คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : เพราะเปาคือคู่ชีวตของพี่
ตอนที่เจ็ด : เพราะเปาคือคู่ชีวิตของพี่
เราสบตากันนิ่ง...และ ฉันเพิ่งได้สติ!
บัดซบ! พูดอะไรออกไปวะเนี่ย!
“เอ่อ เปาหมายถึง..”
“เปา”
แล้วอยู่ๆ เสียงคุ้นเคยของใครบางคนก็ดังขึ้นทำลายความกระอักกระอ่วนได้ทันเวลา
แต่เดี๋ยวนะ...นี่ไม่ใช่ว่าจะยิ่งกระอักกระอ่วนเหรอ?
“อ..อ้าว..ทำไมมาเร็วจังคะ เปายังไม่ได้โทร.หาเลย” ทันทีที่เสียงของฉันหยุดลง รุ่นพี่คนสวยที่เคยทำหน้าใช้ความคิดก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา เธอหันไปยกมือไหว้ท่านทั้งสองอย่างนอบน้อมคล้ายลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว
“สวัสดีค่ะ”
“ใช่รุ่นพี่ของเปาที่คุยโทรศัพท์กันเมื่อกี้หรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ” รุ่นพี่คนสวยตอบ ก่อนจะลุกขึ้นยืนคล้ายเตรียมตัวกลับในทันที
“ข้าวหมดแล้วนี่ จะกลับกันเลยหรือเปล่า”
“ก็...พี่สีน้ำจะกลับเลยหรือเปล่าคะ”
“อื้อ พี่ว่าจะกลับเลยนะ”
“พ่อกับแม่จะทานอะไรก่อนไหมคะ หรือจะรับเปากลับเลย” ฉันในตอนนี้พยายามพูดอะไรที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด แม้ความจริงจะเกร็งมากเลยก็ตาม
“กลับเลยดีกว่า พ่อเขาว่าจะสั่งของมาทานน่ะ”
“ถ้างั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะคะ” ความรีบร้อนของพี่สีน้ำเริ่มทำให้ความกระวนกระวายเพิ่มมากขึ้น ที่พี่เขาดูรีบขนาดนี้เป็นเพราะเกรงใจพ่อแม่หรือกำลังหนีจากคำพูดก่อนหน้านี้กัน
“เดี๋ยวสิ บ้านหนูอยู่ไหนจ๊ะ นี่ก็มืดแล้วกลับกับแม่สิเดี๋ยวแม่ไปส่ง”
ฉันหันขวับไปหาผู้เป็นแม่ทันที เอาไงดีนะ ฉันควรพูดอะไรดี
“นั่นสิคะพี่สีน้ำ กลับด้วยกันดีกว่า อันตราย...”
ฉันรีบพูดเสริม ในใจมีความหวังว่าเราคงได้กลับบ้านด้วยกัน และในเวลานี้รุ่นพี่คนสวยก็ดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะผู้ใหญ่เอ่ยปากชวน เธอเลยยอมตกลงกลับด้วยกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
และนี่เป็นเรื่องที่...โชคดีเป็นบ้า!
หลังจากนั้นพ่อก็จัดแจงจ่ายค่าอาหารให้อย่างรวดเร็ว แม้รุ่นพี่คนสวยจะยิ่งดูเกรงใจมากอยู่พอสมควร
เราทั้งคู่นั่งอยู่ที่เบาะหลังด้วยกัน และไม่ได้คุยอะไรแบบก่อนหน้านี้เลย จะมีก็แต่เพียงเสียงของพ่อและแม่ที่พูดคุยกันเอง และเสียงของพี่เขาที่คอยบอกทางเป็นระยะๆ
ชวนคุยเรื่องอะไรดีนะ...
