คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Judgement spells8 & The Devil
ตอนที่แปด : Judgement spells8 & The Devil
ฟู่...
ควันสีขาวถูกพ่นออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย ฉันจ้องมองควันเหล่านั้นปลิวหายไปจนหมด ก่อนจะเริ่มสูดควันเข้าไปใหม่แล้วพ่นออกมาอีกครั้ง ผู้คนมากมายเร่งรีบในการใช้ชีวิตอย่างที่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าท้องฟ้าของเช้านี้สวยแค่ไหน แสงสีส้มสะท้อนกระทบตามตึกต่างๆ และนั่นสวยพอที่จะทำให้รสชาติของบุหรี่ดีขึ้นไปอีก
แต่ถึงอย่างนั้น...รอยยิ้มกลับไม่ได้ถูกแต่งแต้มไว้แม้จะคิดว่าสวยดีก็ตาม ฉันยังคงจดจ่ออยู่กับแสงของท้องฟ้า และเวลาต่อมาก็เริ่มมองต่ำลงไปข้างล่างบ้าง ด้านล่างมีรถลามากมายที่เริ่มสัญจรกันอย่างรวดเร็ว ผิดกับฉันที่ไม่ต้องเร่งรีบอะไรเลย
ขณะนี้เป็นเวลา...กี่โมงแล้วนะ
พอคิดได้แบบนั้นก็ก้มมองเวลาที่หน้าจอมือถือ ยังไม่เจ็ดโมงเช้า และตอนนี้ก็เช้าพอที่จะวนกลับไปนอนอีกรอบ แขนถูกยกขึ้นบิดขี้เกียจนิดๆ พร้อมกับสูดควันจากบุหรี่เป็นครั้งสุดท้าย ขาทั้งสองข้างขยับไปหยิบที่เขี่ยบุหรี่มาดับไฟที่ปลายมวนจนดับสนิท
ขาทั้งสองข้างเดินเข้ามาในตัวห้องอย่างไม่เร่งรีบ ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศยังคงเย็นฉ่ำค่อนไปทางหนาว แต่ถึงอย่างนั้นเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกคลุมไว้เพียงตัวเดียวก็ถูกปลดออกด้วยมือของตัวเอง ผ้าห่มผืนหนาถูกยกขึ้นก่อนจะสอดตัวเข้าไปเพื่อหาไออุ่นให้ได้มากที่สุด
“ตื่นเช้าจัง...กี่โมงแล้ว” เสียงงัวเงียของคนข้างกายถามขึ้น
“จะเจ็ดโมงแล้วค่ะ”
“เหรอ” ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่เลือกที่หลับตาลงคล้ายต้องการนอนบ้าง “เจ็ดโมงครึ่งปลุกหน่อยนะ”
“ได้ค่ะ”
“หรือ...จะไม่ต้องปลุกดี”
เสียงลังเลของคนข้างตัวดังขึ้นอีกครั้ง เธอขยับตัวโผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มที่ใช้ห่มด้วยกัน ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศลอดผ่านเข้ามากระทบตัวด้วย และนั่นทำให้การนอนถูกพับเก็บไป
“จะลุกเลยใช่ไหมคะ” ฉันจ้องมองเธอด้วยความสงสัย กำลังคิดอยู่ว่าถ้าไม่ต้องปลุกฉันควรตื่นกี่โมงดี
“อือ คงรุก...”
สิ้นเสียงนั้นร่างบางก็ขยับมานั่งคร่อมตัวกันอย่างไม่เขินอาย ร่างเปลือยเปล่าของเราทั้งสองเผยออกมาให้กันและกันได้เห็น แต่ถึงอย่างนั้นการสำรวจร่างกายที่คุ้นเคยก็จบลงเมื่อริมฝีปากบางก้มลงมาจูบฉันคล้ายโหยหากันมาเป็นแรมปี
“พี่ทำเองนะ”
“คือ...จะไม่ให้เปาทำเหรอคะ”
“อือ แค่พี่ทำก็พอ ยังไงพี่ก็ต้องออกจากห้องก่อนเก้าโมงอยู่แล้ว”
“เวลาก็มีตั้งเยอะ เปาว่าเวลาน่าจะพอสำหรับเราสองคนนะคะ”
“ไม่...เปาแค่ทำตามที่พี่บอกก็พอ”
เสียงที่พูดออกมาเป็นคำสั่งนั้นดูคุ้นชินจนฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร ร่างกายถูกพี่เขาสัมผัสเล้าโลมตามอารมณ์ และไม่ว่าจะจับหรือสัมผัสตรงไหนก็ถูกจุดที่ทำให้รู้สึกดีเสมอ กับบางคนการทำเรื่องแบบนี้คงใช้เวลาพอสมควร แต่สำหรับฉันเมื่อถึงมือพี่เขาแล้ว เพียงไม่กี่นาทีก็สามารถเสร็จสมได้หลายครั้ง และมันไม่มีทีท่าว่าจะจบลงได้ง่ายๆ เลยสักครั้ง
“อื้อ...พี่แป้ง”
14 ปีก่อน
ฉันย้ายกลับมาอยู่ที่เชียงใหม่เพราะยายผู้เป็นที่รักกำลังป่วยหนัก และนั่นเป็นเรื่องที่ตัดสินใจถูกกับการกลับมาครั้งนี้ เพราะเมื่อย้ายกลับมาได้ไม่ถึงเดือน คุณยายมะลิก็ได้จากไปอย่างสงบท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าหมอง คุณยายเตยที่ดูเศร้าเสียใจอยู่พอสมควรกับการจากไปของพี่สาว แต่ท่านไม่ได้ร้องไห้ออกมาแบบที่คนอื่นๆ เป็น
