ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Meb E-Book ] Predict คำทำนายของเธอ…คือฉัน [YURI]

    ลำดับตอนที่ #2 : องค์ลง

    • อัปเดตล่าสุด 19 ธ.ค. 66


    ตอนที่สอง

    องค์ลง

     

                   สามวันก่อนเปิดเทอม...

                   ฉันย้ายมาอยู่ที่ชลบุรีร่วมเดือนแล้ว ก่อนหน้านี้เคยอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่ จะว่าเคยก็ไม่ถูก เพราะดูเหมือนมีแนวโน้มที่จะต้องย้ายกลับไปเชียงใหม่ในสักวันหนึ่ง นั่นเพราะตอนนี้พ่อและแม่กำลังขยายสาขาเทียนหอมที่เป็นที่นิยมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอยู่ การขยายสาขาในครั้งนี้ทั้งคู่เลยลงมาดูงานด้วยตัวเอง รวมถึงหิ้วฉันที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวมาอยู่ที่ชลบุรีด้วย พูดไปก็เหมือนเป็นครอบครัวที่สุขสันต์ แต่ความจริงพ่อและแม่มักไม่ค่อยมีเวลาให้ฉันสักเท่าไหร่ รวมทั้งวันนี้ด้วย

                   ฉันนั่งวินมอเตอร์ไซค์จากคอนโดมาเดินเล่นที่ตลาดใกล้ๆ เพื่อสำรวจว่าที่นี่มีอะไรให้ทานบ้าง พอได้ขนมมาจนเต็มมือก็มายืนรอรถอยู่ที่หลังตลาด และนั่นทำให้ไปเจอกับสาวแก่คนหนึ่งที่นั่งมองฉันอยู่

                   “หนูๆ” คุณยายคนนั้นกวักมือเรียกฉันเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง

                   “หนูเหรอคะ?” ฉันชี้นิ้วไปที่ตัวเองอย่างงงๆ โดยที่คุณยายคนนั้นก็พยักหน้าให้น้อยๆ

                   ฉันเดินไปใกล้ตัวคุณยายคนนั้นมากขึ้น เธอแต่งตัวรุงรังอย่างกับร่างทรง แถมหน้าตาก็ดูไว้ใจไม่ค่อยได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยอมหย่อนก้นลงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเล็กฝั่งตรงข้ามคุณยายหลังจากที่ถูกเชิญชวนให้ไปนั่งคุยด้วยกัน

                   “เพิ่งย้ายมาเหรอหนู”

                   “ใช่ค่ะ คุณยายรู้ได้ยังไงคะ”

                   “รู้สิ ก็เป็นแม่หมอ”

                   ฉันกะพริบตาปริบๆ ยังงงๆ กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ “แล้วเรียกหนูมามีอะไรเหรอคะ”

                   “วันนี้ไม่มีลูกค้าเลย ว่าจะทำนายเอาบุญสักหน่อย ลองบอกเรื่องที่อยากรู้มาสิ”

                   ฉันชะงักค้าง แต่หย่อนตัวลงมานั่งแบบนี้แล้วก็คงเลี่ยงไม่ได้ ถึงจะงงที่โดนชวนให้มาดูดวงฟรีแต่ก็เอาเถอะ ดูๆ ให้จบๆ ไปจะได้กลับ

                   “หนูจะเข้ากับโรงเรียนใหม่ได้ไหมคะ”

                   “ยื่นมือมาสิ”

                   ฉันส่งมือไปให้แม่หมอดูอย่างมึนงง แล้วเวลาหลังจากนั้นเพียงไม่ถึงนาที คำทำนายก็ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

                   “หนูจะต้องก้าวเท้าขวาเข้าโรงเรียนตอนเจ็ดโมงสามสิบเจ็ดนาที ถ้าทำแบบนั้นจะเจอแต่เรื่องดีๆ”

                   “แค่นี้เหรอคะ?”