แม้สมองจะคิดไปแบบนั้น แต่สายตากลับจ้องมองไปที่หน้าต่างรถคล้ายไม่สนใจพี่เขาอีกแล้ว ฉันทำตัวไม่ถูก และไม่รู้ว่าเวลาแบบนี้ควรชวนคุยเรื่องอะไร ถ้าเผลอพูดอะไรออกไปให้พ่อแม่จับสังเกตได้จะมีปัญหาหรือเปล่า ความกังวลมากมายเริ่มแล่นเข้ามาในหัว
ยังไม่ทันที่ความคิดจะไตร่ตรองอะไรได้ดี อยู่ๆ กระดาษแผ่นหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้ท่ามกลางความเงียบ ฉันก้มหน้ามองพร้อมกับรู้ว่าคนที่ส่งมาให้คือรุ่นพี่คนสวยที่นั่งอยู่ข้างกัน
“อะไรเหรอคะ” เสียงที่ถามออกไปเบากว่าโทนเสียงปกติมาก แต่คนที่กำลังมองกันอยู่กลับไม่ตอบอะไร ทำเพียงแค่พยักพเยิดหน้าให้อ่านแทน
ฉันเปิดกระดาษแผ่นนั้นดู ก่อนจะเห็นข้อความที่เขียนด้วยลายมือเรียงสวย ตัวบรรจง
‘พี่ไม่ได้เลี้ยงข้าวเปาเลย แถมยังให้มาส่งที่บ้านอีก ขอโทษนะ’
ข้อความแล่นเข้าสู่สมองอย่างรวดเร็ว แม้ในรถจะมืดอยู่พอสมควร แต่ก็ยังมีแสงไฟจากท้องถนนทำให้เห็นข้อความนั้นได้บ้างเป็นระยะ ฉันหันซ้ายหันขวา ก่อนจะล้วงมือไปหยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าที่กองอยู่ที่พื้นรถ สมุดเล่มหนึ่งถูกดึงออกมาเพื่อทำหน้าที่ในการรองกระดาษแผ่นนี้ ปลายปากกาเริ่มขีดเขียนข้อความตอบกลับไป แต่ให้ตายเถอะ ลายมือของฉันสวยไม่ได้สักเสี้ยวหนึ่งของข้อความที่อยู่ด้านบนเลย
ฉันยื่นกระดาษแผ่นเดิมให้รุ่นพี่คนสวย โดยที่เธอก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นไปอ่าน รอยยิ้มค่อยๆ เด่นชัดขึ้นแม้รอบตัวจะมืดอยู่พอสมควร แล้วไม่นานกระดาษแผ่นนั้นก็ถูกส่งมาให้ฉันอีกครั้ง
‘ไม่มีอะไรที่ต้องขอโทษเลยค่ะ เปาสนุกมากเลย’
‘จริงเหรอ งั้นคงต้องเปลี่ยนเป็น...ขอบคุณนะ :)’
กระดาษแผ่นเดิมเริ่มทำงาน รอยยิ้มของฉันฉายออกมาทีละนิด สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้น่าเกร็งหรืออึดอัดอีกแล้ว มีแต่ความตื่นเต้นและความรู้สึกแปลกๆ แทรกมาอย่างมากมายจนหาคำตอบให้กับความรู้สึกรวมๆ นี้ไม่ได้ ฉันรีบพับกระดาษแผ่นเดิมใส่กระเป๋า แต่ก็ถูกรุ่นพี่คนสวยหยิบกระดาษแผ่นนั้นกลับไปอีกครั้ง
ฉันไม่ได้ทักท้วงการกระทำนั้นสักนิด เพียงแต่มองรุ่นพี่ข้างกายที่เริ่มขีดเขียนปากกาไปบนกระดาษ เธอดูตั้งใจเขียน และทวนข้อความนั้นก่อนจะส่งคืนกลับมาให้
‘นี่เมลพี่นะ ไว้เปาถึงบ้านจะได้ส่งข้อความมาบอกได้ว่าถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว’
หัวใจฉันเต้นโครมครามคล้ายก้อนเนื้อกลางอกจะทะลุออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
ยังไม่ทันที่ความตื่นเต้นจะจางหายไป อยู่ๆ เสียงของคนข้างกายก็บอกว่าถึงแล้ว และนั่นทำให้ฉันรู้ว่าบ้านของรุ่นพี่เป็นร้านขายยาที่อยู่ในตลาดใกล้ๆ คอนโดนี่เอง
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ..” รุ่นพี่คนสวยยกมือไหว้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมาสบตาฉันแล้วโบกมือลาให้ด้วยท่าทางอบอุ่นแบบที่อธิบายไม่ถูก “ไว้เจอกันที่โรงเรียนนะเปา”
แล้วสายตาของฉันก็มองเธอลงจากรถด้วยความอาลัยอาวรณ์คล้ายลืมว่าพ่อแม่อยู่ด้วย...
“มีรุ่นพี่ดีนะ นอบน้อม น่ารัก” อยู่ๆ เสียงของแม่ก็ดังขึ้นพร้อมกับรถที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป
“รุ่นพี่ต่างหากค่ะที่ได้รุ่นน้องดี”
“ดูพูดเข้า” ถึงแม้จะเป็นคำที่เหมือนดุ แต่เสียงหัวเราะของผู้เป็นแม่ก็ทำให้รู้ว่าเธออารมณ์ดีแค่ไหน
ดูท่า...แม่ฉันก็ชอบรุ่นพี่คนสวยเหมือนกัน
หลังจากที่กลับมาถึงคอนโด ฉันรีบส่งข้อความแนะนำตัวว่าเป็นใคร พร้อมกับบอกว่าถึงบ้านแล้วอย่างปลอดภัยแล้ว แต่ดูเหมือนรุ่นพี่คนสวยจะมีอย่างอื่นที่ต้องทำ เพราะเธอไม่ได้ตอบข้อความนั้นของฉันเลยแม้แต่น้อย
ฉันแอบคิดว่าจะให้ทักไปบอกทำไม แต่ทุกอย่างก็เบาบางลงเพียงเพราะมีแชตของเพื่อนสนิทอีกสองคนที่รอให้ฉันตอบอยู่
Cat_Za : อย่าลืมมาอัปเดตนะจ๊ะว่าหวานหยดกันขนาดไหน
Man Jub : อีแคทไม่ได้เป็นห่วงนะ แค่อยากเสือก
Cat_Za : โธ่อีแมน หล่อนไม่รอเสือกเลยว่างั้น?
