่าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมกับคยองซูมากกว่าที่จะใช้เสน่ห์หลอกล่อเขา ...ฉันไม่คิดว่าเขาเป็นคนที่หลงเสน่ห์อะไรได้ง่ายๆ แบบนั้น เขาฉลาดพอ”
“เราจะได้เห็นกัน” ชายหนุ่มพูด “ถ้าผมทำให้เขาเชื่อใจมากพอที่จะนอนกับผม ตอนนั้นเราก็จะไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น นอกซะจากฮเยจินจะทำตัวเรื่องมากขึ้นมา”
“ปล่อยฉันจัดการกับน้องสาวของฉันเอง” ฮีชอลบอก “ฉันรู้วิธีรับมือเธอ นายไม่ต้องเสียเวลาไปคิดถึงอะไรที่ไม่ใช่ผลประโยชน์ของตัวเองหรอก ครอบครัวน่ะเป็นเรื่องเล็กมาสำหรับน้องสาวฉัน เธอสนแต่จะกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวมากกว่า”
“แล้วที่จู่ๆ ผมก็โผล่มานี่น่ะ จะไม่ทำให้เธอเสียโอกาสกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเองอย่างนั้นเหรอ”
“ฉันรับมือเธอได้” ฮีชอลย้ำอีกครั้ง “เธอแต่งงานแล้ว สามครั้ง และก็เธอก็เชื่อใจฉัน จริงๆ แล้วเราค่อนข้างสนิทกัน ถ้าฉันยอมรับนาย ฮเยจินก็จะยอมรับเหมือนกัน
“แล้วลูกๆ ของเธอล่ะ”
“พวกนั้นอาจจะไม่ง่ายนัก” ฮีชอลยอมรับ “แต่ฉันคงไม่มายุ่งกับแผนตบตาอะไรนี่หรอกถ้าฉันไม่คิดว่านายจะทำได้สำเร็จ ถ้าทำให้คยองซูคล้อยตามได้ คนอื่นๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องง่าย แค่ระมัดระวังหน่อย”
จงอินหรี่ตามองสำรวจฮีชอล เขาไม่ได้สร้างภาพฝันแบบผิดๆ เกี่ยวกับผู้สมรู้ร่วมคิดคนนี้ไว้หรอก ในบรรดาสมาชิกครอบครัวคิม ฮีชอลคือคนที่คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตนมากที่สุด ยิ่งรวมกับการขาดจริยธรรมอย่างยิ่งยวดแล้วด้วย ดังนั้น ตอนแรกที่เขาเกิดความคิดบ้าบิ่นว่าจะสวมรอยเป็นทายาทผู้สาบสูญ ฮีชอลจึงเป็นตัวเลือกที่เด่นชัดในฐานนะผู้ร่วมก่ออาชญากรรม
เขาได้พิจารณาคนอื่นๆ ที่ดูจะเป็นไปได้ก่อนจะเข้าหาฮีชอล แล้วก็ตัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ดาเฮกับแทจุนซื่อสัตย์จนเกินไป ส่วนฮเยจินก็มัวแต่หมกมุ่นหาคามสุขจากการหาเงินเท่านั้น โดคยองซูน่าจะเป็นตัวเลือกอันดับแรกของเขา หลังจากอยู่ตัวคนเดียวมานานหลายปี เขากลับมาอยู่กับคิมฮยอนจิน มาดูแลหล่อนในช่วงเจ็บป่วยระยะสุดท้าย เขารู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวนี้มากกว่าใครอื่น ด้วยความช่วยเหลือจากเขา คงไม่มีใครอาจหาญมาขัดขวางแผนการของจงอินได้แน่
