ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Meb E-Book ] Predict คำทำนายของเธอ…คือฉัน [YURI]

    ลำดับตอนที่ #9 : ขอตัวกลับ...

    • อัปเดตล่าสุด 22 ธ.ค. 66


    ตอนที่เก้า : ขอตัวกลับ...

     

                   อึดอัดเป็นบ้า...

                   ในขณะที่ความอึดอัดใจกำลังแล่นเข้ามาในอกอย่างมากมาย แต่คุณหมอกลับทำท่าทางสบายๆ แถมหน้าตาก็ยังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่รับรู้ความรู้สึกของฉันในตอนนี้เลย

                “ไม่ได้ขูดหินปูนมานานหรือยังคะ”

                “ก็...ประมาณเจ็ดเดือนค่ะ”

                “เพิ่งครบกำหนดไปเองเนอะ”

                เธอพูดพร้อมรวบผมใส่เข้าไปในหมวกสีเขียวอย่างเรียบร้อย Mask ที่เคยถอดก็นำกลับมาใส่ใหม่อีกครั้ง ฉันจ้องมองการกระทำของเธออยู่บนเก้าอี้ในห้องทำฟัน ท่าทางเกร็งที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนเรียกสายตาให้คุณผู้ช่วยต้องคอยพูดปลอบคล้ายคุ้นชินกับคนที่มีอาการแบบฉัน

                แต่นะ...สิ่งที่ทำให้ประหม่าไม่ได้เกิดจากการมาทำฟันสักหน่อย

                “เดี๋ยวคนไข้บ้วนน้ำซ้ายมือแล้วนอนลงบนเตียงได้เลยนะคะ” เสียงของคุณผู้ช่วยดังขึ้นด้วยท่าทางใจดี ส่วนฉันก็ยังคงเกร็งไม่เลิก

                แย่เป็นบ้า...กลับมาเจอพี่สีน้ำอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันเป็นสิบปี แต่ต้องมาอ้าปากให้พี่เขาดู

                แย่ ใช่...แย่มากๆ

                ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากที่บ้วนน้ำเสร็จ ขยับตัวนั่งหลังชิดเบาะที่มีคุณหมอและผู้ช่วยนั่งอยู่ด้านหลัง และ...

                “กลัวเหรอ”

                   แล้วอยู่ๆ มือขาวของคุณหมอก็จับมาที่ไหล่ของฉัน ร่างกายสะดุ้งทันทีอย่างคนที่ตกใจ ฉันหันไปมองมือนั้นนิดๆ แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นหน้าของคุณหมอที่อยู่ใกล้กันมาก

                “อะ..เอ่อ เปล่าค่ะ ไม่ได้กลัวขนาดนั้น”

                “หนาวไหม ถ้าหนาวเดี๋ยวให้ผู้ช่วยเอาผ้ามาให้ค่ะ”

                “ไม่เป็นไรค่ะ”

                “โอเคค่ะ งั้นทำใจสบายๆ นะ” ไม่พูดเปล่า มือที่อยู่บนไหล่เริ่มขยับแตะเบาๆ เป็นการปลอบ “หมอปรับเบาะนอนนะ”

                เฮือก!

                แล้วทันทีที่เบาะปรับนอนฉันก็สะดุ้งอีกครั้งจนเบาะโยก มีเสียงปลอบใจจากคุณผู้ช่วยว่าไม่ต้องกลัวดังขึ้นมาทันที ส่วนคุณหมอที่กำลังปรับเบาะก็หยุดชะงักการกระทำนั้นไว้ ฉันได้ยินเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ องศาของเบาะเริ่มทำให้เห็นหน้าคุณหมอชัดขึ้น

                ให้ตายเถอะ...เธอหัวเราะฉันจริงจังเลยนี่

                “โอเคนะคะ ขอหมอปรับอีกนิดนะ คุณปรรณกรจะได้นอนสบายๆ” แล้วการปรับเบาะเป็นครั้งสุดท้ายก็จบลงพร้อมกับใบหน้าของฉันที่จ้องมองคุณหมอสลับกับหน้าคุณผู้ช่วยไปมา

                นี่ฉัน...มาทำอะไรที่นี่

                “คนไข้จะให้คลุมหน้าไหมคะ ถ้าไม่อยากให้คลุมน้ำอาจจะกระเด็นเยอะหน่อย” เสียงของคุณผู้ช่วยดังขึ้นอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้ฉันก็เหมือนคนสติหลุดไปแล้ว

                “เอ่อ...”

