ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Meb E-Book ] Predict คำทำนายของเธอ…คือฉัน [YURI]

    ลำดับตอนที่ #1 : 07 : 37 น.

    • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 66


    ตอนที่หนึ่ง

    07:37 น.

     

                   คำทำนาย...

                   สิ่งที่ผู้คนชื่นชอบและมักเสาะหาเพื่อให้รู้คำตอบในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ทั้งไพ่ เสี่ยงเซียมซี หรือแม้แต่ดูลายมืออะไรพวกนั้น แต่สำหรับฉันสิ่งเหล่านั้นคือเรื่องไร้สาระ ถ้าทำนายถูก ผู้คนก็พร้อมจะเฮแล้วบอกว่านี่แหละแสนแม่น แต่ถ้าไม่ถูกขึ้นมาคนส่วนมากก็จะลืมไปแล้วเลือกดูคำทำนายใหม่ เหมือนรอคำตอบที่ถูกใจหรือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ ในอนาคตมากกว่า

                   ในหลายๆ ครั้งฉันคิดว่าคนพวกนั้นหลอกตัวเอง พวกคนใจร้อนที่อยากได้คำตอบที่ไม่แน่นอนมาปลอบใจตัวเอง หรือบางครั้งอาจยิ่งทำให้ตัวเองรู้สึกแย่มากกว่าเดิม ฉันคิดว่าการเอาความรู้สึกอะไรแบบนั้นไปลงกับคำทำนายมันดูไม่สมเหตุสมผล 

                   เพราะงั้นฉันไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด!

                   แต่นะ....ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน

                   

                   พ.ศ. 2551

                   “นักเรียนที่มาถึงโรงเรียนแล้ว ขอความกรุณาไม่ยืนออกันหน้าประตูโรงเรียนนะคะ”

                   เสียงจากลำโพงตัวใหญ่ของโรงเรียนดังกึกก้องทะลุมาจนถึงริมถนน ผู้คนที่เคยยืนเรียงรายอยู่หน้าประตูเริ่มทยอยกันเข้าทันทีคล้ายรู้ว่าประโยคที่ประกาศเมื่อกี้นี้คือคำสั่งมากกว่าการขอร้อง

                   ฉันที่ยืนหลบอยู่หลังเสาไฟฟ้าข้างถนนรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดูเป็นรอบที่ร้อย ทำไมเวลามันเดินช้าแบบนี้นะ แถมคนก็เริ่มเข้าโรงเรียนกันไปเยอะแล้วด้วย เฮ้อ...การมาโรงเรียนวันแรกแถมไม่มีเพื่อนอยู่ด้วยนี่มันน่าเศร้าจริง แต่จะทำไงได้ ในเมื่อนี่เป็นการเข้าเรียนม.ต้นครั้งแรกในชีวิตของฉัน

                   แล้วใครเขาเรียนม.ต้นสองรอบกัน

                   ฉันกลอกตาให้ตัวเองอยู่หนึ่งทีถ้วน ก่อนจะมาร้อนรนอีกครั้ง ใครจะคิดว่าการย้ายโรงเรียนในจังหวัดที่ไม่คุ้นชินจะน่ากังวลมากขนาดนี้ กังวลถึงขนาดยอมตกปากรับคำเชิญดูดวงในวันก่อนเปิดเทอม

                   ใช่...ฟังไม่ผิดหรอก ถึงแม้ฉันจะไม่เชื่อเรื่องคำทำนายเลย แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนไปเดินตลาดแถวคอนโดแล้วเจอคุณยายแต่งตัวรุงรังคนหนึ่งกำลังนั่งรอใครสักคนอยู่ ดูเหงาหงอย แถมยังมีกระดาษเอสี่ที่เขียนด้วยปากกาเมจิกว่า ‘ดูดวงเก้าสิบเก้าบาทจ้า เชิญจ้าเชิญ’ แล้วในตอนนั้นคุณยายก็เรียกฉันไปหาซะด้วย จะทำเมินเลยก็ไม่ได้ เลยต้องตกปากรับคำให้คุณยายลองทำนายดวงชะตาให้ และสิ่งที่ถามออกไปก็ไม่ใช่เรื่องความรัก การเงิน หรืองานอะไรแบบนั้น แน่สิ...นี่ฉันเพิ่งจะอายุสิบสามนะ จะไปสนใจเรื่องพวกนั้นทำไม สิ่งที่กังวลมีอยู่เรื่องเดียวคือจะเข้ากับโรงเรียนใหม่ที่มีนักเรียนนับพันได้ไหมต่างหาก

                   ‘หนูจะต้องก้าวเท้าขวาเข้าโรงเรียนตอนเจ็ดโมงสามสิบเจ็ดนาที ถ้าทำแบบนั้นจะเจอแต่เรื่องดีๆ’

                   คำพูดที่เหมือนเป็นการพูดลอยๆ กลับทำให้ฉันรู้สึกว่า...ถ้าลองเชื่อก็คงไม่เสียหายละมั้ง

                   “เจ็ดโมงสามสิบเจ็ดแล้วอีหง่าว รีบเดิน!”