แต่สัมผัสที่หกบางอย่างกลับผลักดันให้จงอินตรงเข้าหาฮีชอลแทนและตอนนี้เขาก็พึงพอใจนักที่ตัวเองช่างโชคดีอยู่เป็นนิจ คยองซูคงทนรับเรื่องลวงโลกอย่างนี้ไม่ได้ และเผลอๆ ชายหนุ่มอาจจะโดนแจ้งจับตั้งแต่ที่ปรากฏตัวต่อหน้าคยองซูในฐานะบุคคลที่กำลังจะสวมรอยเป็นทายาทผู้สาบสูญ คยองซูคงไม่ปล่อยเขาไปแน่ ข้อเสียอีกหนึ่งข้อของคยองซูคือ เขาจงรักภักดีต่อตระกูลนี้จนเกินไป
“นายคิดว่าฮยอนจินสงสัยอะไรรึเปล่า” ฮีชอลถามขึ้น
“ไม่เลย เธอจำเป็นต้องเชื่อในตัวผม เธอกำลังจะตาย และก็ไม่อยากจบชีวิตโดยไม่ได้พบลูกชายตัวเองอีก”
“เอาให้แน่ใจนะว่าเธอจะไม่ดันไปเห็นด้วยเรื่องตรวจดีเอ็นเอหรืออะไรนั่นขึ้นมา มันก็มีขีดจำกัดอยู่นะว่าเราจะทำอะไรหรือจะติดสินบนใครได้บ้าง”
“ไม่ต้องห่วง เธอไม่เห็นด้วยหรอก” จงอินรับประกันอย่างใจเย็น ฮีชอลจ้องมองเขาอยู่นาน จากนั้นก็พยักหน้าด้วยคามพอใจ “ฉันไม่ปฎิเสธเลยละว่าที่ผ่านมามันไปได้สวยมากๆ สองสามวันต่อจากนี้ไปจะเป็นบททดสอบ”
“สองสามวันต่อจากนี้จะเป็นเรื่องง่าย” จงอินพึมพำ “ถ้าคุณจัดการงานในส่วนของคุณ”
“ฉันคือคนที่เสียหายที่สุดนะ”
“ผมยังสงสัยอยู่ เกิดผมโดนกระชากหน้ากากขึ้นมา คุณก็แค่ยืนกรานว่าคุณเองก็โดนต้มเหมือนกับทุกคน ผมกล้าพนันได้เลยว่าจะไม่มีหลักฐานอะไรที่จะเชื่อมโมงเราเข้าด้วยกัน ...หรือว่ามี”
“นี่คิดว่าฉันไม่เชื่อใจนายเหรอ”
“ผมว่าคุณไม่เชื่อใจใครทั้งนั้นละ ผมเองก็ไม่ไว้ใจใครเหมือนกัน” จงอินลุกขึ้นยืนและหันไปมองเขา “อย่าห่วงเรื่องนั้นเลยคุณฮีชอล ผมไม่ถูกจับหรอก หรือว่าถูกจับได้จริง คุณก็คอยหาข้อแก้ต่างให้ตัวเองไปเถอะ ไม่ต้องห่วงผม ผมเก่งเรื่องเอาตัวรอดในภาวะคับขันอยู่แล้ว”
“ฉันควรเชื่อว่านายจะไม่หักหลังฉันใช่มั้ย”
“ถ้าคุณไม่เชื่อแล้วคุณเข้ามามีส่วนในเรื่องนี้ทำไมล่ะ” จงอินโต้กลับอย่างนุ่มนวล
“เพราะนายหน้าตาเหมือนเขาสุดๆ เลยน่ะสิ” ฮีชอลตอบหลังจากเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง
“และเพราะผมโผล่มาตรงหน้าบ้านคุณ เสนอโอกาสที่จะทำให้คุณได้ครอบครองเงินหอมๆ ทั้งหมดนั่น” จงอินพูดห้วนๆ “อย่าลืมสิครับ”
“พี่สาวฉันกำลังจะตาย” ฮีชอลพูดต่อ “เธอจะตายอย่างเป็นสุขถ้าคิดว่าลูกชายเธอกลับมา....”