                   “แค่นี้แหละ”

                   “อ่า โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันส่งยิ้มเจื่อนๆ พร้อมยกมือไหว้ขอบคุณอย่างคนที่นอบน้อม แต่ทันทีที่กำลังจะลุกขึ้นเสียงของคนตรงหน้าก็ดังขึ้น

                   “เดี๋ยวหนู”

                   “คะ?”

                   “เก้าสิบเก้าบาท”

                   “เอ๊ะ”

                   เราทั้งคู่สบตากันนิ่ง ส่วนแม่หมอก็ยื่นมือมาพร้อมกับหน้าตาเรียบเฉยคล้ายบอกว่าดูดวงแล้วจ่ายเงินด้วย

                   “คุณยายบอกว่าจะดูดวงเอาบุญไม่ใช่เหรอคะ”

                   “ใช่”

                   “แล้วทำไมคิดเงิน”

                   “ก็เอาบุญเพราะจะดูแม่นๆ ไม่ได้บอกว่าจะดูดวงให้ฟรี”

                   เอาละ โดนแล้วไง...

                   “อ้าว นี่หนูไม่รู้เหรอว่าต้องจ่ายเงิน ป้ายก็เขียนอยู่ตัวเท่าฝาบ้าน” เธอพูดพร้อมเหลือบตาไปมองป้ายหากิน พร้อมกับฉันที่ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

                   ช่างเถอะ จ่ายให้จบๆ ฉันคิดขึ้นมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะควักเงินออกมาจ่ายด้วยท่าทางแสนเซ็ง

                   “หนูนี่เป็นคนดีนะ”

                   “เหอะๆ ค่ะ” ฉันตอบอย่างไม่อยากจะเสวนาด้วย พร้อมกับรับเงินทอดหนึ่งบาทมาไว้ในมือ ขาทั้งสองข้างเตรียมเดินหนีออกไปจากตรงนี้ แต่ยายมหาประลัยก็ยังชวนฉันคุยต่อ

                   “ไหนๆ ก็เป็นลูกค้าคนแรกแล้ว ลองบอกความปรารถนาของหนูมาสักข้อสิ”

                   “อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ หนูต้องรีบกลับ” ฉันไม่รอช้า รีบหันหลังเดินหนี แต่แขนก็ถูกรั้งเอาไว้

                   โอ๊ะ! มือยายเย็นอย่างกับศพ!

                   “บอกมาเถอะ ไม่ได้มีโอกาสแบบนี้บ่อยๆ หรอกนะ”

                   แล้วบรรยากาศรอบตัวก็เย็นเยียบ ฉันมองซ้ายมองขวาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลยสักคน นี่มันเป็นตลาดแบบไหนกันถึงไม่มีคนเดินมาแถวนี้เลย ยายคนนี้ก็น่ากลัวแปลกๆ 

                   “เอ่อ แค่อยากให้ผ่านช่วงม.หนึ่งไปได้อย่างราบรื่นมั้งคะ พูดอะไรไปก็ให้เป็นจริงให้หมด” ฉันลูบแขนตัวเองเบาๆ ตรงที่โดนยายจับเมื่อกี้ หันมองซ้ายมองขวาอีกครั้ง

                   “แค่ช่วงม.หนึ่งเองเหรอ หนึ่งปี?”

                   “ค่ะ แค่นั้นก็พอแล้ว”

                   ในขณะที่ฉันกำลังมองหาความช่วยเหลืออยู่ เสียงรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ พอลองมองดูก็เห็นเป็นพี่วินที่ไม่มีผู้โดยสารซ้อนมาด้วยกำลังขับตรงมาทางนี้ ฟ้ามาโปรด! ฉันถอยห่างออกมานิดหน่อยพร้อมกับส่งยิ้มเจื่อนๆ ไปให้

                   “รถมาแล้ว เดี๋ยวหนูไปก่อนนะคะ” ไม่พูดเปล่า ครั้งนี้ฉันใส่เกียร์หมาสุดชีวิตแต่ถึงอย่างนั้นเสียงของยายก็ยังดังไล่หลังมา

                   “จะพูดอะไรให้คิดก่อน! และบางครั้งสิ่งเหล่านั้นอาจสัมฤทธิผลแม้จะเกินหนึ่งปีมาแล้ว!”