                “แต่ถ้าอยากจะมองหน้าหมอตอนขูดหินปูนจะไม่คลุมก็ได้นะ” หน้าตาของเธอตอนนี้ไม่ได้มีรอยยิ้มแบบก่อนหน้านี้เลย แถมดูจริงจังกับการสำรวจหน้าของฉันจนอาการเกร็งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

                “ค..คลุมดีกว่าค่ะ”

                “งั้นขออนุญาตคลุมหน้านะคะ” เสียงของคุณผู้ช่วยดังปิดท้ายพร้อมกับดวงตาของฉันที่ถูกผ้าคลุมหน้าสีม่วงเข้มบดบังเอาไว้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ต้องสบตากันแหละนะ

                “อ้าปากนะคะ อ้ากว้างอีกนิดค่ะ อีกนิดได้ไหมคะ...โอเคเลยค่ะ อ้าค้างไว้แบบนี้นะคะ หมอจะเริ่มแล้วนะ”

                แล้วเสียงเครื่องขูดหินปูนพร้อมกับน้ำก็เริ่มไหลแรงจนกระเด็นไปทั่วปาก ฉันพยายามทำใจให้สงบแล้วปล่อยให้คุณหมอกระทำชำเรากับฟันทุกซี่ได้อย่างเต็มที่

                “ซักชั่นหน่อยค่ะ” เสียงนี้ดังอยู่เป็นระยะ และน้ำเสียงที่เธอพูดกับคุณผู้ช่วยก็ดูจริงจังผิดกับตอนแรกๆ ที่ชวนคุยเรื่องนั่นนี่กัน

                “ดูแลฟันดีนะคะเนี่ย แทบไม่มีหินปูนเลย”

                “ออบอุนอ่ะ (ขอบคุณค่ะ)”

                “อย่าเพิ่งพูดนะคะ เดี๋ยวเครื่องมือจะไปโดนลิ้นเอา”

                เอ้า...แล้วคุณหมอชวนคุยทำไมคะ!

                ฉันอยากจะถามออกไป แต่ตอนนี้ความรู้สึกอนาถจิตมีมากจนไม่สนอะไรอีกแล้ว เวลาหลังจากนั้นผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง การทำฟันในครั้งนี้จบลง ฉันรีบบ้วนน้ำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเตรียมตัวลุกขึ้น แต่ทว่า...

                “ตอนนี้มีโปรขูดหินปูนฟรีเคลือบฟลูออไรด์นะคะ”

                “คะ?”

                “ถ้าบ้วนน้ำเสร็จแล้ว นั่งหลังพิงแบบเดิมได้เลยนะ”

                “เอ๊ะ...ต้องเคลือบฟลูออไรด์ต่อเหรอคะ”

                “ใช่ค่ะ”

                “แล้วถ้าไม่เคลือบได้ไหมคะ”

                “ไม่เคลือบก็ได้ค่ะ แต่จะเสียสิทธิ์เอานะ เพราะงั้นเคลือบดีกว่า...”

                ให้ตายเถอะ! หนีไม่ได้อีกแล้ว!!!

                “เก็บเครื่องมือแล้วออกไปได้เลยนะคะ เดี๋ยวเคลือบฟลูออไรด์หมอทำเองค่ะ”

                “ได้ค่ะคุณหมอ”

                เสียงของทั้งคู่พูดคุยกันแบบสบายๆ แต่ฉันนี่สิ! เกร็งจนรับรู้ถึงอาการสั่นของมือ ขนาดมีคุณผู้ช่วยอยู่ด้วยฉันยังเกร็งขนาดนี้ แล้วถ้าต้องอยู่กับพี่เขาสองคนจะเกร็งขนาดไหน ฮือ...ทำไงดี ไม่ไหวแล้ว อยากกลับบ้าน

                “บ้วนน้ำเสร็จหรือยังคะ”

                “ส..เสร็จแล้วค่ะ”

                “โอเคค่ะ นั่งพิงนะ” 

