ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Meb E-Book ] Predict คำทำนายของเธอ…คือฉัน [YURI]

    ลำดับตอนที่ #8 : Judgement spells8 & The Devil

    • อัปเดตล่าสุด 22 ธ.ค. 66


    ตอนที่แปด : Judgement spells8 & The Devil

     

                   ฟู่...

                  ควันสีขาวถูกพ่นออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย ฉันจ้องมองควันเหล่านั้นปลิวหายไปจนหมด ก่อนจะเริ่มสูดควันเข้าไปใหม่แล้วพ่นออกมาอีกครั้ง ผู้คนมากมายเร่งรีบในการใช้ชีวิตอย่างที่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าท้องฟ้าของเช้านี้สวยแค่ไหน แสงสีส้มสะท้อนกระทบตามตึกต่างๆ และนั่นสวยพอที่จะทำให้รสชาติของบุหรี่ดีขึ้นไปอีก

                แต่ถึงอย่างนั้น...รอยยิ้มกลับไม่ได้ถูกแต่งแต้มไว้แม้จะคิดว่าสวยดีก็ตาม ฉันยังคงจดจ่ออยู่กับแสงของท้องฟ้า และเวลาต่อมาก็เริ่มมองต่ำลงไปข้างล่างบ้าง ด้านล่างมีรถลามากมายที่เริ่มสัญจรกันอย่างรวดเร็ว ผิดกับฉันที่ไม่ต้องเร่งรีบอะไรเลย

                ขณะนี้เป็นเวลา...กี่โมงแล้วนะ

                พอคิดได้แบบนั้นก็ก้มมองเวลาที่หน้าจอมือถือ ยังไม่เจ็ดโมงเช้า และตอนนี้ก็เช้าพอที่จะวนกลับไปนอนอีกรอบ แขนถูกยกขึ้นบิดขี้เกียจนิดๆ พร้อมกับสูดควันจากบุหรี่เป็นครั้งสุดท้าย ขาทั้งสองข้างขยับไปหยิบที่เขี่ยบุหรี่มาดับไฟที่ปลายมวนจนดับสนิท

                ขาทั้งสองข้างเดินเข้ามาในตัวห้องอย่างไม่เร่งรีบ ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศยังคงเย็นฉ่ำค่อนไปทางหนาว แต่ถึงอย่างนั้นเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกคลุมไว้เพียงตัวเดียวก็ถูกปลดออกด้วยมือของตัวเอง ผ้าห่มผืนหนาถูกยกขึ้นก่อนจะสอดตัวเข้าไปเพื่อหาไออุ่นให้ได้มากที่สุด

                “ตื่นเช้าจัง...กี่โมงแล้ว” เสียงงัวเงียของคนข้างกายถามขึ้น

                “จะเจ็ดโมงแล้วค่ะ”

                “เหรอ” ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่เลือกที่หลับตาลงคล้ายต้องการนอนบ้าง “เจ็ดโมงครึ่งปลุกหน่อยนะ”

                “ได้ค่ะ”

                “หรือ...จะไม่ต้องปลุกดี”

                เสียงลังเลของคนข้างตัวดังขึ้นอีกครั้ง เธอขยับตัวโผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มที่ใช้ห่มด้วยกัน ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศลอดผ่านเข้ามากระทบตัวด้วย และนั่นทำให้การนอนถูกพับเก็บไป

                “จะลุกเลยใช่ไหมคะ” ฉันจ้องมองเธอด้วยความสงสัย กำลังคิดอยู่ว่าถ้าไม่ต้องปลุกฉันควรตื่นกี่โมงดี

                “อือ คงรุก...”

                สิ้นเสียงนั้นร่างบางก็ขยับมานั่งคร่อมตัวกันอย่างไม่เขินอาย ร่างเปลือยเปล่าของเราทั้งสองเผยออกมาให้กันและกันได้เห็น แต่ถึงอย่างนั้นการสำรวจร่างกายที่คุ้นเคยก็จบลงเมื่อริมฝีปากบางก้มลงมาจูบฉันคล้ายโหยหากันมาเป็นแรมปี

                “พี่ทำเองนะ”

                “คือ...จะไม่ให้เปาทำเหรอคะ”

                “อือ แค่พี่ทำก็พอ ยังไงพี่ก็ต้องออกจากห้องก่อนเก้าโมงอยู่แล้ว”

                “เวลาก็มีตั้งเยอะ เปาว่าเวลาน่าจะพอสำหรับเราสองคนนะคะ”

                “ไม่...เปาแค่ทำตามที่พี่บอกก็พอ”

                เสียงที่พูดออกมาเป็นคำสั่งนั้นดูคุ้นชินจนฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร ร่างกายถูกพี่เขาสัมผัสเล้าโลมตามอารมณ์ และไม่ว่าจะจับหรือสัมผัสตรงไหนก็ถูกจุดที่ทำให้รู้สึกดีเสมอ กับบางคนการทำเรื่องแบบนี้คงใช้เวลาพอสมควร แต่สำหรับฉันเมื่อถึงมือพี่เขาแล้ว เพียงไม่กี่นาทีก็สามารถเสร็จสมได้หลายครั้ง และมันไม่มีทีท่าว่าจะจบลงได้ง่ายๆ เลยสักครั้ง