                   เอออ เอาเถอะยายยย จะอะไรก็ช่างแม่ง แต่ไม่อยู่แล้วโว๊ยยยยย

                   ฉันรีบกระโดดขึ้นรถมอเตอร์ไซค์พร้อมกับถุงขนมหลายถุงที่ไปฟาดหมวกกันน็อกของพี่วินอย่างจัง

                   “ขอโทษค่ะพี่ หนูรีบไปหน่อย”

                   “ไปไหนครับ”

                   “คอนโดซอยเจ็ดค่ะ”

                   ทันทีที่บอกปลายทางให้พี่วินรู้ รถก็เคลื่อนตัวออกจากตรงนั้นทันที ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมกับชวนพี่วินคุยคล้ายคนเก็บกด

                   “หนูหนียายที่เป็นแม่หมอมา น่ากลัวจัด มือก็โคตรเย็น พี่เห็นไหมว่ายายยิ้มให้หนูด้วยอะ ขนลุก!”

                   พี่วินไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากส่ายหน้านิดๆ ไม่รู้ว่าการปฏิเสธนั้นคือการบอกว่าไม่เห็นหรือกำลังหงุดหงิดที่ฉันเอาถุงขนมฟาดหัวไปอย่างไม่ตั้งใจกันแน่

                   นี่คือเรื่องราวทั้งหมดก่อนที่จะถึงวันเปิดเรียนวันแรก และถึงแม้จะเจอหมอดูประหลาดๆ เพื่อนประหลาดๆ แต่ที่ประหลาดที่สุดในตอนนี้คือฉันนี่แหละ

                   หลังจากที่เข้าเรียนมาวันแรกและเกิดหกล้มจนได้เจอรุ่นพี่สาวสวยมาช่วยเอาไว้ ฉันก็ทำตัวแปลกๆ อย่างไม่มีสาเหตุ ใจจริงฉันควรจะซาบซึ้งในน้ำใจและเดินเข้าไปทักทายทุกครั้งที่เจอกันหรือส่งยิ้มไปให้เป็นการทักทาย แต่กลายเป็นว่าคนห้าวเป้งที่ไม่กลัวใครอย่างฉันกลับต้องมาคอยหลบหน้ารุ่นพี่สาวสวยคนนั้นคล้ายกลัวอยู่ตลอดเวลา

                   “กินข้าวเช้ามากันยัง”

                   “ยัง/ยัง” ฉันและแคทตอบประสานเสียงคล้ายนัดกันมา

                   “ดี ฉันจะกินข้าวมันไก่ต้มใส่ตับ ใครเอาบ้าง”

                   “ไม่เอาอะ จะกินโจ๊ก” 

                   “มันจะไปอยู่ท้องอะไรเพื่อนแคท เช้าๆ ต้องข้าวมันไก่ของป้าจุ๋มเท่านั้น”

                   “เอ้า ปากก็ปากฉัน เงินก็เงินฉัน มายุ่งอะไรนิ๊”

                   “เอ้า แล้วจะตอบกวนตีนทำไมนิ๊”

                   “นิ๊อะไรนักหนา เป็นคนใต้หรือไงนิ๊”

                   “แกก็พูดนิ๊อีเปา!” เสียงของเพื่อนทั้งคู่ประสานเสียงกัน โดยที่มีฉันหัวเราะตามหลังมาด้วย

                   ทั้งๆ ที่เวลานี้ควรเป็นเวลาสามช่าแบบทุกที แต่แล้วสายตาของฉันก็ไปกระทบเข้ากับร่างขาวของใครบางคนที่กำลังเดินมาทางนี้

