คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : CHAP01
แสงสะท้อนของพายุหิมะในช่วงปลายฤดูหนาวปลุกให้คยองซูตื่น ร่างหนาพลิกตัวนอนหงายพลางส่งเสียงคราง แต่ถึงอย่างนั้นแสงจ้าก็ยังคงแทรกตัวผ่านรอยแยกเล็กๆ ของผ้าม่านมากระทบกับเปลือกตาได้อยู่ดี ...ไม่มีทางที่เขาจะเพิกเฉยต่อมันได้เลยสินะ คยองซูถอนหายใจยาวนานด้วยความอัดอั้น หิมะที่ตกกระหน่ำเป็นหนึ่งในบรรดาหลายๆ สิ่งที่เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้ คยองซูลุกลงจากเตียงไปเปิดผ้าม่านให้แสงแดดจ้าสาดส่องเข้ามา ภายนอกนั้นเงียบงันและเหน็บหนาว เป็นผลมาจากพายุหิมะที่โปรยปรายลงมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน จนตอนนี้กลายเป็นพื้นหิมะหนากว่าหนึ่งฟุต แค่ถึงอย่างนั้นพวกคนดูแลความสะอาดก็มาโกยหิมะออกไปแล้วอย่างเงียบเชียบดังเช่นเคย คยองซูแนบหน้าผากลงกับกระจกหน้าต่างซึ่งมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะพราวพร้อมสูดหายใจเข้าลึกๆ บางทีเขาอาจจะรู้สึกดีขึ้นถ้าได้ออกไปสูดอากาศข้างนอก
คยองซูจะกลับไปบนเตียงแล้วดึงผ้านวมขึ้นคลุมจรดหูก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้น ...ไม่เคยนับตั้งแต่ที่ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องเก่าของจงอินเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาเพื่อกลับมาอยู่เป็นเพื่อนฮยอนจิน ฮยอนจินได้ขนย้ายข้าวของของลูกชายไปไว้ในห้องเก็บของมาสิบกว่าปีแล้ว และคยองซูก็ซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ ผ้าม่านและพรม พร้อมด้วยเตียง เพื่อทำให้มันดูเป็นบ้าน แต่มันก็ไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย จงอินจากไปนานแล้ว ...นับสิบปี ถ้าหลอกตัวเอง คยองซูก็คงคิดว่าทุกคนที่นี่ได้ลืมเรื่องของจงอินไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครในตระกูลลืมเรื่องของเขาเลย รวมทั้งคยองซูเอง ...ถึงแม้มันจะผ่านมานานมากแล้วตั้งแต่ที่จงอินหายตัวไป และเขาได้กลายเป็นบุคคลที่สูญหาย
คยองซูทอดถอนใจ บางทีเขาควรจะกลับไปอยู่ห้องนอนเล็กๆ สารพัดประโยชน์ทางปีกตะวันออกที่ปกติเขาใช้นอนระหว่างมาค้างคืนที่นี่ อย่างน้อยเวลาอยู่ที่นั่น คยองซูก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของ ไม่ใช่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเหมือนตัวเองทำผิด ที่มายึดครองห้องที่ดีที่สุดในบ้านหลังนี้ แทนที่เจ้าของเก่า คยองซูกำลังจะถอยออกมาจากหน้าต่าง หากแต่ก็ต้องชะงักงัน ...มีคนมาจอดรถทิ้งไว้ที่วงเวียนด้านที่ติดกับตัวบ้าน จอดคาอยู่ตรงหน้าทางเข้าตึกใหญ่ซึ่งดูเรียบง่าย รถจี๊ปสีดำรุ่นดึกสนิมกรังคันหนึ่งจมอยู่ใต้หิมะที่สูงถึงกระทะล้อ และยังมีหิมะปกคลุมหนาเป็นนิ้ว บ่งบอกว่ามันคงต้องจอดอยู่ตรงนั้นมาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง คิ้วหนาย่นเข้าหากัน รถนั่นยังไม่ได้เข้ามาจอดตอนที่เขาเข้านอนเมื่อคืนราวๆ ห้าทุ่ม วันนี้คยองซูตื่นสายกว่าปกติ แต่นี่ก็เพิ่งเลยแปดโมงมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ...ใครกันที่เข้ามาตอนดึกๆ ดื่นๆ เกิดอะไรขึ้นกับป้าฮยอนจินระหว่างที่คยองซูมัวแต่นอนหลับหรือเปล่า
