คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : มีชุดให้เปลี่ยน
ตอนที่สิบ : มีชุดให้เปลี่ยน
เฮงซวย! ชีวิตแม่งเฮงซวยที่สุด!
ฉันเดินออกมาจากร้านอาหารที่เป็นกึ่งบาร์ด้วยความรีบร้อน น้ำตายังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย ขาทั้งสองข้างรีบเดินออกมาริมถนนพร้อมกับขมับที่ปวดจนอยากจะทิ้งตัวลงนอนมันซะตรงนี้ แต่สิ่งที่พอจะทำได้คงเป็นการเปิด Maps ว่าบาร์ที่เพื่อนอีกสองคนรออยู่ไกลจากที่นี่ไหม และเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดที่ต้องใช้เวลาเดินถึงยี่สิบนาที แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เลือกเดินไปเรื่อยๆ คล้ายกลัวว่าถ้าหยุดรอรถพร้อมกับยืนร้องไห้ไปด้วยจะเป็นจุดสนใจจากผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามากเกินไป
ฟุตบาทในกรุงเทพฯ เป็นอะไรที่โคตรเส็งเคร็ง ไม่ต่างอะไรกับชีวิตฉันตอนนี้เลย ในระหว่างทางที่เดินก็เกือบจะสะดุดล้มหัวแตกอยู่ถึงสามครั้ง แถมเรื่องที่เพิ่งเจอมายังเป็นอะไรที่ไม่ได้เตรียมใจไว้อีก ทะเลาะกับพี่แป้งใหญ่โต ส่วนคนที่เพิ่งกลับมาเจอกันวันนี้ก็ไม่รู้ว่าเห็นเหตุการณ์แค่ไหน
วันนี้มันวันอะไรวะ!
ฉันใช้เวลาเดินมาถึงร้านที่นัดเพื่อนไว้เกือบๆ ยี่สิบนาที พอมาถึงก็รีบเดินขึ้นชั้นบนที่มืดสลัวจนขาไปสะดุดเข้าบันไดขั้นสุดท้ายจนหกล้มเรียกสายตาของคนทั้งชั้นบนให้ต้องหันมามอง
สุดท้ายก็ล้มจนได้...
“เอ้า อีเปา!” เสียงของแคทดังแข่งกับเสียงดนตรีสดที่ดังออกมาจากลำโพง ความเจ็บแล่นเข้ามาจนทำให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง
“แม่งเอ๊ย! ฮือ...” เสียงของฉันดังลั่น ร่างกายไม่ได้ลุกขึ้นแบบที่ควรจะเป็น และนั่นทำให้แมนที่นั่งมองอยู่รีบลุกขึ้นมาช่วยพยุงฉันทันที
“แค่หกล้มทำไมต้องโวยวาย เอ้า...แกร้องไห้เหรอ”
และเมื่อเพื่อนทั้งสองคนเห็นน้ำตาที่ไหลออกมา ความเป็นห่วงเป็นใยก็มีเพิ่มมากขึ้นจากตอนแรกที่ดูเหมือนจะหัวเราะกัน ไม่เพียงแต่เพื่อนทั้งสองคนมาช่วย น้องพนักงานในร้านก็มาช่วยด้วยอีกคน และทันทีที่ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างปลอดภัย พนักงานคนเดิมก็รีบหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้
หัวเข่าฉันถลอกเป็นแผล แถมเลือดยังค่อยๆ ไหลลงมาบ่งบอกถึงความเจ็บที่มีอยู่ไม่น้อย
“อีเปา! เลือดไหลเลยอะ เจ็บมากใช่ไหมเนี่ย”
พอได้ยินแบบนั้นฉันก็ร้องไห้โฮออกมาจนเพื่อนทั้งสองคนนั่งไม่ติด ทั้งคู่ดูร้อนใจแบบที่ไม่รู้เลยว่าที่ฉันร้องไห้อยู่นั้นเป็นเพราะอะไร
“อีเปา ไปโรงพยาบาลกันเถอะ”
“ไม่!”