                   เวรแล้ว! รุ่นพี่คนสวยคนนั้น

                   “แต่ข้าวมันก็น่าสน ฉันกินข้าวมันไก่ด้วยดีกว่า”

                   “ดี เพื่อนแมนและเพื่อนแคทกินข้าวมันไก่แล้ว เพื่อนเปาจะกินอะไรจ๊ะ”

                   “เอ๊า อีเปาหายไปไหน”

                   เสียงของเพื่อนทั้งคู่ดังออกมาไม่ไกล อ้อ ไม่ต้องสงสัยหรอก เพราะทันทีที่เห็นรุ่นพี่คนสวยคนนั้นเดินมา ฉันก็รีบใส่เกียร์หมามานั่งหลบอยู่หลังต้นไม้ข้างทางทันที

                   “อีเปา ไปนั่งทับขี้ไก่อะไรตรงนั้น”

                   “ขี้ไก่!” ฉันกระเด้งตัวลุกขึ้นจากที่หลบภัยทันที แต่ดูเหมือนจะเจอเพื่อนหลอกเข้าเต็มๆ

                   “บ้าปะเนี่ย โรงเรียนเราเลี้ยงไก่ที่ไหน” เสียงหัวเราะของแมนดังลั่นพร้อมกับมายืนแนบข้างฉันพร้อมกับแคท

                   “หลบอะไรอะ”

                   เออ ฉันหลบอยู่นี่หว่า

                   พอคิดได้แบบนั้นก็รีบมองหาร่างของรุ่นพี่ทันที และเชื่อเถอะว่าคำว่าขี้ไก่ที่ฉันเพิ่งตะโกนออกไปเมื่อกี้มันดังมากพอที่จะทำให้คนแถวนั้นหันมามอง รวมถึงรุ่นพี่คนสวยคนนั้นด้วย...

                   ฉันสบตากับรุ่นพี่คนนั้นเพียงหนึ่งวิครึ่งไม่ทันได้ส่งยิ้มหรืออะไรแก้เขินด้วยซ้ำ ขาทั้งสองข้างก็เหมือนรู้งานรีบหันหลังแล้ววิ่งหนีออกมาทันที

                   “อีเปา! จะวิ่งไปไหนเนี่ย!” เสียงของแมนดังลั่นพร้อมกับร่างหนุ่มสาวทั้งสองคนที่วิ่งตามฉันมาด้วย

                   “จะตะโกนทำไมวะ! ไม่กลัวคนเขามองหรือไง”

                   “โอ๊ย! ยังจะกลัวคนมองอีก ที่แกวิ่งสี่คูณร้อยผ่านมาสองตึกนี่ไม่เป็นเป้าสายตาเลยมั้ง!”

                   “โดนมองเพราะแกสองคนวิ่งตามฉันมานั่นแหละ!”

                   “เออๆ อะไรก็เอาเถอะ แต่อีเปาแกหยุดวิ่งก่อน! ฉันกับอีแมนไม่ไหวแล้ว” เสียงของเพื่อนสาวพูดด้วยความเหนื่อยหอบ และนั่นทำให้ฉันชะงักขาทันที ตั้งสติแล้วหันกลับไปมองทั้งคู่แล้วสำรวจว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะมองเห็นรุ่นพี่คนสวยนั้นแล้วใช่ไหม

                   “แล้วจะวิ่งตามมาทำไม” เสียงหอบของฉันดังไม่แพ้กัน พร้อมกับขาที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อนทั้งสองคน

                   “ก็ไม่รู้ เห็นวิ่งเลยวิ่งด้วย” แมนพูดจบก็หย่อนตัวนั่งลงบนสนามหญ้าข้างบ่อน้ำของโรงเรียน

