ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BEHIND THE SHADOWS {KAIDO}

    ลำดับตอนที่ #3 : CHAP02

    • อัปเดตล่าสุด 26 เม.ย. 57


    “มันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้น” คิมฮีชอลโผล่พรวดเข้ามาในห้องหนังสือเล็กๆ ที่ถูกตกแต่งอย่างประณีต แล้วเดินตรงเข้ามาหาคยองซู

     

    ชายหนุ่มปิดสมุดเช็คปกหนังด้วยท่าทางที่ทำเหมือนสงบนิ่ง อารมณ์หุนหันพลันแล่นและความใจร้อนของฮีชอลทำให้คยองซูตื่นตกใจและนึกกลัวได้เสมอ แต่เขาเรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนมันเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเฉย ฮีชอลเป็นคนประเภทที่ใช้จุดอ่อนของคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และคยองซูก็มีสติพอที่จะไม่เผยจุดอ่อนของตัวเองออกมามากเกินความจำเป็น

     

    “ผมพยายามโทร.หาน้าแล้วครับ” คยองซูพูด เหลือบตาขึ้นมองฮีชอล “แต่น้าออกมาก่อนแล้ว”

     

    “ฮยอนจินโทร.หาฉันกลางดึกกลางดื่น” เขาตะคอกด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นกว่าปกติ “เล่าเรื่องบ้าบอว่าจงอินฟื้นจากหลุม แล้วนี่เขาอยู่ไหน”

     

    “ผมไม่เห็นเขาตั้งแต่เช้าแล้วครับ เพราะทำงานอยู่ที่นี่ตลอด”

     

    “มันคงมาพร้อมพายุสินะ นี่ฉันขับรถมานานหลายชั่วโมงเลยกว่าจะมาถึงที่นี่ ว่าแต่นายคิดว่ายังไง”

     

    ปกติฮีชอลไม่ใช่คนที่จะถามความคิดเห็นของคนอื่น โดยเฉพาะจากคยองซู “คิดยังไงเรื่องอะไรครับ”

     

    “อย่ามาแกล้งโง่น่า นายคิดว่าไงเรื่องเจ้าลูกชายจอมล้างผลาญนั่น ใช่มันจริงๆ รึเปล่า”

      

    “ไม่ทราบครับ แต่ก็คงเป็นใครไปไม่ได้” คยองซูตอบอย่างระมัดระวังคำพูด

     

    “มิจฉาชีพไง เราทุกคนน่ะเชื่อว่าจงอินตายแล้ว ตายไปหลายปีแล้วด้วย ทีนี้พอมีเงินจำนวนมากเข้ามาเกี่ยว ก็คงมีไอ้บ้าสักคนที่สวมรอยมาเป็นจงอินเพื่อหวังเงินจำนวนนั้น นายได้ถามอะไรมันรึเปล่า หรือไม่ก็ขอดูหลักฐาน”

     

    “ผมไม่ได้อยู่ในฐานนะที่จะทำอย่างนั้นได้ ป้าฮยอนจินเชื่อเขา และท่านก็ดูมีความสุขยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาตลอดหลายปีนี้ ผมคงจะไปบอกท่านว่าเขาเป็นตัวปลอมไม่ได้หรอกครับ”

     

    “แต่นายก็คิดว่ามันเป็น” ฮีชอลกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์

     

    คยองซูเงยหน้าขึ้นมองเขา ฮีชอลเป็นชายวัยห้าสิบปลายๆ ที่ดูดีและเช่นเดียวกันกับคนในตระกูลคิมทั้งหลาย เขาร่ำรวยทั้งทรัพย์สินและเสน่ห์ ฮีชอลเป็นชายโสดสนิทมายาวนาน เขาสนใจรูปลักษณ์ภายนอกกับทรัพย์สมบัติของตัวเองยิ่งกว่าอะไรอื่น สูทสีเทาของเขาเป็นยี่ห้ออาร์มานี่อย่างไม่ต้องสงสัย ฮีชอลไม่ใช่คนประเภทที่จะอยากสนิทชิดเชื้อกับใคร และคยองซูเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะบอกเล่าความแคลงใจของเขาให้ใครฟัง

     

    “ผมไม่ทราบครับ” คยองซูยืนกรานเสียงเรียบ

     

    ฮีชอลส่ายหน้า “ฉันจะไปหาเจ้าเด็กนั่น ไปจี้ถามมันสักสองสามเรื่อง....”