                แล้วฉันก็ทำตามที่เธอบอกทุกอย่าง หลังค่อยๆ นั่งพิงเบาะไปอย่างคนที่ไม่สามารถต่อต้านอะไรได้ และทันทีที่นั่งอยู่ในท่าที่โอเค เบาะทำฟันก็ถูกปรับเอนนอนลงนิดๆ พร้อมกับพิมพ์ยางที่เป็นรูปฟันถูกนำมาให้ฉันกัดเอาไว้

                “กัดไว้สี่นาทีนะคะ ถ้ามีน้ำลายบอกหมอได้เลยนะ”

                ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงแค่นั่งอยู่เฉยๆ ปากยังคงหุบสนิท ส่วนคุณหมอก็ขีดๆ เขียนๆ ประวัติของฉันอย่างจริงจังและไม่ได้พูดอะไรเลย 

                สี่นาทีสักทีเถอะ!

                ฉันนั่งจ้องนาฬิกาที่อยู่ติดฝาผนังคล้ายพร้อมจะกลืนกินมันลงท้องไป แต่ทว่าเวลาในตอนนี้ช่างผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน แม้เข็มจะบอกว่าเพิ่งผ่านไปได้แค่สองนาที แต่ฉันกลับรู้สึกว่านี่มันผ่านไปสองปีแล้ว

                อ่า...อันนี้ก็เวอร์ไป

                ยังไม่ทันที่จะต่อว่าตัวเองเสร็จ คุณหมอที่อยู่ด้านหลังก็ขยับเก้าอี้มานั่งชิดติดเบาะ โดยที่เธอก็เริ่มใส่ถุงมือยางกลับเข้าไปอีกครั้ง หน้าสวยค่อยๆ ชะโงกมาดูว่ามีน้ำลายไหลออกมาข้างแก้มหรือเปล่า พอเห็นว่าฉันยังอยู่ในสภาพเดิม เธอก็ถอดถุงมือออกข้างหนึ่งแล้วหยิบประวัติมานั่งอ่านให้ฉันฟัง

                “คุณปรรณกร อายุยี่สิบเจ็ดปี ชื่อเล่น เปา...”

                “...”

                “คุณปรรณกรคุ้นหน้าหมอบ้างไหมคะ”

                มาแล้ว! คำถามยิงตรงมาแล้ว! ให้ตายเถอะพี่สีน้ำ! ช่วยทำเป็นไม่รู้จักกันได้ไหม!!!

                “จริงๆ แล้วหมอรู้สึกคุ้นหน้าคุณปรรณกรตั้งแต่อยู่ที่ร้านเทียนหอมแล้วค่ะ ว่าจะทักแต่ก็ไม่แน่ใจ เลยให้น้องที่คลินิกเอาใบโปรโมชันไปให้ เผื่อว่าถ้ามาทำฟันจะได้รู้ว่าถูกคนหรือเปล่า”

                   นี่เป็นแผนของพี่เขาเหรอเนี่ย...

                อึก...ฉันค่อยๆ กลืนน้ำลายลงคอไปอย่างไม่รู้ตัว และนั่นทำให้คุณหมอที่นั่งมองอยู่ตลอดดุขึ้นมาทันที

                “ไม่กลืนนะคะ หมอบอกว่าถ้ามีน้ำลายให้บอกไง...” ไม่พูดเปล่า เธอยกที่ดูดน้ำลายขึ้นมาเตรียมจะดูดสิ่งแปลกปลอมให้ แต่ฉันกลับนั่งมองหน้าเธออยู่แบบนั้นโดยที่ไม่ได้อ้าปากรับความหวังดีมาแม้แต่น้อย “อ้าปากสิคะ ไม่งั้นหมอจะดูดน้ำลายให้ได้ยังไง”

                แล้วฉันก็อ้าปากให้เธอดูดน้ำลายให้อย่างคนอเนจอนาถใจ พอเธอรู้ว่าเป็นฉันก็เลยเริ่มดุเลยงั้นเหรอ ให้ตายเถอะ ตอนเด็กๆ ไม่เห็นจะเคยดุกันแบบนี้

                “กัดไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวอีกหนึ่งนาทีหมอเอาออกให้นะ”

                “...” ฉันยังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้สนใจนาฬิกาที่แขวนติดฝาผนังอีกแล้ว 

                ก็นะ...จากคำถามที่พี่สีน้ำพูดออกมายังไงเธอก็คงไม่ปล่อยให้ฉันกลับไปโดยที่เราไม่พูดคุยกัน

                ฉันควรสรรหาคำพูดอะไรมาคุยกับพี่เขาดี...