คยองซูอยู่ในชุดกางเกงขายาวกับเสื้อยืดสีขาวธรรมดาตัวหลวมตอนที่วิ่งเท้าเปล่าออกจากห้องไปตามโถงทางเดินโดยไม่คิดจะสวมเสื้อคลุมอาบน้ำทับ ตึกใหญ่ในอาณาเขตบ้านตระกูลคิมประกอบด้วยอาคารกลางหลังมหึมาและปีกข้างทั้งสองฝั่ง ห้องของคยองซูอยู่ชั้นสอง ส่วนห้องชุดของป้าฮยอนจินกินพื้นที่ชั้นหนึ่งของปีกด้านตะวันตกทั้งหมด บ้านทั้งหลังเงียบกริบขณะที่คยองซูวิ่งลงบันได และมาถึงประตูห้องของฮยอนจินที่เปิดค้างอยู่ด้วยอาการตื่นตระหนกและหอบหายใจ หญิงชรานอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ที่ห้องด้านใน ผ้าม่านถูกดึงปิดไว้ และมีเพียงแสงไฟสลัวๆ ส่องอยู่ในความมืดซึ่งเกิดจากม่านที่ปิดทับ ป้าฮยอนจินป่วยเรื้อรังมาปีกว่าแล้ว ..และเข้าใกล้ความตายมากขึ้นทุกขณะ
“ป้าครับ!” เสียงของคยองซูแหบพร่าขณะที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในเงามืด แต่จู่ๆ ก็มีแขนข้างหนึ่งยื่นมาคว้าตัวชายหนุ่มเอาไว้ก่อนที่เขาจะผลุนผลันเข้าไปในห้อง ดวงตาสีซีดจางของป้าฮยอนจินค่อยๆ ลืมขึ้น ก่อนจะเพ่งมองผ่านความมืดมา “คยองซู?” หล่อนเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงง่วงงุนงง ใครก็ตามที่จับตัวคยองซูไว้ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขา แต่ตอนนี้สิ่งที่คยองซูเป็นห่วงคือความปลอดภัยของผู้หญิงที่เปรียบเสมือนมารดาของตนเท่านั้น “ป้าไม่เป็นไรนะครับ!” เขาพูดโดยไม่คิดจะปิดบังความโล่งใจในน้ำเสียง “ผมนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น...”
“ใช่แล้วจ้ะ คยองซู มีบางอย่างเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลกเลยล่ะ” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของป้าฮยอนจินดูเปล่งประกายอย่างประหลาด คยองซูเพิ่งตะหนักได้ว่าใครคนนั้นยังคงรั้งตัวเขาไว้จากป้าฮยอนจิน เขาจึงหันกลับไปมอง คนๆ นั้นปล่อยแขนของคยองซูแล้วก้าวถอยหลัง คยองซูเงยหน้าจ้องเขาด้วยความงุนงงแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา ...เพียงแค่มองสำรวจเขาด้วยสายตาหวาดระแวง
“เขากลับมาแล้ว” ป้าฮยอนจินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาซึ่งฉายชัดถึงความดีอกดีใจ “เขากลับมาหาป้าแล้ว” หล่อนพูดจาราวกับได้คนรักที่หายไปหวนกลับคืน แต่ผู้ชายคนนี้น่าจะอายุราวๆ ยี่สิบปลายๆ ซี่งทำให้เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เขาคนนี้ตัวสูง แม้จะไม่สูงใหญ่เท่าญาติบางคนของคยองซูก็ตาม รูปร่างสมส่วน สวมกางเกงยีนสีซีดกับเสื้อสเวตเตอร์ผ้าฝ้ายเนื้อหนาที่ดูจะผ่านการใช้งานมานาน ปอยผมสีดำดูยาวสมควรต้องตัดได้แล้ว และใบหน้าหล่อก็ควรจะโกนหนวดเสียหน่อย ส่วนนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นไม่ต้องทำอะไรแล้ว ...นอกจากมันจะเลิกมองสำรวจเขาด้วยท่าทีไม่ไว้ใจแบบนั้นก็พอ คยองซูไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน คยองซูมั่นใจเสียยิ่งกว่ามั่นใจในความจริงข้อนี้
“ใครครับ” คยองซูถามขณะจ้องเขาไม่วางตา “ใครกลับมา”