                   “หง่าวไรวะ”

                   “ก็สิ่งมีชีวิตที่ร้องหง่าวๆ คืออะไรเอ่ย”

                   “แมว”

                   “แล้วแกชื่อไร”

                   “แคท”

                   “เออ นั่นแหละ โรงเรียนใหม่ ชื่อใหม่”

                   “เรียกชื่อแคทแบบออริจินอลเถอะ ขอร้อง”

                   เสียงของนักเรียนสองคนพูดคุยกันมาแต่ไกล และเมื่อได้ยินแบบนั้นฉันก็รีบสาวเท้าเข้าประตูโรงเรียนอย่างรวดเร็วตัดหน้าสองคนนั้นไป ยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วมองว่าเข็มวินาทีผ่านไปกี่วิแล้ว เสียเงินตั้งเก้าสิบเก้าบาท ถ้าไม่ลองทำตามก็ไม่รู้ว่าเงินที่เสียไปจะคุ้มไหม เอาวะ! ก้าวเท้าขวา ก้าวเท้าขวา เสียงในหัวดังกึกก้อง ก่อนจะก้าวเท้าขวาไปด้วยความมั่นใจ

                   กึก...

                “แว๊ก!”

                   เฮงซวย! อีเสียงกึกนั่นไม่ใช่เสียงเดิน แต่เป็น...

                   มือที่ถือกระเป๋าไว้ยอมปล่อยให้มันร่วงลงพื้น พร้อมกับร่างกายที่พยายามพยุงตัว แต่เมื่อเอาน้ำหนักลงไปที่เท้าความเจ็บแปล๊บก็แล่นจนการทรงตัวผิดแปลก ร่างเซไปด้านหลังจนบั้นท้ายกระแทกประตูรั้วเหล็กจนดังปังสนั่นหวั่น ไหว เรียกสายตานักเรียนหลายสิบคู่ให้หันมามอง พอรู้ว่าเสียงประตูนั้นดังแค่ไหนก็รีบแอ่นตัวโน้มมาข้างหน้า  และสิ่งที่ได้คือต้องยอมเอาหัวเข่าจุ้มปุกกระแทกพื้นไปอย่างตั้งใจ ในตอนแรกมีเสียงตกใจของใครหลายๆ คน แต่เพียงไม่นานเสียงเหล่านั้นกลับกลายเป็นเสียง...หัวเราะ

                   ฮืออ...อะไรวะเนี่ย! ไหนบอกว่าถ้าก้าวเท้าขวาตอนเจ็ดโมงสามสิบเจ็ดนาทีจะมีแต่เรื่องดีๆ ไง!

                   “อ้าวลูก ทำไมไม่เดินให้ดี” อาจารย์ที่ยืนอยู่ไกลออกไปรีบเดินมาช่วย แต่หน้าตายังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่

                   ทั้งๆ ที่ฉันกำลังอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แต่ข้อเท้าที่เพิ่งพลิกกลับเจ็บเกินกว่าจะพยุงตัวให้ลุกขึ้นรีบวิ่งหนีไปได้ ส่วนหัวเข่าก็แสบมากเหมือนจะได้แผลด้วย หมอดูเฮงซวย! คอยดูเถอะถ้าไปตลาดแล้วเจออีกจะเอาเงินคืนเรียกค่าเสียหายซะให้เข็ด!

                   “เป็นอะไรไหม”

                   ในขณะที่ฉันกำลังมองอาจารย์ที่กำลังเดินอมยิ้มมาหา เสียงหวานแสนไพเราะของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น มือขาวเนียนที่ยื่นมาตรงหน้าเรียกความสนใจให้ต้องหันไปมองทันที

                   “ลุกไหวหรือเปล่า” เธอถามซ้ำ และสิ่งที่ฉันได้เห็นก็คือ

                   แม่เจ้า! ผู้หญิงอะไรสวยขนาดนี้ ผมยาว ตาสวย ปากนิดแต่จมูกโด่ง ตัวเล็กๆ แถมผิวก็ขาวจั๊วะจนคล้ายมีออร่าออกมาจากตัว นี่เด็กมัธยมสวยได้ขนาดนี้เลยเหรอ...

                   ฉันยังตะลึงงึนงัน อ้าปากค้างหวอไม่ได้รับความหวังดีนั้นมาในทันที จนมือขาวของคนตรงหน้าเริ่มมีอาการเกร็ง เธอหันซ้ายหันขวาก่อนจะถอยหลังกลับไปหยิบกระเป๋ามาส่งให้ฉันแทน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังนั่งนิ่งอยู่แบบเดิม เธอตัดสินใจสะพายกระเป๋าเป้ของฉันไว้ที่แขนข้างหนึ่งของตัวเอง ก่อนจะยื่นมือมาให้จับอีกครั้ง 

                   และแน่นอน ฉันลังเล...แต่ก็ยังยอมยื่นมือไปจับมือเธอเอาไว้ เข็มนาฬิกาบอกว่าตอนนี้เป็นเวลา 

                   ‘เจ็ดนาฬิกาสามสิบเจ็ดนาที ห้าสิบห้าวินาที’

                   และ...มือเธอนิ่มมากเลย

                   ฉันใช้มืออีกข้างดันตัวเองลุกขึ้น และเมื่อยืนเต็มความสูงคนที่มาช่วยไว้ก็ดูจะตัวเล็กลงไปทันที แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ รีบเขย่งขาไปนั่งบนเก้าอี้ไม้หินอ่อนที่อยู่ไม่ไกลนัก ส่วนคนสวยดั่งนางฟ้าที่เห็นฉันนั่งอย่างปลอดภัยแล้วก็รีบวางกระเป๋าไว้ให้ข้างตัวก่อนจะย่อตัวลงไปแล้วจับกระโปรงฉันถกขึ้น

                   ธะ..เธอถกกระโปรงฉันทำไมเนี่ย!