                   “แกวิ่งหนีอะไรวะ ถ้าไม่ติดว่าเป็นตอนกลางวันฉันจะคิดว่าวิ่งหนีผีแล้ว” แคทถามพร้อมหย่อนตัวนั่งข้างแมนด้วยอีกคน

                   “ก็ไม่มีอะไร แค่อยากออกกำลังกาย”

                   “ตอแหลแล้วหนึ่ง”

                   ฉันกลอกตาไปมาพร้อมกับหย่อนตัวนั่งลง เสียงหอบหายใจของเราทั้งสามคนดังประสานกันอยู่สักพัก ก่อนจะกลายเป็นเสียงถอนหายใจของฉันแทน

                   “หนีรุ่นพี่”

                   “รุ่นพี่? คนไหน แล้วหนีทำไม” แมนรีบถามพร้อมกับยกขาขึ้นกอดเอาไว้ สายตาเจาะลึกจ้องเขม็งมาหาคล้ายกำลังสอบปากคำผู้ร้ายอยู่

                   “รุ่นพี่ม.หก พี่เขาเคยช่วยฉันไว้ตอนหกล้มหน้าโรงเรียน”

                   “เอ้า แล้วหนีทำไม” แคทถามพร้อมทำหน้างง โดยที่แมนก็พยักหน้าคล้ายเห็นด้วย

                   “ก็นะ...”

                   ในตอนนี้ฉันเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดออกไปรวมทั้งเรื่องที่โดนถกกระโปรงด้วย และเพราะเรื่องนั้นเลยรู้สึกอายมาก แถมรุ่นพี่คนนั้นก็เป็นคนเดียวที่ฉันจำได้ว่าเธอเห็นเหตุการณ์อนาถๆ นั้นชัดแจ๋ว

                   “ฉันกับอีแคทก็เห็น ทำไมแกไม่วิ่งหนีบ้าง”

                   “ประทานโทษ จำไม่ได้เหรอว่าตอนที่แกสองคนทักเรื่องหกล้มฉันเกือบจะเปิดมวยคี่แล้ว”

                   “เออว่ะ แล้วทำไมกับรุ่นพี่แกไม่ไปท้าชกอะ”

                   “ก็เขามาช่วยฉัน ฉันจะไปท้าชกคนที่มาช่วยทำไม”

                   “แต่วิ่งหนีแทนเหรอ”

                   เราทั้งสามคนเงียบ ฉันยกมือขึ้นเกาหัวนิดๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำหน้าประหลาดแบบไหนออกไป “อือ ก็นะ มันค่อนข้างน่าอาย”

                   ทันทีที่พูดจบ แคทก็ใช้มือถกกระโปรงฉันขึ้นนิดๆ โดยที่ฉันก็มองการกระทำนั้นแล้วยกขาเตรียมจะถีบ

                   “ทำอะไรของแก”

                   แคทมองซ้ายมองขวา โดยที่ฉันก็มองตามด้วย อะไรของมัน อยู่ๆ ก็มาถกกระโปรงขึ้นแล้วทำหน้าประหลาด

                   “เอ๊ะ”

                   “เอ๊ะไร” แมนหันไปมองหน้าแคทด้วยความงง โดยที่ฉันก็ทำหน้าไม่ต่างกัน

                   “แถวนี้ก็มีคนอยู่หลายคนนะ แกไม่อายเรอะ”

                   “ไม่ ทำไม” ทันทีที่พูดจบแคทก็ทำท่าจะมาเปิดกระโปรงอีกครั้ง “เอ๊ะนังนี่ จะกวนตีนทำไม”

                   “ก็แกบอกหนีเพราะอาย แล้วนี่ฉันกับรุ่นพี่คนนั้นใครถกกระโปรงแกสูงกว่ากัน”

                   “แกมั้ง”

                   “แล้วทำไมแกไม่อาย”

                   “ก็แกเป็นเพื่อนฉัน”