“แต่ดูเจ็บมากเลยไม่ใช่เหรอ ไปโรงพยาบาลนั่นแหละ อีแคท...เก็บของ”
“โรงพยาบาลก็ไม่ช่วย!”
“เอ้า...”
“ฉันทะเลาะกับพี่แป้งมา”
สิ้นเสียงของฉันเพื่อนทั้งสองคนก็มองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจพาฉันมาที่คอนโดของแมนที่ต้องใช้เวลาขับรถมาถึงสามสิบนาที ตลอดการเดินทางฉันร้องไห้ไม่หยุด และถึงแม้จะมาอยู่ที่ห้องของเพื่อนแล้วน้ำตาก็ยังคงไหลไม่ขาดสาย
“ไหน ไปเจออะไรมาอีก”
“เขาทำอะไรแก”
เพื่อนทั้งสองคนมองหน้าฉันด้วยความเคร่งเครียด ขวดไวน์และกระป๋องเบียร์นานาชนิดถูกเอามาตั้งเรียงไว้ด้านหน้า คล้ายรู้ว่าฉันในตอนนี้ต้องการสิ่งเหล่านี้มากแค่ไหน
“วันนี้ฉันไปเจอ ..พี่แป้ง.. กับ..อึก พี่สีน้ำ”
“อือ แล้วยังไงต่อ เอ๊ะ เดี๋ยวนะ...พี่อะไรนะ”
“พี่...สีน้ำ”
“พี่สีน้ำ? สีน้ำไหนวะ” แมนหันไปถามแคท โดยที่แคทก็ทำหน้าคิดก่อนจะทำหน้าตกใจออกมา
“พี่สีน้ำที่เป็นเพื่อนพี่แป้งสมัยมัธยมอะนะ”
“รักแรกแกอะเหรอ”
ฉันพยักหน้า ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยเสียงที่ยังคงสะอื้นอยู่ เพื่อนทั้งคู่ฟังอย่างตั้งใจสลับกับตกใจไปด้วย แล้วเมื่อฉันเล่ามาถึงตรงที่ตัวเองสะดุดล้มเสียงร้องไห้โฮก็ดังออกมาอีกครั้ง
“นี่มันวันเฮงซวยอะไรวะ ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย!”
“ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ” แคทพูดพร้อมลูบหลังฉันอย่างปลอบโยน
“แต่รอบนี้พี่แป้งทำเกินไปว่ะ ก็เข้าใจแหละว่าถ้าพี่เขาเมาแล้วจะเป็นแบบนี้ แต่นี่กะจะเอากับแกในห้องน้ำตอนที่มีเพื่อนนั่งรออยู่นี่มัน...ว่าไงดีวะ แย่อะ ไม่โอเค”
“แล้วเรื่องที่แย่ที่สุด..คือฉัน” เสียงสะอื้นยังคงดังแข่งกับคำพูด “ดันไปบอกว่า..อยากนอนกับ..พี่สีน้ำ อึก..มากกว่านอนกับพี่แป้ง..แล้วพี่เขา..ก็มาได้ยิน”
แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาแบบคุมสติไม่ได้ พอรู้ว่าตัวเองแย่มากแล้วเลยหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นมากระดกอึกๆ จนเพื่อนต้องคอยห้ามไว้
“อีเปา! ค่อยๆ กิน กะจะกระดกหมดในทีเดียวเลยหรือไง!”