“คนเราน่ะ เมื่อถึงเวลาก็ต้องแยกจากกันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ยืนยาว สิ่งที่ทำได้คือการบอกตัวเองเสมอว่าทุกสิ่งย่อมจากเราไปได้ตลอดไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ก็ตาม เพราะงั้นเปาร้องไห้วันนี้ให้พอ วันต่อๆ ไปก็พยายามร้องไห้ให้น้อยลง แล้วคิดแค่สิ่งดีๆ ไว้ แม้เราจะสูญเสียบางคนไป แต่เราก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อให้ได้”
ทั้งๆ ที่ฉันได้รับมอบหมายให้มาคอยปลอบใจคุณยายเตยแท้ๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับเป็นคุณยายที่เป็นฝ่ายมาปลอบใจฉันแทน
ชีวิตของฉันในตอนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งการสูญเสียคุณยายที่รัก การต้องแยกจากเพื่อนสนิท การย้ายโรงเรียนใหม่ที่ไม่คุ้นชิน และสุดท้าย...คือการพูดสิ่งไม่ดีให้รุ่นพี่ที่ตัวเองหลงรักฟังก่อนจะแยกย้ายและไม่ได้ติดต่อกันอีก
มีหลายครั้งที่ฉันอยากจะทักข้อความไปหาพี่สีน้ำ แต่ทุกครั้งก็ต้องพับความคิดเก็บไปเพราะไม่กล้าแม้แต่จะชวนคุย วันเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ จนในที่สุดฉันก็ได้เจอกับใครบางคนที่ไม่คาดคิด
พี่แป้ง...รุ่นพี่ที่เคยอยู่กลุ่มเดียวกับพี่สีน้ำมาฝึกงานที่รีสอร์ตเมื่อเธอเรียนอยู่ปีสี่ และนั่นทำให้เราทั้งคู่เริ่มสนิทกัน ฉันโตขึ้นกว่าเดิมมาก ความขี้เล่นแบบตอนเด็กๆ ก็ถูกพับเก็บไปคล้ายขาดเพื่อนสนิทสองคนที่คอยเติมเต็ม แม้ฉันและเพื่อนยังคอยส่งข้อความหากัน แต่นั่นก็เป็นแค่ช่วงเดือนแรกๆ เท่านั้น เพราะหลังจากเทอมแรกผ่านพ้นไป ฉันเริ่มยุ่งเรื่องเรียน และเริ่มปรับตัวเข้ากับกับโรงเรียนใหม่ได้มากขึ้น กว่าจะรู้ตัวเราก็ห่างหายกันไป แต่ฉันกลับสนิทสนมกับพี่แป้งเกินคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้องไปไกล
เรามีความสัมพันธ์ลับๆ กันโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ แม้เธอจะฝึกงานอยู่ที่รีสอร์ตของฉันก็ตาม
แต่คนที่รู้คือคุณยายที่มักจะพูดเปรยๆ กับฉันเสมอ
“ความรักเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่หลานมั่นใจหรือเปล่าว่ารักเด็กคนนั้นจริงๆ”
ในช่วงเวลานั้นฉันถูกเตือนเพราะท่านจับได้จากสายตาที่ฉันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับพี่แป้งเลย อาจจะเพราะสายตานั้นยังคงมีรุ่นพี่อีกคนหนึ่งอยู่เสมอแม้เราจะไม่ได้เจอหรือพูดคุยกันมาเกือบสี่ปีแล้ว พอได้ยินแบบนั้นฉันก็เริ่มถามใจตัวเองใหม่ และเริ่มใส่ใจพี่แป้งมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงนั้นก็มีมากถึงขนาดที่ในที่สุดสายตาของฉันก็มีเพื่อจับจ้องพี่แป้งเพียงคนเดียว ในช่วงนั้นเรารักกันมาก ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา โดยที่ช่วงฝึกงานพี่แป้งก็พักอยู่ที่คอนโดใกล้ๆ รีสอร์ต
เมื่อการฝึกงานจบลงพี่แป้งก็ยังคงทำงานอยู่ที่นี่ต่อ พอฉันอายุได้สิบแปดปี ผู้เป็นยายก็ได้จากไปอีกคน ฉันเสียใจมากถึงขนาดที่ไม่สามารถอยู่ที่เชียงใหม่ได้อีก ทันทีที่พิธีต่างๆ ถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้น ฉันยื่นเรื่องขอพ่อและแม่ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โดยที่พี่แป้งเองก็ย้ายมาอยู่กับฉันด้วย และแน่นอน เรื่องที่พี่แป้งมาอยู่ด้วยกันก็ยังเป็นความลับสำหรับพ่อและแม่อยู่
ฉันย้ายมาอยู่คอนโดใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมกับความเศร้าหมองที่ยังมีอยู่มากมาย แต่ดีที่ช่วงเวลานั้นมีพี่แป้งที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจได้ดีพอสมควร กว่าจะทำใจเรื่องยายได้เวลาก็ล่วงเลยไปปีกว่า โดยที่ฉันกับพี่แป้งก็เริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบเต็มร้อย เรารักกันมากพอที่จะใช้คำว่าคู่ชีวิตได้เลย