                “อื้อ...พี่แป้ง”

                   

    14 ปีก่อน

                   ฉันย้ายกลับมาอยู่ที่เชียงใหม่เพราะยายผู้เป็นที่รักกำลังป่วยหนัก และนั่นเป็นเรื่องที่ตัดสินใจถูกกับการกลับมาครั้งนี้ เพราะเมื่อย้ายกลับมาได้ไม่ถึงเดือน คุณยายมะลิก็ได้จากไปอย่างสงบท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าหมอง คุณยายเตยที่ดูเศร้าเสียใจอยู่พอสมควรกับการจากไปของพี่สาว แต่ท่านไม่ได้ร้องไห้ออกมาแบบที่คนอื่นๆ เป็น

                “คนเราน่ะ เมื่อถึงเวลาก็ต้องแยกจากกันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ยืนยาว สิ่งที่ทำได้คือการบอกตัวเองเสมอว่าทุกสิ่งย่อมจากเราไปได้ตลอดไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ก็ตาม เพราะงั้นเปาร้องไห้วันนี้ให้พอ วันต่อๆ ไปก็พยายามร้องไห้ให้น้อยลง แล้วคิดแค่สิ่งดีๆ ไว้ แม้เราจะสูญเสียบางคนไป แต่เราก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อให้ได้”

                ทั้งๆ ที่ฉันได้รับมอบหมายให้มาคอยปลอบใจคุณยายเตยแท้ๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับเป็นคุณยายที่เป็นฝ่ายมาปลอบใจฉันแทน

                ชีวิตของฉันในตอนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งการสูญเสียคุณยายที่รัก การต้องแยกจากเพื่อนสนิท การย้ายโรงเรียนใหม่ที่ไม่คุ้นชิน และสุดท้าย...คือการพูดสิ่งไม่ดีให้รุ่นพี่ที่ตัวเองหลงรักฟังก่อนจะแยกย้ายและไม่ได้ติดต่อกันอีก

                มีหลายครั้งที่ฉันอยากจะทักข้อความไปหาพี่สีน้ำ แต่ทุกครั้งก็ต้องพับความคิดเก็บไปเพราะไม่กล้าแม้แต่จะชวนคุย วันเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ จนในที่สุดฉันก็ได้เจอกับใครบางคนที่ไม่คาดคิด

                พี่แป้ง...รุ่นพี่ที่เคยอยู่กลุ่มเดียวกับพี่สีน้ำมาฝึกงานที่รีสอร์ตเมื่อเธอเรียนอยู่ปีสี่ และนั่นทำให้เราทั้งคู่เริ่มสนิทกัน ฉันโตขึ้นกว่าเดิมมาก ความขี้เล่นแบบตอนเด็กๆ ก็ถูกพับเก็บไปคล้ายขาดเพื่อนสนิทสองคนที่คอยเติมเต็ม แม้ฉันและเพื่อนยังคอยส่งข้อความหากัน แต่นั่นก็เป็นแค่ช่วงเดือนแรกๆ เท่านั้น เพราะหลังจากเทอมแรกผ่านพ้นไป ฉันเริ่มยุ่งเรื่องเรียน และเริ่มปรับตัวเข้ากับกับโรงเรียนใหม่ได้มากขึ้น กว่าจะรู้ตัวเราก็ห่างหายกันไป แต่ฉันกลับสนิทสนมกับพี่แป้งเกินคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้องไปไกล

                เรามีความสัมพันธ์ลับๆ กันโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ แม้เธอจะฝึกงานอยู่ที่รีสอร์ตของฉันก็ตาม 

                แต่คนที่รู้คือคุณยายที่มักจะพูดเปรยๆ กับฉันเสมอ

                “ความรักเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่หลานมั่นใจหรือเปล่าว่ารักเด็กคนนั้นจริงๆ”

                ในช่วงเวลานั้นฉันถูกเตือนเพราะท่านจับได้จากสายตาที่ฉันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับพี่แป้งเลย อาจจะเพราะสายตานั้นยังคงมีรุ่นพี่อีกคนหนึ่งอยู่เสมอแม้เราจะไม่ได้เจอหรือพูดคุยกันมาเกือบสี่ปีแล้ว พอได้ยินแบบนั้นฉันก็เริ่มถามใจตัวเองใหม่ และเริ่มใส่ใจพี่แป้งมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงนั้นก็มีมากถึงขนาดที่ในที่สุดสายตาของฉันก็มีเพื่อจับจ้องพี่แป้งเพียงคนเดียว ในช่วงนั้นเรารักกันมาก ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา โดยที่ช่วงฝึกงานพี่แป้งก็พักอยู่ที่คอนโดใกล้ๆ รีสอร์ต

                เมื่อการฝึกงานจบลงพี่แป้งก็ยังคงทำงานอยู่ที่นี่ต่อ พอฉันอายุได้สิบแปดปี ผู้เป็นยายก็ได้จากไปอีกคน ฉันเสียใจมากถึงขนาดที่ไม่สามารถอยู่ที่เชียงใหม่ได้อีก ทันทีที่พิธีต่างๆ ถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้น ฉันยื่นเรื่องขอพ่อและแม่ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โดยที่พี่แป้งเองก็ย้ายมาอยู่กับฉันด้วย และแน่นอน เรื่องที่พี่แป้งมาอยู่ด้วยกันก็ยังเป็นความลับสำหรับพ่อและแม่อยู่