                   “แต่แถวนี้ก็มีคนอยู่เยอะ ไม่เห็นแกจะรีบวิ่งหนีเลย”

                   ทันทีที่แคทพูดจบ แมนก็รีบเอาขาที่กอดเอาไว้ลง “หรือว่า จริงๆ แล้วแกไม่ได้อายที่หกล้มหรือโดนถกกระโปรงหรอก แกแค่ชอบรุ่นพี่คนนั้นถึงได้เอาแต่หลบ”

                   ทันทีที่แมนพูดจบ ฉันก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ประสาท ฉันจะไปชอบรุ่นพี่คนนั้นทำไม”

                   “ก็จริง แต่เอ๊ะ...”

                   “เอ๊ะอะไรนักหนา”

                   “นั่นใช่รุ่นพี่ที่แกวิ่งหนีมาเมื่อกี้ปะ”

                   ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นฉันก็รีบลุกขึ้นเตรียมวิ่ง แต่ก็โดนเพื่อนทั้งสองคนรั้งเอาไว้

                   “ฮันแน่ ไม่ใช่แล้วเพื่อนสาว หน้าแกไกลเกินคำว่าอายไปมาก”

                   “ไหนรุ่นพี่”

                   “หลอก”

                   “...”

                   “นี่มันหน้าตาของคนที่แอบชอบรุ่นพี่เว้ยอีเปา!” 

                   หน้าตาของคนที่แอบชอบรุ่นพี่? เอิ่ม...มีหน้าตาแบบนั้นอยู่บนโลกนี้ด้วยเหรอ

                   ฉันนิ่งค้าง พร้อมกับ...

                   ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง

                   “กริ่งดัง...”

                   “แล้วข้าวเช้าเราละ”

                   “ก็ไม่ต้องกินไง โอ๊ย เพราะแกคนเดียวเลยอีเปา”

                   หน้าตาเคียดแค้นของเพื่อนทั้งสองคนทำให้ฉันได้แต่เอือมระอา เพราะสุดท้ายมันก็โทษว่าเป็นเพราะฉันและให้ไถ่โทษด้วยการพาไปชี้ว่ารุ่นพี่คนนั้นเป็นใคร

                   แล้วก็นะ...ความขี้เผือกนี้ช่างเผยรังสีรุนแรงจนต้องจำใจพาไป

                   ฉันและเพื่อนอีกสองคนก็มายืนหลบอยู่ข้างตึกที่รุ่นพี่ม.หกจะเดินผ่านมาเพื่อขึ้นเรียน และทันทีที่ฉันชี้ให้เพื่อนทั้งสองคนดูว่าคนคนนั้นเป็นใคร เสียงของทั้งคู่ก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน

                   “สวยจัด/สวยโคตร”

                   “นะ เจอคนสวยขนาดนั้นมาช่วยไว้ก็ต้องหวั่นไหวกันบ้าง สรุปแล้วแกเป็นทอมใช่มะ” แมนพูดพร้อมมองฉันคล้ายคนที่เป็นพวกเดียวกันอะไรแบบนั้น

                   “เป็นทอมอะไร ยังหวีดผู้ชายในI Likeด้วยกันอยู่เลย”

                   “ไม่เห็นเกี่ยว เรามีสิทธิ์หวีดใครก็ได้ และชอบใครก็ได้เช่นกัน”

                   “ใจเย็นนะอีแมน เลิกยัดเยียดว่าฉันชอบรุ่นพี่สักที แล้วก็กลับห้องเถอะ เดี๋ยวสมรถึงห้องก่อนได้โดนด่าแน่”

                   “เออว่ะ วันนี้สมรคุมโฮมรูม” แมนและฉันรีบเดินออกมาจากที่หลบภัย แล้วเลิกคุยเรื่องชอบรุ่นพี่อะไรนั่นไป

                   “เรียกครูบาอาจารย์ห้วนๆ หน้าตาเฉยเลยนะสองคนนี้”

                   “อีหง่าว! แกน่ะนำ!”