Man Jub : รอ!
Cat_Za : ถุย!!!
Paopanna : เรียนเพื่อนๆ ที่น่ารักทั้งสอง วันนี้ดิฉัน เปา ปรรณกร ได้ทำการเดินเล่นที่ริมชายหาดกับรุ่นพี่ที่ชื่อ เปเปอร์ หรือ พี่สีน้ำ ทั้งนี้ทั้งนั้น มีเหตุทำให้เกิดอุบัติรักฉบับสาวใจบาง และมีรอยประทับฝ่าเท้าจากรองเท้าของรุ่นพี่คนสวยมาไว้ที่หน้าอยู่พักหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น...ดิฉัน เปา ปรรณกรก็ยังแอบยิ้มเพราะรุ่นพี่คอยเช็ดเม็ดทรายให้จนหมด หลังจากที่เกิดเหตุอุบัติรักฉบับสาวใจบางแล้ว รุ่นพี่อย่างคุณเปเปอร์เลยพาดิฉันไปทานอาหารชมพระอาทิตย์ตกดิน โดยใช้คำว่า ‘วิวหลักล้านราคาหลักสิบ’ ดิฉันตัดสินใจแล้วว่าที่จริงแล้ววิวหลักล้านนั้นไม่ได้อยู่ที่บรรยากาศ แต่เกิดจากคนที่นั่งข้างๆ มากกว่า
ทั้งนี้..ช่วงท้ายยังงงๆ เพราะพ่อและแม่ของดิฉันมารับด้วยตนเอง และได้ทำการไปส่งรุ่นพี่ถึงหน้าบ้าน พร้อมกับรุ่นพี่ได้ให้อีเมลมาเพื่อให้ดิฉันสามารถบอกเขาได้ว่าถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว
และ...ดิฉันมี MSN ของพี่สีน้ำแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ รัก...(รักที่แปลว่ารักใครก็คงรู้อยู่แล้ว อิอิ) จบการรายงาน...
ข้อความยาวยืดของฉันถูกส่งไปทันทีที่ทวนข้อความทั้งหมดไปแล้วมากกว่าสิบรอบ และเหมือนทั้งสองคนจะออนไลน์อยู่ตลอด เพราะเพียงแค่ส่งไปไม่ถึงสองนาทีข้อความวี้ดว้ายก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว และไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งสองคนจะอวยฉันว่าอะไร
‘เขามีใจ!’
‘งานแต่งต้องมาแล้ว!’
ก็ประมาณนี้ และเป็นฉันนี่แหละที่ยิ้มหน้าบานเหมือนไม่เคยมีเรื่องทุกข์ใจอะไรมาก่อนเลยในชีวิต
ฉันเฝ้ารอข้อความที่รุ่นพี่คนสวยจะตอบกลับมาอยู่เกือบสี่ทุ่ม และเมื่อเธอดูหายไป ฉันเลยปิดทุกอย่างแล้วนอนไปอย่างไม่คิดอะไร ในคืนนี้ความเพ้อฝันที่ยังวนเวียนกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอมาก็ทำให้นิทรานี้ยาวนานมากกว่าเดิม ฉันฝันถึงเหตุการณ์ที่ทะเลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เราดูพูดคุยกันมากมาย แม้พอตื่นมาฉันจะจำคำพูดมากมายนั้นไม่ได้เลยก็ตาม
ในวันรุ่งขึ้นและหลายๆ วันหลังจากนั้น ฉันยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม ไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปมากกว่าการดูดวง เรียนหนังสือ และเฝ้ารอข้อความจากใครบางคนเป็นครั้งคราว และข้อความที่ฉันเฝ้ารอก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากข้อความของพี่สีน้ำ เพราะหลังจากที่ฉันส่งข้อความแรกไปหาพี่เขา เธอก็มาตอบว่าโอเค และตอนนั้นฉันนอนหลับไปแล้ว พอทุกอย่างดูพ้นจากคำว่าครั้งแรกไป ความหน้าด้านของฉันก็เพิ่มทวีคูณขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในแต่ละวันคำพูดมากมายจะถูกสรรหาไปให้พี่เขาตอบ บางทีเราคุยกันเยอะ และบางครั้งพี่เขาก็มาตอบแค่คำถามเดียวแล้วหายไป ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แต่ฉันกลับเรียกเวลานี้ว่าเวลาเก็บเกี่ยว จะว่าไงดี...มันเป็นเรื่องธรรมดาๆ สำหรับคนอื่น แต่สำหรับฉันที่ริจะเริ่มรักแล้วละก็ ต้องบอกเลยว่านี่เป็นอะไรที่พิเศษสุดๆ