“คุณไม่สนใจหรอกว่าพี่สาวคุณจะตายอย่างเป็นสุขรึเปล่า คุณสนแต่ว่าตอนที่เธอตาย ทรัพย์สินของเธอจะแบ่งสันได้ลงตัวเรียบร้อย ไม่ต้องวุ่นวายเป็นปีๆ กับการพิสูจน์ว่าคิมจงอินตัวจริงน่ะตายไปแล้ว”
“แล้วถ้าเขายังไม่ตายล่ะ” ฮีชอลถามขึ้นทันใด “ถ้าจู่ๆ ตัวจริงเกิดโผล่มา”
“เขาตายไปแล้ว” จงอินพูดด้วยน้ำเสียงเนิบต่ำเยือกเย็น “เชื่อผมเถอะ เขาไม่กลับมาหรอก”
ตลอดชีวิต คยองซูอาจเคยต้องทนทรมานกับงานเลี้ยงอาหารค่ำแสนเลวร้ายมาหลายครั้ง แต่ ณ เวลานี้เขาไม่มีจิตใจจะหวนคิดถึงเหตุการณ์เหล่านั้น โต๊ะอาหารถูกจัดวางไว้ตรงหน้ามุกในห้องของฮยอนจิน หล่อนพยายามลุกมานั่งในรถเข็นได้จนสำเร็จ สีสันแห่งความปิติเปล่งปลั่งอาบแก้มที่เคยสีซีด จงอินนั่งข้างๆ หล่อน คอยเอาใจใส่และดูแล ส่วนฮีชอลก็ช่างเจรจาจนน่าแปลกใจ คยองซูนั่งเงียบๆ อยู่ตรงข้ามผู้บุกรุก เขาพูดแต่น้อย และกินให้น้อยยิ่งกว่า คอยฟังคนที่กำลังเสแสร้งเป็นจงอินชักใยไปเรื่อยๆ
คยองซูแสดงสีหน้าว่าสนอกสนใจไปตามมารยาท ทว่าสมองกลับครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบางเรื่องที่หลุดออกมาจากปากของชายคนนั้นมีเพียงสมาชิกในครอบครัวเท่านั้นที่รู้ ต้องมีใครสักคนที่เล่าเรื่องของจงอินให้เขาฟัง
ชายผู้สวมรอยเป็นคิมจงอินชำเลืองมองคยองซูจากอีกฝั่งของโต๊ะอาหารซึ่งวางจานกุ้งใหญ่ทอดเนยไว้ ประกายรู้ทันรางๆ วาบขึ้นในดวงตา เอ่ยถามกับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า
“นายเป็นคนเลือกอาหารเหรอคยองซู”
“ครับ” เงยหน้าขึ้นสบตากับคนถามแล้วตอบเพียงแค่สั้นๆ เท่านั้น
“ฉันไม่ชอบเลยที่เห็นมัน” จงอินว่า
“โอ้... ตายจริง” ฮยอนจินอุทานด้วยน้ำเสียงตกใจ “แม่ลืมไปเลย ลูกแพ้กุ้งนี่ คยองซู ทำไมเธอถึงไม่รอบคอบอย่างนี้ล่ะ”
“ขอโทษครับป้า ผมเองก็ลืมไปเหมือนกัน” น้ำเสียงเย็นยะเยือกไม่อาจช่วยซ่อนความรู้สึกผิดที่วูบขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึงไว้ได้เลย ...คยองซูเองก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วเหมือนกัน แต่นักต้มตุ๋นที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขากลับเก็บรายละเอียดได้ดีขนาดนี้เชียวเหรอ
“งั้นแปลว่านายไม่ได้พยายามจะฆ่าฉันใช่มั้ย”
“ถ้าคุณเป็นใครสักคนที่รู้ว่าจงอินแพ้กุ้ง คุณก็แค่ไม่เตะต้องมันก็เท่านั้น” คยองซูพยายามข่มเสียงให้เรียบตอนที่พูดจาทิ่มแทง ไม่มีรอยยิ้มอยู่บนริมฝีปากหนา ในขณะที่อีกฝ่ายกลับค่อยๆ เหยียดริมฝีปากยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบที่แสนเยือกเย็นของเขา คยองซูละสายตาจากเขา ยกแก้วน้ำขึ้นจิบอย่างคนที่ถูกฝึกมารยาทมาเป็นอย่างดี
“ไหนลองเล่าให้ฉันฟังซิ หลานชาย เธอมีแผนอะไรอีก หลังจากได้กลับคืนสู่อ้อมอกของครอบครัวเสร็จแล้ว” ฮีชอลรุกเร้าขึ้นหลังจากที่จับได้ถึงสถานการณ์ที่เริ่มไม่ค่อยดี
“ฮีชอล!” เสียงฮยอนจินปรามขึ้น