                   และนี่คงเป็นเรื่องประหลาดของฉันอีกเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะรู้ว่าตัวเองมีพลังพิเศษอย่างดูดวงแม่น และถึงฉันจะเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วแต่ก็ยังคอยหลบหน้ารุ่นพี่สาวสวยคนนั้นอยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเพื่อนตัวดีสองคนที่ชอบแซวอย่างสนุกสนาน หรือถ้าหนักข้อหน่อยก็ตะโกนแหกปากว่ารุ่นพี่คนสวยขาเพื่อนหนูชอบเสียงดังแบบลอยๆ ในตอนที่รุ่นพี่คนนั้นอยู่ใกล้ๆ และก็เป็นฉันทุกทีที่ต้องใส่เกียร์หมาวิ่งหน้าตั้งหนีมาตลอด

                   แต่นะ ถึงแม้จะดูเหมือนทุกอย่างเกิดขึ้นไว แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าฉันเริ่มชอบรุ่นพี่คนนั้นจริงๆ  เพราะหลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนฟัง ตัวฉันเองก็เริ่มสังเกตรุ่นพี่คนสวยคนนั้นอย่างไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะตอนที่เธอพูด คุย ยิ้มแย้ม หรือแม้แต่ท่าทางการเดิน ทุกอย่างดูน่าสนใจอย่างประหลาด หรือไม่ความรู้สึกนี้ก็เกิดขึ้นหลังจากวิ่งหนี เพราะทุกครั้งที่วิ่งหัวใจก็จะเต้นแรงจากความเหนื่อย และดันทึกทักเอาเองว่านั่นคือการชอบรุ่นพี่จริงๆ 

                   แต่แล้ววันที่ฉันที่ไม่สามารถหนีได้ก็มาถึง...

                   “เจ้าแม่เปา ช่วยดูดวงให้พี่หน่อยได้ไหมคะ”

                   เสียงของรุ่นพี่ที่มายืนรออยู่หน้าห้องพูดขึ้น โดยที่เพื่อนคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยกันกลับบ้านแล้วเหลือเพียงฉันและเพื่อนอีกสองคนเท่านั้น

                   “เอาละอีเปา แกดังจนรุ่นพี่ที่ตัวเองคอยหลบหน้าอยู่ตลอดมาขอให้ดูดวงให้แล้ว” เสียงแมนกระซิบข้างหู โดยที่แคทก็พยักหน้าเสริมอีกคน

                   “รีบกลับบ้านกันหรือเปล่า ถ้ารีบไว้พี่มาใหม่ก็ได้นะ”

                   ในขณะที่ฉันกำลังทำหน้าตาเด๋อด๋าอยู่ เพื่อนอีกสองคนก็รีบเดินไปหารุ่นพี่สาวสวยคนนั้นด้วยหน้าตายิ้มแย้มและเชิญชวนยิ่งกว่าพนักงานขายประกัน

                   “ได้เลยค่ะ เชิญพี่เข้ามานั่งที่สำนักหนึ่งทับสิบก่อนนะคะ” แคทรีบจัดแจงพารุ่นพี่คนนั้นเข้าไปในห้องที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว โดยที่ฉันไม่ทันได้ปฏิเสธด้วยซ้ำ

                   “อีแคทพารุ่นพี่เข้าไปแล้วเนี่ย แล้วฉันจะกล้าดูดวงให้พี่เขาได้ไง แค่ยืนใกล้กันเมื่อกี้ก็ตื่นเต้นแทบบ้าแล้ว” ฉันกระซิบบอกแมนด้วยความร้อนใจ แต่เพื่อนสนิทกลับยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา

                   “สรุปแกยอมรับแล้วใช่มะว่าชอบพี่สีน้ำ”

                   “นี่มันใช่เวลาถามอะไรแบบนี้ไหมเนี่ย!”

                   “ตอบ!”