เว้นเสียแต่...เมื่อฉันอายุได้ยี่สิบห้า ทุกอย่างก็เริ่มแย่ลง พี่แป้งคนที่คอยสนใจใส่ใจค่อยๆ หายไป ฉันเริ่มเป็นฝ่ายร้องขอและน้อยใจอยู่หลายๆ ครั้ง ไม่ว่าจากเรื่องที่เธอกลับห้องดึกบ้าง ไม่กลับห้องบ้าง หรือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นไปไหนไม่บอก เธอทำให้ฉันระแวง แถมช่วงนั้นฉันก็เริ่มเปิดร้านเทียนหอมเป็นของตัวเอง และเธอไม่ได้ทำให้ฉันสบายใจขึ้นเลย กลับกัน...เธอยิ่งทำให้ฉันเครียดจนทำงานไม่ได้
หนักสุด คือพี่เขาเมาแล้วเพ้อชื่อของผู้หญิงคนอื่นออกมา ฉันสติแตกแล้วถามออกไปตรงๆ ว่าคนคนนั้นคือใคร แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ถามกลับไม่ได้คำตอบอะไรเลย สุดท้ายเราเลิกกัน และถึงแม้จะบอกว่าเลิกกันแล้ว แต่นั่นก็น่าจะเป็นการเลิกแบบสถานะที่ตั้งให้กันมากกว่า เพราะสุดท้ายเราทั้งคู่ก็มักจะวนกลับมาหลับนอนด้วยกันอยู่บ่อยครั้งตลอดสองปีที่ผ่านมา
ฉันอายุยี่สิบเจ็ดปี สถานะโสด แต่ความสัมพันธ์ทางกายยังคงอยู่
“เลิกได้แล้วไหม เลิกที่แปลว่าเลิกยุ่งกันไปเลย ไม่ใช่เลิกกันแล้วแต่กลับมาเอากันได้อยู่”
เสียงของแมนดังขึ้นอย่างหัวเสีย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนสนิทบอกฉันแบบนี้
อ้อ ลืมบอกไป ฉันและเพื่อนวนกลับมาสนิทกันอีกครั้งเมื่อเข้าเรียนมหา’ลัย สายสัมพันธ์ของแก๊งสาวสวยใจแกร่งเป็นอะไรที่ตัดไม่ขาดจริงๆ นอกจากจะได้มาเรียนที่กรุงเทพฯด้วยกันแล้วยังได้เรียนมหาลัยเดียวกันอีก เพราะงั้นคำว่าร่ำลาจึงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว
“ก็จะเลิกอยู่”
“จะเลิกบ้าอะไร ฉันเห็นแกพูดแบบนี้มาสองปีแล้วอีเปา” แคทพูดเสริม ก่อนจะเริ่มม้วนสปาเกตตีเข้าปากไปอย่างหัวเสียด้วยอีกคน
“จริง ถ้าแกกลับไปเอากับพี่เขาแบบวินวินไม่มีใครรู้สึกอะไรก็ว่าไปอย่าง แต่นี่อะไร แกยังรู้สึกกับพี่เขาโคตรเยอะ แถมไม่เคยปฏิเสธอะไรที่เขาร้องขอเลยสักครั้ง”
“นี่มันไม่ใช่คนจมปลักแล้ว แต่เป็นหมาที่รอเจ้าของมาให้ความรัก ต่อให้เขาทุบตีแทบตาย แต่พอเขากลับมาลูบหัวทีสองทีก็ลืมความเจ็บไปหมด”
“เลิกบ่นสักทีได้ไหมอะ ไม่ใช่ว่าฉันแฮปปี้กับที่เป็นอยู่นะ ฉันก็อยากตัด แต่มันยังทำไม่ได้”
“พี่เขาเอาเก่งมากเลยเหรอวะ”
“เดี๋ยวแม่ตบปากให้” ฉันพูดพร้อมยกช้อนขึ้นเตรียมจะตบปากเพื่อนสนิทจริงๆ ตามที่พูด
“อีเปา ถึงพี่เขาจะเอาเก่งแค่ไหนแต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะเอาไม่เก่งนะ แกอะปิดใจจนไม่ได้เจอเซ็กซ์ที่ดี จมปลักอยู่แต่กับเซ็กซ์เดิมๆ ที่คุ้นชินแล้วโมเมเอาเองว่านั่นน่ะพิเศษที่สุด” แคทพูดเสริม และนั่นทำให้ฉันโมโหขึ้นมาจนคุมอารมณ์ไม่อยู่
“มันไม่ใช่ความคุ้นชิน แต่พี่เขาทำดีจริงๆ”
“อะ ยอมรับแล้วหนึ่ง”
“เออ ยอมรับก็ได้ พอใจยัง” ไม่พูดเปล่า ฉันยกกระเป๋าถือราคาแพงขึ้นมาคล้องแขนเอาไว้ เตรียมลุกออกไปจากตรงนี้ จะว่าไงดี พอเป็นเรื่องพี่แป้งทีไรฉันทนฟังไม่ได้ทุกที
“เอ้า จะไปเลยเหรอ” แมนพูดพร้อมจับแขนรั้งเอาไว้
“เออ จะเที่ยงละ ฉันต้องเข้าร้านอีก”
“เป็นเจ้าของจะรีบไปทำไม อยู่ต่ออีกชั่วโมงก็ไม่เป็นไรหรอก ใช่ว่าฉันกับอีแคทจะมีเวลาว่างมานั่งกินข้าวด้วยบ่อยๆ” แมนพูดพร้อมทำหน้าเศร้าสร้อย ผิดกับตอนที่รุมด่าฉันอย่างสิ้นเชิง
“ได้ข่าวว่ามีเวลาว่างมานั่งกินข้าวด้วยกันทุกอาทิตย์”
“เออนั่นแหละ อยู่ต่อก่อนสิ”
“ไม่ละ ไม่มีอารมณ์กินแล้ว อ้อ พวกแกเลี้ยงนะมื้อนี้”
“ไปจริงดิ”
“เออ!”