                “ว่าแต่คุณปรรณกรรู้ไหมคะว่าช่องชื่อเล่นมีไว้สำหรับคนไข้เด็ก...แต่เขียนมาก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอกนะคะ ดูน่ารักดี”

                “คะ?”

                แล้วพิมพ์ยางที่เคยอยู่ในปากก็ร่วงสู่ผ้าคลุมหน้าที่ถูกวางไว้ตรงช่วงอก แต่ถึงอย่างนั้นเศษของฟลูออไรด์ก็เปื้อนลงมาที่กางเกงฉันด้วย

                เฮงซวย! ทำไมฉันต้องเปิ่นเวลาอยู่กับพี่เขาทุกทีเลย!

                   “เดี๋ยวพี่เช็ดให้นะ”

                แล้วสรรพนามที่เคยแทนตัวเองว่าหมอก็เปลี่ยนไป เธอดูตกใจอยู่พอสมควรโดยที่มือเล็กก็หยิบทิชชูมาเช็ดคราบฟลูออไรด์ให้อย่างรวดเร็ว แต่ทุกอย่างดูเกิดขึ้นเร็วมาก รวมทั้งคุณหมอคนสวยก็ไม่ได้สังเกตเลยว่ากำลังใช้ทิชชูเช็ดตรงไหนของฉันอยู่

                ใช่ค่ะ...คราบฟลูออไรด์ที่หล่นมานั้นมันตกไปอยู่ที่ช่วงเป้ากางเกงพอดิบพอดี

                “พ..พี่สีน้ำคะ! เปาเช็ดเองค่ะ” ฉันรีบแย่งทิชชูมาจากมือของเธอ โดยที่เจ้าของชื่อก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าใช้ทิชชูเช็ดในที่แปลกๆ ไป

                “ขะ..ขอโทษนะ”

                “ไม่เป็นไรค่ะ เปาซุ่มซ่ามเอง”

                “พอเรียกว่าพี่สีน้ำนี่รู้เลยนะว่าคือเจ้าแม่เปา...”

                ฉันมองหน้าเธอพร้อมกับส่งยิ้มแหยๆ ไปให้ โดยที่มือก็ยังเช็ดรอยเปื้อนออกจนเกือบหมด

                “แปลกเนอะ” ไม่พูดเปล่า เสียงหัวเราะเบาๆ ของคุณหมอทำให้ฉันต้องหันไปสนใจทันที

                “อะไรแปลกคะ”

                “ก็เราสองคนไงที่แปลก ตอนเจอกันครั้งแรกเปาก็ซุ่มซ่ามหกล้มจนหัวเข่าถลอก แล้วพี่ก็เปิดกระโปรงเปาขึ้นมาดูแผลเอาดื้อๆ พอกลับมาเจอกันอีกครั้งเปาก็ยังซุ่มซ่ามเหมือนเดิม แถมพี่ก็ช่วยเหลือในตำแหน่งที่ต่ำกว่าสะดืออีกแล้ว”

                ในช่วงเวลานั้นความทรงจำในวัยเด็กก็เริ่มชัดเจนขึ้น รอยยิ้มน่ารักของรุ่นพี่ที่ฉันปลาบปลื้มเด่นชัดซ้อนทับกับหน้าของรุ่นพี่ในวัยที่ต่างกันออกไป ในตอนนี้ฉันเพียงแค่มองรอยยิ้มนั้นอย่างไม่สามารถละสายตาไปไหนได้ ความรู้สึกบางอย่างเข้ามาทักทายอีกครั้ง และดูเหมือนตอนนี้ความกล้าจะเริ่มมีมากขึ้น

                “ไม่เจอกันนานเลยนะคะพี่สีน้ำ สบายดีไหม”

                “อื้อ สบายดีนะ เปาล่ะ”

                “เปาก็สบายดีค่ะ”

                “สูงขึ้นเยอะเลยหรือเปล่า”

                “สูงกว่าเดิมไม่เท่าไรนะคะ แต่พี่สีน้ำนี่สิ...สูงเท่าเดิมเลยนะคะ”

                “เป็นการทักทายที่น่าจดจำดีนะ”