                ฉันย้ายมาอยู่คอนโดใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมกับความเศร้าหมองที่ยังมีอยู่มากมาย แต่ดีที่ช่วงเวลานั้นมีพี่แป้งที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจได้ดีพอสมควร กว่าจะทำใจเรื่องยายได้เวลาก็ล่วงเลยไปปีกว่า โดยที่ฉันกับพี่แป้งก็เริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบเต็มร้อย เรารักกันมากพอที่จะใช้คำว่าคู่ชีวิตได้เลย

                เว้นเสียแต่...เมื่อฉันอายุได้ยี่สิบห้า ทุกอย่างก็เริ่มแย่ลง พี่แป้งคนที่คอยสนใจใส่ใจค่อยๆ หายไป ฉันเริ่มเป็นฝ่ายร้องขอและน้อยใจอยู่หลายๆ ครั้ง ไม่ว่าจากเรื่องที่เธอกลับห้องดึกบ้าง ไม่กลับห้องบ้าง หรือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นไปไหนไม่บอก เธอทำให้ฉันระแวง แถมช่วงนั้นฉันก็เริ่มเปิดร้านเทียนหอมเป็นของตัวเอง และเธอไม่ได้ทำให้ฉันสบายใจขึ้นเลย กลับกัน...เธอยิ่งทำให้ฉันเครียดจนทำงานไม่ได้

                หนักสุด คือพี่เขาเมาแล้วเพ้อชื่อของผู้หญิงคนอื่นออกมา ฉันสติแตกแล้วถามออกไปตรงๆ ว่าคนคนนั้นคือใคร แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ถามกลับไม่ได้คำตอบอะไรเลย สุดท้ายเราเลิกกัน และถึงแม้จะบอกว่าเลิกกันแล้ว แต่นั่นก็น่าจะเป็นการเลิกแบบสถานะที่ตั้งให้กันมากกว่า เพราะสุดท้ายเราทั้งคู่ก็มักจะวนกลับมาหลับนอนด้วยกันอยู่บ่อยครั้งตลอดสองปีที่ผ่านมา

                ฉันอายุยี่สิบเจ็ดปี สถานะโสด แต่ความสัมพันธ์ทางกายยังคงอยู่

                “เลิกได้แล้วไหม เลิกที่แปลว่าเลิกยุ่งกันไปเลย ไม่ใช่เลิกกันแล้วแต่กลับมาเอากันได้อยู่”

                   เสียงของแมนดังขึ้นอย่างหัวเสีย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนสนิทบอกฉันแบบนี้

                อ้อ ลืมบอกไป ฉันและเพื่อนวนกลับมาสนิทกันอีกครั้งเมื่อเข้าเรียนมหา’ลัย สายสัมพันธ์ของแก๊งสาวสวยใจแกร่งเป็นอะไรที่ตัดไม่ขาดจริงๆ นอกจากจะได้มาเรียนที่กรุงเทพฯด้วยกันแล้วยังได้เรียนมหาลัยเดียวกันอีก เพราะงั้นคำว่าร่ำลาจึงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว

                “ก็จะเลิกอยู่”

                “จะเลิกบ้าอะไร ฉันเห็นแกพูดแบบนี้มาสองปีแล้วอีเปา” แคทพูดเสริม ก่อนจะเริ่มม้วนสปาเกตตีเข้าปากไปอย่างหัวเสียด้วยอีกคน

                “จริง ถ้าแกกลับไปเอากับพี่เขาแบบวินวินไม่มีใครรู้สึกอะไรก็ว่าไปอย่าง แต่นี่อะไร แกยังรู้สึกกับพี่เขาโคตรเยอะ แถมไม่เคยปฏิเสธอะไรที่เขาร้องขอเลยสักครั้ง”

                “นี่มันไม่ใช่คนจมปลักแล้ว แต่เป็นหมาที่รอเจ้าของมาให้ความรัก ต่อให้เขาทุบตีแทบตาย แต่พอเขากลับมาลูบหัวทีสองทีก็ลืมความเจ็บไปหมด”

                “เลิกบ่นสักทีได้ไหมอะ ไม่ใช่ว่าฉันแฮปปี้กับที่เป็นอยู่นะ ฉันก็อยากตัด แต่มันยังทำไม่ได้”

                “พี่เขาเอาเก่งมากเลยเหรอวะ”

                “เดี๋ยวแม่ตบปากให้” ฉันพูดพร้อมยกช้อนขึ้นเตรียมจะตบปากเพื่อนสนิทจริงๆ ตามที่พูด

                “อีเปา ถึงพี่เขาจะเอาเก่งแค่ไหนแต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะเอาไม่เก่งนะ แกอะปิดใจจนไม่ได้เจอเซ็กซ์ที่ดี จมปลักอยู่แต่กับเซ็กซ์เดิมๆ ที่คุ้นชินแล้วโมเมเอาเองว่านั่นน่ะพิเศษที่สุด” แคทพูดเสริม และนั่นทำให้ฉันโมโหขึ้นมาจนคุมอารมณ์ไม่อยู่

                “มันไม่ใช่ความคุ้นชิน แต่พี่เขาทำดีจริงๆ”