“ก็ได้” แมนยอมปล่อยให้ฉันเดินออกมา แต่แคทก็ไม่วายตะโกนไล่หลังอย่างไม่อายสายตาผู้คนที่ทานอาหารกันอยู่ตามร้าน
“แล้วคืนนี้แกจะไปกินเหล้ากับพวกฉันไหม”
“ไปมั้ง”
“ไปไม่ไปบอกด้วย ร้านเดิม”
ฉันพยักหน้าตอบก่อนจะเดินออกมาจากร้านอย่างรวดเร็ว ขาทั้งสองข้างเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ต้องใช้ความคิดว่าจะไปไหนด้วยซ้ำ เพราะร่างกายคุ้นชินกับเส้นทางบนห้างนี้เป็นอย่างดี
หลังจากที่ฉันเรียนจบก็ได้มาทำธุรกิจของที่บ้านต่อ นั่นก็คือการเปิดร้านเทียนหอมแยกสาขาเป็นของตัวเองที่ห้างนี้ แถมค่าเช่าก็แพงมากเมื่อหักลบค่าใช้จ่ายทุกอย่างไป กำไรที่ได้ดูน้อยนิด แต่เพราะยังไม่อยากกลับไปดูแลกิจการรีสอร์ตที่เชียงใหม่เลยพยายามยื้อเอาไว้ให้ได้มากที่สุด และใช่...พ่อและแม่ดูไม่โอเคเลยที่ฉันยังคงยื้อเปิดร้านทั้งที่กำไรได้ไม่เท่าไร และประเด็นสำคัญที่ฉันยังคงดื้อด้านเปิดอยู่ก็คือพี่แป้ง เพราะเมื่อไรก็ตามที่ฉันกลับไป ความสัมพันธ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพี่แป้งก็จะจบลงไปด้วย
อย่างที่เพื่อนทั้งคู่บอกนั่นแหละ ฉันก็เป็นแค่หมาตัวหนึ่งที่ขาดพี่เขาไม่ได้
ฉันเดินตรงเข้ามาในร้านเทียนหอมของตัวเองด้วยท่าทางอารมณ์เสียจนพนักงานจับสังเกตได้ ทุกคนพร้อมใจกันยกมือไหว้ฉันแม้บางคนจะอายุมากกว่าก็ตาม และเมื่ออารมณ์ไม่ดีความเป็นกันเองก็หายวับไปในทันที ฉันไม่แม้แต่จะชายตามองความนอบน้อมของพนักงานด้วยซ้ำ ขาทั้งสองข้างรีบเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ก่อนจะเริ่มเช็กสต๊อกสินค้าไปจนถึงเช็กบัญชีที่ตัวเองเช็กไปแล้วมาดูซ้ำอีกที
ตลอดสองชั่วโมงฉันนั่งอยู่แบบนั้น ไม่ลุก ไม่เดิน ไม่ถาม ไม่แม้แต่จะหันไปคุยกับคนอื่นๆ หรือมองลูกค้าที่เดินแวะเวียนไปมาแบบทุกที และเชื่อเถอะว่าการทำงานของฉันไม่ได้มีเรื่องงานเข้ามาในหัวเลย เพราะในหัวมีแต่การกระทำของพี่แป้งและคำพูดของเพื่อนสนิทสองคนสลับกันไปมา
“สวัสดีค่ะ”
แต่แล้วเสียงของใครบางคนที่เจาะจงเดินมาคุยด้วยโดยตรงก็ดังขึ้น จากสายตาที่เคยก้มมองงานตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นเงยหน้ารับการทักทายนั้นทันที
“สวัสดีค่ะ”
“พอดีอยากให้ช่วยแนะนำเทียนหอมให้ค่ะ”