รอยยิ้มของคนแปลกหน้าไม่ได้ฉายความไม่พอใจ หากแต่แฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มเยาะเลือนราง ราวกับว่าเขารู้อยู่แล้วว่าคยองซูจะต้องแสดงปฏิกิริยาแบบนี้
“นายจำฉันไม่ได้เหรอ คยองซู” เขาพึมพำ เสียงทุ้มต่ำ แหบแห้งเล็กน้อยตามแบบฉบับของสิงค์อมควัน “ฉันเสียใจนะเนี่ย”
“ผมไม่รู้จักคุณ” คยองซูไม่อยากรู้จักเขา เพราะสัมผัสได้ถึงรังสีอันตรายที่แผ่ออกมาโดยไม่มีที่มาที่ไป ...แต่ก็ชัดเจนว่ามันมาจากผู้ชายคนนั้น
“นี่จงอินไงจ้ะ คยองซู” ป้าฮยอนจินยิ้มบอกอย่างดีใจ “ลูกชายของป้ากลับมาหาป้าแล้ว”
“..........” คยองซูนิ่งงันด้วยความไม่อยากเชื่อ ที่จริงเขาน่าจะซ็อกไปแล้ว แต่บางส่วนที่อยู่ลึกลงไปภายในสมองกลับกำลังนึกเดาว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนี้คือใคร ทำไมถึงแสร้งทำตัวเป็นคนๆนั้น ...คิมจงอิน ลูกชายคนเดียวของคิมฮยอนจิน ทายาทผู้รับมรดกครึ่งหนี่งของตระกลูคิมกลับมาทันเวลาอย่างเฉียดฉิวหลังจากที่หายตัวไปนานกว่าสิบกว่าปี ...คยองซูไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้เลยสักนิด
“นายจะไม่ต้อนรับฉันกลับบ้านหน่อยเหรอ คยองซู” ชายแปลกหน้าคนนั้นถามขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบงันอันน่าอึดอัดปกคลุมยาวนาน “ลูกชายจอมล้างผลาญกลับมาสู่อ้อมอกครอบครัวแสนรักแล้วไงล่ะ”
คยองซูรู้สึกได้ถึงสายตาเป็นกังวลของฮยอนจินที่แรงกล้ายิ่งกว่าประกายเยาะเย้ยในดวงตาสีอำพันของชายแปลกหน้า เขาอยากจะโพล่งถามความจริงจากคนที่กำลังเสแสร้ง แต่ความรักต่อฮยอนจินยับยั้งเขาเอาไว้ ฮยอนจินยอมรับผู้ชายคนนี้ ...ฮยอนจินถูกหลอกแล้ว และคยองซูจะต้องระวังตัวให้มากนับแต่นี้
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” คยองซูเค้นคำพูดออกมา ฮยอนจินเอนหลังพร้อมกับยิ้มละไมก่อนกลับตาลง แต่ผู้ชายที่เรียกตัวเองว่าคิมจงอินคนนี้กลับไม่ยอมโดนหลอกเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“ฉันว่าแม่ของฉันคงต้องนอนพักแล้ว” เขาพูดเบาๆ “สงสัยฉันจะทำให้ท่านตื่นตอนที่กลับมาเมื่อคืน แล้วท่านก็คงตื่นเต้นเกินกว่าจะหลับลง”
“ท่านกำลังป่วย” คยองซูว่า พยายามควบคุมไม่ให้มีอารมณ์โกรธเจืออยู่ในน้ำเสียง
“ท่านกำลังจะตาย” เขาพูดเสียงเรียบหลุบตามองลงมาที่คยองซู “ไปดื่มกาแฟกันสักหน่อยดีมั้ย นายจะได้เล่าให้ฉันฟังว่าท่านเป็นยังไงบ้าง ฉันแน่ใจว่าดาเฮต้องหาอะไรให้เรากินได้แน่”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าดาเฮยังอยู่ที่นี่”
“ฉันเจอเธอเมื่อคืน เธอกับแทจุนร้องไห้ฟูมฟายใส่ฉันใหญ่” เขาว่า “แต่ดูนายจะไม่ค่อยดีใจที่เจอฉันเลยนะ คยองซู ...ที่จู่ๆ ฉันโผล่มาอีกครั้งแบบนี้นี่ไปสร้างความเสียหายอะไรขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”
“เปล่านี่”
ได้รับคำตอบของคยองซูแล้วเขาก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มซึ่งยังคงรัญจวนใจอย่างน่าประหลาด
“ทำไมเราไม่ไปคุยเรื่องนี้กันล่ะ ไม่ต้องแต่งตัวเพื่อฉันมากมายนะ ...นายนี่โตแล้วดูดีใช่ย่อยเลยนะเนี่ย”
เขาอาจจะจงใจกวนประสาทคยองซูก็ได้ ถึงแม้คยองซูจะไม่ได้มีสายเลือดของที่นี่ แต่เขาก็อยู่ในครอบครัวนี้มาตลอดชีวิต คยองซูเชิดหน้าได้อย่างผ่าเผย ไม่ใส่ใจว่าตัวเองจะสวมแค่เสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขายาวที่ดูไม่ค่อยสุภาพนัก