“ผมไม่ได้จะซักเขาเรื่องอดีตซะหน่อย” น้องชายของหล่อนแย้ง “ถึงผมจะยอมรับว่าตัวเองสงสัยอยู่ก็เถอะ แล้วทำไมผมจะถามเขาไม่ได้ล่ะว่าตอนนี้เขาวางแผนจะทำอะไร”
“เขาไม่จำเป็นต้องตอบคำถามที่เขาไม่อยากตอบ แค่ได้เขากลับมาก็ดีแค่ไหนแล้ว”
จงอินสบตากับคยองซูจากอีกฟากของโต๊ะระหว่างที่สองพี่น้องที่กำลังเถียงกันวุ่นวาย และชั่วครู่หนึ่ง ท่ามกลางแสงนวลตาจากเปลวเทียน คยองซูก็ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ภายใต้อำนาจของนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้น
“สองคนนี้เป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ เหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูขบขันอย่างชัดเจน ทว่าคยองซูกลับไม่ตลกด้วย
“คุณจำไม่ได้เหรอ”
ชายหนุ่มยืดตัวบิดกายอย่างเอื่อยเฉื่อย ในขณะที่คยองซูนิ่วหน้ามองเขา พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี และได้รับการปลูกฝังมารยาทมาด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่งเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้
“พวกเขาเคยเถียงกันเรื่องฉัน” เขาว่า
“ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่”
ฮยอนจินเงยหน้ามองอย่างจะออกตำหนิ ดวงตาพร่าเลือนของหล่อนดูเป็นกังวล
“ขอโทษนะจ้ะ ลูกรัก ลูกไม่ควรต้องมาฟังคนแก่สองคนทะเลาะกันในคืนแรกที่ลูกกลับมาเลย”
“อย่ามาว่าผมแก่นะ” ฮีชอลโต้ “พี่น่ะแก่กว่าผมตั้งสิบปี”
“แล้วก็ตายเร็วด้วยงั้นสิ” ฮยอนจินสวนกลับ หล่อนเลื่อนรถเข็นผละจากโต๊ะอาหาร “พวกเธอไปกันได้แล้ว ทั้งคู่นั่นละ ส่วนคยองซู ช่วยตามคุณโบยองมาช่วยป้าด้วยได้ไหมจ้ะ”
“ได้ครับ”
“เยี่ยมไปเลยจ้ะ อีกเรื่อง ป้าฝากให้เธอดูแลจงอินแทนป้าด้วย อย่าปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว อยู่เป็นเพื่อนเขา ป้าไม่ไว้ใจใครนอกจากเธอ”
คยองซูชะงักไปเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะไม่อยากตอบตกลง แต่เขาก็ไม่อาจปฎิเสธคำขอของป้าฮยอนจินได้เลย
“ครับป้า ผมจะดูแลเขาเอง”
“นี่พี่กลัวว่าผมจะเค้นเอาความจริงจากเขารึไง” ฮีชอลโพล่งขึ้นมาอย่างฉุนจัด
“พี่ไม่ได้กลัว แต่ไม่อยากให้เธอไปรบกวนเขา จงอินเพิ่งกลับมา พี่ไม่อยากให้เขาต้องหายไปไหนอีกเพราะใครบางคนทำให้เขารู้สึกรำคาญเกินกว่าจะอยู่ที่นี่ได้”
“พักผ่อนเถอะครับแม่” คนโกหกกล่าวอย่างนุ่มนวลขณะโน้มกายลงจูบแก้มหล่อน “ผมจะอยู่ตรงนี้ตอนเช้า”
ฮยอนจินถอนใจอย่างมีความสุข “ลูกไม่รู้หรอกว่าแม่หวังจะได้ยินใครสักคนเรียกแม่ว่า ‘แม่’ อีกครั้งมานานแค่ไหน ราตรีสวัสดิ์นะลูกรัก” หล่อนยกมือขึ้นแตะใบหน้าเขาอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน
และคยองซูก็ใช้เวลานั้นเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