                “อะ ยอมรับแล้วหนึ่ง”

                “เออ ยอมรับก็ได้ พอใจยัง” ไม่พูดเปล่า ฉันยกกระเป๋าถือราคาแพงขึ้นมาคล้องแขนเอาไว้ เตรียมลุกออกไปจากตรงนี้ จะว่าไงดี พอเป็นเรื่องพี่แป้งทีไรฉันทนฟังไม่ได้ทุกที

                “เอ้า จะไปเลยเหรอ” แมนพูดพร้อมจับแขนรั้งเอาไว้

                “เออ จะเที่ยงละ ฉันต้องเข้าร้านอีก”

                “เป็นเจ้าของจะรีบไปทำไม อยู่ต่ออีกชั่วโมงก็ไม่เป็นไรหรอก ใช่ว่าฉันกับอีแคทจะมีเวลาว่างมานั่งกินข้าวด้วยบ่อยๆ” แมนพูดพร้อมทำหน้าเศร้าสร้อย ผิดกับตอนที่รุมด่าฉันอย่างสิ้นเชิง

                “ได้ข่าวว่ามีเวลาว่างมานั่งกินข้าวด้วยกันทุกอาทิตย์”

                “เออนั่นแหละ อยู่ต่อก่อนสิ”

                “ไม่ละ ไม่มีอารมณ์กินแล้ว อ้อ พวกแกเลี้ยงนะมื้อนี้”

                “ไปจริงดิ”

                “เออ!”

                “ก็ได้” แมนยอมปล่อยให้ฉันเดินออกมา แต่แคทก็ไม่วายตะโกนไล่หลังอย่างไม่อายสายตาผู้คนที่ทานอาหารกันอยู่ตามร้าน

                “แล้วคืนนี้แกจะไปกินเหล้ากับพวกฉันไหม”

                “ไปมั้ง”

                “ไปไม่ไปบอกด้วย ร้านเดิม”

                ฉันพยักหน้าตอบก่อนจะเดินออกมาจากร้านอย่างรวดเร็ว ขาทั้งสองข้างเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ต้องใช้ความคิดว่าจะไปไหนด้วยซ้ำ เพราะร่างกายคุ้นชินกับเส้นทางบนห้างนี้เป็นอย่างดี

                หลังจากที่ฉันเรียนจบก็ได้มาทำธุรกิจของที่บ้านต่อ นั่นก็คือการเปิดร้านเทียนหอมแยกสาขาเป็นของตัวเองที่ห้างนี้ แถมค่าเช่าก็แพงมากเมื่อหักลบค่าใช้จ่ายทุกอย่างไป กำไรที่ได้ดูน้อยนิด แต่เพราะยังไม่อยากกลับไปดูแลกิจการรีสอร์ตที่เชียงใหม่เลยพยายามยื้อเอาไว้ให้ได้มากที่สุด และใช่...พ่อและแม่ดูไม่โอเคเลยที่ฉันยังคงยื้อเปิดร้านทั้งที่กำไรได้ไม่เท่าไร และประเด็นสำคัญที่ฉันยังคงดื้อด้านเปิดอยู่ก็คือพี่แป้ง เพราะเมื่อไรก็ตามที่ฉันกลับไป ความสัมพันธ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพี่แป้งก็จะจบลงไปด้วย

                อย่างที่เพื่อนทั้งคู่บอกนั่นแหละ ฉันก็เป็นแค่หมาตัวหนึ่งที่ขาดพี่เขาไม่ได้

                ฉันเดินตรงเข้ามาในร้านเทียนหอมของตัวเองด้วยท่าทางอารมณ์เสียจนพนักงานจับสังเกตได้ ทุกคนพร้อมใจกันยกมือไหว้ฉันแม้บางคนจะอายุมากกว่าก็ตาม และเมื่ออารมณ์ไม่ดีความเป็นกันเองก็หายวับไปในทันที ฉันไม่แม้แต่จะชายตามองความนอบน้อมของพนักงานด้วยซ้ำ ขาทั้งสองข้างรีบเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ก่อนจะเริ่มเช็กสต๊อกสินค้าไปจนถึงเช็กบัญชีที่ตัวเองเช็กไปแล้วมาดูซ้ำอีกที

                ตลอดสองชั่วโมงฉันนั่งอยู่แบบนั้น ไม่ลุก ไม่เดิน ไม่ถาม ไม่แม้แต่จะหันไปคุยกับคนอื่นๆ หรือมองลูกค้าที่เดินแวะเวียนไปมาแบบทุกที และเชื่อเถอะว่าการทำงานของฉันไม่ได้มีเรื่องงานเข้ามาในหัวเลย เพราะในหัวมีแต่การกระทำของพี่แป้งและคำพูดของเพื่อนสนิทสองคนสลับกันไปมา

                “สวัสดีค่ะ”

                แต่แล้วเสียงของใครบางคนที่เจาะจงเดินมาคุยด้วยโดยตรงก็ดังขึ้น จากสายตาที่เคยก้มมองงานตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นเงยหน้ารับการทักทายนั้นทันที

                “สวัสดีค่ะ”

                “พอดีอยากให้ช่วยแนะนำเทียนหอมให้ค่ะ”