                แล้วเรื่องประหลาดๆ ก็เกิดขึ้นอีกอย่าง คือเราทั้งคู่หัวเราะให้กันคล้ายระยะเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานนั้นไม่ได้มีผลอะไร ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกอึดอัดมากก็จริง เพราะยังกังวลเรื่องที่พูดจาไม่ดีไว้เมื่อวัยเด็ก แต่พอรุ่นพี่คนสวยไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น ความกังวลต่างๆ นานาก็ดูหายไป

                “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พี่ขอเบอร์เปาไว้หน่อยได้ไหม มีเรื่องอยากคุยด้วยเยอะเลย แต่...” เธอหยุดพูด ก่อนจะมองนาฬิกาที่บอกถึงเวลาเกือบๆ หนึ่งทุ่ม “พี่มีคนไข้ต่อน่ะ”

                “อ๋อ ได้ค่ะ เดี๋ยวเปาก็ต้องกลับร้านเหมือนกัน” 

                เราแลกเบอร์กันอย่างรวดเร็ว พร้อมกับไลน์ที่เด้งขึ้นมาทันที 

                “อ้อ คืนนี้เปาว่างไหม สักช่วงสองทุ่มครึ่ง”

                “น่าจะว่างนะคะ มีอะไรหรือเปล่า”

                “ดีเลย ไปทานข้าวเย็นกันนะ พี่มีร้านแนะนำ เราจะได้นั่งคุยกันยาวๆ ด้วย”

                “เอ๊ะ...”

                “ไม่ให้ปฏิเสธนะ อุตส่าห์เจอกันทั้งที”

                ทุกอย่างดูรวดเร็ว...ใช่ รวดเร็วเกินไป

                แต่เชื่อเถอะว่าถึงแม้ฉันจะรู้สึกว่ามันเร็วเกินไปในเมื่อเราเพิ่งกลับมาเจอกัน แต่ในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นมากกว่ารู้สึกอึดอัด และเมื่อปฏิเสธพี่เขาไม่ได้ สิ่งเดียวที่ควรทำคือการบอกเพื่อนว่าจะไปหาช้าหน่อย

                “วันนี้ฉันไปถึงร้านช้าหน่อยนะ คิดว่าคงไม่เกินห้าทุ่ม ฝากบอกแคทด้วย”

                [ เอ้า แต่ฉันมาถึงร้านแล้วนะ แต่ช่างเถอะ แค่แกจะมาก็พอละ... ]

                “โอเค”

                [ ว่าแต่แกจะไปไหนอะ ไม่ใช่จะกลับห้องไปนอนแล้วหลับยาวเบี้ยวนัดแบบรอบที่แล้วอีกนะ ]

                “เอออ ไม่ได้กลับไปนอนหรอก มีธุระต้องทำ”

                [ ธุระอะไรวะ ] 

                “ธุระที่แปลว่าไม่เสือกค่ะ!”

                [ เอ้าอีนี่ ถามดีๆ เออ! ไม่อยากรู้ก็ได้ รีบมาด้วย ]

                “โอเคๆ ไว้เจอจะเล่าให้ฟัง แค่นี้แหละ”

                ทันทีที่ฉันกดตัดสายไป ข้อความของใครบางคนก็เด้งสวนขึ้นมา

                ‘คืนนี้พี่ไปหานะ’

                ข้อความของพี่แป้งทำให้ฉันได้แต่ถอนหายใจออกมา พี่เขาคงเครียดอะไรอีกแล้วแน่ๆ ถึงจะมาหากันทั้งๆ ที่เพิ่งกลับไปเมื่อเช้านี้

                ‘วันนี้เปามีธุระค่ะ คงกลับห้องดึก’

                ‘วันนี้ไปไม่ได้สินะ’

                ‘มาได้ค่ะ เปาแค่ไม่อยู่ห้องเฉยๆ’

                เธออ่านข้อความนั้นแต่ไม่ตอบอะไรกลับมา ฉันจ้องมองหน้าจออยู่ร่วมนาทีก่อนที่ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งจะเดินเข้ามาในร้าน 

                “สวัสดีค่ะ” เสียงของพนักงานดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง และนั่นทำให้ฉันรีบเก็บมือถือเข้ากระเป๋าทันที

                “ยังไงฝากร้านด้วยนะ ดูทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่จะปิดร้าน”

                “ได้ค่ะคุณเปา ไม่ต้องห่วงค่ะ”