     

    “เขาไม่ใช่เด็กแล้วครับ”

     

    ฮีชอลยักไหล่ไม่สนใจ “ฉันจะเจอเจ้าแกะดำนั่นได้ที่ไหน”

     

    “คงจะอยู่กับป้าฮยอนจินที่ห้อง เขาตรงไปที่นั่นหลังจากที่กินมื้อเช้าเสร็จครับ”

     

    “ใกล้ชิดสนิมสนมกันจังนะ ฮยอนจินน่ะเป็นผู้หญิงฉลาด เธอน่าจะพอมองออกได้ไม่ยากว่าใครเป็นพวกต้มตุ๋น คงอีกไม่นานหรอก ความจริงก็จะเปิดเผย”

     

    คยองซูเลือกที่จะเงียบ ไม่ออกความคิดเห็นอะไร จริงอยู่ที่อีกไม่นานความจริงก็จะเปิดเผย แต่คยองซูไม่คิดว่าอะไรๆ มันจะง่ายดายอย่างนั้น

     

    “นายจะไม่ไปกับฉันเหรอ” ฮีชอลหยุดถาม

     

    คิ้วหนาของคยองซูย่นเข้าหากันก่อนจะคลายกลับเป็นปกติ ...อะไรๆ ก็เริ่มแปลกขึ้นทุกที ปกติแล้วฮีชอลจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับว่าเขาเป็นกึ่งๆ ญาติผู้ยากจนและคนรับใช้ระดับสูงเท่านั้น และที่ผ่านมา ฮีชอลก็ไม่เคยขอความคิดเห็นจากคยองซูเลยด้วย ...เขาเพียงแค่ยอมรับว่าคยองซูมีตัวตนอยู่

     

    “ได้ครับ ถ้าน้าอยากให้ผมไปด้วย” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน

     

    “นายรู้จักจงอินดีกว่าคนอื่นๆ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ นายโตมากับเด็กนั่น ฉันอยากรู้ว่านายจะหาช่องโหว่จากเรื่องที่เขาเล่ามาได้รึเปล่า”

     

    ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยสักนิด ชายที่อยู่กับป้าฮยอนจินเป็นจอมโกหกและเป็นตัวปลอม  แต่คยองซูไม่อยากพูดออกไป มันควรจะเป็นคนอื่นมากกว่าที่จะกระชากหน้ากากของนักต้มตุ๋นคนนั้น ไม่ใช่เขา เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการปกป้องป้าฮยอนจินในยามที่ร่างกายของท่านอ่อนแอจนไม่อาจปกป้องตัวเองได้ ส่วนความจริงและเรื่องเงินทองเป็นเพียงประเด็นรองลงมา

     

    ห้องของป้าฮยอนจินอาบคลุมอยู่ภายใต้แสงเงานวลตา คราวนี้เมื่อเห็นท่านหลับนิ่งบนเตียงพยาบาลซึ่งย้ายเข้ามาไว้ในห้องเมื่อหลายเดือนก่อน คยองซูก็ไม่ได้ด่วนสรุปไปในทางเลวร้ายอีก และครั้งนี้คยองซูไม่มองข้ามร่างร่างหนึ่งซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้ยาวกำมะหยี่บุสีเขียวสไตล์วิกตอเรีย กำลังอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ ฮีชอลกระแอมด้วยท่าทีน่าเกรงขามอย่างคนใหญ่คนโต ทำให้ป้าฮยอนจินสะดุ้งตื่น ส่วนชายแปลกหน้าที่แสร้งเป็นจงอินกลับไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองพวกเขาอย่างไม่แยแสแม้แต่นิด

     

    “ฮีชอล” น้ำเสียงของป้าฮยอนจินฟังดูเอือมระอามากกว่าจะกระตือรือร้น “หลานชายของเธอกลับมาแล้ว”

     

    “ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น” ฮีชอลพูดด้วยน้ำเสียงที่ตั้งใจให้ฟังดูอบอุ่น แต่กระนั้นเขาก็ไม่ใช่คนที่จะแสดงท่าทีกระตือรือร้นอยู่แล้ว “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ จงอิน”

     