                   “กะ..ก็พวกแกนั่นแหละยุจนฉันชอบจริง!” ฉันอึกอักทำหน้าไม่ถูก ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างกล้าๆ กลัวๆ

                   “ว้าย ดีนะสีสันชีวิต ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทำไมแกไม่ถือโอกาสจีบรุ่นพี่เขาไปเลยละ เราเคยทดลองไปแล้วว่าเวลาที่แกตั้งใจจะพูดอะไรออกไปมากๆ คำพูดนั้นจะเป็นจริงจริงๆ งั้นก็ลองพูดให้ตัวเองสมหวังเป็นไง เป็นแฟนกับรุ่นพี่สาวสวยก็โคตรเจ๋งไปเลยไม่ใช่หรือไง”

                   “นี่จะให้ฉันจีบเอาเท่เหรอ”

                   “ก็ไม่เห็นเป็นไร ลองเปลี่ยนจากวิ่งหนีเป็นวิ่งตามจีบแทนน่าจะคูลกว่า บางทีความกล้าของแกรอบนี้อาจจะทำให้ไม่ต้องวิ่งหนีทุกครั้งที่เจอพี่เขาก็ได้”

                   จะว่าไปฉันก็เริ่มเบื่อที่จะวิ่งหนีแล้วเหมือนกัน แม้ทุกครั้งที่เจอจะยังวิ่งหรือไม่ก็หลบหลังต้นไม้อยู่ตลอดก็เถอะ

                   “มันจะดีเหรอวะ”

                   “ดีสิ พี่เขาก็ดูใจดีมากๆ อยู่นะ ต่อให้แกจีบไม่ติดพี่เขาก็ต้องเอ็นดูแกบ้างแหละ”

                   สายลมจากระเบียงทางเดินพัดผ่านวูบจนเส้นผมปลิวปรกหน้า ในช่วงเวลานั้นฉันเองก็เกิดนึกสนุกขึ้นมา มือยกขึ้นรีบจัดผมให้เข้าที่พร้อมกับหน้าตาที่มั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย

                   “ถ้าฉันอกหักขึ้นมาแกต้องรับผิดชอบด้วยนะ”

                   “เออ เดี๋ยวไปกระดกนมเย็นด้วย”

                   “ดี”

                   “แต่แกเลี้ยงนะ”

                   “ถุย! ไม่พ้นเรื่องหวังกินทุกทีเลยนังเพื่อนชั่ว!” ฉันพูดพร้อมหันไปมองด้วยสายตาเอาเรื่อง แต่เพื่อนสนิทอย่างแมนกลับหัวเราะออกมา

                   “ไปลองก่อน ถึงเวลานั้นอาจจะหวานหยดย้อยไม่ต้องพึ่งนมเย็นก็ได้”

                   “เอาจริง แกนี่เป็นคนที่โน้มน้าวคนเก่งจัดๆ”

                   “ธรรมดา คนสวยก็งี้” ฉันหรี่ตาลงอย่างเอือมระอา

                   “เอาเถอะ ยังไงชีวิตตั้งแต่เข้ามาโรงเรียนนี้มาก็ประหลาดอยู่แล้ว จะทำนายให้รุ่นพี่เป็นของฉันไปเลยมันจะเป็นอะไรไป!”

                   “หูย...เป็นของฉันเลยนะแม่สาวนักรัก”

                   “อีนี่ จะขัดทำไม”

                   “อะๆ สู้!”

                   และนี่ก็เป็นความมุ่งมั่นของเด็กอายุสิบสามที่เรียกได้ว่าประหลาดที่สุด

                   แต่ถึงมันจะประหลาด...ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันกำลังเรียนรู้ที่จะมีความรักครั้งแรกในชีวิตแม้คนคนนั้นจะเป็นผู้หญิงก็ตาม

                   แต่ใครจะสน! เพราะนี่คือเวลา...องค์ลง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×