“อ๋อ สักครู่นะคะ เดี๋ยวให้น้องช่วยแนะนำให้ค่ะ” ฉันลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ กวาดสายตาไปทั่วว่ามีใครว่างพอจะรับลูกค้าได้ไหม แต่วันนี้คนเข้าร้านเยอะมากกว่าทุกที แถมเธอยังดูจริงจังกับการรอคอยคำตอบมากจนไม่กล้าปล่อยให้ยืนรอนานๆ
“ต้องการกลิ่นแบบไหนเป็นพิเศษไหมคะ” ฉันหันไปถามเธออีกครั้ง และเมื่อเดินออกมาอยู่ตรงหน้า ความสูงของเราก็แตกต่างกันอยู่พอสมควร
“อยากได้แบบที่มีส่วนผสมของ Peppermint ค่ะ”
ทันทีที่เธอพูดความต้องการออกมา รอยยิ้มที่ไม่ได้เผยออกมาให้ใครได้เห็นมาทั้งวันก็ค่อยๆ เด่นชัดขึ้น ฉันเริ่มส่งยิ้มเป็นมิตรให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า และถึงแม้เธอจะใส่ Mask อยู่ก็พอจะมองออกว่าเธอเองก็เริ่มส่งยิ้มตอบกลับมาเหมือนกัน
“จริงๆ ทางร้านของเรามีเทียนหอมและน้ำมันหอมระเหยที่เป็นตัว Signature อยู่ค่ะ” ไม่พูดเปล่า ฉันเริ่มพาเธอเดินมาที่มุมหน้าร้าน โดยที่ตรงนี้ก็วางเทียนหอมที่มีแพ็กเกจสวยๆ อยู่มากมาย ฉันเริ่มหยิบเทียนหอมที่มีกล่องสีขาวตกแต่งเรียบหรูขึ้นมาหนึ่งอัน ก่อนจะส่งให้เธอได้ลองสำรวจดู
ลูกค้าที่รอคอยคำตอบยื่นมือมารับไปดูอย่างใจเย็น และนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันส่งกระดาษเทสไปให้เธอได้ลองดมกลิ่นดู
“เทียนหอมนี้เป็น Signature ของทางร้านค่ะ จะมีส่วนผสมของ Peppermint Cedarwood และ Lavender อยู่ด้วยกัน”
“...”
“กลิ่นของ Cedarwood จะให้ความรู้สึกหวานอบอุ่นเหมือนได้กลิ่นไอดิน ส่วน Lavender ช่วยให้ผ่อนคลาย นอนหลับสบาย และเมื่อสองกลิ่นนี้ผสมกับ Peppermint ที่มีความเย็นเสริมเข้าไปจะยิ่งรู้สึกผ่อนคลายเหมาะแก่การจุดในวันพักผ่อน หรือวันที่ทำงานมาเหนื่อยๆ ค่ะ ลองสัมผัสกลิ่นแล้วนึกถึงวันที่เหนื่อยๆ ดูสิคะ รู้สึกสบายขึ้นใช่ไหม”
“ค่ะ...” เธอตอบผ่านหน้ากากอนามัย และนั่นทำให้ฉันเริ่มอธิบายต่อ
“ซึ่งหลายคนอาจจะตีความหมายไปได้หลายแบบตามความรู้สึกเมื่อได้กลิ่นค่ะ ซึ่ง..”
“แล้วคุณคิดยังไงกับกลิ่นนี้คะ”
“คะ?” แล้วคำถามที่ไม่คิดว่าจะถูกถามก็ดังขึ้น ฉันกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะยิ้มออกมา “ถ้าสำหรับฉันคงให้ความรู้สึกเหมือนเป็นวันที่ฝนพรำค่ะ”
“ฝนพรำเหรอคะ?”