    “ครับ น้าฮีชอล” มีแววมุ่งร้ายแฝงอยู่ในดวงตาของเขาขณะที่มองดูชายผู้สูงวัยกว่าหรือเปล่า คยองซูตั้งคำถามกับตัวเอง ...ใช่แล้ว จงอินตัวจริงมักมองน้าฮีชอลของเขาด้วยสายตาดูแคลนแกมเยาะหยันเสมอ

     

    “ทำไมเราไม่ไปที่ห้องนั่งเล่นกันล่ะ จะได้ไม่รบกวนแม่ของนาย  ก็อย่างที่นายคิดนั่นแหละ มีคำถามเยอะแยะมากมายเลยที่ฉันต้องการคำตอบ....” ฮีชอลพูดอย่างนุ่มนวล

     

    “ไม่นะ”  เสียงของป้าฮยอนจินดังจนน่าแปลกใจ

     

    “อย่าทำตัวงี่เง่าน่า ฮยอนจิน” ฮีชอลท้วง “ฉันแค่ต้องการจะถามอะไรเด็กคนนี้นิดหน่อย แค่ทดสอบทางการแพทย์นิดเดียวเอง ทำให้เป็นกิจจะลักษณะ เราควรจะต้องระวังกันเอาไว้หน่อย เพราะยังไงเวลาก็ผ่านมาตั้งสิบสองปีแล้ว ถึงฉันจะยอมรับว่าเขามีลักษณะภายนอกที่คล้ายจงอิน แต่เราน่าจะมีหลักฐานบางอย่าง อาจะเป็นพวกเอกสาร คำตอบ....”

     

    “ไม่” ฮยอนจินเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่สุขมยิ่งขึ้น “ฉันจะไม่ยอมให้นายมาตรวจสอบอะไรเขาทั้งนั้นแหละ นายคิดว่าฉันไม่รู้จักเขาลูกชายตัวเองหรือไง”

     

    “ตาพี่มันไม่ดีแล้วนี่” ฮีชอลขัดขึ้น “แล้วผมก็สงสัยด้วยว่าพวกทนายเขาจะยอมรับเรื่องนี้โดยไม่มีหลักฐานยืนยันเลยเหรอ”

     

    “ช่างหัวทนายมันสิ” จงอินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่ง หลังจากตะลึงไปชั่วครู่ ฮยอนจินก็หัวเราะออกมา “ใช่ ฮีชอล” หล่อนพูด หายใจติดขัดเล็กน้อย “ได้ยินที่ลูกชายฉันพูดมั้ย ช่างหัวทนายมันสิ”

     

    “ฮยอนจิน!” ฮีชอลท้วงด้วยอาการตกใจสุดขีดอย่างเห็นได้ชัด แต่ฮยอนจินไม่สนใจเขา

     

    “มานี่ซิ คยองซู” หล่อนสั่งการด้วยท่าทางเยี่ยงผู้ดีตามเคย “วันนี้ป้าไม่ค่อยเห็นเธอเลย”

     

    “ผมคิดว่าป้าอาจจะอยากอยู่กับจงอินตามลำพังน่ะครับ”

     

    รางวัลที่เขาได้รับจากป้าฮยอนจินคือรอยยิ้มสดใส “เราสี่คนจะกินมื้อค่ำด้วยกันคืนนี้ ตอนนี้ป้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ เธอพาจงอินไปที่ห้องของเขาสิจ้ะ แล้วฝากดูแลเขาด้วยล่ะ เขาแทบไม่ได้พักเลยตั้งแต่มาถึงที่นี่เมื่อคืน”

     

    คยองซูคาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเผลอชะงักงันอยู่ดี “คะ...ครับ” ได้คำตอบที่พอใจแล้วหญิงชราก็หันไปทางนักต้มตุ๋น “แม่ให้คนมาตกแต่งห้องใหม่ตอนที่ต่อเติมบ้าน แม่ว่าลูกน่าจะชอบนะ ถ้าอยากให้เปลี่ยนแปลงอะไรตรงไหนลูกบอกคยองซูได้เลย เขาจะจัดการให้”

     

    คยองซูรู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนั้นจับจ้องมาทางเขา มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก “ทุกวันนี้คยองซูทำอะไรเหรอครับ นอกจากดูแลเรื่องเปลี่ยนแปลงโน่นนั่นนี่” แม่ของชายหนุ่มไม่สามารถจับแววเย้ยหยันในน้ำเสียงของเขาได้ ...แต่คยองซูกลับรู้สึกได้ถึงมันอย่างชัดเจน