                 “อ๋อ สักครู่นะคะ เดี๋ยวให้น้องช่วยแนะนำให้ค่ะ” ฉันลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ กวาดสายตาไปทั่วว่ามีใครว่างพอจะรับลูกค้าได้ไหม แต่วันนี้คนเข้าร้านเยอะมากกว่าทุกที แถมเธอยังดูจริงจังกับการรอคอยคำตอบมากจนไม่กล้าปล่อยให้ยืนรอนานๆ

                “ต้องการกลิ่นแบบไหนเป็นพิเศษไหมคะ” ฉันหันไปถามเธออีกครั้ง และเมื่อเดินออกมาอยู่ตรงหน้า ความสูงของเราก็แตกต่างกันอยู่พอสมควร

                “อยากได้แบบที่มีส่วนผสมของ Peppermint ค่ะ”

                ทันทีที่เธอพูดความต้องการออกมา รอยยิ้มที่ไม่ได้เผยออกมาให้ใครได้เห็นมาทั้งวันก็ค่อยๆ เด่นชัดขึ้น ฉันเริ่มส่งยิ้มเป็นมิตรให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า และถึงแม้เธอจะใส่ Mask อยู่ก็พอจะมองออกว่าเธอเองก็เริ่มส่งยิ้มตอบกลับมาเหมือนกัน

                “จริงๆ ทางร้านของเรามีเทียนหอมและน้ำมันหอมระเหยที่เป็นตัว Signature อยู่ค่ะ” ไม่พูดเปล่า ฉันเริ่มพาเธอเดินมาที่มุมหน้าร้าน โดยที่ตรงนี้ก็วางเทียนหอมที่มีแพ็กเกจสวยๆ อยู่มากมาย ฉันเริ่มหยิบเทียนหอมที่มีกล่องสีขาวตกแต่งเรียบหรูขึ้นมาหนึ่งอัน ก่อนจะส่งให้เธอได้ลองสำรวจดู

                ลูกค้าที่รอคอยคำตอบยื่นมือมารับไปดูอย่างใจเย็น และนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันส่งกระดาษเทสไปให้เธอได้ลองดมกลิ่นดู

                “เทียนหอมนี้เป็น Signature ของทางร้านค่ะ จะมีส่วนผสมของ Peppermint  Cedarwood และ Lavender อยู่ด้วยกัน”

                “...”

                “กลิ่นของ Cedarwood จะให้ความรู้สึกหวานอบอุ่นเหมือนได้กลิ่นไอดิน ส่วน Lavender ช่วยให้ผ่อนคลาย นอนหลับสบาย และเมื่อสองกลิ่นนี้ผสมกับ Peppermint ที่มีความเย็นเสริมเข้าไปจะยิ่งรู้สึกผ่อนคลายเหมาะแก่การจุดในวันพักผ่อน หรือวันที่ทำงานมาเหนื่อยๆ ค่ะ ลองสัมผัสกลิ่นแล้วนึกถึงวันที่เหนื่อยๆ ดูสิคะ รู้สึกสบายขึ้นใช่ไหม”

                “ค่ะ...” เธอตอบผ่านหน้ากากอนามัย และนั่นทำให้ฉันเริ่มอธิบายต่อ

                “ซึ่งหลายคนอาจจะตีความหมายไปได้หลายแบบตามความรู้สึกเมื่อได้กลิ่นค่ะ ซึ่ง..”

                “แล้วคุณคิดยังไงกับกลิ่นนี้คะ”

                “คะ?” แล้วคำถามที่ไม่คิดว่าจะถูกถามก็ดังขึ้น ฉันกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะยิ้มออกมา “ถ้าสำหรับฉันคงให้ความรู้สึกเหมือนเป็นวันที่ฝนพรำค่ะ”

                “ฝนพรำเหรอคะ?”

                “ค่ะ เหมาะแก่การนั่งอ่านหนังสือ หรือการปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปได้เต็มที่ อาจจะเพราะกลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่ฉันชอบมากที่สุด แถมคิดขึ้นมาเองจนขายดีด้วย เพราะงั้นเวลาได้กลิ่นนี้เลยรู้สึกว่าเป็นกลิ่นที่ผ่อนคลายมากเลยค่ะ”

                “อ้าว นี่เป็นเจ้าของร้านเองเหรอคะ ยังดูเด็กอยู่เลย” ฉันส่งยิ้มน้อยๆ ไปให้อย่างเขินอาย โดยที่เธอก็เริ่มสังเกตชื่อของตัวเทียนหอมที่ถูกเขียนไว้ด้วยตัวอักษรที่บรรจงสวยงาม “แล้วชื่อเทียนหอมนี่หมายถึงอะไรคะ ดูไม่ใช่กลิ่นที่เป็นส่วนผสมเลย”

                “Judgement Spells8 เหรอคะ” เธอพยักหน้าตอบคล้ายเป็นเด็กฝึกงานที่อยากรู้อยากเห็นมากกว่ามาเลือกซื้อเทียนหอมเสียอีก

                “จริงๆ ชื่อตัว Signature ไม่เกี่ยวกับส่วนผสมของเทียนหอมเลยค่ะ” ฉันพูดพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ ความหงุดหงิดที่เคยมีก่อนหน้านี้ค่อยๆ จางหายไปอย่างไม่รู้ตัว “เคยดูดวงไหมคะ”