                ฉันเอ่ยปากบอกผู้จัดการร้านที่ทำหน้าดีใจจนออกนอกหน้า ก็นะ...ถ้าฉันอยู่พี่เขาก็ดูไม่เหมือนผู้จัดการเลย

                “มาตรงเวลาพอดีเลยนะคะ” ฉันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู และนั่นทำให้ได้เห็นรอยยิ้มใจดีของคนตัวเล็กเด่นชัดขึ้น

                “เปาเองก็เปลี่ยนชุดเร็วมากเลย ชุดนี้ดูสวยเชียว”

                ฉันก้มมองชุดเดรสรัดรูปของตัวเองที่เตรียมเผื่อไว้ในร้านอยู่สองสามตัว เพราะบางทีเพื่อนสนิทก็มักจะบุกมาที่ร้านแล้วลากฉันไปดื่มอยู่บ่อยๆ จนไม่มีเวลาได้กลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้อง

                “เปามีชุดที่เก็บไว้ที่ร้านอยู่น่ะค่ะ ใช้เวลาเปลี่ยนแป๊บเดียว...”

                “อ๋อ”

                “ไปกันเลยไหมคะ”

                “ไปสิ ว่าแต่เราจะนั่งรถไปด้วยกันหรือจะขับรถแยกกันไป”

                “เปาไม่ได้ขับรถมาค่ะ”

                “โอเค งั้นไปรถพี่นะ”

                เวลาหลังจากนั้นฉันก็มาอยู่ในรถคันหรูของรุ่นพี่คนสวยที่ไม่ได้เจอกันนาน และถึงแม้ในเวลานี้ดูจะเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น แต่เมื่อมาถึงร้านที่พี่เขาพามากลับมีอะไรที่ทำให้หัวใจกระตุกมากกว่า

                “ดูสิว่าใครมา แป้งจำเจ้าแม่เปาได้ไหม”

                   ฉันและพี่แป้งสบตากันนิ่ง ในเวลานี้เหมือนเราทั้งคู่ไม่ได้เตรียมใจที่จะได้เจอกัน พี่แป้งค่อยๆ ยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบนิดๆ ก่อนจะมองเราทั้งสองคนสลับกันไปมา

                “นี่...มาด้วยกันได้ยังไง” เสียงของพี่แป้งถามออกมาด้วยความสงสัย และนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่สีน้ำเดินไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ

                “เราเปิดคลินิกสาขาใหม่บนห้างเดียวกันกับร้านของน้องน่ะ อยู่ตรงข้ามกันเลย วันนี้ได้เจอเลยลองชวนมาด้วย กะจะเซอร์ไพรส์แป้งนั่นแหละ เมื่อก่อนแป้งชอบดูดวงกับเปามากเลยนี่”

                “อ๋อ...”

                “แป้งจำน้องได้ใช่ไหม”

                “อาฮะ...จำได้สิ”

                ฉันยิ้มออกมาแบบเจื่อนๆ จำไม่ได้ก็แย่แล้วในเมื่อเมื่อเช้าเพิ่งจะนอนคุยกันมาหยกๆ

                “ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกว่านัดแป้งไว้ พอดีพี่เพิ่งมากรุงเทพฯ ได้สักพักเอง วันนี้ได้เจอเปาแต่ก็นัดแป้งไว้ด้วย พลาดใครไปสักคนคงน่าเสียดายแย่”

                “แล้วนี่...จะมีคนอื่นมาอีกไหมคะ” พี่สีน้ำส่ายหน้าไปมา 

                “ไม่มีแล้วนะ มีแค่เราสามคนนี่แหละ”

                “อ๋อ...โอเคค่ะ”

                “มานั่งนี่สิ อยากทานอะไรสั่งได้เลยนะเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” ฉันส่งยิ้มไปให้พี่สีน้ำแบบเจื่อนๆ ก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งเดียวกัน แต่ทว่า...

                “เปา...ไม่ใช่ว่าเปาต้องมานั่งข้างพี่เหรอ” เสียงพี่แป้งดังขึ้นอย่างคนที่วางอำนาจ และนั่นทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าฉันเกรงอกเกรงใจรุ่นพี่อีกคนหรอกนะ แต่แค่ไม่ชอบท่าทางของพี่แป้งที่แสดงออกมาให้คนอื่นเห็นแบบนี้

                “แป้ง เดี๋ยวน้องก็กลัวหรอก”

                “กลัว?” พี่แป้งพูดคล้ายทวนคำถามของเพื่อนวัยเด็กของตัวเองอีกครั้ง “เปาเคยกลัวพี่ด้วยเหรอ?”