     

    “คยองซูคอยดูแลแม่อย่างดีเลย” ฮยอนจินตอบ “เขายืนกรานที่จะลาออกจากงานเพื่อมาดูแลแม่ตอนที่มะเร็งกำเริบ ถ้าไม่ได้เขาแม่คงแย่”

     

    เปลือกตาของคนฟังหลุบลงปิดบังนัยน์ตาสีอำพัน “ผมพอจะนึกออก” เขาว่า คยองซูรู้ว่าเขาคิดอะไรถึงแม้เจ้าตัวไม่ได้พูดออกมา ผู้ชายคนนั้นคงคิดว่าคยองซูกลับมาเพื่อเงิน ยอมทิ้งอพาร์ตเม้นในกรุงโซล ทิ้งอาชีพนักสังคมสงเคราะห์ แล้วกลับมาเฝ้าพยาบาลหญิงชราที่ใกล้ตายในช่วงสุดท้ายของชีวิต แถมยังเป็นหญิงชราใกล้ตายที่รวยเอามากๆ ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มาปรากฏตัวที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกับคยองซูไม่ใช่เหรอ ...เสียเวลาเปล่าที่จะมัวยืนยันว่าคยองซูไม่ได้หวังอะไรเลยนอกจากความสุขทางใจที่ได้ตอบแทนผู้มีพระคุณก็เท่านั้น

     

    “นายนี่ช่างแสนดีจริงๆ นะ” เขาเอ่ยขึ้น และจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จู่ๆ คยองซูก็นึกถึงคิมจงอินตัวจริงขึ้นมา ...เจ้าของน้ำเสียงเย้ยหยันแบบนี้

     

    “ถ้างั้นก็ไปกันได้แล้ว ตามสบายนะ” ฮีชอลพูดด้วยน้ำเสียงกระหยิ่มใจ “เอาไว้เราค่อยคุยกันทีหลังแล้วกัน” ชายสูงวัยลังเล ก่อนพูดว่า “ดีใจที่เธอกลับมานะ หลานชาย” ฮยอนจินเอื้อมมือไปแตะมือฮีชอลเบาๆ อย่างเห็นชอบ

     

    “ผมก็ดีใจที่ได้กลับมา” จงอินว่า และถ้าไม่ได้พยายามที่จะทำเป็นไม่สนใจเขานัก คยองซูก็จับรู้สึกได้ถึงแววหยันในเสียงแหบแห้งของเขาเป็นอย่างดี

     

    คยองซูรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องแผ่นหลังของเขาขณะที่กำลังเดินนำจงอินขึ้นบันไดหลัก ...ขอบคุณพระเจ้าที่เขาจัดการเก็บเสื้อและข้าวของของตัวเองออกจากห้องที่ยืมใช้ชั่วคราวนี้เรียบร้อยแล้ว เขาไม่ต้องการให้จงอินตัวปลอมรู้ว่าเขาเคยพักอยู่ในห้องนี้มาก่อน คยองซูเดินนำหน้าเขาเข้าไปข้างใน เพื่อจะได้ใช้ช่วงนาทีสุดท้ายตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่เหลือร่องรอยที่บ่งบอกว่าเขาเคยมาอาศัยอยู่ในห้องนี้ จงอินหยุดยืนอยู่ตรงประตู พลางมองสำรวจห้องอย่างตั้งใจจับพิรุธ “แม่คงไม่คิดว่าฉันจะกลับมา”  เขาพูด

     

    คยองซูหยุดยืนตรงกลางห้อง มองไปทางผู้ชายคนนั้น “จงอินหายตัวไปนานมาก และตลอดช่วงเวลานั้นก็ไม่เคยมีข่าวหรือสัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่าน่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ ป้าฮยอนจินเป็นผู้หญิงที่อยู่ในโลกของความจริง ท่านยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้มาหลายปีแล้ว”

     

    รอยยิ้มจางๆ แปลกตากระตุกขึ้นที่ริมฝีปากของนักต้มตุ๋น “แล้วนายไม่คิดจะดีใจกับท่านหน่อยหรือไง” เขาถามอย่างนุ่มนวล

     

    คยองซูปิดปากเงียบ ไม่สนใจถ้อยคำที่อีกคนจงใจค่อนขอด

     