                “คะ? เอ่อ...เคยเมื่อนานมาแล้วค่ะ”

                “จริงๆ ชื่อ Judgement นี้มาจากชื่อของไพ่ทาโรต์ค่ะ ส่วน Spells ก็มาจากคาถา ส่วนเลข 8 หมายถึง 8 ไม้ที่เป็นรักแรก รวมๆ แล้วกลิ่นนี้เหมือนความรักที่ไม่สามารถแปรเปลี่ยนไปรักคนอื่นได้ คล้ายกับรักแรกที่ต่อให้เราเจอสิ่งที่ดีกว่า หอมกว่า หรือให้ความรู้สึกที่มากมายแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วกลิ่นของรักแรกนั้นจะเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีสิ่งไหนมาทดแทนได้ค่ะ ถ้าพูดแบบการค้าก็คงเหมือนการได้ลองหนึ่งครั้งก็จะต้องวนกลับมาซื้อซ้ำใหม่ แม้จะได้ลองกลิ่นอื่นที่ถูกใจแล้วก็ตาม แต่ก็จะวนกลับมาซื้อกลิ่นนี้ใหม่อีกครั้งค่ะ”

                “อ๋อ ลึกซึ้งมากเลยนะคะ”

                “แต่โดยรวมก็แล้วแต่คนชอบนะคะ”

                “แล้วอันที่อยู่ใกล้กันล่ะคะ” เธอพูดพร้อมมองไปทางแพ็กเกจอีกตัวหนึ่งที่ถูกตั้งไว้อยู่ด้านหลัง

                “อันนั้นกลิ่นเดียวกันกับอันนี้ค่ะ”

                “แล้วทำไมถึงตั้งชื่อว่า The Devil คะ เป็นชื่อไพ่เหมือนกันเหรอ”

                “ถูกต้องค่ะ” ฉันพูดพร้อมส่งยิ้มกว้างไปให้ ก่อนจะหยิบแพ็กเกจของเทียนหอมอีกตัวมาให้เธอดู ซึ่งกล่องนี้เป็นสีดำให้ความรู้สึกเรียบหรูเช่นกัน แต่แทรกไปด้วยสีแดงที่ให้ความรู้สึกดุดันขึ้น

                “จริงๆ ตัว Signature นี้ทำออกมาเพื่อให้ลูกค้านำไปเป็นของขวัญค่ะ ตัว Judgement Spells8 นี้เหมาะสำหรับการให้ใครสักคนที่เรารู้สึกว่าเขาเปรียบเสมือนรักแรกของเรา ลึกซึ้งและยากที่จะลืมเลือน ส่วน The Devil มีไว้สำหรับคนที่นำไปเป็นของขวัญสำหรับความสัมพันธ์ที่อธิบายยากค่ะ” พอพูดถึงตรงนี้ หน้าของพี่แป้งก็ลอยขึ้นมาจนฉันต้องเม้มปากนิดๆ

                “ยังไงคะ มีความหมายเหมือนชื่อแรกด้วยหรือเปล่า”

                “มีความหมายค่ะ จริงๆ The Devil เป็นไพ่ที่ลึกซึ้งอยู่พอสมควรนะคะ ผู้คนมักจะตีความไปว่าต้องน่ากลัวแน่ๆ เพราะมีคำว่าปีศาจอยู่ แต่อีกความหมายหนึ่งคือสื่อถึงความรักที่ยังมีสัมพันธ์กันอยู่ ยังผูกติดซึ่งกันและกันไม่สามารถจากกันได้ ไม่ว่าความสัมพันธ์นั้นจะเป็นสิ่งที่คนคนนั้นพึงจะมีหรือไม่ก็ตาม และต่อให้ไม่อยากมีก็ยังต้องมีอยู่ค่ะ คล้ายๆ การทำพันธสัญญากับปีศาจที่ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ หรือเรียกอีกแบบว่าเป็นไพ่ของการไม่ Move on ค่ะ”

                “...”

                “ส่วนใหญ่แพ็กเกจนี้จะขายได้สำหรับคนที่นำของขวัญนี้ไปให้เพื่อนอีกคนค่ะ คล้ายเป็นมุกตลกที่สื่อว่า ‘ฉันไม่อยากคบกับแกเป็นเพื่อนเลย แต่ไม่มีทางเลือก ประหนึ่งมีปีศาจเชื่อมเราไว้ ไม่ให้ไปไหน’ ” ไม่พูดเปล่า ฉันหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ

                “แต่ก็มีบางคนที่เอาเทียนหอมแพ็กเกจนี้ไปให้แฟนเก่าที่ยังมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันอยู่ค่ะ”

                และคนคนนั้นก็คือฉันเอง...

                “แต่ก็นั่นแหละค่ะ แล้วแต่คนจะเลือกนำไปใช้ แต่โดยรวมที่พูดมาทั้งหมดเทียนหอมตัวนี้มี Peppermint เป็นส่วนผสมตามที่คุณลูกค้าตามหาอยู่ค่ะ”

                แล้วฉันก็ปิดท้ายการขายได้อย่างสวยงาม...

                เธอพยักหน้าให้คล้ายชื่นชมกับความพยายามในการขายครั้งนี้ และ...