                   “ทำอะไรคะ”

                   “ขอโทษที พี่เปิดนิดเดียวไม่มีใครเห็นหรอก อ่า...หัวเข่าถลอกด้วย เจ็บไหม” เธอพูดด้วยหน้าตาเป็นห่วง แต่ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป “อาจารย์คะ หนูว่าเท้าน้องคงพลิก ต้องให้ใครมาช่วยพยุงไปห้องพยาบาลแล้วละค่ะ”

                   เธอพูดโดยที่ไม่มีอาการขำขันเหมือนคนอื่นๆ และเมื่อเธอเรียกฉันว่าน้อง สายตาก็รีบสำรวจไปที่ปกเสื้อพร้อมกับเห็นด้ายสีชมพูที่ถูกปักเป็นรูปดาวเรียงกันอยู่สามดวง ถ้าของฉันเป็นรูปสามเหลี่ยมหนึ่งดวง นั่นหมายความว่ารูปดาวของเธอก็หมายถึง ม.ปลาย แถมอยู่ ม.หกแล้วด้วย

                   “ขอบคุณนะคะ” ฉันยกมือไหว้ไปอย่างเด็กเด๋อตัวสูงคนหนึ่ง แต่รุ่นพี่ที่แสนดีกลับโบกมือไปมา

                   “ไม่เป็นไรๆ วันหลังเดินดีๆนะ” ฉันได้แต่พยักหน้าตอบรับไปอย่างเก้ๆ กังๆ 

                   หลังจากนั้นอาจารย์ก็ไล่ให้นักเรียนไปเข้าแถวเหลือฉันไว้เพียงลำพัง แต่ก่อนที่รุ่นพี่คนนั้นจะหายไป ฉันก็รีบอ่านชื่อที่ปักอยู่ตรงช่วยอกอย่างคนที่อยากรู้ คนอะไรหน้าตาก็สวย มือก็นิ่ม แถมชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ก็ยังดูน่ารักอีก

                   สีน้ำ...

                   ฉันว่านะ บางทีตัวเองคงไม่ต้องไปเอาเงินเก้าสิบเก้าบาทคืนจากหมอดูแล้วละ ถึงวันแรกของการมาเรียนจะเส็งเคร็ง แต่ก็ได้เจอคนน่ารักๆ ที่ทำให้รู้ว่าโรงเรียนนี้สภาพแวดล้อมอาจจะดีมากๆ ก็ได้

                   ใช่ วันนี้ต้องมีแต่เรื่องดีๆ สิ!

    ✿✿✿

                “อีหง่าว นี่ใช่คนที่เท้าพลิกหน้าประตูโรงเรียนปะ”

                   ซะที่ไหน ดันมีคนเห็นตอนฉันล้มหน้าโรงเรียน แถมยังมาอยู่ห้องเดียวกันอีก ชีวิตฉันนี่มันช่างเส็งเคร็งจริงๆ

                   “โอ๊ยอีแมน ถามดังขนาดนั้นทำไมแกไม่ถามเขาเองเลยละ”

                   “เออเนอะ” ไม่พูดเปล่า นักเรียนชายหญิงคู่นั้นก็รีบจ้ำอ้าวมาหาฉันที่นั่งอยู่กลางห้องอย่างไว “เธอๆ ได้ล้มตรงหน้าโรงเรียนเมื่อเช้าปะ?”

                   “อีนี่! ไปถามเขาแบบนั้นเขาก็อายตายสิ”

                   “อ้าวเหรอ”

                   “ว่าแต่เธอใช่คนที่ล้มหน้าโรงเรียนแล้วแอ่นตัวเป็นท่าปลาโลมาจนหัวเข่ากระแทกพื้นปะ?” พอผู้หญิงคนนั้นพูดจบ เพื่อนสองคนก็หันไปหัวเราะให้กันคล้ายมันเป็นมุกตลกที่เลี่ยงไม่ได้

                   “อ่า” ฉันตอบไปเพียงแค่เสียงอ่าอย่างไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป “ไม่ใช่”

                   “แต่ที่หัวเข่ามีผ้าก็อตแปะอยู่ด้วยนะ ต้องใช่สิ” ผู้ชายท่าทางตุ้งติ้งตอบ ก่อนจะใช้มือลูบคางตัวเองคล้ายมีเคราให้ลูบอะไรแบบนั้น

                   แล้วจะมาถามทำมะเขืออะไรไม่ทราบ!

                   “อือ เราเองแหละ เห็นกางเกงในเหรอเลยมาถาม หรือจะมาหัวเราะย้อนหลังละ” ความหงุดหงิดที่เริ่มมีมากขึ้นทำให้พูดจาหมาไม่รับประทานออกไป และนั่นทำให้ทั้งสองคนนิ่งเงียบ มองหน้ากันคล้ายส่งกระแสจิตสื่อสารว่าจะตบฉันในอีกสามวิข้างหน้า

                   “เอาละอีแมน ฉันว่าเราปล่อยคนแบบนี้ไว้ไม่ได้ละ”

                   เมื่อสิ้นเสียงของผู้หญิงคนนั้น เธอก็หันมามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหรี่ตาลง

                   เห็นทีมาเรียนวันแรกคงต้องแวะเข้าห้องปกครองแล้วมั้ง แต่เอาเถอะ ถึงมาสองฉันก็ไม่เกี่ยงหรอก

                   “ยินดีต้อนรับสู่กลุ่มสาวสวยใจแกร่ง”

                   “เอ๊ะ?”