    “เตียงใหม่ แถมทุกอย่างก็แสนสะดวกสบาย...” สายตาคมกวาดมองไปรอบ ก่อนจะวนกลับมาหยุดที่ร่างของคนที่ยืนอยู่กลางห้อง “ใครใช้ห้องนี้ระหว่างที่ฉันไม่อยู่”

     

    “ไม่มีใครเป็นพิเศษหรอกครับ” คยองซูเลี่ยงที่จะตอบคำถามตรงๆ เพราะไม่อยากให้เขารู้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็แค่แขกขาจร” 

     

    “ทำไมถึงมีแต่ผ้าสีขาวเรียบๆ เต็มไปหมด  ดูไม่น่าจะใช่สไตล์ของน้าฮเยจิน เฟอร์นิเจอร์ไม้สีธรรมชาติก็เยอะเกินไป ปกติน้าฮเยจินชอบของที่มีไอ้ขนฟูๆ กับนวมบุนี่”

     

    คยองซูพยายามไม่แสดงออกไปว่าตัวเองตื่นตกใจแค่ไหนกับข้อมูลที่ชายคนนั้นพูดออกมา แน่นอนว่าผู้ชายคนนี้ต้องทำการบ้านมาดี เพราะเขาลงลึกถึงรายละเอียดยิบย่อยเกี่ยวกับน้าฮเยจินผู้ถูกตามใจจนเสียคนได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน “ถ้ามันดูผู้หญิงเกินไป ผมจะออกไปซื้อข้าวของลายยิงนกตกปลามาให้” พูดด้วยน้ำเสียงออกกระแทกกระทั้น “รูปสัตว์ตายคงจะช่วยให้ดูสมชายชาตรีขึ้นมาหน่อย”  

     

    “นี่ห้องนายเหรอ”

     

    คราวนี้คยองซูไม่อาจเก็บอาการไว้ได้อีก ริมฝีปากหนาเม้มเข้าหากันอย่างอดไม่ได้ มือขยับกำเป็นหมัดแน่นพลางจ้องมองคนที่อ้างตัวเป็นคิมจงอินอย่างพยายามจะอดกลั้นอารมณ์หลายๆ อย่าง

     

    “ผมอยู่ที่โซลมาตลอด จนกระทั้งป้าฮยอนจินอาการทรุดหนักลง” คยองซูพูดโดยไม่ได้ตอบคำถามที่แท้จริง  เขาไม่ได้ติดค้างอะไรจงอินตัวจริงซะหน่อย ยิ่งกับคนที่สวมรอยเป็นเขายิ่งไม่ต้องพูดถึง ดาเฮเก็บกวาดร่องรอยของเขาที่นี่หมดแล้ว ตอนนี้คยองซูก็กลับไปอยู่ห้องเล็กบนชั้นหนึ่งที่เขาเคยอยู่มาเกือบตลอดชีวิตได้แล้วซักที  “มีห้องน้ำใหม่แยกออกมาทางซ้ายมือ” คยองซูพูดอย่างรวดเร็ว “ผมจะให้แทจุนขนกระเป๋าเสื้อผ้าคุณขึ้นมา...”

     

    “ฉันจัดการเองได้”

     

    เขายืนขวางระหว่างคยองซูกับประตู และคยองซูก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ้องมองเขาตรงๆ ...เขาเป็นคิมจงอินตัวจริงได้เลย เขามีดวงตาสีอำพันเหมือนกัน นอกจากนั้นใบหน้าที่เคยบึ้งตึงทว่าคมคายอย่างหนุ่มน้อยก็อาจเปลี่ยนไปตามวัยจนกลายเป็นมาเป็นโครงหน้าคมเข้ม และเรียวปากหยักหนานั้นได้ เขาเป็นจงอินได้เลย เว้นอยู่อย่างเดียว

     

    ...จงอินตัวจริงตายไปแล้ว

     

    ชายคนนั้นขยับตัว คยองซูถอนหายใจแผ่วเบาด้วยความโล่งอก เขาไม่ต้องการเดินผ่านนักต้มตุ๋นในระยะใกล้มากนักตอนออกไปจากห้อง แต่สุดท้ายแล้วหมอนั่นก็ไม่หลีกทางให้ กลับเคลื่อนตัวเข้ามาประชิดตัวเขา คยองซูยืนนิ่ง เรียนรู้มาแล้วว่าต้องไม่แสดงความหวาดกลัวออกไป ทว่าคราวนี้เขาต้องใช้ความพยายามเข้าช่วย ในเมื่อผู้ชายคนนี้ตัวสูง สูงพอจะทำให้เขาหวาดหวั่น เมื่อก่อนจงอินไม่ได้สูงขนาดนี้นี่ เขาหายไปตอนอายุสิบเจ็ด ช่วงเวลานั้นเขาน่าจะสูงเต็มที่แล้วไม่ใช่หรือ