“ค่ะ เหมาะแก่การนั่งอ่านหนังสือ หรือการปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปได้เต็มที่ อาจจะเพราะกลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่ฉันชอบมากที่สุด แถมคิดขึ้นมาเองจนขายดีด้วย เพราะงั้นเวลาได้กลิ่นนี้เลยรู้สึกว่าเป็นกลิ่นที่ผ่อนคลายมากเลยค่ะ”
“อ้าว นี่เป็นเจ้าของร้านเองเหรอคะ ยังดูเด็กอยู่เลย” ฉันส่งยิ้มน้อยๆ ไปให้อย่างเขินอาย โดยที่เธอก็เริ่มสังเกตชื่อของตัวเทียนหอมที่ถูกเขียนไว้ด้วยตัวอักษรที่บรรจงสวยงาม “แล้วชื่อเทียนหอมนี่หมายถึงอะไรคะ ดูไม่ใช่กลิ่นที่เป็นส่วนผสมเลย”
“Judgement Spells8 เหรอคะ” เธอพยักหน้าตอบคล้ายเป็นเด็กฝึกงานที่อยากรู้อยากเห็นมากกว่ามาเลือกซื้อเทียนหอมเสียอีก
“จริงๆ ชื่อตัว Signature ไม่เกี่ยวกับส่วนผสมของเทียนหอมเลยค่ะ” ฉันพูดพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ ความหงุดหงิดที่เคยมีก่อนหน้านี้ค่อยๆ จางหายไปอย่างไม่รู้ตัว “เคยดูดวงไหมคะ”
“คะ? เอ่อ...เคยเมื่อนานมาแล้วค่ะ”
“จริงๆ ชื่อ Judgement นี้มาจากชื่อของไพ่ทาโรต์ค่ะ ส่วน Spells ก็มาจากคาถา ส่วนเลข 8 หมายถึง 8 ไม้ที่เป็นรักแรก รวมๆ แล้วกลิ่นนี้เหมือนความรักที่ไม่สามารถแปรเปลี่ยนไปรักคนอื่นได้ คล้ายกับรักแรกที่ต่อให้เราเจอสิ่งที่ดีกว่า หอมกว่า หรือให้ความรู้สึกที่มากมายแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วกลิ่นของรักแรกนั้นจะเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีสิ่งไหนมาทดแทนได้ค่ะ ถ้าพูดแบบการค้าก็คงเหมือนการได้ลองหนึ่งครั้งก็จะต้องวนกลับมาซื้อซ้ำใหม่ แม้จะได้ลองกลิ่นอื่นที่ถูกใจแล้วก็ตาม แต่ก็จะวนกลับมาซื้อกลิ่นนี้ใหม่อีกครั้งค่ะ”
“อ๋อ ลึกซึ้งมากเลยนะคะ”
“แต่โดยรวมก็แล้วแต่คนชอบนะคะ”
“แล้วอันที่อยู่ใกล้กันล่ะคะ” เธอพูดพร้อมมองไปทางแพ็กเกจอีกตัวหนึ่งที่ถูกตั้งไว้อยู่ด้านหลัง
“อันนั้นกลิ่นเดียวกันกับอันนี้ค่ะ”
“แล้วทำไมถึงตั้งชื่อว่า The Devil คะ เป็นชื่อไพ่เหมือนกันเหรอ”
“ถูกต้องค่ะ” ฉันพูดพร้อมส่งยิ้มกว้างไปให้ ก่อนจะหยิบแพ็กเกจของเทียนหอมอีกตัวมาให้เธอดู ซึ่งกล่องนี้เป็นสีดำให้ความรู้สึกเรียบหรูเช่นกัน แต่แทรกไปด้วยสีแดงที่ให้ความรู้สึกดุดันขึ้น
“จริงๆ ตัว Signature นี้ทำออกมาเพื่อให้ลูกค้านำไปเป็นของขวัญค่ะ ตัว Judgement Spells8 นี้เหมาะสำหรับการให้ใครสักคนที่เรารู้สึกว่าเขาเปรียบเสมือนรักแรกของเรา ลึกซึ้งและยากที่จะลืมเลือน ส่วน The Devil มีไว้สำหรับคนที่นำไปเป็นของขวัญสำหรับความสัมพันธ์ที่อธิบายยากค่ะ” พอพูดถึงตรงนี้ หน้าของพี่แป้งก็ลอยขึ้นมาจนฉันต้องเม้มปากนิดๆ
“ยังไงคะ มีความหมายเหมือนชื่อแรกด้วยหรือเปล่า”
“มีความหมายค่ะ จริงๆ The Devil เป็นไพ่ที่ลึกซึ้งอยู่พอสมควรนะคะ ผู้คนมักจะตีความไปว่าต้องน่ากลัวแน่ๆ เพราะมีคำว่าปีศาจอยู่ แต่อีกความหมายหนึ่งคือสื่อถึงความรักที่ยังมีสัมพันธ์กันอยู่ ยังผูกติดซึ่งกันและกันไม่สามารถจากกันได้ ไม่ว่าความสัมพันธ์นั้นจะเป็นสิ่งที่คนคนนั้นพึงจะมีหรือไม่ก็ตาม และต่อให้ไม่อยากมีก็ยังต้องมีอยู่ค่ะ คล้ายๆ การทำพันธสัญญากับปีศาจที่ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ หรือเรียกอีกแบบว่าเป็นไพ่ของการไม่ Move on ค่ะ”
“...”
“ส่วนใหญ่แพ็กเกจนี้จะขายได้สำหรับคนที่นำของขวัญนี้ไปให้เพื่อนอีกคนค่ะ คล้ายเป็นมุกตลกที่สื่อว่า ‘ฉันไม่อยากคบกับแกเป็นเพื่อนเลย แต่ไม่มีทางเลือก ประหนึ่งมีปีศาจเชื่อมเราไว้ ไม่ให้ไปไหน’ ” ไม่พูดเปล่า ฉันหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ
“แต่ก็มีบางคนที่เอาเทียนหอมแพ็กเกจนี้ไปให้แฟนเก่าที่ยังมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันอยู่ค่ะ”
และคนคนนั้นก็คือฉันเอง...
“แต่ก็นั่นแหละค่ะ แล้วแต่คนจะเลือกนำไปใช้ แต่โดยรวมที่พูดมาทั้งหมดเทียนหอมตัวนี้มี Peppermint เป็นส่วนผสมตามที่คุณลูกค้าตามหาอยู่ค่ะ”
แล้วฉันก็ปิดท้ายการขายได้อย่างสวยงาม...
เธอพยักหน้าให้คล้ายชื่นชมกับความพยายามในการขายครั้งนี้ และ...