                   แล้วเวลาของการเรียนคาบเช้าก็จบลงอย่างงงๆ เรียกว่าไม่ได้เรียนเลยเถอะ อาจารย์ก็มาแนะแนว แนะนำ แนะนั่นนี่ให้บอกชื่อจริงชื่อเล่นกับคนในห้องและกฎต่างๆ ที่ต้องทำอะไรแบบนั้น

                   และฉัน...ที่เป็นเด็กกลางห้องก็ต้องย้ายมานั่งหลังห้องพร้อมกับรู้ตัวว่าตอนนี้ได้เข้าแก๊งสาวสวยใจแกร่งอะไรนั่นแล้ว ชื่อเห่ยเป็นบ้า ใครมันเป็นคนคิด แถมเรียกตัวเองว่ากลุ่มแต่ทั้งกลุ่มมีแค่สองคนนั้นกับฉันที่เพิ่งเข้ามาเมื่อกี้ ตลกสิ้นดี กะจะเตรียมใจตบประกาศฝีมือที่ไม่เป็นรองใครซะหน่อย กลายมาเป็นต้องมานั่งตบมุกที่คู่นี้ส่งมาแทน

                   “แล้วเปาย้ายมาชลบุรีนานยังอะ”

                   “ไม่นาน เพิ่งมาตอนปิดเทอมนี่แหละ”

                   “แล้วก่อนหน้านี้อยู่ที่ไหนอะ” คนที่ชื่อแคทถามคล้ายซักประวัติ ส่วนฉันในตอนนี้ก็ทำได้แค่ตอบๆ ไป

                   “อยู่บนดอย”

                   “แล้วเป็นแขกหรือเปล่า”

                   “ไม่นะ เป็นคนไทย”

                   “นึกว่าเป็นแขกดอย” สิ้นเสียงของแคท เพื่อนสนิทคู่นี้ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะยื่นมือจับกันคล้ายเตรียมตัวประกวดดาวตลกอะไรแบบนั้น

                   “พวกเธอนี่ตลกเนอะ”

                   “ธรรมดา เขาว่าสวยมักนกตลกมักได้ งั้นเราก็จะเป็นคนสวยที่ตลก เพราะไม่นก แถมได้ด้วย ที่ได้นี่หมายถึงได้หมดนะคะคุณพรี่ รุกรับทูๆ ไปเลย”

                   “สิบคะแนนไปเลยอีแมน!”

                   แล้วคู่นี้ก็วี๊ดว้ายเฮฮากันอีกรอบ อะไรวะเนี่ย! นี่ฉันยังไม่ได้เริ่มเรียนก็เริ่มปวดหัวแล้วนะ!

                   ทั้งๆ ที่วันแรกคิดแบบนั้น แต่พอนานวันเข้า ฉันก็กลายเป็นคนที่คล้ายๆ กับสองคนนี้ มุกห้าบาทสิบบาทเริ่มแทรกเข้ามาในหัวอย่างน่าตกใจ เหมือนที่มีคนบอกไว้ว่าถ้าเราอยู่ใกล้ใครมากๆ นิสัยของคนคนนั้นก็จะซึมซับมาที่เราด้วย

                   กว่าจะรู้ตัว กลุ่มฉันที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มสาวสวยใจแกร่งก็กลายเป็นกลุ่มสามช่าในสายตาเพื่อนๆ แบบงงๆ เออ ก็ไม่งงหรอก คนอื่นจะเรียกแบบนั้นก็ถูกแล้ว

                   “แก๊งสาวสวย มาจ้า!” 

                   เสียงของแมนดังลั่นหลังจากที่เข้าแถวตอนเช้าเสร็จ ไม่เพียงแค่เสียงเด็กผู้ชายแสนแหล่มนั้นที่ดังออกมา แต่ยังมีเสียงตบโต๊ะอีกหลายทีเพื่อเรียกความสนใจเสริม นิตยสารเล่มหนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับหน้าตากรุ้มกริ่มที่เหมือนจะอดใจรอไม่ไหว

                   “I Like เล่มใหม่จ้า”

                   “ว้าว อีแมน ซื้อเร็วมาก เปิดเลยจ้ะเพื่อนรัก อย่ารอช้า”