                “ขอเป็นเทียนหอมตัวนี้ 4 กล่อง แล้วก็น้ำมันหอมระเหยที่เป็นกลิ่นเดียวกันอีก 2 ขวดค่ะ”

                “ได้ค่า”   

                รอยยิ้มถูกแต่งแต้มเด่นชัดมากกว่าเดิม 300% ฉันเริ่มจัดแจงหยิบของตามจำนวนที่ลูกค้าบอกใส่ถุงอย่างเบามือ แต่แล้วเธอก็เข้ามาคุยด้วยอีกครั้ง

                “เอ่อ ตัวเทียนหอมขอเป็นแพ็กเกจอย่างละสองกล่องนะคะ”

                “ได้ค่ะ”

                ทันทีที่ใส่ถุงกระดาษให้เสร็จสรรพ ฉันก็เริ่มให้พนักงานในร้านเป็นคนคิดเงิน พร้อมกับหยิบส่วนลดมาให้กับลูกค้าใจป้ำที่ซื้อทีเดียวหลายอัน และนั่นทำให้ความรู้สึกที่ยอมยืนอธิบายยาวยืดดูจะมีค่ามากกว่าการได้ขายของเสียอีก

                “อันนี้เป็นส่วนลด 10% สำหรับการมาซื้อครั้งหน้าเมื่อมียอดครบ 1,000 บาทขึ้นไปนะคะ”

                “ขอบคุณค่ะ         

                “ขอบคุณเช่นกันค่ะ”

                “เอ่อ ขอถามอะไรเพิ่มเติมได้ไหมคะ”

                “ได้ค่ะ” ฉันที่กำลังจะนั่งลงเช็กบัญชีอีกครั้งเป็นรอบที่สามก็ต้องหยุดการกระทำนั้นลง

                “ที่นี่มีบริการดูดวงไหมคะ”

                “คะ?”

                “แบบ...ซื้อครบ 5,000 แถมการดูดวงอะไรแบบนั้นน่ะค่ะ”

                ฉันกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันไปมองพนักงานแคชเชียร์ที่ทำหน้างงไม่ต่างกัน “ยังไงนะคะ”

                “ล้อเล่นน่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ”

                แล้วเธอก็เดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฉันและน้องพนักงานที่ยืนอยู่ข้างกายทำหน้าไม่เข้าใจใส่กัน

                “ไม่ได้มีใครไปโปรโมตว่าซื้อของครบ 5,000 แล้วแถมดูดวงใช่ไหม”

                “ไม่มีนะคะคุณเปา”

                “แปลก” 

                พอพูดจบฉันก็มองไปทางที่ลูกค้าคนนั้นเดินออกไป แต่ตอนนี้เธอหายไปแล้ว...

                หลังจากได้โชว์สกิลการขายของที่เป็นตัว Signature ของทางร้านได้ ความหงุดหงิดที่เคยมีมากโขก็เริ่มหายไป ฉันพูดคุยกับพนักงานในร้านด้วยท่าทางปกติแบบที่เคยทำมาตลอด แต่เวลาหลังจากนั้นไม่นานผู้หญิงใส่ชุดขาวสะอาดตาก็เดินตรงมาหาฉันที่เคาน์เตอร์ของร้าน พร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้

                “สวัสดีค่ะ พอดีมาจากคลินิกฝั่งตรงข้ามนะคะ” เธอพูดพร้อมชี้นิ้วไปทางคลินิกทำฟันที่เพิ่งเปิดใหม่ไม่นานมานี้

                “อ๋อ ค่ะ” โดยที่ฉันก็ตอบรับไปแบบงงๆ ก่อนจะยื่นมือไปรับกระดาษแผ่นนั้นไว้

                “พอดีทางคลินิกมีโปรโมชันลดราคาค่าทำฟัน 10% ฉลองเปิดสาขาใหม่ค่ะ ยังไงถ้าสนใจสามารถเข้ามาใช้บริการได้นะคะ”

                “ได้ค่ะ” ฉันตอบไปพร้อมกับก้มมองกระดาษแผ่นเล็กในมือ ก่อนจะเริ่มคิดว่าตัวเองไม่ได้ไปขูดหินปูนมานานเท่าไรแล้ว

                ครบหกเดือนหรือยังนะ...แต่ตอนนี้ลูกค้าก็ไม่มี

                “เดี๋ยวก่อนค่ะ” ฉันพูดรั้งผู้หญิงที่กำลังจะเดินออกไปจากร้านด้วยท่าทางจริงจัง 

                “ตอนนี้ที่คลินิกมีคิวว่างไหมคะ”

                แล้วอยู่ๆ วันนี้ฉันก็ได้มาขูดหินปูนอย่างงงๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะจากครั้งที่ขูดไปล่าสุดก็คงเมื่อเจ็ดเดือนก่อน เลยเวลาขูดมาเดือนกว่าแถมคลินิกที่ไปทำเป็นประจำก็ยังอยู่ที่เชียงใหม่โน่น เพราะงั้นการมาลองใช้บริการที่นี่อาจจะดีจนไม่ต้องรอกลับบ้านเพื่อไปทำฟันทีหนึ่งก็ได้

                หลังจากที่สั่งงานเสร็จ ฉันก็เดินมายังคลินิกเปิดใหม่ที่ให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้าน และทุกอย่างก็ต้องชะงักลงเมื่อได้กลิ่นบางอย่างที่คุ้นชิน

                นี่มันกลิ่น The Devil นี่...