                เธอหันมาถามฉัน และนั่นทำให้ความรู้สึกบางอย่างเด่นชัดขึ้น จะว่าไงดี...ฉันโอเคเวลาเธอวางอำนาจใส่เวลาที่เราอยู่ด้วยกันสองคน แต่มันต้องไม่ใช่เวลานี้สิ

                “เดี๋ยวเปาขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”

                ฉันเลี่ยงทุกคำถามด้วยความเหนื่อยใจ อารมณ์ตื่นเต้นที่ได้เจอรุ่นพี่ที่เป็นรักแรกหายไปจนหมด ขาทั้งสองข้างรีบเดินดุ่มๆ แบบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าห้องน้ำไปทางไหน แต่แล้วแขนของตัวเองก็โดนใครบางคนดึงรั้งเอาไว้

                “ห้องน้ำอยู่ทางนี้”

                พี่แป้งลากฉันมาในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว หน้าตาของเธอดูไม่พอใจมากๆ ส่วนฉันเองก็มีหน้าตาที่ไม่ต่างกัน ฉันพยายามดึงแขนออกมาจากการจับกุมของเธอ แต่แล้วพี่แป้งกลับใช้แรงทั้งหมดที่มีลากฉันเข้ามาในห้องน้ำห้องหนึ่ง

                “ทำอะไรคะ”

                “ธุระของเปาคือการมาเดตกับเปเหรอแ”

                “เดต? มันไม่ใช่แบบนั้นค่ะ”

                “แล้วทำไมถึงมากับเป”

                “ก็อย่างที่พี่สีน้ำบอก แค่บังเอิญเจอกันแล้วพี่เขาก็ชวนมาทานข้าวด้วย”

                “มาง่ายๆ งี้เลยเหรอ”

                “ค่ะ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธ” ฉันตอบ ก่อนจะพยายามหันหลังเดินออกจากห้องน้ำที่มีเราทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับไม่ยอมให้ฉันออกไปง่ายๆ เธอเอื้อมมือมาล็อกประตูก่อนจะเริ่มใช้ริมฝีปากกดจูบมาที่หลังคอ นิ้วเรียวค่อยๆ สอดแทรกผ่านชุดเดรสเข้ามาอย่างคนที่วางอำนาจ

                “พี่แป้งคะ ไม่ใช่ที่นี่”

                “ทำไมล่ะ ไม่เห็นเป็นไรเลย”

                ‘นี่มันไม่ใช่คนจมปลักแล้ว แต่เป็นหมาที่รอเจ้าของมาให้ความรัก’

                ‘ต่อให้เขาทุบตีแทบตาย แต่พอเขากลับมาลูบหัวทีสองทีก็ลืมความเจ็บไปหมด’

                เสียงของเพื่อนสนิทดังเข้ามาในหัว แม้เซ็กซ์จะดีแบบที่ฉันชอบ แต่การกระทำของเธอตอนนี้เป็นเรื่องที่ไม่โอเคเลย เธอเหมือนจะทำอะไรกับฉันก็ได้

                “ไม่ค่ะ” ฉันพยายามดันร่างของเธอให้ถอยห่างออกไป และเมื่อสลัดจนหลุด ขาทั้งสองข้างก็รีบเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกว่ามีอารมณ์ไหนปนอยู่บ้าง

                “อย่าเดินหนีนะ! เปาก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบ!”

                “พี่แป้งเลิกทำแบบนี้กับเปาสักทีได้ไหมคะ!” ฉันหันไปหาเธอด้วยอารมณ์ที่เริ่มร้อนขึ้น “จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งเปาก็ยอมพี่มาตลอด แต่นี่มันมากเกินไปค่ะ เปาเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน”

                “ไม่ชอบอะไร ที่ผ่านมามันก็ดีนี่”

                “ดี? ดีกับใครคะ ดีกับเราหรือดีกับพี่ เปาเหมือนเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์” แล้วอยู่ๆ ทุกความรู้สึกก็เค้นให้น้ำตาไหลออกมาซะดื้อๆ “ถ้าพี่ไม่คิดที่จะกลับมาก็ปล่อยเปาไปเถอะค่ะ อย่าให้เปาต้องรู้สึกว่าเป็นแค่ตัวอะไรสักอย่างที่พี่จะทำอะไรก็ได้ และอีกอย่าง เราไม่ควรมาทำอะไรกันที่นี่”