แถมในทุกอาทิตย์ฉันก็ยังคงทำนายเรื่องราวต่างๆ ให้รุ่นพี่คนสวยฟัง และไม่ว่าจะทำนายอะไรไป สุดท้ายแล้วฉันจะเป็นคนที่วนเวียนเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคำทำนายที่ว่า
‘คนคนนั้นมักมีมุกมาเล่นอยู่ตลอดเวลา’
และแน่นอนว่าฉันมักเล่นมุกใส่พี่เขาบ่อยๆ
‘เมื่อเจอกันเขาคนนั้นจะส่งยิ้มให้เสมอ และมีความเป็นห่วงอยู่แทบตลอดเวลา’
คำทำนายนี้ถูกพูดไปในวันที่รุ่นพี่มีอาการภูมิแพ้จนต้องคอยสั่งน้ำมูกอยู่ตลอดเวลา และฉันนี่แหละที่ทำเนียนๆ ซื้อทิชชูไปให้พี่เขาถึงสามม้วน พร้อมกับส่งยิ้มให้กำลังใจตลอดทั้งวันเมื่อเราบังเอิญเจอกัน
‘วันนี้จะมีโชคเรื่องของกินจากคนที่มาชอบ’
เมื่อทำนายเสร็จฉันก็ทำเนียนๆ เอาขนมไปให้พร้อมกับบอกว่าได้ขนมมาเยอะเกินไปเลยแบ่งให้พี่เขาสักหน่อย แม้ความจริงคุกกี้อันนี้เป็นอันที่ฉันจะตั้งใจเลือกและซื้อมาให้เองโดยเฉพาะ
กว่าจะรู้ตัวทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปเกือบหนึ่งปีแล้ว...
ฉันยังเฮฮากับเพื่อนเหมือนเดิม ยังแวะเวียนคุยกับพี่สีน้ำบ้างในบางวัน และทุกอย่างดูจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น จนวันที่ใครหลายๆ คนอินกันมากๆ ก็มาถึง วันวาเลนไทน์...
‘คนที่ใช่จะถือช็อกโกแลตมาสารภาพรักกับพี่สีน้ำค่ะ’
นี่เป็นคำทำนายสุดท้ายที่ฉันทิ้งไว้ให้กับรุ่นพี่คนสวย ก่อนที่ตัวเองจะสารภาพรักออกไป
“ไง แม่สาวนักรัก พร้อมหรือยัง” เสียงของแมนดังออกมาด้วยความมุ่งมั่น ผิดกับฉันที่นั่งไหล่ตกทำหน้ากังวลจนเพื่อนต้องถอนหายใจออกมา “เป็นไรอีกเนี่ย ชอบพี่เขามาหลายเดือนแล้วนะ อีกสองเดือนพี่แกก็จบแล้ว แกจะไม่สารภาพหรือไง”
“มันควรเป็นเวลานี้เหรอ” ฉันเงยหน้าถามเพื่อนด้วยความไม่แน่ใจ แม้มือจะยังจับช็อกโกแลตราคาแพงไว้แน่นก็ตาม
“เออสิ แกจะให้พี่เขาวันฮาโลวีนหรือไง” ฉันรีบแยกเขี้ยวใส่เพื่อน แต่ทั้งคู่ก็ทำหน้าเอือมมากกว่ากลัว
“ไปเถอะ คุยในแชตกันก็บ่อย เจอกันก็ดูเป็นมิตรภาพที่แสนดี ไหนจะมีเหตุการณ์ไปนั่นนี่กันสองคนอีก เผลอๆ พี่เขารู้ก่อนแกจะสารภาพอีกมั้ง”
“แล้วถ้าสมมตินะ เกิดมีอะไรผิดพลาดล่ะ”
“ยังไง” แคทถามด้วยหน้าตาสงสัย ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าฉัน
“อย่างเช่น...ฉันกำลังจะสารภาพรัก แต่มีคนไปสารภาพก่อน แล้วพี่เขาก็ตอบตกลงพอดี แล้วถ้าเป็นแบบนั้นช็อกโกแลตที่ฉันกำลังจะให้ไปจะทำยังไง”
แล้วเราสามคนก็ตกอยู่ในความเงียบ แล้วเพียงเวลาไม่กี่วิ แมนก็วาดมือมาตีแขนฉันหนึ่งทีอย่างแรง
“อีเปา!”