                อ้อ ลืมบอกไปว่าฉันอินชื่อ The Devil มากกว่า Judgement spells8 และคงไม่ต้องบอกว่าทำไมถึงอินชื่อนี้มากกว่าหรอกนะ...

                 “สวัสดีค่ะ เดี๋ยวนั่งรอสักครู่นะคะ คุณหมอกำลังทำคนไข้คนสุดท้ายเสร็จแล้วค่ะ”

                “ได้ค่ะ”

                “รบกวนกรอกประวัติให้ทีนะคะ”

                ฉันเดินไปกรอกประวัติบนกระดาษสีขาวแผ่นเล็กอย่างลวกๆ โดยที่มีช่องเขียนชื่อเล่นให้กรอกด้วย และฉันก็กรอกชื่อเล่นตัวเองไปพร้อมกับเพิ่งมาเห็นว่ามีวงเล็บที่เขียนว่า ‘เฉพาะคนไข้เด็ก’ เอาทีหลัง อยากจะขีดทิ้งให้กับความเบลอของตัวเอง แต่ก็ต้องช่างมันไป

                พอเขียนทุกอย่างเสร็จก็มานั่งรอบนโซฟาสีขาวสะอาด โดยที่สายตาก็สำรวจไปทั่วร้าน ต้องบอกตามตรงว่าตอนอยู่ที่ร้านตัวเองกลิ่นมากมายตีกันมั่วไปหมดตามแบบฉบับของร้านเทียนหอม แต่พอเข้ามาในคลินิกนี้แล้วได้กลิ่น The Devil ของตัวเองช่างคล้ายกับการนั่งอยู่ในห้องนอนไม่มีผิดเพี้ยน

                แต่แล้วความสบายอารมณ์นั้นก็ต้องชะงักลงเมื่อเห็นกระดานหน้าคลินิกที่เขียนชื่อทันตแพทย์เรียงกันอยู่สองสามคน และหนึ่งในสามนั้นก็มีชื่อที่คุ้นเคยว่า

                ‘ทพญ.สีน้ำ ทันตแพทย์เฉพาะทางเด็ก (คุณหมอเปเปอร์)’

                   อะ...เอ๊ะ เอ๊ะ!!!

                   ไม่ผิดแน่ ชื่อจริงแบบนี้ ชื่อเล่นแบบนี้...

                ความทรงจำในอดีตที่แสนเลือนรางค่อยๆ เด่นชัดขึ้น และ...

                พอคิดได้แบบนั้นก็รวบรวมความกล้าไปบอกพยาบาลหน้าเคาน์เตอร์ว่าวันนี้คงต้องขอเลื่อนไปก่อน แต่ยังไม่ทันที่ขาจะก้าวไปถึงเคาน์เตอร์พยาบาลด้วยซ้ำ ร่างเล็กของผู้หญิงที่อยู่ในชุดกาวน์ก็เดินออกมาพร้อมกับร่างของเด็กน้อยอีกหนึ่งคน

                “วันนี้เก่งมากเลย มาหาหมอฟันไม่น่ากลัวเลยใช่ไหมคะ” 

                “ไม่น่ากลัวค่ะ”

                “เก่งมาก กลับบ้านดีๆ นะคะคุณแม่” เสียงใจดีที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ใต้ Mask ทำให้ฉันจำเธอได้ในทันทีว่าคือลูกค้าที่เพิ่งมาซื้อเทียนหอม Signature ของทางร้านไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

                ฉันชะงักค้าง ยืนแข็งทื่ออยู่แบบนั้นคล้ายโดนมนต์สะกดจนไม่สามารถขยับร่างกายได้ 

                “คนไข้คนต่อไปมาแล้วใช่ไหมคะ” เธอถามพยาบาลที่ส่งประวัติเล่มบางมาให้ด้วยรอยยิ้ม โดยที่ผู้หญิงตัวเล็กก็ค่อยๆ ถอด Mask ออก

                และเธอ...ยังสวยไม่เปลี่ยนเลย

                “สวัสดีค่ะคุณปรรณกร” รอยยิ้มที่ส่งมาให้นั้นช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น “มาขูดหินปูนใช่ไหมคะ”

                “อะ อ้อ ใช่..ค่ะ”

                “ถ้างั้นตามหมอมาเลยค่ะ”

                “อะ เอ่อ..พอดีมีธุระต้องไปทำพอดีเลยค่ะคุณหมอ เพราะงั้นวันนี้คงไม่สะดวกที่จะทำแล้..”

                “ถ้าเข้ามาในคลินิกแล้ว ต่อให้เป็นคนไข้เด็กที่ร้องไห้งอแงไม่ยอมทำฟันยังไงก็ต้องทำค่ะ”

                “...”

                “คุณปรรณกรคงไม่คิดที่จะหนีไปแบบเมื่อก่อนใช่ไหมคะ?”

                เธอยิ้มให้กันด้วยท่าทางใจดี แต่ฉัน...กลับรับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างที่บ่งบอกว่า หนีไม่ได้แล้ว...

    #####

    คอมเมนต์ให้กันด้วยนะคะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×