                “ทำไม เพราะเปรออยู่ข้างนอกเหรอ”

                “ไม่เกี่ยวค่ะ”

                “แล้วอะไรล่ะ”

                “พี่แป้ง นี่มันในห้องน้ำ แล้วก็..พอเถอะค่ะ”

                “ไม่เห็นจะเกี่ยว ที่ไหนก็เหมือนกัน หรือเปายังรู้สึกกับเปอยู่เลยละอายใจที่จะมามีอะไรกับพี่ที่นี่”

                “พี่เลิกโยงมั่วๆ สักทีได้ไหมอะ”

                ฉันมองหน้าอดีตแฟนด้วยความรู้สึกมากมาย จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ จะว่าเสียใจก็ไม่เชิง เธอเหมือนแค่อยากเอาชนะเพราะคิดว่าความสำคัญของฉันกำลังยกไปให้คนอื่น ฉันอยู่กับพี่แป้งมาหลายปี เพราะงั้นนี่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่พอจะเดาออกว่าพี่เขาคิดอะไรอยู่

                “เปาว่าพี่แป้งเมาแล้วค่ะ ไว้เราค่อยหาเวลามาคุยกันดีกว่า”

                “ก็คุยกันตอนนี้เลยสิ เลิกสนใจคนที่นั่งรออยู่ข้างนอกสักที”

                “แต่เปามาที่นี่เพราะพี่สีน้ำชวนนะคะ”

                “แต่นี่คือพี่....เปาต้องให้ความสำคัญกับพี่ที่สุดสิ”

                “ให้ความสำคัญกับคนที่ไม่เคยเห็นเปาสำคัญจริงๆ น่ะเหรอคะ!”

                อารมณ์พาลของพี่แป้งทำให้ฉันไม่สามารถควบคุมสติได้ ที่ผ่านมาฉันไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงมาให้พี่เขาต้องคิดมากเลย และใช่...อารมณ์โมโหของฉันมันดันไปเค้นให้ตัวเองพูดคำในสิ่งที่ไม่คิดจะพูดออกไป

                “พี่ทิ้งเปาไปกี่ครั้งแล้วเคยนับบ้างไหมคะ กลับมากี่ทีก็เป็นแบบเดิม เปาก็ยังโง่รอพี่ หวังว่าสักวันเราคงได้ลงเอยกันแบบไม่ต้องมีเรื่องอะไรเข้ามาอีก แต่ดูพี่สิ พี่เอาแต่พาลอะไรก็ไม่รู้ พี่ใช้เวลาของพี่กับใครก็ได้อย่างอิสระ แต่พอเป็นเปา เปาไม่มีสิทธิ์ได้ใช้เวลานั้นบ้างเลยเหรอ”

                “นี่เปากำลังยอมรับแล้วใช่ไหมว่ายังชอบเปอยู่?”

                “ใช่ค่ะ! เปายังชอบพี่สีน้ำอยู่ แล้วก็ดีใจมากที่ได้เจอพี่เขาวันนี้ อยากจะนอนกับพี่เขามากกว่ามามีอะไรกับพี่อีก!”

                “...”

                “พอใจพี่หรือยัง!!!”

                ทันทีที่ได้ระบายอารมณ์ออกไป น้ำตาของฉันก็ไหลออกมาอย่างไม่สามารถหยุดได้ ขาทั้งสองข้างรีบเดินหนีออกมาคล้ายรับอะไรในตอนนี้ไม่ไหวแล้ว

                แต่ทว่า...

                “เอ่อ...”

                เสียงเอ่อนั้นกลับเป็นคนที่อยู่ในประเด็นของเรา ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอมายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหน ความตกใจที่เห็นพี่เขายืนฟังอยู่ทำให้สมองตื้อไปหมด ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างลวกๆ พยายามหาคำพูดอะไรสักอย่างเพื่อบอกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ แต่สิ่งที่ฉันพอจะพูดออกไปได้คงมีแค่คำว่า...

                   “ขอโทษนะคะพี่สีน้ำ เปาคงต้องขอตัวกลับก่อน”

    #####

    อย่าลืมคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×