“เออ! ฉันไม่ไหว!” สิ้นเสียงนั้น เพื่อนทั้งสองคนก็เลิกห้ามเพราะรู้ว่าเมื่อไรก็ตามที่ฉันเอ่ยคำว่าไม่ไหวออกไปแปลว่าไม่ไหวจริงๆ
กว่าจะรู้ตัวเวลาก็ล่วงเลยมานานมาก ตอนนี้เพื่อนทั้งคู่หลับคาโซฟาที่เราใช้นั่งดื่มเบียร์กันไปแล้ว พอทุกอย่างอยู่ในความเงียบ บุหรี่รสชาติคุ้นเคยก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ควันสีขาวถูกปล่อยออกไปพร้อมกับกระป๋องเบียร์ที่ถูกกระดกสลับกันไปมา สายตาเลื่อนลอยมองออกไปยังวิวระเบียงห้องที่เห็นท้องถนนที่ไม่มีรถสัญจรอยู่เลย เสียงที่พอจะทำลายบรรยากาศที่แสนเงียบนี้ไปได้บ้างคงเป็นเสียงฟึดฟัดจากจมูกที่บ่งบอกว่าฉันร้องไห้มาหนักแค่ไหน
มือเริ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า มองหน้าจอที่มีการแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับอยู่หลายสิบสาย ไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่าเป็นใคร เว้นเสียแต่มีเบอร์หนึ่งที่แปลกออกไป
‘P’Seenam 1 missed call’
สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอนั้นด้วยความรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งฉันก็หนีออกมาแบบไม่บอกอะไรพี่เขาเลย และถึงแม้จะรู้ตัวว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นไม่ดี แต่ในทุกๆ สถานการณ์ที่เคยเจอมาก็ไม่เคยหาทางออกที่ดีมากกว่าการหนีได้เลยสักครั้ง
ริมฝีปากเริ่มสูดควันเข้าไปอีกครั้ง โทรศัพท์มือถือถูกโยนกลับเข้าไปในกระเป๋าเหมือนเดิม น้ำตาที่เคยหยุดไปแล้วค่อยๆ ไหลออกมาใหม่ และครั้งนี้ฉันยืนไม่อยู่ ขาทั้งสองข้างหมดเรี่ยวแรงทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกับความเจ็บจากหัวเข่าที่แล่นแปลบอย่างคนที่ลืมตัว
เหนื่อย...เหนื่อยจนไม่อยากคิดอะไรแล้ว
11 ปีก่อน
“เปา”
“พี่แป้ง”
ฉันเรียกชื่อรุ่นพี่สมัยอยู่โรงเรียนเก่าด้วยความตกใจ แต่รุ่นพี่กลับทำหน้าดีใจเมื่อได้เจอฉัน
“มาทำอะไรที่นี่ มาเที่ยวเหรอ” เธอถามฉันพร้อมกับมองซ้ายมองขวาเพราะเห็นฉันนั่งมองวิวภูเขาอยู่เพียงลำพัง
“จะว่ามาเที่ยวก็ได้ค่ะ”
“พักที่นี่ใช่ไหม ดีเลย...พี่เพิ่งมาฝึกงานที่รีสอร์ตนี้วันแรก อยากได้อะไรบอกพี่ได้เลยนะ จะบริการอย่างดี”