“อะไร้! เจ็บนะว้อย!”
“เดี๋ยวก็เป็นตามปากหรอก ลืมหรือไงว่าพูดอะไรก็จะได้แบบนั้น”
ฉันรีบเอามืออุดปากตัวเอง หัวใจหล่นวูบคล้ายกำลังกลัวว่าสิ่งที่เพิ่งพูดออกไปจะเป็นจริงจริงๆ มือรีบตบปากตัวเองสามทีก่อนจะกำมือแล้วขว้างทิ้งไปนอกหน้าต่างห้องเรียน ไม่รู้ว่าได้ผลไหมแต่ทำไว้ก่อนแล้วกัน
“โยนทิ้งเร็ว คงไม่เป็นไรหรอก” ฉันพูดพร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
หัวใจเริ่มพองโตมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมาฉันมักจะเปรยคำทำนายต่างๆ เพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์หรือเปิดโอกาสในการจีบพี่เขาอยู่เสมอ
แต่รู้อะไรไหม...
ในบางครั้งการเล่นกับโชคชะตาหรือฝืนบังคับให้ตัวเองได้ผลประโยชน์มากเกินไปนั้น อาจนำพามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ทันได้เตรียมใจ
ฉันยืนอยู่ตรงบันไดเพื่อขึ้นไปยังห้องของพี่ม.หก และสิ่งที่ฉันเห็นตอนนี้คือ
รุ่นพี่ที่ชื่อนัทกำลังส่งกุหลาบให้พี่สีน้ำพร้อมกับเสียงเชียร์ของเพื่อนๆ มากมาย ฉันยืนนิ่ง สายตาเริ่มเบลอ ความรู้สึกต่างๆ กำลังถาโถมเมื่อสิ่งที่กำลังเจอนั้นเป็นเรื่องที่เพิ่งพูดออกไปให้เพื่อนฟัง ส่วนเพื่อนอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบจับแขนฉันไว้ แล้วกระซิบเบาๆ ว่า
“เปา กลับก่อน”
“อย่าไปมอง”
เสียงของเพื่อนทั้งสองคนดูจริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ อาจจะเป็นเพราะสีหน้าของฉันตอนนี้คงกำลังตกใจอยู่พอสมควร
และใช่ ฉันมาช้าไป...ขาทั้งสองข้างเดินไปตามแรงดึงของเพื่อน แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดลง
“เจ้าแม่เปา”
หัวใจเริ่มสั่นไหวอีกครั้งที่บางที คำทำนายของตัวเองอาจจะเป็นจริงก็ได้ พี่สีน้ำอาจจะเห็นฉันและยังไม่ได้รับรักจากผู้ชายคนนั้น
“มาทำอะไรเหรอ”
พอคิดได้แบบนั้นรอยยิ้มก็ค่อยๆ เด่นชัดขึ้นมา ร่างกายค่อยๆ หันไปหาพี่เขา แต่ทว่า...ความผิดหวังกลับเข้ามาทักทายอีกครั้ง เพราะเธอคนนั้นไม่ใช่คนที่ฉันคิดเอาไว้
“พี่แป้ง...”
“อาฮะ” ไม่พูดเปล่า เธอรีบเดินมาหาฉันด้วยความสูงที่สูงกว่ากันนิดๆ สายตาจับจ้องไปที่ของที่อยู่ในมือ ก่อนรอยยิ้มจะเริ่มเด่นชัดขึ้น “เอาช็อกโกแลตมาสารภาพกับหนุ่มเหรอ ชอบคนไหนล่ะ เดี๋ยวพี่พาไป แต่แอบน่ากินอยู่นะเนี่ย”
ฉันมองช็อกโกแลตที่อยู่ในมือด้วยสายตาเรียบเฉย ตอนนี้อยากทิ้งมันให้ไปอยู่ไกลสายตา แต่ก็แอบเสียดายเพราะอุตส่าห์ไปเลือกซื้ออยู่ตั้งนาน
ในที่สุดช็อกโกแลตนั้นก็ถูกยื่นไปให้รุ่นพี่ที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจเอามาให้ เธอทำหน้าตกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“กินไหมคะ เปาให้”
“ให้พี่เหรอ?” รุ่นพี่ที่ชื่อแป้งทำหน้าไม่อยากเชื่อ แต่ก็ยื่นมือมาจับช็อกโกแลตนั้นไว้ และถึงแม้ฉันจะปล่อยมือมาแล้ว แต่เธอก็ยังคงค้างมือตัวเองไว้เผื่อว่าฉันจะหยิบมันกลับคืนไป “ให้พี่จริงอะ”
“ค่ะ”