                   แล้วทั้งคู่ก็สุมหัวกันมาที่โต๊ะของฉัน อ้อ ขออธิบายการนั่งก่อน เพราะแถวที่เรานั่งเรียนคือแถวหลังสุด เพราะงั้นโต๊ะที่อยู่หลังห้องจึงมีแถวกลางที่มีสามโต๊ะเรียงกัน ซึ่งแคทอยู่ฝั่งซ้าย ฉันนั่งกลาง และแมนนั่งอยู่ฝั่งขวา ตอนแรกฉันบอกให้ทั้งคู่นั่งใกล้กัน แต่ทั้งสองคนก็ยืนยันเสียงแข็งว่าอยากให้ฉันนั่งตรงกลาง เพราะสองคนนี้สนิทกันมาตั้งแต่ประถมแล้ว เลยอยากให้ฉันสนิทด้วยเร็วๆ ในตอนแรกที่ได้ยินก็แอบซึ้งอยู่ แต่เวลาผ่านไปก็ทำให้รู้ว่าคู่นี้ทำไปเพราะมีเหตุผล และเหตุผลนั้นก็คือเพื่อขอลอกการบ้านฉันได้สะดวกมากขึ้น เป็นไงละ กลุ่มสาวสวยใจแกร่งนี่ต้องแกร่งจริงๆ 

                   ไม่ใช่คู่นี้ที่แกร่งนะ แต่เป็นฉันนี่แหละที่ต้องฝืนใจไม่ให้เปิดมวยสามคนเข้าสักวัน

                   “ไหนราศีฉันนน”

                   เสียงของแคทดังลั่น ก่อนจะรีบไล่กวาดสายตาพร้อมกับมีเสียง นี่ไง! ดังออกมา แล้วการดูดวงก็ดังขึ้นอีกครั้งคล้ายเป็นเรื่องปกติ

                   “มาเปา เดี๋ยวจะอ่านดวงให้ฟัง”

                   “อะ ว่ามา” แม้ฉันจะไม่ชอบเท่าไหร่ แต่การฟังก็ดูเหมือนจะมีส่วนร่วมกับเพื่อน งั้นก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

                   “ดวงของคุณค่อนข้างวุ่นวายเลยทีเดียวแหละ ต้องปรับตัวกับอะไรหลายๆ อย่าง คุณเหมือนจิ้งจกที่เกาะอยู่ตามกำแพงห้องน้ำ”

                   “คำทำนายอะไรวะนั่น” ฉันพูดออกไปพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน

                   “เออ ฟังไปก่อน” แล้วคิ้วที่เคยขมวดก็กลายเป็นเส้นตรงแทน ฉันพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วฟังต่อ

                   “คุณปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดี เพราะงั้นการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ส่วนการเงินก็อยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างเสมอตัว ได้มาเท่าไหร่ใช้ไปเท่านั้น” 

                   แน่สิ เลิกเรียนก็เอาแต่ชวนให้ไปกินนู่นซื้อนั่น ค่าขนมไม่หมดก็แย่แล้ว

                   “ส่วนความรัก...” หนุ่มสาวหยุดทุกการกระทำ ก่อนจะทำหน้าประหลาดๆ ให้คล้ายอยากแซวเสียเหลือเกิน ซึ่งมันเป็นท่าทางที่แสดงออกมาทุกครั้งหลังจากที่อ่านดวงมาจนถึงความรัก

                   “คนมีแฟนความรักราบรื่นดี ส่วนคนโสดจะมีคนมาทำให้หัวใจสั่นไหว เพราะงั้นสำหรับคนโสดที่อยากสละโสด คุณต้องงัดเอาความสามารถพิเศษของคุณออกมาใช้ และประกาศให้โลกรู้ว่าคุณนี่แหละคือคนที่มีความดึงดูดมากแค่ไหน!”

                   “ว้าว/ว้าว” เสียงว้าวดังพร้อมกันแล้วหันมามองฉันอีกครั้ง

                   “ว้าวอะไรก่อน ความสามารถพิเศษคืออะไร ต้องไปยืนรำแพนหางเหมือนนกหว้าเพื่อดึงดูดความสนใจตัวเมียเรอะ” ฉันพูดพร้อมโบกมือไปมา และนั่นทำให้เพื่อนทั้งคู่รีบทำตาโตใส่ฉันทันที

                   “นกหว้าคืออะไร” เสียงแมนดังขึ้น

                   “ไปเปิดgoogleในวิชาคอมดูนะ”

                   “แล้วทำไมต้องดึงดูดตัวเมีย” แต่สิ่งที่แคทถามทำให้ทั้งคู่มองหน้ากัน

                   “เมื่อกี้ฉันพูดว่าตัวเมียเหรอ”

                   “ใช่สิ”

                   “พูดไปงั้นแหละ ก็นกหว้าตัวผู้มันรำแพนหางดึงดูดตัวเมีย เลยพูดไปตามเนื้อเรื่องที่รู้”

                   “อ๋อ”

                   แล้วประเด็นนั้นก็จบไป พร้อมกับคาบโฮมรูมที่เริ่มขึ้นหลังจากที่เราทั้งสามคนดูดวงเสร็จ

                   ฉันคิดว่าชีวิตม.ต้นคงไม่มีอะไรเกี่ยวกับดวงไปมากกว่านี้แล้วแหละ จนกระทั่งอยู่ๆ เรื่องหมอดูลายมือแสนแม่นก็เริ่มดังในโรงเรียน พอโรงเรียนเลิกนักเรียนหลายต่อหลายคนก็จะไปต่อคิวดูดวงกับหมอดูที่มาเปิดร้านอยู่หลังตลาดใกล้โรงเรียน และไม่ต้องสงสัยเลย ทั้งแมนและแคทก็ลากฉันไปด้วย

                   บอกตามตรงว่าโคตรไม่แม่น เสียเงินเปล่า ตอนแรกๆ ก็ไม่ว่าอะไร แต่พอนานวันเข้าทั้งคู่พาไปดูบ่อยจนน่าหงุดหงิด พูดถูกแค่20% ก็เหมารวมว่าแม่น งงไหม ใครไม่งงแต่ฉันงง กว่าจะรู้ตัวก็เป็นตอนที่ระเบิดมาลงกลุ่มของเรา

                   “ไม่ไปแล้วโว๊ย! แม่นก็ไม่แม่น ให้ฉันดูให้ยังจะแม่นซะกว่า!”