“ผมขอเวลาแต่งตัวห้านาที” คยองซูพูดอย่างเยือกเย็น “ผมจะไปพบคุณที่ห้องอาหารเช้า” พูดจบก็รอคำตอบจากเขา
“ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งสิบกว่าปี สมัยนั้นยังไม่มีห้องอาหารเช้าเลย”
“ไปถามดาเฮสิ” คยองซูตอบและหันหลังให้เขา ก่อนที่จะเดินออกมา รอจนกระทั้งตัวเองกลับเข้าห้องเสียก่อนจึงค่อยปล่อยตัวตามปกติ คยองซูปิดประตูแล้วเอนกายพิงกับประตูนั่น ปล่อยให้อาการสั่นสะท้านแล่นไปทั่วร่างเมื่อนึกถึงดวงตาของคนแปลกหน้าที่จ้องมองและเย้ยหยันเขา เพราะผู้ชายคนนั้น เป็น คนแปลกหน้าจริงๆ ไงล่ะ คยองซูมั่นใจในข้อนี้ สมัยเด็กเขาใช้เวลาส่วนใหญ่คลุกคลีอยู่กับคิมจงอิน และยังมีรอยแผลเป็นทั้งตามร่างกายและจิตใจเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราฉะนั้นชายที่อยู่ในห้องนอนของป้าฮยอนจินจะเป็นใครไม่ได้นอกจากนักต้มตุ๋นและในเมื่อมันเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาย่อมเป็นอาชญากรด้วย
คยองซูรีบสวมเสื้อผ้า กระแทกลิ้นชักปิด และหยุดส่องกระจกนิดหน่อยก่อนออกจากห้องไปอีกครั้ง คยองซูเป็นเพียงคนเดียวที่ไว้ไม่ใจเขา ...ไม่ไว้ใจเลยสักนิด คยองซูอายุเกือบสิบสี่ปีตอนที่เขาได้เห็นลูกแท้ๆ เพียงคนเดียวของ คิมฮยอนจิน เป็นครั้งสุดท้าย จงอินเป็นปีศาจร้ายมาตั้งแต่ยังแบเบาะแล้วตามที่คยองซูเคยได้ยินได้ฟังมา และในช่วงวัยรุ่นเขาก็ไม่ได้ทำตัวดีนัก เขาป่าเถื่อน โลดโผน เป็นคนอันตราย ทั้งยังดูหล่อเหล่าจนอาจจะเป็นภัยแก่ตัว ไม่มีใครเอาเขาอยู่ แม้แต่น้าฮีชอลจอมคร่ำครึที่มักจะมองเขาและลูกหลานทุกคนไม่ต่างจากมนุษย์ต่างดาวที่น่ารังเกียจ หรือแม้แต่คุณแม่เจ้าระเบียบของเขา ที่ปกติจะเคร่งครัดไปกับทุกเรื่องก็กลับอ่อนยวบยาบเมื่อต้องรับมือกับลูกชายที่รัก เขาทั้งชอบลักขโมย โกหก และก่อเรื่องวุ่นวาย แทจุนกับดาเฮมักเจอบุหรี่กับกัญชาในห้องของเขาเป็นประจำ
แทจุนคอยปิดบังความผิดให้เขามาตลอด กระนั้นคยองซูก็ยังได้ยินพวกผู้ใหญ่คุยกัน และเขาก็สวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกคืนให้พวกผู้ใหญ่ส่งจงอินไปไกลๆ ไปเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนดัดสันดาน หรือไปที่ไหนก็ได้ที่จะขจัดนิสัยชั่วร้ายออกจากตัวเขา และจัดการจนแน่ใจว่าเขาจะไม่กลับมาทรมานเด็กชายที่ไม่ใช่น้องชายแท้ๆ ผู้ไม่มีวันจะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลอันยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริงคนนี้ คยองซูในตอนนั้นหลงรักเขาหัวปักหัวปำจนน่าสมเพช ขนาดว่าไม่มีอะไรจะทำลายความรู้สึกนั้นได้ ไม่ว่าคิมจงอินจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม ท้ายที่สุด พวกผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ส่งคิมจงอินไปไหน หากเขาเป็นคนจากไปเอง พร้อมด้วยเงินสดสำรองทุกวอนในบ้าน รวมถึงค่าอาหาร เงินออมของดาเฮ หมูออมสินของคยองซู และเงินสดอีกราวๆ สามล้านวอน จงอินไม่เคยได้แตะกรุเครื่องเพชรอันอลังการของแม่ ทว่าคยองซูในวัยสิบสามกลับได้รับสร้อยคอเงินเลอค่าที่เขาไม่คู่ควร