“ไม่เอาไปให้หนุ่มเหรอ พี่เป็นผู้หญิงนะ”
“ไม่ค่ะ พี่แป้งเอาไปกินเถอะ”
“งั้น...พี่ไม่เกรงใจนะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นรอยยิ้มดีใจจากผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าหน้าดุที่สุดในโรงเรียน เธอไม่พูดอะไรต่อนอกจากมองช็อกโกแลตในมือสลับกับมองหน้าฉันไปมา
“งั้น...เปาไปก่อนนะคะ”
ฉันไม่รอให้เธอตอบรับด้วยซ้ำ ขารีบเดินลงมาจากบันไดที่ชั้นบนมีคู่ของใครบางคนที่ไม่อยากเห็นอยู่
ฉันวิ่งนำลิ่วเพื่อนทั้งคู่มาอยู่ที่หลังโรงเรียน ตอนนี้ไม่มีคนอยู่เลยนอกจากโต๊ะเก้าอี้มากมายที่ไม่ได้ใช้แล้วและถูกเอามาเก็บไว้ตรงนี้ สายตาของฉันจ้องมองไปที่เก้าอี้เหล่านั้น ก่อนน้ำตาจะค่อยๆ เอ่อล้นเต็มขอบตา
ฉัน...ทำอะไรพลาดไปนะ
แล้วเพียงไม่นานร่างที่เคยยืนเต็มความสูงก็เริ่มนั่งลงกับพื้นอย่างไม่กลัวกระโปรงจะเปื้อน ถึงแม้จะไม่ได้ร้องไห้โฮอย่างในหนัง แต่น้ำตาก็ยังไหลออกมาไม่หยุด สมองตื้อและมึนงงเกินกว่าจะคิดอะไรออกในเวลานี้
“อยู่นี่เอง”
“วิ่งเร็วมาก เกือบตามไม่ทันแล้ว”
เสียงของแคทและแมนดังขึ้น โดยที่น้ำเสียงที่ดังออกมานั้นแฝงไปด้วยความห่วงใยอย่างชัดเจน
“อกหักแล้ว”
“.../...”
ทั้งคู่ไม่ได้ตอบอะไร นอกจากเดินมานั่งกอดเข่าประกบข้าง คล้ายกลัวว่าฉันจะวิ่งหนีไปอีก
“ไม่เป็นไรนะ ที่ผ่านมาแกทำได้ดีแล้วแหละ”
“ชีวิตเรายังต้องเจอคนอีกมากมาย เพราะงั้นคงมีใครสักคนที่ทำให้แกชอบได้ใหม่แน่ๆ”
“พี่สีน้ำก็น่ารัก แต่ฉันคิดว่าต่อไปแกต้องหาคนได้น่ารักมากกว่า”
“จริง คิดดูแกอายุสิบสามยังสวยขนาดนี้ ถ้าอายุสามสิบจะสวยขนาดไหน เรียนก็เก่ง บ้านก็รวย”
สมองหยุดคิดตาม ก่อนน้ำตาจะเริ่มมีมากขึ้นกว่าเดิม
“นี่ฉันต้องรอถึงสามสิบเลยเหรอ อีกตั้งสิบเจ็ดปี จะแห้งตายก่อนไหมอ่า” น้ำเสียงที่ดังออกไปมีความหม่นหมองอยู่พอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบเห็นเพื่อนรีบเม้มปากคล้ายกลั้นขำอยู่
“พวกแกจะขำกันใช่ไหม! ฉันเห็นนะ!”
“ใครจะขำ ไม่มี้!”
“ฮือ เสียงสูงแสดงว่าใช่ นังเพื่อนชั่ว! ฉันเสียใจอยู่นะว้อย!” แล้วอยู่ๆ ฉันก็ร้องไห้โฮออกมา โดยที่เพื่อนทั้งคู่ก็ทำหน้าตกใจ ลุกขึ้นเดินไปเดินมาคล้ายไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับสภาพฉันในตอนนี้ดี
“อีเปา! แกอย่าร้องดิ!”
“หยุดร้องเลยนะ ถ้าแกร้องฉันจะร้องตามจริงๆ ด้วย หยุดร้อง!”
“มันหยุดไม่ได้แล้ว ฮือ” ทันทีที่พูดออกไปฉันก็ปล่อยโฮออกมาเต็มที่ คล้ายรู้ว่าเวลานี้มีคนคอยปลอบและสามารถร้องเท่าไรก็ได้
“อีบ้า ฉันร้องตามแล้วโว้ย!”
“ฉันด้วย!”
แล้วเราสามคนก็มานั่งร้องไห้กอดกันกลมอย่างที่ไม่มีใครห้ามใคร ในช่วงเวลานั้นความคิดบางอย่างก็เด้งขึ้นมาในหัว
“ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว! ไม่อยากอยู่แถวบ้านพี่สีน้ำ ไม่อยากเห็นร้านขายยาพี่เขา ไม่อยากเจอรุ่นพี่ที่ชื่อนัทอีก ไม่อยากให้เขาได้กัน ฮือออ..อยากกลับไปกอดยาย”
“อีนี่! เดี๋ยวก็ได้กลับไปจริงๆ หรอก!”