                   แล้วเชื่อเถอะว่าคำพูดนั้นช่างเหมือนการเอาเชือกมาผูกคอตัวเอง จากการดูดวงก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นพนันเล็กๆ ของเด็กม.หนึ่งอย่างฉัน

                   “เอาซี่ ถ้าแกทายอนาคตไม่แม่นต้องเลี้ยงข้าวพวกฉันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ แต่ถ้าแกทายแม่น ฉันกับอีหง่าวจะเลี้ยงข้าวบวกปังเย็นหลังเลิกเรียนทุกวันหนึ่งเดือน!” เสียงหนักแน่นดังขึ้น พร้อมกับเพื่อนในห้องคนอื่นที่เริ่มสนใจและมารุมกลุ่มเราอยู่สามสี่คน

                   “อีแมน! บ้านมึงผลิตเงินหรือไง เลี้ยงเป็นเดือนเลยนะ” แคทเริ่มโวยวาย และนั่นทำให้หนุ่มน้อยตุ้งติ้งได้แต่กระแทกข้อศอกใส่เพื่อนสาวไปหนึ่งที

                   “แกไม่คิดว่าเราจะได้แดกข้าวฟรีหรือไงวะ อีเปามันเดาไม่แม่นหรอก”

                   “เออว่ะ”

                   พอได้ยินคำสบประมาทแบบนั้น ฉันที่เป็นพวกยอมแพ้ไม่ได้ก็รีบถกแขนเสื้อนักเรียนที่สั้นอยู่แล้วขึ้นนิดๆ หึ การเดาอนาคตของสองคนนี้จะไปยากอะไร!

                   “เอาซี่”

                   “แต่ห้ามทายของฉันกับอีหง่าวนะ ทายเพื่อนในห้องสักสามคนแทน”

                   เวร...เมื่อกี้มันแอบอ่านความคิดของฉันหรือไงกัน

                   แล้วความซวยก็บังเกิด สงสัยฉันต้องเตรียมเงินมาเลี้ยงข้าวเพื่อนอาทิตย์หนึ่งแล้วละมั้ง เฮ้อ ปากหนอปาก พูดอะไรทำไมไม่คิดก่อนนนน

                   ถึงแม้ในใจจะคิดแบบนั้น แต่เมื่อคาบเรียนวันนี้จบลง ก็มีเพื่อนในห้องสามคนมายืนต่อแถวให้ฉันดูดวงให้คล้ายบอกว่าเรื่องที่เดิมพันกันไว้ไม่สามารถปัดตกไปได้

                   “อะ จะดูด้วยวิธีไหน” แคทพูดพร้อมกอดอก โดยมีแมนยืนพยักหน้าอยู่ข้างกาย ถามจริง...สองคนนี้มันอยากเป็นเพื่อนฉันหรือตั้งใจคบเพื่อหลอกให้เลี้ยงข้าวกับลอกการบ้านกันแน่

                   “ดะ ดูลายมือก็ได้” เมื่อพูดออกไป มือของเพื่อนคนที่หนึ่งก็นั่งลงตรงข้าม พร้อมกับยื่นทั้งสองมือมาให้

                   “เริ่มเลยเปา” เสียงของเจ้าของมือพูดด้วยท่าทางตื่นเต้น ก็เข้าใจแหละนะว่าชอบดูดวงกัน แต่นี่มันเหมือนมาให้คนพูดสุ่มๆ มั่วๆ เลยไม่ใช่เหรอ จะมาตื่นเต้นกับการเดิมพันของกลุ่มเราทำไม ไม่เข้าใจ

                   “อืออออ” ฉันทำเป็นหรี่ตาลงนิดหน่อย ขยับมือไปมาพร้อมกับพลิกไปดูหลังมือด้วย

                   “ดูลายมือสำนักไหนเขาดูหลังมือด้วยวะ” แมนพูดก่อนจะยื่นหน้ามาดูแล้วถอยกลับไป

                   เออ ก็จริงของมัน ไม่รู้แล้วว้อย! พูดส่งๆ ไปแล้วกัน พอคิดได้แบบนั้นฉันก็รวบรวมสมาธิ พร้อมกับพิจารณารูปร่างหน้าตาของเพื่อนตรงหน้า จะว่าไปก็น่ารักใช่ย่อยเลยนะ หน้าตาสะสวย ดูเรียบร้อย อืมมมมม

                   “อีกไม่นานจะมีรุ่นพี่มาชอบ แต่อย่าไปรับรักละ เขาเจ้าชู้ อันตราย ให้รอรุ่นพี่คนที่สองที่มาจีบแทน จะราบรื่นกว่า คนต่อไป” เมื่อพูดจบ คนต่อไปก็เตรียมพร้อมแล้วเอามือมาตั้งไว้บนโต๊ะทันที