     

    “แสดงว่าฉันมาแย่งห้องนาย” เขาพูดเสียงนุ่ม “แถมยังมาแย่งตำแหน่งผู้ดูแลป้าฮยอนจินของนายด้วย อา.... ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมนายถึงไม่ต้อนรับฉัน”

     

    “ผมไม่ใช่คนที่จะยินดีอ้าแขนต้อนรับคนแปลกหน้า ไม่ว่าจะในสถานการณ์แบบไหนก็ตาม”

     

    “ฉันก็ว่างั้น” เขาพึมพำ “แต่นายจะช่วยน้าฮีชอลพิสูจน์ว่าฉันเป็นนักต้มตุ๋นรึเปล่า”

     

    “ก็ถ้าคุณเป็นจริงๆ”

     

    “แล้วนายคิดว่ายังไง คยองซู” เขาอยู่ใกล้คยองซูเกินไป ...เขาทำให้คยองซูคิดถึงจงอินตัวจริง และนั่นมันรบกวนจิตใจของคยองซูอยู่ไม่น้อยเลย ทั้งทำให้สับสน และทำให้นึกสงสัยในความเป็นจริงที่คยองซูเองก็ไม่แน่ใจมาตั้งแต่แรก

     

    ไม่แปลกเลยที่เขาจะส่งอิทธิพลรุนแรงต่อตัวคยองซู  ก็ถ้าใครสักคนจะสวมรอยเป็นจงอินตัวจริงได้สำเร็จ ก็ต้องปลอมตัวให้ได้แนบเนียนอยู่แล้ว และนักต้มตุ๋นก็ย่อมต้องรู้ถึงวิธีการเหล่านี้เป็นอย่างดี รู้นิสัยของจงอินที่ชอบหยอกเย้าจนเขาหวั่นไหว ทำให้เขารู้สึกโหยหาและจมอยู่กับความอดสู  ชายหนุ่มจ้องมองเข้าเขม็งขณะต่อสู้กับความรู้สึกนั้น “ผมคิดว่าถ้าคุณทำร้ายป้าฮยอนจิน ผมจะไม่มีทางปล่อยให้คุณรอดไปได้แน่”

     

    “งั้นเหรอ” เสียงของเขายียวนชวนให้คล้อยตาม “นายจะทำยังไงล่ะ คยองซู ที่จะไม่ปล่อยให้ฉันรอดไปได้น่ะ”

     

    คยองซูไม่ตกหลุมพราง ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะยั่วยุเขายังไง เขายังไม่พร้อมที่จะประกาศตัวเป็นปรปักษ์ออกไปอย่างโจ่งแจ้ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะรับรู้อยู่แล้วก็ตาม

     

    “ผมคิดว่าผมคงจัดการให้คุณได้อยู่อย่างสบายตามที่ป้าฮยอนจินต้องการแล้ว หมดหน้าที่ของผมแล้วครับ” คยองซูพูด ก้าวถอยหลังเล็กน้อย และขยับตัวออกห่างจากเขาด้วยหวังจะเว้นระยะตามความเหมาะสม

     

    “อ้อ ฉันสบายแน่ๆ ล่ะ” นักต้มตุ๋นจงใจปล่อยคยองซูไปและคยองซูก็รู้ดี แต่เขาไม่สนใจหรอกว่าอีกคนจะคิดอย่างไร เพราะตอนนี้เขาอยากปลีกตัวออกไปจากห้องนี้ยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น

     

    “ถ้าเกิดนายคิดถึงห้องเก่าของนายขึ้นมาเมื่อไหร่ก็มาได้เลยนะ” เขาเสริม

     

    “ขอบคุณครับ แต่ผมคงไม่คิด” คยองซูพูดเสียงนิ่ง

     

    “เตียงมันใหญ่ ฉันยินดีจะแบ่งที่ให้”

     