“กอดพวกฉันไปก่อน ฮือ”
แล้วทุกอย่างก็ลงเอยประมาณนี้ ฉันได้เรียนรู้การชอบใครสักคนเป็นครั้งแรก มีเพื่อนสนิทเป็นครั้งแรก และอกหักเป็นครั้งแรก ทุกอย่างดูรวดเร็วในช่วงเวลาเกือบหนึ่งปี ที่สำคัญพี่สีน้ำก็ตัดสินใจคบกับพี่นัทจริงๆ และนั่นทำให้แคทและแมนไปส่งสารให้รุ่นพี่คนสวยรู้ว่าไม่จำเป็นต้องมาดูดวงกับฉันอีกแล้ว และไม่สามารถมาดูดวงกับฉันได้อีก ถึงแม้รุ่นพี่จะถามกลับมาว่าคนคนนั้นคือนัทเหรอ แต่เพื่อนทั้งคู่ก็ตอบกลับไปว่าไม่สามารถบอกได้ เพราะพี่สีน้ำตัดสินใจคบใครสักคนไปแล้ว
และใช่...เพื่อนทั้งคู่ก็พลอยโกรธเธอไปด้วยที่ทำให้ฉันเสียใจ แม้พี่สีน้ำจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ตาม
ฉันกลับมาหลบหน้ารุ่นพี่คนสวยอีกครั้ง ในช่วงแรกๆ เธอเข้ามาคุยบ้าง แต่เพื่อนสองคนก็คอยกันท่าให้จนหลังๆ เธอไม่ได้เดินเข้ามาทักตรงๆ เว้นเสียแต่มีบางครั้งที่เจอกันแล้วเธอส่งยิ้มมาให้ และฉันก็ส่งยิ้มตอบกลับไปพอเป็นพิธี ฉันเลี่ยงการเจอเธอได้อย่างแนบเนียน ไม่ได้วิ่งหนีให้โดนจับได้แบบตอนแรก แต่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นให้เธอไม่มีโอกาสได้ส่งยิ้มมาให้อีก มีบางครั้งที่เธอทักข้อความมาคุยด้วยบ้าง แต่ฉันก็ทำเพียงแค่ถามคำตอบคำ จนในที่สุดเธอก็ไม่ได้ทักมาอีก
กว่าจะรู้ตัวการสอบปลายภาคก็จบลง จบไปพร้อมกับการปิดเทอมที่มีเรื่องทำให้ทุกข์ใจมากกว่าเดิม
นั่นคือยายมะลิป่วยหนัก และฉันต้องย้ายกลับไปอยู่เชียงใหม่เพื่อคอยอยู่เป็นเพื่อนยายเตยที่กำลังเศร้าอยู่ ฉันมีเวลาร่ำลาเพื่อนทั้งสองคนได้เพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นการร่ำลานี้ก็มีอย่างอื่นแทรกเข้ามาด้วย นั่นคือการตามหาต้นตอที่ทำให้ฉันได้พรวิเศษนี้มา เพราะมีพรนี้ คำพูดไม่ดีหลายอย่างเลยเกิดขึ้น
“คุณยายหมอดู? ตลาดเราไม่เคยมีหมอดูเลยนะ”
ฉันยืนขนลุกอยู่กับเพื่อนอีกสองคน ฉันตามหายายไม่เจอ และไม่เคยมีใครเห็นยายมาก่อนเลย
“เป็นไปได้ไง” ฉันพูดออกมาในขณะที่มานั่งอยู่ในคาเฟ่ริมหาดที่วันนี้ผู้คนมีมากกว่าปกติ โดยที่เพื่อนทั้งสองคนก็ดูดน้ำในแก้วด้วยหน้าตาเศร้าสร้อยและไม่ตอบอะไรกลับมา
“นี่ จะไม่พูดอะไรเลยเหรอ”
“ไม่รู้จะพูดอะไร” แมนตอบ ก่อนจะเริ่มกะพริบตาถี่ๆ คล้ายไม่อยากให้น้ำตาไหลออกมา
“เราเจอกันได้ปีเดียวเองอะ แล้วเชียงใหม่ก็โคตรไกล ฉันจะตามแกไปได้ยังไง” แคทพูดเสริม คล้ายเรื่องหมอดูน่าขนลุกที่ไม่มีตัวตนจะสะเทือนใจไม่เท่าการที่ฉันต้องย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิด
“อีแคทอย่าจุดประเด็นตอนนี้ คนในร้านก็เยอะ เดี๋ยวกูร้อง”
“แล้วจะให้พูดตอนไหน! พรุ่งนี้เปาก็จะย้ายกลับไปแล้วนะเว้ย!”