                   คนนี้เรียนเก่ง แต่ดูผิดหวังกับการเรียนถ้าได้คะแนนไม่เต็ม ฉลาดน่าดู ไม่น่าสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ

                   “การเรียนโอเคแล้วนะ อย่ากดดันตัวเอง ยิ่งกดดันจะยิ่งแย่ ให้ทำใจให้สบาย ทุกครั้งที่คะแนนไม่ได้ดั่งใจให้ยิ้มรับ แล้วรอบต่อไปคะแนนจะดีขึ้น คนต่อไป”

                   คนนี้ดูเป็นสาวเปรี้ยว มีอุทัยทิพย์ติดตัวตลอด หวี กระจก แถมเพื่อนในกลุ่มก็ดูแรงๆ ทั้งนั้น ทำตัวน่าหมั่นไส้ด้วย เดาอะไรดีวะ

                   “อย่าไว้ใจเพื่อนมาก เพื่อนที่สนิทกันอยู่ตอนนี้จะมีปัญหาเรื่องชิงสิ่งที่รัก แล้วจะลงเอยที่ตบกันจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต”

                   เมื่อคนสุดท้ายถูกทำนายจบ ฉันก็หันไปหาเพื่อนของตัวเองอีกสองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดอะไรสักอย่างอยู่

                   “ทำไรกันอะ”

                   “ก็จดที่แกทำนายไง ถ้าไม่ใช่ตามที่พูดนะ เตรียมตัวหาเงินมาเลี้ยงข้าวพวกฉันได้เลย”

                   ทำไมตอนเรียนมันไม่จริงจังกันเท่านี้บ้างวะ แต่เอาเถอะ ไว้พกเงินมาเผื่อไว้แล้วกัน

                   “ว่าแต่คำทำนายทั้งหมดนี่จะรู้ตอนไหนอะ” แล้วเพื่อนที่ดูดวงคนแรกก็ถามขึ้น ฉันที่พูดส่งๆ ไปได้แต่มองขึ้นเพดานห้องเรียนเหมือนจะหาคำตอบได้ถ้ามองหาจิ้งจกเจอ อือ...แล้วจะรู้ไหมเนี่ยว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะเป็นจริง ร้อยปีจะเป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้

                   “แล้วปกติดูดวงกันเขาจะใช้เวลาแค่ไหนอะ”

                   “ก็มีหมดนะ รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน”

                   แล้วทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ ถ้าเกิดภายในวันเดียวก็คงไม่มีทางเป็นไปได้ งั้นสักเดือนแล้วกัน จะได้มีเวลาทำใจที่ต้องโดนสองคนนี้หัวเราะเยาะด้วย

                   “หนึ่งเดือน” ฉันพูด ก่อนจะดึงสมุดที่แคทใช้จดคำทำนายของฉันมาลงวันที่ไว้

                   “เค เซ็น สัญญานี้ถ้าใครผิดคำพูดไม่มีเงินเลี้ยงข้าวเพื่อนต้องเป็นเบ๊ให้อีกคนตามจำนวนวันที่ไม่ได้เลี้ยงข้าว” แมนพูดจบก็รีบเซ็นชื่อตัวเองเป็นคนแรก พร้อมกับฉันและแคทที่ลงชื่อไปทีหลัง

                   “ได้ อีกเดือนมาดูกัน!”

                   แล้วอีกเดือนที่ว่านั้นก็ไม่ได้นานอะไร เวลาของโลกใบนี้ช่างผ่านไปเร็วเป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องที่ไม่ปกติก็คือ

                   “นี่จะนั่งอมขี้กันอีกนานไหม” ฉันพูดออกมาในขณะที่เพื่อนทั้งสองคนกำลังนั่งมองจานข้าวของตัวเองอยู่ที่โรงอาหาร 

                   จริงๆ ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีเรื่องราวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแสนฉลาดที่มาบอกว่าทำคะแนนได้ไม่เต็ม แต่ก็ทำตามที่ฉันบอก ลองยิ้มให้กับคะแนนที่ได้ พอยิ้มเสร็จ งานหลังจากนั้นก็ได้คะแนนเต็มมาตลอด

                   เอาจริง คำทำนายที่เป็นจริงยังไม่ประหลาดเท่ายิ้มให้กระดาษคำตอบเลย คนบ้าอะไรทำตามไปหมด

                   ส่วนเพื่อนแสนเปรี้ยวก็เพิ่งตบกับเพื่อนสนิทไปเมื่อสามวันก่อนเพราะแย่งไอศกรีมที่เหลือแท่งเดียวไป ไร้สาระสิ้นดี ฉันว่าคู่นั้นคงเขม่นกันอยู่แล้วแหละ แต่แค่เอาไอศกรีมมาเป็นประเด็นให้ลงไม้ลงมือกัน ส่วนเพื่อนอีกคนที่สวยๆ ก็มีรุ่นพี่ที่ท่าทางเจ้าชู้มาจีบจริงๆ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะเชื่อคำทำนายของฉัน

                   อย่าว่าแต่อีหง่าวกับอีแมนตกใจเลย ฉันก็ตกใจที่เรื่องทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจริงๆ

                   “เอาน่าอีแมน อย่างน้อยก็ยังไม่มีรุ่นพี่คนที่สองอะไรนั่นมาจีบแพรนะ” ชื่อเพื่อนแสนสวยถูกพูดออกมา และนั่นทำให้ทั้งคู่หันหน้าไปปลอบใจกัน ส่วนฉันก็ได้แต่พยักหน้าไปด้วย เออ...แล้วฉันจะพยักหน้าทำไมวะ ตัวเองจะเสียเงินแท้ๆ

                   “ใช่มะอีแคท ไม่มีทางที่จะมีรุ่นพี่คนที่สองมาจีบแพรอีกคนหรอก..”