“ไม่เจอกันนานยังใจดีเหมือนเดิมเลยนะคะ...” ฉันส่งเสียงเยินยอไปให้เธอพร้อมกับรอยยิ้มที่เริ่มแต่งแต้มบนใบหน้า “แต่จริงๆ เปาไม่ได้พักที่นี่หรอกค่ะ แค่แอบเข้ามาน่ะ”
“อ้าว ตายละ...พี่จะถูกไล่ออกไหม” เธอพูดพร้อมมองซ้ายมองขวาอีกครั้ง คล้ายคนที่ทำอะไรสักอย่างผิดมา “ถ้าโดนจับได้ห้ามบอกว่ารู้จักกับพี่นะ เดี๋ยวจะโดนข้อหาพาคนนอกเข้ามาตั้งแต่วันแรกที่ฝึกงาน”
ฉันหัวเราะออกมาให้กับท่าทางน่ารักนั้น ร่างกายเริ่มขยับเว้นที่ให้เธอมานั่งด้วยกัน
“มานั่งด้วยกันสิคะ”
“จะดีเหรอ ถึงจะพักอยู่ก็เถอะ...” เธอทำหน้าลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมเดินมานั่งข้างกัน “ถ้าโดนว่าต้องบอกว่าพี่พยายามเกลี้ยกล่อมให้เปาออกไปจากรีสอร์ตนะ”
“ได้เลยค่ะ” ฉันตอบรับในทันที ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรแม้เราจะเพิ่งได้เจอกันใหม่อีกครั้งก็ตาม
“ว่าแต่เปามาเที่ยวกับใคร ทำไมใส่ชุดนักเรียนมาเที่ยว”
“ไม่ได้มาเที่ยวค่ะ เปาย้ายกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว”
“อ้าว พี่เข้าใจว่าเปาอยู่ที่ชล”
“เปล่าค่ะ เปาอยู่เชียงใหม่นี่แหละ แต่ช่วงม.หนึ่งต้องย้ายไปเรียนที่นั่นเพราะพ่อกับแม่ต้องไปทำงาน”
“อ๋อ แล้วพ่อแม่ทำงานอะไรอะ ต้องย้ายจังหวัดด้วย เท่จัง”
“ก็ขายของทั่วไป เก็บค่าเช่า หรือบางทีก็มีเป็นหุ้นส่วนกับคนอื่นๆ เรื่องงานของที่บ้านเปาไม่ค่อยรู้เรื่องเลยค่ะ”
“ดูรวยนะเนี่ย เหมาะกับหน้าตา” เธอพูดพร้อมพยักหน้าไปมาแบบคนที่บรรลุอะไรสักอย่าง
“อย่าชมสิคะ เดี๋ยวเปาเกิดอยากอวดขึ้นมาจะทำยังไง”
“อวดเลย พี่ไม่ใช่พวกขี้อิจฉา”
ฉันเลิกคิ้วสูง บทสนทนาธรรมชาตินี้ทำให้เสียงหัวเราะดังออกมานิดๆ ฉันเริ่มหันหน้าไปทางบ้านหลายหลังที่เป็นโซนแยกออกมาจากรีสอร์ต และเป็นตำแหน่งที่สามารถมองวิวภูเขาได้สวยที่สุด “เห็นบ้านตรงนั้นไหมคะ ที่มีบ้านสามหลังอยู่ด้วยกัน”
“อ๋อ บ้านเจ้าของรีสอร์ตน่ะเหรอ ทำไม? จะบอกว่าเป็นบ้านเปาเหรอ” เธอหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะนั่งกอดอกยืดคอแล้วพูดต่อ “ถ้าเป็นบ้านเปาพี่จะยอมถวายตัวเลย จะขอเปาแต่งงาน ชาตินี้จะได้สบายไม่ต้องทำงานอีก”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ บางทีอาจจะต้องทำงานเยอะก็ได้ เพราะเจ้าของบ้านดูมีธุรกิจหลายอย่าง”