“ขอเป็นเทียนหอมตัวนี้ 4 กล่อง แล้วก็น้ำมันหอมระเหยที่เป็นกลิ่นเดียวกันอีก 2 ขวดค่ะ”
“ได้ค่า”
รอยยิ้มถูกแต่งแต้มเด่นชัดมากกว่าเดิม 300% ฉันเริ่มจัดแจงหยิบของตามจำนวนที่ลูกค้าบอกใส่ถุงอย่างเบามือ แต่แล้วเธอก็เข้ามาคุยด้วยอีกครั้ง
“เอ่อ ตัวเทียนหอมขอเป็นแพ็กเกจอย่างละสองกล่องนะคะ”
“ได้ค่ะ”
ทันทีที่ใส่ถุงกระดาษให้เสร็จสรรพ ฉันก็เริ่มให้พนักงานในร้านเป็นคนคิดเงิน พร้อมกับหยิบส่วนลดมาให้กับลูกค้าใจป้ำที่ซื้อทีเดียวหลายอัน และนั่นทำให้ความรู้สึกที่ยอมยืนอธิบายยาวยืดดูจะมีค่ามากกว่าการได้ขายของเสียอีก
“อันนี้เป็นส่วนลด 10% สำหรับการมาซื้อครั้งหน้าเมื่อมียอดครบ 1,000 บาทขึ้นไปนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ
“ขอบคุณเช่นกันค่ะ”
“เอ่อ ขอถามอะไรเพิ่มเติมได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ” ฉันที่กำลังจะนั่งลงเช็กบัญชีอีกครั้งเป็นรอบที่สามก็ต้องหยุดการกระทำนั้นลง
“ที่นี่มีบริการดูดวงไหมคะ”
“คะ?”
“แบบ...ซื้อครบ 5,000 แถมการดูดวงอะไรแบบนั้นน่ะค่ะ”
ฉันกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันไปมองพนักงานแคชเชียร์ที่ทำหน้างงไม่ต่างกัน “ยังไงนะคะ”
“ล้อเล่นน่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ”
แล้วเธอก็เดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฉันและน้องพนักงานที่ยืนอยู่ข้างกายทำหน้าไม่เข้าใจใส่กัน
“ไม่ได้มีใครไปโปรโมตว่าซื้อของครบ 5,000 แล้วแถมดูดวงใช่ไหม”
“ไม่มีนะคะคุณเปา”
“แปลก”
พอพูดจบฉันก็มองไปทางที่ลูกค้าคนนั้นเดินออกไป แต่ตอนนี้เธอหายไปแล้ว...
หลังจากได้โชว์สกิลการขายของที่เป็นตัว Signature ของทางร้านได้ ความหงุดหงิดที่เคยมีมากโขก็เริ่มหายไป ฉันพูดคุยกับพนักงานในร้านด้วยท่าทางปกติแบบที่เคยทำมาตลอด แต่เวลาหลังจากนั้นไม่นานผู้หญิงใส่ชุดขาวสะอาดตาก็เดินตรงมาหาฉันที่เคาน์เตอร์ของร้าน พร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้
“สวัสดีค่ะ พอดีมาจากคลินิกฝั่งตรงข้ามนะคะ” เธอพูดพร้อมชี้นิ้วไปทางคลินิกทำฟันที่เพิ่งเปิดใหม่ไม่นานมานี้
“อ๋อ ค่ะ” โดยที่ฉันก็ตอบรับไปแบบงงๆ ก่อนจะยื่นมือไปรับกระดาษแผ่นนั้นไว้
“พอดีทางคลินิกมีโปรโมชันลดราคาค่าทำฟัน 10% ฉลองเปิดสาขาใหม่ค่ะ ยังไงถ้าสนใจสามารถเข้ามาใช้บริการได้นะคะ”
“ได้ค่ะ” ฉันตอบไปพร้อมกับก้มมองกระดาษแผ่นเล็กในมือ ก่อนจะเริ่มคิดว่าตัวเองไม่ได้ไปขูดหินปูนมานานเท่าไรแล้ว
ครบหกเดือนหรือยังนะ...แต่ตอนนี้ลูกค้าก็ไม่มี
“เดี๋ยวก่อนค่ะ” ฉันพูดรั้งผู้หญิงที่กำลังจะเดินออกไปจากร้านด้วยท่าทางจริงจัง
“ตอนนี้ที่คลินิกมีคิวว่างไหมคะ”
แล้วอยู่ๆ วันนี้ฉันก็ได้มาขูดหินปูนอย่างงงๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะจากครั้งที่ขูดไปล่าสุดก็คงเมื่อเจ็ดเดือนก่อน เลยเวลาขูดมาเดือนกว่าแถมคลินิกที่ไปทำเป็นประจำก็ยังอยู่ที่เชียงใหม่โน่น เพราะงั้นการมาลองใช้บริการที่นี่อาจจะดีจนไม่ต้องรอกลับบ้านเพื่อไปทำฟันทีหนึ่งก็ได้
หลังจากที่สั่งงานเสร็จ ฉันก็เดินมายังคลินิกเปิดใหม่ที่ให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้าน และทุกอย่างก็ต้องชะงักลงเมื่อได้กลิ่นบางอย่างที่คุ้นชิน
นี่มันกลิ่น The Devil นี่...