                   “น้องแพรครับ! พี่ชอบน้อง!”

                   แล้วเสียงรุ่นพี่ม.หกคนหนึ่งก็ดังลั่นโรงอาหาร เรียกสายตาทุกคู่ให้หันไปมองพร้อมกับเสียงฮือฮาที่ดังตามมาด้วย โดยที่เพื่อนทั้งสองคนของฉันก็ถลึงตาใส่กัน พร้อมกับส่ายหน้าไปมา

                   “อีแมน มึงบอกกูสิว่าไม่ใช่แพรห้องเรา”

                   เวลาเดียวกันนั้น...เราทั้งสามคนก็หันไปมองตามเสียงอย่างรวดเร็ว

                   และนั่น...มันแพรห้องฉัน!

                   “วะฮาฮ่า” เสียงหัวเราะของฉันดังลั่นห้อง พร้อมกับหน้าของเพื่อนสนิทอีกสองคนที่เหมือนอมบอระเพ็ดไว้ในปาก “ในเมื่อข้าวกลางวันฉันออกเงินไปแล้ว งั้นวันนี้เอาแค่ปังเย็นหลังเลิกเรียนไปก่อนแล้วกัน”

                   “มันทำนายถูกได้ไงวะ” แมนกระซิบกระซาบกับแคทด้วยความไม่เข้า

                   “เออ คำทำนายโคตรเป็นไปไม่ได้ แต่ดันเป็นจริงหมดเลย” ทั้งคู่มองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ แล้วหันมาหาฉัน

                   “อีเปา เอาจริงๆ นะ”

                   “ว่า”

                   “วันนี้พวกฉันไม่มีเงินแล้วอะ ยืมเงินแกก่อนได้ไหม”

                   “ยืม?”

                   “ก็เลี้ยงปังเย็นแก”

                   “ยืมเงินฉัน เพื่อมาเลี้ยงฉัน?” เพื่อนทั้งสองคนพยักหน้าหงึกหงัก 

                   “น่านะเพื่อนเปา ยืมเงินหน่อย เดี๋ยวคืน”

                   “ถามจริง นี่พวกแกสองคนเป็นโจรในคราบเพื่อนใช่ไหม”

                   “ใช่”

                   แมนตอบอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฉันที่ยกเท้าขึ้นเตรียมถีบให้หงายหลังไปทั้งคู่ “พวกไม่สำนึก!”

                   “กรี๊ด!” เสียงกรี๊ดเกินจริงดังขึ้น และนั่นก็มาพร้อมกับเสียงของเพื่อนคนอื่นๆ

                   “เปา ดูลายมือให้บ้างสิ”

                   แล้วเรื่องถีบสองคนนั้นก็จบไป กว่าจะรู้ตัวฉันก็กลายเป็นคนดังของโรงเรียนแบบงงๆ พร้อมกับฉายาที่ทุกคนใช้เรียกเวลาเจอหน้าว่า ‘เจ้าแม่เปา’ 

                   ประหลาดไหม ประหลาดแหละ อยู่ๆ ฉันก็กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของโรงเรียนที่แค่เดินผ่านโรงอาหาร ขนมมากมายก็จะมากองเรียงไว้ตรงหน้า ดีที่ตอนนี้เป็นพวกขนมแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มีแต่น้ำแดง ถ้าไม่เอ่ยปากว่าขอเป็นอย่างอื่นก็คงต้องกินน้ำแดงจนเบาหวานขึ้น อ้อ ยังไม่ได้เป็นก็ขึ้นได้ ถ้าจะต้องกินแบบนั้นทุกวัน ไม่เพียงแต่พวกนักเรียนในชั้นหรือรุ่นพี่เท่านั้นที่ขอให้ฉันดูดวงให้ ป้าร้านขายข้าวยันป้าร้านขายน้ำก็พลอยเอากับเขาด้วย และนั่นทำให้ฉันได้กินข้าวฟรีบ้าง น้ำฟรีบ้าง หรือแม้แต่ได้เยอะกว่าคนอื่นและถูกกว่าคนอื่น เรียกได้ว่ามีสิทธิพิเศษมากกว่าดาวโรงเรียนซะอีก 

                   ในตอนนี้ชื่อเสียงของฉันโด่งดังมาก ดังถึงขนาดที่ได้คุยกับคนคนหนึ่งอีกครั้ง

                   ผู้หญิงที่มาพร้อมกับเวลาเจ็ดนาฬิกาสามสิบเจ็ดนาที

                   “เจ้าแม่เปา ช่วยดูดวงให้พี่หน่อยได้ไหมคะ”

                   เสียงหวานของรุ่นพี่คนสวยดังขึ้น และนั่นทำให้หัวใจของฉันเต้นโครมครามทันทีที่สายตาไปกระทบเข้ากับนม เอ่อ หมายถึงชื่อที่ปักอยู่เหนือหน้าอกนั้น

                   พี่สีน้ำ...

    #####

    ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×