“แสดงว่าเป็นคนแถวนี้แน่ๆ เคยเจอเจ้าของไหม ใจดีหรือเปล่า”
“เคยเจอบ่อยเลยค่ะ ใจดีมาก อ้อ เจ้าของรีสอร์ตนี่ขยันมากเลยนะคะ ทั้งขายของ เก็บค่าเช่า แล้วก็เป็นหุ้นส่วนกับหลายๆ ธุรกิจด้วย”
“นี่จะโยงเข้าพ่อแม่ของตัวเองใช่ไหม พล็อตเป๊ะเลยนะ ไม่เอาแบบที่พี่จับได้สิ อวดอะไรที่พี่จับไม่ได้แล้วก็ต้องเชื่อแน่ๆ หน่อย” หน้าตาท้าทายของพี่แป้งเรียกให้รอยยิ้มของฉันยิ่งเด่นชัดขึ้น
“งั้นอวดนามสกุลได้ไหมคะ”
“จัดมาเลย” เธอพูดพร้อมเริ่มยกมือขึ้นมาเท้าคางอย่างตั้งใจ สายตาขี้เล่นที่ดูใจดีขึ้นมากกว่าช่วงสามปีที่แล้วทำให้ฉันได้แต่หัวเราะออกมานิดๆ
“เปาใช้นามสกุล...เกียรติปิยะเทวาค่ะ”
“อื้อ นามสกุลดูรวยจริงด้วย..แต่เดี๋ยวนะ” ไม่พูดเปล่า จากที่เคยเท้าคางมองด้วยสายตาขี้เล่นก็เริ่มมีอาการตกใจนิดๆ “บ้า ไม่ใช่หรอกมั้ง”
เธอพูดพร้อมหยิบมือถือรุ่นที่มีปุ่มกดคล้ายๆ แป้นพิมพ์โน้ตบุ๊กออกมา ปลายนิ้วกดนามสกุลที่ฉันเพิ่งจะบอกลงไปใน Google และไม่นานรูปภาพครอบครัวที่เคยได้ลงนิตยสารธุรกิจเล่มหนึ่งเมื่อปีก่อนก็เด่นชัดขึ้น
“นี่เปา...เป็นลูกเจ้าของรีสอร์ตเหรอ?”
“พอจะอวดได้ไหมคะ?”
“นี่พี่ทำตัวไม่ถูกเลยนะ”
“ทำไมคะ...”
“ก็...จะว่าไงดี”
“...”
“ช่างมันเถอะ...แต่เปาไม่คิดจะทำเหมือนในละครที่สุดท้ายมาจิกหัวใช้พี่เพราะหมั่นไส้ใช่ไหม”
“เปาดูหมั่นไส้พี่แป้งเหรอคะ”
“ก็เปล่า แค่ตอนอยู่โรงเรียนกันเปาดูไม่ค่อยชอบพี่เท่าไร แถมคำทำนายที่เปาดูให้ครั้งแรกยังทำให้พี่คิดมากจนนอนไม่หลับอีก”
“คำทำนายแรก?”
“อื้อ จำได้ไหม”
“จำไม่ได้เลยค่ะ เปาดูดวงให้คนอื่นเยอะมาก เยอะจนไม่รู้แล้วว่าพูดอะไรออกไปบ้าง”
อ้อ ยกเว้นคำทำนายสุดท้ายที่บอกพี่สีน้ำไปนะ
“เปาทำนายว่าความรักที่ดีมากๆ กำลังรอพี่อยู่ แต่ต้องใช้ระยะเวลาอยู่พอสมควร แล้วคนคนนั้นก็จะมาช่วยให้พี่ผ่านพ้นปัญหาที่เจอไปได้ แต่พอสามารถผ่านพ้นเรื่องแย่ๆ ได้แล้ว พี่กลับเป็นคนที่ทำร้ายเขา แม้จะรู้ว่าเขารักพี่มากก็ตาม”
“โห นี่เปาพูดอะไรแบบนั้นออกไปด้วยเหรอคะ”
“ยังไม่หมดนะ”
“...”