เป็นของขวัญวันเกิดและของขวัญวันคริสต์มาส แล้วจงอินก็หายไปพร้อมกับสร้อยคอนั่นด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นนักสืบเอกชนมือดีที่สุด หรือกองตำรวจซึ่งมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่สุด ก็ไม่พบร่องรอยของจงอินเลยแม้แต่น้อยตลอดระยะเวลาหลายปีที่สืบหากัน ส่วนฮีชอลก็เยาะหยันและบอกกับพี่สาวว่าหล่อนสูญเสียเขาไปแน่แล้ว จากนั้นความบาดหมางที่ปะทุขึ้นก็ทำให้ฮีชอลกับฮยอนจินหมางเมินต่อกันมาเป็นเวลานาน บัดนี้แกะดำตัวนั้น หรือใครก็ตามที่สวมรอยเป็นคิมจงอินได้กลับมาแล้ว ...คยองซูไม่แน่ใจเลยว่าใครจะอันตรายมากกว่ากันระหว่างจงอินตัวจริงกับจงอินตัวปลอม
คยองซูไปพบเขาที่ห้องอาหารเช้า ขายาวๆ ของเขาพาดอยู่บนเก้าอี้ที่วางเชื่อมต่อกัน มือข้างหนึ่งถือถ้วยกาแฟอยู่ ถ้วยกระเบื้องลิโมซส์แสนวิจิตรที่ป้าฮยอนจินรักหนักรักหนาดูขัดตาชอบกลเมื่ออยู่ในมือใหญ่ของเขา ผิวของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้ม และคยองซูสังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้สวมแหวน จงอินที่คยองซูรู้จักน่าจะใส่แหวน ...เขากำลังจ้องมองออกไปยังทัศนียภาพข้างนอกพลางหรี่ตาสู้แสงแดดจ้า ขณะที่คยองซูยังคงยืนอยู่ตรงทางเข้า เพื่อใช้โอกาสนั้นมองสังเกตเขา
ไม่มีเหตุผลว่าทำไมเขาจะเป็นคิมจงอินไม่ได้ จงอินตอนวัยรุ่นมีสีผมสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งก็อาจจะเข้มขึ้นจนกลายเป็นสีน้ำตาลดำบนเรือนผมยุ่งเหยิงของชายแปลกหน้าคนนี้ รูปกายอันงดงามของหนุ่มน้อย เรียวปากที่ยื่นออกมาอย่างขัดใจ เละดวงตาสะกดใจที่เฉียงขึ้นนิดๆ ของเขาอาจเปลี่ยนไปเมื่อเขาโตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่กำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่ตรงนั้น มีเหตุผลล้านแปดที่บ่งบอกว่าเขาอาจเป็นคิมจงอิน แต่มีเพียงเหตุผลเดียวที่ค้านว่าเขาไม่ใช่
“ใจคอนายจะยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนอีแร้งหรือไง” ถามเนิบๆ โดยไม่ใส่ใจจะหันมามองหน้าคยองซู ก็ภาพของคยองซูมันเด่นชัดอยู่บนหน้าต่างทั้งแถบอยู่แล้ว เขาคงเห็นตั้งแต่ตอนที่คยองซูเดินเข้ามาแล้ว
“ฟังแล้วน่าจะเป็นคุณมากกว่าผม” คยองซูตอบอย่างเยือกเย็น ขณะเดินเข้าไปในห้องและรินกาแฟดื่ม ถ้วยกระเบื้องลิโมซส์ควรคู่กับมือของเขามากกว่ามือของผู้ชายคนนั้นเสียอีก มือของคยองซูดูบอบบาง และนิ้วเรียวยาวแบบผู้ดี ถึงแม้จะเป็นมือของผู้ชาย ซึ่งแตกต่างจากมือของชายแปลกหน้าราวฟ้ากับเหว ชายหนุ่มแปลกหน้าหันมามองคยองซู “นายคิดว่าฉันเป็นอี้แร้งเหรอ ถึงจะชอบป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ สัตว์ที่กำลังจะตาย แล้วคอยจ้องกินซาก” เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ประจำของคยองซู อันที่จริงโต๊ะตัวนี้ใหญ่พอสำหรับนั่งได้แปดคน แต่เขาก็ยังอุตสาห์มาครองเก้าอี้ตัวที่คยองซูจับจองไว้ให้ตัวเองอีก เขาส่งยิ้มให้คยองซู เป็นรอยยิ้มชั่วร้ายที่ค่อยๆ คลี่ออกช้าๆ