    คราวนี้คยองซูจ้องหน้าเขาเขม็ง พูดออกไปเสียงแข็งอย่างหมดความอดทน “รอให้นรกเย็นเป็นน้ำแข็งก่อนเถอะครับ” ไม่รอฟังคำตอบ ก็สาวเท้าเดินออกไปจากห้องทันที ชายหนุ่มเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างที่ทุกอย่างตกอยู่ในสีขาวโพล่นของหิมะ พูดกับคนที่จากไปแล้วว่า “ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ คยองซู”

     

     

    ชายที่บอกว่าตัวเองคือคิมจงอิน เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาขณะที่ประตูห้องของเขาปิดลงด้วยแรงของคยองซูที่เพิ่งเดินออกไป ก่อนหน้านี้เขาพยายามจะดึงเอาปฏิกิริยาที่แท้จริงของคยองซูออกมานับตั้งแต่ครั้งแรกที่คยองซูวิ่งเข้าไปในห้องนอนของฮยอนจิน แต่คยองซูก็ควบคุมอะไรหลายๆ อย่างได้น่าประทับใจจนเขาหงุดหงิด แม้คยองซูจะไม่เชื่อและไม่เห็นด้วยกับเขา แต่ก็ไม่หลุดอาการโกรธเกี้ยวออกมาให้เห็น ไม่ว่าเขาจะรุกหนักแค่ไหนก็ตาม

     

    ชายหนุ่มสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร อาจเป็นเพราะความรักที่มีต่อหญิงชราผู้หยิบยื่นที่พักพิงและรับตนไว้ในครอบครัว ทั้งที่โด คยองซู ดูสงบนิ่งและออกจะเก็บอารมณ์ความรู้สึกได้ดี แต่เขาก็ยังเห็นได้ชัดว่าคยองซูมีความรักและภักดีต่อคิมฮยอนจินมากแค่ไหน นี่อาจเป็นจุดอ่อนข้อหนึ่งของคยองซูก็ได้

     

    เขารู้เรื่องของคยองซูมากเกินกว่าที่คยองซูจะเดาได้ซะอีก เขารู้ว่าคยองซูเคยทำงานที่ไหน เขารู้จักเพื่อนๆ ของคยองซู และเขาเคยเห็นแม้แต่อพาร์ตเม้นต์ในกรุงโซลของคยองซู ถ้าข้อมูลของเขานั้นเชื่อถือได้ ซึ่งเท่าที่ผ่านมาก็เชื่อได้ตลอด แต่อย่างไรก็ตาม เขาเตรียมตัวไว้แล้วสำหรับทุกสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น คยองซูมองเขาด้วยสายตาที่อัดแน่นไปด้วยความเย็นชา มีบางครั้งที่ในสายตาคู่นั้นแสดงให้เห็นว่าเจ้าของของมันกำลังไม่พอใจเขา แต่เขาก็ต้องการมิตรสักคนในบ้านเก่าหลังใหญ่นี่ เขาต้องการใครสักคนที่จะวางใจได้ ใครสักคนที่เขาจะใช้ได้ และโด คยองซูเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นและเหมาะเจาะ

     

    แต่การจะใช้คยองซูไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็อย่างว่า ของที่คุ้มค่าจะครอบครองนั้นน้อยนักที่จะได้มาง่ายๆ ถ้าเขาทำให้คยองซูเชื่อในตัวเขาได้ ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครกล้าสงสัยเขาอีก แต่คยองซูไม่ได้ตอบสนองต่อความพยายามที่จะหว่านล้อมของเขามากนัก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า คยองซูมีเรื่องคาราคาซังกับคิมจงอินสมัยวัยรุ่น และมันคงเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ จงอินน่ะเป็นแบดบอยของแท้ แทบไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่หลงเสน่ห์ของเขา คยองซูเองก็ตกหลุมรักหนุ่มน้อยคิมจงอินในวัยสิบเจ็ดไปกับเขาด้วย และทุกคนในครอบครัวต่างก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น

     