“เปายังบอกอีกว่าพี่จะต้องทำร้ายเขา เพราะถ้าพี่ทำไม่ดีใส่เขา เขาจะได้เจอกับรักแท้ที่เป็นคู่กันจริงๆ ส่วนพี่ก็จะได้พบกับรักแท้หลังจากที่ตัดขาดจากเขาได้แล้ว”
ฉันทำหน้าตกใจกับสิ่งที่รุ่นพี่พูด คนที่เธอต้องทำร้ายนั่นหมายถึงฉันหรือเปล่า
เอ๊ะ...หมายถึงฉันเหรอ
แล้วดวงตาก็ค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับสติที่เริ่มกลับมา ตอนนี้ท้องฟ้าตรงระเบียงห้องเริ่มมีแสงแดดสาดส่องจนทำให้การหลับฝันนั้นขาดตอนไป
อะไรกัน...อยู่ๆ ภาพในอดีตก็กลายมาเป็นความฝัน
ทันทีที่พยายามลุกขึ้นยืน ภาพตรงหน้าก็หมุนติ้วบ่งบอกถึงอาการแฮงค์จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปแบบนับไม่ถ้วน ความเจ็บตึงที่หัวเข่ามีมากขึ้นเมื่อพยายามลุกขึ้นยืนให้ได้เต็มความสูง ฉันสะบัดหน้าไปมาอยู่สองสามที ก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองเผลอหลับอยู่ที่ระเบียงห้องตั้งแต่เมื่อคืน แถมเพื่อนอีกสองคนก็ยังคงนอนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน
“นี่ ไม่ไปทำงานกันเหรอ”
“งาน!” เสียงของแคทดังลั่น ร่างเล็กของเพื่อนสาวลุกขึ้นพรึบก่อนจะหยุดนิ่ง “วันนี้วันอาทิตย์...นอนต่อละ”
ฉันจ้องมองการกระทำที่รวดเร็วนั้น ก่อนจะเรียกชื่อใครอีกคนที่นอนอยู่
“แมน...แมน”
“...”
“อีแมน!” มือค่อยๆ ยกขึ้นกุมขมับเมื่อแรงปวดมีเพิ่มมากขึ้นคล้ายสมองจะระเบิดออกมา
“ว่า...” เสียงงัวเงียดังตอบอย่างหงุดหงิด และนั่นทำให้ฉันต้องเดินไปเขย่าตัวเพื่อนสนิทอย่างเลี่ยงไม่ได้
“มียาแก้แฮงค์ไหม”
“อยู่ในลิ้นชักชั้นบน”
“ชั้นไหน”
“ข้างเตียง”
ฉันเดินไปตามตำแหน่งที่เพื่อนบอก และทันทีที่ได้ยามาก็รีบหยิบเข้าปากก่อนจะเดินไปเอากระเป๋าที่กองอยู่ที่พื้นระเบียงห้องมาถือไว้ “ฉันกลับก่อนนะ”
ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา ส่วนฉันก็พยายามเดินลงลิฟต์ให้ได้จนมาถึงหน้าคอนโดที่เช้านี้รถดูน้อยกว่าวันอื่นๆ ไม่มีแท็กซี่ผ่านมาแถวนี้เลย จะเรียกรถเองแบตมือถือก็หมดไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
เสียงลมหายใจค่อยๆ ถูกพ่นออกมาอย่างคนที่ไร้เรี่ยวแรง ฉันยืนรอรถอยู่แบบนั้นคล้ายไม่มีหนทางอื่นให้เลือกแล้ว
แต่ทว่าอยู่ๆ มีรถคันหนึ่งก็มาจอดอยู่ตรงหน้า บานกระจกค่อยๆ เลื่อนลงพร้อมกับใบหน้าของใครบางคนที่ตัวเองมองไม่ชัด
“เปา ขึ้นรถมาสิ...”
“ใครคะ?” ฉันพยายามหรี่ตามองเจ้าของเสียง อาการเมาค้างยังคงมีอยู่มากแม้จะทานยาไปแล้วก็ตาม
“ขึ้นรถมาเร็ว พี่ขวางทางรถคันอื่นอยู่”
“ใครคะเนี่ย แต่เอ๊ะ..อ้าว มาได้ยังไงคะ แล้ว...” ฉันมองซ้ายมองขวา พยายามตั้งสติว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้หลอนไปเองใช่ไหม
ยังไม่ทันที่จะหาคำตอบอะไรได้ ประตูฝั่งคนขับก็ถูกเปิดออก เธอเดินมาหาฉันด้วยท่าทางเร่งรีบพร้อมกับหยิบกระเป๋าในมือของฉันไปถือไว้เอง
“ยังใส่ชุดเดิมอยู่เลยนี่ กลิ่นเหล้าคลุ้งเชียว ขึ้นรถเถอะเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“พี่สีน้ำ...มาได้ยังไงคะ”
“ก็เปาเองไม่ใช่เหรอที่โทร.บอกให้พี่มารับ”
“คะ?”