“นายไม่ค่อยชอบฉันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วใช่มั้ย คยองซู” ชายหนุ่มแปลกหน้าจงใจจะโปรยเสน่ห์ใส่เขา คยองซูละสายตามองไปทางอื่น นั่งลงตรงกันข้าม และจิบกาแฟดำ “ผมไม่ค่อยชอบจงอิน” คยองซูเอ่ยอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจงอินตัวจริงน่าจะรู้ดีว่ามันไม่จริง “แต่ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดยังไงกับคุณ”
“อา นายไม่คิดว่าฉันคือคิมจงอินใช่มั้ย แล้วอย่างนั้นนายคิดว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ล่ะ” เขาไม่มีทีท่าวุ่นวายใจกับข้อสงสัยของคยองซูเลยสักนิด
“คิมฮยอนจินกำลังจะตาย และเมื่อถึงตอนนั้น ท่านก็จะทิ้งเงินมหาศาลไว้ให้ทายาท คิมจงอินหายตัวไปกว่าสิบสองปีซึ่งนานพอจะประกาศว่าเขาเสียชีวิตได้ และฮีชอลก็อยากจะทำอย่างนั้นมาเป็นสิบปีแล้วด้วย ถ้าไม่มีใครมาปรากฏตัวและอ้างว่าเป็นจงอิน เงินส่วนแบ่งก็จะมีมากขึ้น”
“นายนี่โลภนะเนี่ย” เขาว่าขณะจ้วงน้ำตาลเติมกาแฟแบบไม่ใส่ใจอะไรจริงจัง
“ผมไม่ได้เป็นทายาทอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจงอินจะอยู่หรือตายก็ไม่ต่างอะไรสำหรับผม ...อย่างน้อยก็ในเรื่องเงินๆ ทองๆ” คยองซูนึกภูมิใจในน้ำเสียงเยือกเย็นของตัวเอง เขาได้ฝึกฝนมาอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ เป็นคนของตระกูล ‘คิม’ ผู้ไร้ที่ติ แม้ว่าเขาจะไม่มีทางเป็นหนึ่งในครอบครัวนี้ได้อย่างแท้จริงเลยก็ตาม
“นายหมายความว่าแม่ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้นายเลยงั้นเหรอ ฉันว่าไม่น่าเชื่อนะ นายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวฉันมาแทบจะเรียกว่าตั้งแต่นายเกิดเลยนี่”
“ไม่ใช่โดยนิตินัย” คยองซูว่า “ผมไม่ได้เป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย”
“หลังจากที่ฉันจากไปก็ยังไม่ได้รับเหรอ”
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะ” คยองซูสวนกลับเสียงแข็ง “คุณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการรับผมเป็นบุตรบุญธรรมนี่ ใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนั้นหรอก” เขาว่า “อีกอย่าง ฉันชอบที่มีนายเป็นน้องชายนะ ฉันไม่ถือหรอกว่าถ้าพวกเขาจะจัดการให้มันถูกกฎหมายซะ แต่นายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันนี่ นายพยายามจะบอกว่าแม่ฉันไม่ได้ทิ้งอะไรให้นายในพินัยกรรมเลยเหรอ”
“ทำไมคุณถึงสนใจเรื่องพินัยกรรมของท่านนัก คุณจะรู้ได้ยังไงว่าคุณมีชื่ออยู่ในนั้นด้วย”
“ก็นายแทบจะบอกฉันออกมาโต้งๆ อยู่แล้วนี่ คยองซู” เขาตอบเสียงนุ่ม “อีกอย่าง แม่ก็มีความสุขมากที่เห็นฉันเมื่อคืน ถึงขนาดเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเองหมด แถมยังบอกด้วยว่าท่านดีใจขนาดไหนที่ไม่ยอมโอนอ่อนตามแรงกฎดันแล้วแก้พินัยกรรมนั่น ว่าแต่ท่านทิ้งมรดกไว้ให้นายมากแค่ไหนล่ะ”
คยองซูจ้องเขาด้วยสายตาจงเกลียดจงชัง
“ไม่ว่าเมื่อก่อนคิมจงอินจะมีข้อเสียยังไง”
“..........”
“เขาก็ไม่เคยเป็นคนต่ำทราม”
ชายแปลกหน้าหัวเราะเบาๆ แฝงแววเย้ยหยันซึ่งทำให้คยองซูรู้สึกเดือดดาล