อ้อ ลืมบอกไปว่าฉันอินชื่อ The Devil มากกว่า Judgement spells8 และคงไม่ต้องบอกว่าทำไมถึงอินชื่อนี้มากกว่าหรอกนะ...
“สวัสดีค่ะ เดี๋ยวนั่งรอสักครู่นะคะ คุณหมอกำลังทำคนไข้คนสุดท้ายเสร็จแล้วค่ะ”
“ได้ค่ะ”
“รบกวนกรอกประวัติให้ทีนะคะ”
ฉันเดินไปกรอกประวัติบนกระดาษสีขาวแผ่นเล็กอย่างลวกๆ โดยที่มีช่องเขียนชื่อเล่นให้กรอกด้วย และฉันก็กรอกชื่อเล่นตัวเองไปพร้อมกับเพิ่งมาเห็นว่ามีวงเล็บที่เขียนว่า ‘เฉพาะคนไข้เด็ก’ เอาทีหลัง อยากจะขีดทิ้งให้กับความเบลอของตัวเอง แต่ก็ต้องช่างมันไป
พอเขียนทุกอย่างเสร็จก็มานั่งรอบนโซฟาสีขาวสะอาด โดยที่สายตาก็สำรวจไปทั่วร้าน ต้องบอกตามตรงว่าตอนอยู่ที่ร้านตัวเองกลิ่นมากมายตีกันมั่วไปหมดตามแบบฉบับของร้านเทียนหอม แต่พอเข้ามาในคลินิกนี้แล้วได้กลิ่น The Devil ของตัวเองช่างคล้ายกับการนั่งอยู่ในห้องนอนไม่มีผิดเพี้ยน
แต่แล้วความสบายอารมณ์นั้นก็ต้องชะงักลงเมื่อเห็นกระดานหน้าคลินิกที่เขียนชื่อทันตแพทย์เรียงกันอยู่สองสามคน และหนึ่งในสามนั้นก็มีชื่อที่คุ้นเคยว่า
‘ทพญ.สีน้ำ ทันตแพทย์เฉพาะทางเด็ก (คุณหมอเปเปอร์)’
อะ...เอ๊ะ เอ๊ะ!!!
ไม่ผิดแน่ ชื่อจริงแบบนี้ ชื่อเล่นแบบนี้...
ความทรงจำในอดีตที่แสนเลือนรางค่อยๆ เด่นชัดขึ้น และ...
พอคิดได้แบบนั้นก็รวบรวมความกล้าไปบอกพยาบาลหน้าเคาน์เตอร์ว่าวันนี้คงต้องขอเลื่อนไปก่อน แต่ยังไม่ทันที่ขาจะก้าวไปถึงเคาน์เตอร์พยาบาลด้วยซ้ำ ร่างเล็กของผู้หญิงที่อยู่ในชุดกาวน์ก็เดินออกมาพร้อมกับร่างของเด็กน้อยอีกหนึ่งคน
“วันนี้เก่งมากเลย มาหาหมอฟันไม่น่ากลัวเลยใช่ไหมคะ”
“ไม่น่ากลัวค่ะ”
“เก่งมาก กลับบ้านดีๆ นะคะคุณแม่” เสียงใจดีที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ใต้ Mask ทำให้ฉันจำเธอได้ในทันทีว่าคือลูกค้าที่เพิ่งมาซื้อเทียนหอม Signature ของทางร้านไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
ฉันชะงักค้าง ยืนแข็งทื่ออยู่แบบนั้นคล้ายโดนมนต์สะกดจนไม่สามารถขยับร่างกายได้
“คนไข้คนต่อไปมาแล้วใช่ไหมคะ” เธอถามพยาบาลที่ส่งประวัติเล่มบางมาให้ด้วยรอยยิ้ม โดยที่ผู้หญิงตัวเล็กก็ค่อยๆ ถอด Mask ออก
และเธอ...ยังสวยไม่เปลี่ยนเลย
“สวัสดีค่ะคุณปรรณกร” รอยยิ้มที่ส่งมาให้นั้นช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น “มาขูดหินปูนใช่ไหมคะ”
“อะ อ้อ ใช่..ค่ะ”
“ถ้างั้นตามหมอมาเลยค่ะ”
“อะ เอ่อ..พอดีมีธุระต้องไปทำพอดีเลยค่ะคุณหมอ เพราะงั้นวันนี้คงไม่สะดวกที่จะทำแล้..”
“ถ้าเข้ามาในคลินิกแล้ว ต่อให้เป็นคนไข้เด็กที่ร้องไห้งอแงไม่ยอมทำฟันยังไงก็ต้องทำค่ะ”
“...”
“คุณปรรณกรคงไม่คิดที่จะหนีไปแบบเมื่อก่อนใช่ไหมคะ?”
เธอยิ้มให้กันด้วยท่าทางใจดี แต่ฉัน...กลับรับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างที่บ่งบอกว่า หนีไม่ได้แล้ว...
#####
คอมเมนต์ให้กันด้วยนะคะ ^^
ความคิดเห็น