นี่ฉันเมาขนาดไหนกัน...
แล้วสุดท้ายตัวเองก็ต้องยอมขึ้นมานั่งบนรถกับรุ่นพี่คนสวย ไม่สิ ขึ้นมานั่งบนรถกับคุณหมอ เอ๊ะ หรือจะต้องเรียกว่าพี่สีน้ำดี หรือว่าควรจะเรียก...เฮ้อ เลิกคิดก่อน ตอนนี้ปวดหัวชะมัด
“ดื่มไปเยอะเลยเหรอ” เสียงของคนที่อยู่ข้างกายถามขึ้น เธอยังคงมองถนนด้านหน้าไม่ได้หันมามองกันแต่อย่างใด
“ก็...จำไม่ได้เลยค่ะว่าดื่มไปเท่าไร”
“คงจะเยอะแหละ กลิ่นแรงเชียว” ฉันทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับความรู้สึกผิดที่ค่อยๆ แล่นเข้ามาในอก
“เอ่อ...ให้เปาลงตรงนี้ก็ได้ค่ะ เกรงใจ”
“ไม่เป็นไร พี่แค่ถามดูน่ะไม่ได้พูดเพื่ออยากจะให้เปาลงจากรถหรอก...ว่าแต่จะให้พี่ไปส่งที่ไหนนะ”
แล้วภาพของพี่แป้งที่อาจจะรออยู่ที่ห้องก็เด่นชัดขึ้น มือรีบหยิบมือถือขึ้นมาแต่ก็ต้องถอนหายใจที่หน้าจอไม่โชว์อะไรเลย “เปาขอชาร์จมือถือหน่อยได้ไหมคะ”
“เอาสิ”
ฉันวางมือถือไปบน Wireless Charger ของตัวรถ นั่งจ้องอยู่แบบนั้น และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานรูปผลไม้ก็เริ่มแสดงผลขึ้นมาที่หน้าจอบ่งบอกว่าโทรศัพท์มือถือใกล้จะพร้อมใช้งานแล้ว
“สรุปแล้วเปาจะให้พี่ไปส่งที่ไหนนะ”
“เดี๋ยวพี่สีน้ำไปส่งเปาที่โรงแรมแถวๆ นี้ก็ได้ค่ะ”
“โรงแรม?”
“ค่ะ”
“ทำไมให้ไปส่งที่โรงแรมล่ะ” เธอถามพร้อมกับตัวรถที่จอดสนิท สายตาที่สงสัยขั้นสุดหันมามองกันอย่างคนที่ต้องการคำตอบอะไรสักอย่าง
“ก็...” ฉันอึกอัก ไม่รู้จะบอกยังไงว่ากลัวกลับไปเจอใครบางคนที่ห้อง ให้ตายเถอะ ทำไมก่อนออกจากห้องเพื่อนถึงคิดไม่ได้ว่าไม่ควรกลับตอนนี้นะ “กลับห้องตอนนี้น่าจะยังไม่เหมาะค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“...”
“ขอโทษนะ พี่เผลอถามมากไป”
“ไม่เป็นไรค่ะ เปาไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว”
ฉันส่งยิ้มบางๆ ไปให้ ขมับเริ่มปวดขึ้นมาอีกครั้งคล้ายไม่อยากคิดอะไรนอกจากนอนพักอีกสักงีบ
“งั้นเอาแบบนี้สิ”
แล้วเสียงมุ่งมั่นของคนข้างตัวก็ดังขึ้น เธอทำหน้าคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ไปอยู่ห้องพี่ก่อน อย่างน้อยห้องพี่ก็มีชุดให้เปลี่ยน”
ความคิดเห็น