“นายน่ะอยู่กับแม่ฉันมากเกินไป เลยทำไอ้ท่าทางเย็นชาแบบนั้นได้ซะสมบูรณ์แบบเชียว นี่นายหัดเอาหรือว่าแค่ซึมซับเข้าไปเหมือนกระบวนการออสโมซิลล่ะ” เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการคำตอบจากคยองซู เขาเหวี่ยงเท้าลงมาวางบนพื้น แล้วเอื้อมหยิบเหยือกกาแฟรินใส่ถ้วยลายดอกวิจิตรงดงาม ก่อนจะตักน้ำตาลพูนช้อนใส่ถ้วย จงอินตัวจริงชอบกินของหวานมากๆ “ฉันใช้ชีวิตเกกมะเหรกเกเรมาตั้งแต่สิบแปดปีนี่นะ นายต้องยกโทษให้ฉันแล้วละ ถ้าทักษะทางสังคมของฉันมันขึ้นสนิมไปหน่อย”
“ผมก็ว่าอย่างนั้น” คยองซูพูดอย่างเฉยชา “แต่คุณไม่ใช่คิมจงอิน”
“มั่นใจอย่างนี้ก็ดีแล้ว” เขาเทครีมใส่ถ้วย กาแฟจึงเปลี่ยนเป็นสีเนื้ออ่อนๆ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองคยองซู คยองซูนึกว่าจะเห็นเพลิงโทสะในดวงตาคู่นั้น ทว่าเขากับส่งยิ้มมาให้ “สงสัยนายจะเป็นคนที่เชื่ออะไรยากเอามากๆ เลยนะเนี่ย ทั้งแม่ฉัน ดาเฮ แล้วก็แทจุน เขาอ้าแขนต้อนรับฉันกันหมดแล้ว ก็แน่ล่ะ พวกเขาอยากให้ฉันกลับมานี่นะ”
“ไม่เหมือนผม”
เขาเหลือบตามองคยองซู
“ทำไมนายถึงไม่อยากให้ฉันกลับมาล่ะ”
“ผมไม่อยากให้นักต้มตุ๋นแฝงตัวเข้ามาให้ครอบครัวนี้ แล้วก็ปอกลอกเอาเงินของพวกเขาไป”
“แล้วถ้าฉันคือคิมจงอินจริงๆ ล่ะ”
“ผมก็ไม่อยากให้ป้าฮยอนจินหัวใจสลาย ท่านมีเวลาเหลืออีกไม่มากนัก และผมก็อยากให้มันเป็นช่วงเวลาที่สงบ ท่านมีชีวิตอยู่โดยไม่มีลูกชายได้แล้ว ท่านเคยคร่ำครวญถึงเขาก็จริง แต่ท่านก็สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้”
“ความสงบนี่ถูกตีค่าสูงเกินไปมากจริงๆ” เขาพึมพำ “ฉันว่าแม่น่าจะอยากมีช่วงเวลาสองสามสัปดาห์ที่มีความสุขมากว่าสองสามเดือนที่ค่อยๆ เฉาตายไป”
“ไม่ใช่หน้าที่คุณที่จะตัดสินใจ” คยองซูพูดเสียงแข็งกระด้าง
“ก็ไม่ใช่หน้าที่นายเหมือนกัน”
เมื่อต่างเอาชนะกันไม่ได้คยองซูจึงมองข้ามโต๊ะไปที่เขาโดยไม่พยายามจะปิดบังความจงเกลียดจงชัง “เดาว่าคุณคงมีหลังฐานสินะ” คยองซูพูด
“อยากเดาอะไรก็เชิญ” เขาตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี
“น้าฮีชอลกับน้าฮเยจินจะไม่ยอมรับคุณโดยดูแค่ภายนอกหรอก พวกเขาจะต้องการข้อพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรม ดูลายนิ้วมือ ประวัติทันตกรรม...”
“คิมจงอิน ไม่เคยพิมพ์ลายนิ้วมือ แม้แต่ตอนที่ถูกจับได้เรื่องกัญชาเมื่ออายุสิบสี่ก็เถอะ ครอบครัวเขามีอิทธิพลล้นเหลือ ส่วนประวัติทันตกรรมนี่อาจจะมีอยู่บ้างมั้ง แต่ฉันไม่เคยอุดฟันเลยจนอายุยี่สิบสามโน่นแน่ะ ดังนั้นฉันเลยไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์สักเท่าไหร่”
“คุณศึกษาเรื่องนี้มาดีจริงนะ” คยองซูพูดโดยไม่ใส่ใจซ่อนน้ำเสียงเชิงว่ากระทบ
“ลองคิดอย่างนี้สิ อย่างน้อยที่สุดฉันก็ทำให้หญิงชราที่ใกล้ตายคนหนึ่งมีความสุขมาก และไอ้ครอบครัวนี้น่ะก็มีเงินทองเหลือเฟือให้แบ่งกันอยู่แล้ว แค่ส่วนของฉันน่ะไม่ได้ทำให้พวกเขาสูญเสียอะไรหรอก”
“นี่คุณกำลังยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คิมจงอินตัวจริงอยู่รึเปล่า”
เขาลุกขึ้นด้วยท่วงท่าที่สง่างามเหมือนอย่างที่จงอินในวัยรุ่นจะทำ จากนั้นก็เดินเข้ามาหา คยองซูไม่ได้สะดุ้งหรือกระถดถอยหนีจากเขา เพียงแต่กระชับมือทั้งสองข้างรอบถ้วยกระเบื้องใบงามและนั่งนิ่ง สายตาจ้องมองเขา ผู้ชายคนนั้นเท้ามือสองข้างลงบนผ้าคลุมโต๊ะลินินตรงหน้าและโน้มตัวเหนือร่างคยองซู ...นี่มันใกล้เกินไปแล้ว คยองซูรู้ว่าตัวเองกำลังกลั้นใจด้วยไม่อยากจะหายใจร่วมอากาศกับเขา