สิ้นเสียงของแคท เราทั้งสามคนก็เริ่มน้ำตาคลอเตรียมจะร้องไห้ออกมา “ไปกันเถอะ”
“ไปไหน” แมนถามฉันพร้อมเอาหลังมือเช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ
“ไปเดินชายหาดกัน...”
แล้วความทรงจำสุดท้ายของแก๊งสาวสวยใจแกร่งก็จบที่มานั่งร้องไห้มองทะเลกันสามคน เพื่อนทั้งคู่คอยปลอบฉันเรื่องยาย แต่ก็หันไปกอดกันเองเมื่อถึงเรื่องที่ฉันจะไม่ได้อยู่เรียนต่อที่นี่แล้ว เรานั่งอยู่ที่ริมทะเลกันจนพระอาทิตย์ตกดิน และร้องไห้กันจนมืดค่ำ พ่อและแม่มารับฉันที่ชายหาดพร้อมกับการเจอเพื่อนสนิททั้งสองคนเป็นครั้งแรก ความกังวลที่เคยกลัวว่าพ่อแม่จะรับได้ไหมเมื่อเห็นฉันเป็นอีกคนตอนอยู่กับเพื่อนหายไป น่าเศร้าที่การแนะนำเพื่อนทั้งสองคนเป็นครั้งแรกนี้จะเป็นการเจอครั้งสุดท้ายของเราด้วย ฉันและเพื่อนได้ร่ำลากันต่อในรถ โชคดีที่ตอนนี้มีอินเทอร์เน็ตที่ทำให้เราสามารถพูดคุยกันได้แม้จะห่างไกลกันแค่ไหนก็ตาม
แต่ก็นั่นแหละ...ถึงจะสามารถคุยกันได้แบบรวดเร็ว ก็ใช่ว่าจะไม่เศร้า
ในคืนนี้ฉันแชตกับเพื่อนนานกว่าปกติ โดยที่ตอบแชตไปเก็บของไป กว่าจะรู้ตัวเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงตอนเช้า พ่อและแม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันยังไม่ได้นอน เพราะคิดว่าท่าทางที่ห่อเหี่ยวนั้นเกิดจากการต้องย้ายโรงเรียน
ในช่วงสายมีรถมารับเราเพื่อไปยังสนามบิน ฉันนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถด้วยความเงียบ ไม่มีการพูดคุยต่อตอบอะไรเลยแม้เสียงของท่านทั้งคู่จะดังอยู่เป็นระยะ นี่ไม่ใช่ว่าฉันโกรธที่ต้องย้ายโรงเรียนหรอกนะ เพียงแต่ตอนนี้ความกังวลเรื่องของยายมะลิเริ่มมีมากขึ้นจนไม่รู้จะพูดอะไรออกไป
เว้นเสียแต่...
“นั่นรุ่นพี่ลูกหรือเปล่า”
เสียงของแม่ดังขึ้น ใจฉันหายวูบ ทุกอย่างดูอื้ออึงจากความคิดมากมาย และเพียงเสี้ยววิสิ่งสุดท้ายที่อยากทำก่อนไปจากที่นี่ก็เด่นชัดขึ้นมา ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่...
“จอดรถแป๊บหนึ่งได้ไหมคะ”
ทันทีที่รถจอดสนิท ฉันรีบเปิดประตูรถลงมาอย่างรวดเร็ว โดยที่สีน้ำตอนนี้ก็กำลังกวาดพื้นหน้าร้านขายยาอยู่ด้วยท่าทางอารมณ์ดีจนน่าหงุดหงิด
“พี่สีน้ำคะ!”
เสียงของฉันตะโกนดังลั่น เจ้าของร่างสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหันมามอง
“อ้าว เปา มาได้ไง มาซื้อยาเหร..” ฉันไม่ตอบคำถามนั้น เพราะในตอนนี้ต้องการมาพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้เท่านั้น
“คนในคำทำนายของพี่สีน้ำ...ไม่ใช่พี่นัทค่ะ”
“...”
“แต่คือเปา”
แล้วหน้าตาที่เหมือนกำลังอึ้งของเธอก็ทำให้ฉันรู้ได้ในทันทีว่าควรพูดให้จบในระหว่างที่เธอยังพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ว่าจะมีกี่คนเข้ามาในชีวิต คนเหล่านั้นจะไม่ใช่คู่จริงๆ และจะจบลงด้วยความเศร้าไม่ก็ความอึดอัดเสมอ”
“...”
“เพราะงั้น คนที่จะทำให้พี่สีน้ำหลุดพ้นมาเจอความสุขจริงๆ ได้ มีแค่เปาเท่านั้นค่ะ”
“...”
“เพราะเปาคือคู่ชีวิตของพี่”
#####
อย่าลืมกดหัวใจหรือคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ ^^
ความคิดเห็น