ค่ำคืนนั้นเงียบสงัดและหนาวเหน็บ จันทร์แรมเลื่อนลอยคล้อยต่ำอยู่บนฝากฟ้า อีกเพียงไม่กี่วัน ความหนาวเย็นผิดปกติก็จะเบาบางลง หิมะที่โปรยปรายลงมาสะสมเป็นกองหน้าบนพื้นจะหลอมละลายหายไปจากนั้นฤดูใบไม้ผลิก็จะเริ่มค่อยๆ รุกเข้ามาปกคลุมพื้นที่อ้างว้างแห่งนี้
คยองซูเดินอยู่หลังบ้าน เสื้อโค้ตบุนวมพันรอบกายชายหนุ่มขณะที่เขาเดินไปตามทางเดินซึ่งเกลี่ยหิมะไว้แล้วเรียบร้อย รองเท้าบู๊ตสร้างเสียงสวบสาบเบาๆ บนหิมะหนาวเย็น คยองซูเห็นลมหายใจตัวเองในอากาศยามค่ำคืนเป็นหมอกไอจางๆ พวยพุ่งออกมาขณะที่เดินลงไปตามทางมุ่งสู่สระน้ำที่เยือกแข็ง เขาไม่ได้เล่นสเกตมาหลายปีแล้ว แต่แทจุนก็ยังคอยดูแลผิวน้ำแข็งของสระน้ำนั้นให้ปราศจากหิมะปกคลุม
คยองซูยืนอยู่ริมลานน้ำแข็ง จ้องมองออกไปยังพื้นผิวเรียบใสดุจกระจก ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเท้าเดินไปหยุดอยู่ตรงกลางสระน้ำ เขาเคยฝึกเล่นสเกตโดยมีจงอินอาสาเป็นครูสอนให้ ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นคยองซูอายุเก้าขวบ เขาน่าจะรู้ว่าไม่ควรไว้ใจจงอินเลย เพราะวันนั้นเหตุการณ์จบลงด้วยการที่ข้อมือของคยองซูหัก จนถึงตอนนี้คยองซูยังจำสีหน้าเย็นชาไม่ยี่หระที่ปรากฏบนใบหน้าของจงอินได้ ป้าฮยอนจินดุลูกชายยกใหญ่ จากนั้นก็ยกโทษให้เขาเหมือนอย่างที่หล่อนมักทำอยู่เสมอ และด้วยเหตุผลบางอย่าง ในความทรงจำนั้น ใบหน้าของจงอินช่างเหมือนกับใบหน้าของนักต้มตุ๋นผู้นี้ราวกับแกะ...
“ช่วงนี้เล่นสเกตบ่อยเหรอ” เสียงของนักต้มตุ๋นลอยข้ามลานน้ำแข็งมาพร้อมกับควันแผ่วผิว คยองซูเงยหน้าขึ้นมองข้ามผืนน้ำแข็งและหิมะไปยังต้นเสียง เห็นชายคนนั้นยืนเป็นเงาตะคุ่มใต้แสงจันทร์ สวมเพียงแจ๊คเก็ตบางๆ ตัวหนึ่งและไม่สวมถุงมือ ทว่ากลับดูไม่หนาวเลย
“เปล่า ผมไม่ได้เล่นมาเกือบสิบปีแล้ว” คยองซูตอบ
“นายน่าจะลองดูอีกครั้งนะ” จงอินว่า “บางทีฉันอาจจะสอนนายอีกสักหนก็ได้”
คงมีใครบอกเรื่องนี้กับเขา ไม่เห็นจะหน้าแปลใจเลย คยองซูคิดก่อนจะตอบปฎิเสธออกไปเสียงนิ่ง
“ผมไม่ต้องการให้คุณสอนอะไรทั้งนั้น”
“นายต้องการสิ” จงอินไหวไหล่ ก่อนจะพูดต่อเสียงทุ้ม “นายต้องเรียนรู้ที่จะไม่แคร์ใครหน้าไหน นายต้องเรียนรู้ที่จะบอกคนที่นายไม่ชอบหน้าให้ไสหัวไปให้พ้น นายต้องเรียนรู้ที่จะตอบโต้แทนที่จะยอมถูกใช้เป็นเครื่องมือ”
“ไสหัวไปซะ”
คยองซูเห็นเรียวปากของอีกฝ่ายหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
“เห็นทีนายคงไม่ต้องเรียนรู้เรื่องนั้นแล้วละ งั้นลองมาเรียนวิธีเลิกใส่ใจคนอื่นหน่อยเป็นไง พวกเขาจะทำให้นายเจ็บปวด ขนาดคนนอกยังมองออกเลย”
“งั้นคุณก็ยอมรับแล้วสิว่าคุณคือคนนอก”
“ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่มาตั้งสิบสองปีแล้ว ไม่ชินกับธรรมเนียมของบ้านนี้ แต่ฉันบอกนายได้อย่างหนึ่งนะว่านายไม่เปลี่ยนไปเลย”
“ไม่เปลี่ยนเลยอย่างงั้นเหรอ” คยองซูทวนคำโดยไม่ได้เคลื่อนตัวจากใจกลางผืนน้ำแข็ง จงอินเดินตรงเข้ามา รองเท้าผ้าใบคู่นั้นมีหิมะเกาะพราวไปทั่ว เขาไถลตัวเล็กน้อยบนน้ำแข็งเรียบลื่น และดูท่าว่าเขาสนุกกับมัน
“นายยังคงเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ที่เอาจมูกแนบกับกระจกหน้าร้านค้าอยู่” นักต้มตุ๋นพูด เสียงของเขาเยือกเย็นและไร้ความรู้สึกไม่ต่างจากน้ำแข็ง “นายยังต้องการในสิ่งที่นายไม่มีวันมีได้”
เขาเข้ามาประชิดตัวคยองซูมากจนเกินควร หากแต่เจ้าของร่างเล็กยังคงยืนปักหลัก ปฏิเสธที่จะถอยผละออกมา สบตากับอีกฝ่าย เอ่ยถามเสียงเยือกเย็นไม่ต่างกันว่า “อะไรคือสิ่งที่ผมไม่มีวันมีได้”
“ครอบครัวที่แท้จริงไงล่ะ”
ผู้ชายคนนี้นี่่มัน... คยองซูสูดหายใจเข้าลึก กำหมัดจนแน่น “ความสามารถในการทำร้ายจิตใจคนอื่นคงเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นคนลวงโลกด้วยสินะ” เขาพยายามข่มเสียงให้นิ่ง ก่อนบอกต่อว่า “เรื่องต่างๆ ที่คุณรู้น่ะ มันผิวเผินจริงๆ”
“นายทำให้ฉันหงุดหงิดแล้วนะ” อีกฝ่ายแย้งขึ้นอย่างหงุดหงิดตามที่พูดจริงๆ “แต่ก่อนนายไม่ได้เป็นคนหลอกตัวเองแบบนี้นี่”
“ผมยอมขายวิญญาณเลย” คยองซูพูดขึ้นทันควัน ความอดทนเริ่มหมดลง “แลกกับให้แผ่นน้ำแข็งใต้เท้าคุณปริแตกไปซะ”
รอยยิ้มของจงอินฉายชัดเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ฟังดูไม่ใช่วิธีฆ่าคนที่ดีเท่าไรนะฉันว่า คงมีคนได้ยินเสียงฉันร้องให้ช่วย ดีไม่ดีนายอาจจะตกลงไปด้วยเหมือนกัน”
“มันก็น่าจะคุ้ม” คยองซูตอบ
“นายอยากให้ฉันตายเหรอ” ฟังดูคล้ายจะมีอะไรมากกว่าแค่ถามไปเรื่อยเปื่อย
“ผมอยากให้คุณไปในที่ที่คุณจะทำร้ายใครไม่ได้”
“แล้วนายก็เต็มใจจะฆ่าฉันเพื่อจะได้แน่ใจอย่างนั้นเหรอ”
คยองซูทอดถอนใจ “อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ผมต้องมีแรงจูงใจที่ดีกว่านั้นถ้าจะลงมือฆ่าคน” คยองซูขยับตัวผ่านจงอินด้วยความรู้สึกอึดอัดที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมา ส่วนจงอินก็ขยับตัวมาขวางทางเขาอย่างที่คยองซูรู้ว่าจงอินจะทำ
“ไม่แน่ฉันอาจจะทำให้นายเชื่อได้ว่าฉันคือคนที่ฉันบอกว่าฉันเป็นจริงๆ”
“ไม่แน่ว่าหมูก็อาจจะบินได้เหมือนกัน และผมไม่คิดว่าเหตุการณ์สองอย่างนี้จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ผมไปได้รึยัง”
“ฉันขวางนายอยู่เหรอ” จงอินยืนอยู่ในระยะประชิดคยองซูจนเกินไปก็จริง หากแต่แขนของเขากอดอกอยู่ และเขาก็ไม่ได้ขยับตัวเพื่อจะแตะต้องตัวของคยองซูด้วย แต่ก่อนที่จะเดินออกมา คยองซูก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองคนที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ...เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าที่หนาพอจะกันความหนาวเย็นได้เลย
“คุณไม่หนาวเหรอ” คยองซูโพล่งถามขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก” อีกฝ่ายตอบกลับมา “ฉันเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองมาสิบสองปีแล้ว”
อย่างน้อยๆ คยองซูก็เชื่อเขาในเรื่องนั้น
ความคิดเห็น