“ทำไมนายถึงกลัวฉันล่ะ คยองซู”
เขาเข้ามาใกล้มากเกินไป คยองซูมองเห็นริ้วผมสีน้ำตาลอ่อนในเรือนผมสีน้ำตาลดำเข้ม เห็นเส้นสีดำในดวงตาสีอำพันของเขา เขาเข้ามาใกล้จนคยองซูได้กลิ่นกาแฟจากลมหายใจของเขา และได้กลิ่นแชมพูอ่อนๆ ชั่วขณะหนึ่งที่มองคนแปลกหน้า ...คยองซูรู้สึกถึงจงอินเมื่อครั้งเนิ่นนานมาแล้ว
“ผมไม่ได้กลัว” คยองซูโต้
“นายกลัวว่าฉันจะมาแทนที่นายอีกครั้งงั้นเหรอ กลัวว่าฮยอนจินจะรักฉันมากกว่านายใช่มั้ย กลัวว่านายจะต้องกลับไปเป็นแค่คนนอกที่ได้แค่มองอีกครั้งใช่หรือเปล่า”
คยองซูคลายมือจากถ้วยกาแฟ เพราะรู้ว่าอีกไม่นานเขาอาจจะบีบเครื่องเคลือบจีนอันเปราะบางนั้นแหลกคามือ ชายหนุ่มนั่งเอนหลัง ถอยห่างจากอีกฝ่าย คยองซูเหยียดรอยยิ้มเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ตามแบบที่เขาทำจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
“ผมไม่ได้กังวลอะไรทั้งนั้น” เขาพูด “นอกจากเรื่องความปลอดภัยของป้าฮยอนจินเท่านั้น”
“ตอนเด็กๆ นายไม่ได้เป็นขนาดนี้นี่” เขาว่า “ฉันจำได้ว่านายชอบร้องงอแง เอาแต่จะตามฉันต้อยๆ นี่นายเตรียมตัวจะถือศีลตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ถอยออกไป” คยองซูทนไม่ไหวแล้ว คำพูดนั้นหลุดออกมาอย่างสุดจะทนและขุ่นเคือง
...นี่ละสิ่งที่เขาต้องการ เขาคลี่ยิ้มออกกว้าง คยองซูอยากจะทุบเขานัก แต่ก็ต้องสะกดกลั้นอารมณ์วางมือทั้งสองลงบนตักและนั่งหลังตรงขณะที่เขาขยับออกห่าง “พวกเขาอบรมนายมาดีนะ คยองซู” เขาพึมพำ “พวกเขาทำในสิ่งที่ไม่เคยทำกับฉันได้”
“ทำอะไร”
“ทำให้นายกลายเป็นพวกเขาไงล่ะ พวกเขาสูบชีวิตและจิตวิญญาณออกจากร่างของนายไปแล้ว” เขาโคลงศีรษะ “แย่จังที่ฉันหนีไปโดยไม่ได้พานายไปด้วย”
“คุณลืมรายละเอียดบางอย่างที่จะจำได้นะ ตอนนั้นผมอายุสิบสาม”
“ก็ใช่” เขาพูดเบาๆ “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านายจูบไม่เป็น”
คยองซูรู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนซีดเผือดลง เขาไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้หรอก ...ไม่มีทางที่ใครจะล่วงรู้
“อะไร...คุณพูดเรื่องอะไร”
เขาเดินตรงไปยังประตูโค้ง “ฉันว่าฉันไปดูแม่ดีกว่า แต่ก่อนฉันไม่รู้ตัวเลยนะว่าคิดถึงท่านมากแค่ไหน”
“คุณไม่ได้ตอบคำถามผมนี่!” คยองซูลุกขึ้นยืนเอามือกดโต๊ะไว้ เพื่ออีกฝ่ายจะได้ไม่เห็นว่าตัวเขากำลังสั่นแค่ไหน
“ใช่ ฉันไม่ได้ตอบ” เขาส่งยิ้มหวานให้ “โทร.เรียกน้าฮีชอลกับน้าฮเยจินมาที่นี่ดีกว่านะ ...พวกเขาอาจจะกระชากหน้ากากนักตุ้มตุ๋นเก่งกว่านายก็ได้”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่เขาจะก้าวเดินออกไป โดยไม่ทันที่คยองซูจะได้พูดอะไรออกมาอีก ...คยองซูถอนหายใจออกมายาวเหมือนกับว่าเขาอดทนกลั้นใจเหลือเกินตลอดเวลาที่อยู่กับผู้ชายแปลกหน้าคนนั้น เขาทำให้คยองซูรู้สึกวางตัวได้ลำบาก ....ราวกับว่าเขาคือคิมจงอินคนนั้นจริงๆ คนที่เคยทำให้คยองซูโง่งมกับความรู้สึกที่เขาในวัยสิบสามปีเรียกมันว่ารักครั้งแรก
ความคิดเห็น