    ชายที่เพิ่งกลับมาในอาณาบริเวณของครอบครัวคิมผู้มั่งคั่งในปูซานก็อาจจะสร้างความปั่นป่วนได้บ้างละ แล้วเขาก็ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะทำอย่างนั้นด้วย เขาจะทำตัวให้ร้ายกาจจนคยองซูหลงกล เพราะมีอะไรหลายอย่างเหลือเกินที่ขึ้นอยู่กับการที่ทำให้คยองซูเชื่อใจเขา หญิงชราจะอยู่ในโลกนี้ได้อีกไม่นาน เขารับรู้ความจริงด้วยความมั่นใจและสงบนิ่ง เขาเคยเห็นคนตายมามากมายจนดูออกว่าคิมฮยอนจินน่าจะเสียชีวิตภายในฤดูร้อนนี้ และเงินนับหลายพันล้านวอนของหล่อนก็ไม่อาจจะช่วยหยุดมะเร็งที่หิวกระหายได้เลยแม้แต่น้อย

     

    ไม่ว่าจะยังไง เขาก็สามารถอยู่กับเธอจนถึงช่วงเวลานั้นได้สบายๆ อยู่แล้ว เขาคุ้นชินกับการปั่นหัวผู้คนให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ ฮยอนจินจะจากไปอย่างสงบโดยมีลูกชายผู้หายสาบสูญไปนานอยู่เคียงข้าง ส่วนคยองซูก็จะได้เติมเต็มเรื่องรักในตอนนั้น และเมื่อเขาจากไป คำถามทั้งหมดของเขาก็จะได้รับคำตอบ เขาจะกลับไปเป็นคาวามูระ ไค คนธรรมดาผู้อยู่ในโลกนี้อย่างโดดเดี่ยวและพอใจกับชีวิตนั้น

     

    เป็นไปได้ว่าวิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คืออยู่ห่างๆ คยองซูเอาไว้ เขาเป็นคนฉลาด  โดยรู้ได้จากสายตาคู่นั้นของคยองซูมากกว่าที่รู้จากข้อมูลที่ได้รับมา มันไม่สำคัญว่าคยองซูเรียนจบด้วยเกียรตินิยมจากมหาลัยโซล เพียงแค่คยองซูมองเขาด้วยสายตาระแวดระวัง เขาก็รู้แล้วว่าไม่ควรประเมินคยองซูต่ำเกินไป

     

    ก่อนหน้านี้เขาศึกษาข้อมูลเพื่อทำความรู้จักทุกคนที่เขาจะเจอในบ้านที่ปูซานมาเป็นอย่างดี แต่แหล่งข้อมูลของเขากลับล้มเหลวเมื่อต้องอธิบายถึงโดคยองซู  ภายใต้อาภรณ์ที่เรียบร้อย และกริยาท่าทางที่ดูสงบเคร่งขรึม คยองซูถูกพาตัวเข้ามาอยู่ในตระกูลนี้ตั้งแต่ตอนที่เป็นเด็กกำพร้าอายุสามขวบ ยี่สิบห้าปีให้หลังเขากลับมาอยู่ข้างกายฮยอนจิน ในขณะที่คนอื่นๆ จากหล่อนไป อะไรที่ทำให้คยองซูกลับมาหาคิมฮยอนจิน เงิน....ความจงรักภักดี...หรือความโลภกันแน่

     

    ชายหนุ่มเดินไปที่หน้าต่าง จ้องมองออกไปยังทิวทัศน์ที่มีหิมะปกคลุม เขาไม่ได้มาปูซานนานหลายปีจนลืมไปแล้วว่านานแค่ไหนแล้วที่กว่าจะมีหิมะตกที่นี่ เขาเลือกเวลาปรากฏตัวได้เหมาะเจาะ สภาพอากาศแปรปรวนเป็นข้ออ้างได้ว่าเหตุใดลูกชายจอมล้างผลาญจึงกลับมาอยู่บ้านของตัวเองอย่างคนแปลกที่

      

    ชายหนุ่มเป็นคนที่ประสาทไวกว่าผู้ชายส่วนใหญ่ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจากโถงทางเดินหน้าประตูห้อง และรู้ทันทีว่าเป็นฝีเท้าของใคร ฝีเท้าของแทจุนจะนิ่มนวลและแผ่วเบา ในขณะที่ฝีเท้าของดาเฮหนักแน่น และไม่มีทางที่คยองซูจะกลับมาที่ห้องนี้โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรแน่ๆ จงอินเหยียดกายนอนบนเตียง สายตาจับจ้องเพดานซึ่งเปิดให้เห็นคาน เขาไม่ได้ขยับตัวเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น

     

    “เข้ามาเลย คุณฮีชอล” เขาพูดอย่างเกียจคร้านขณะพินิจพิเคราะห์รอยร้าวบนคานเก่า 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×