คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 8
ตอนที่ 8
สำหรับไกรแล้ว คงจะจำอดีตเพื่อนในกลุ่มคนนี้ได้ดี เพราะชายคนนี้เมื่อครั้งยังเด็ก เป็นคนที่พูดล้อเขาว่าเป็นเด็กกำพร้า เด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ จนกระทั่งถูกกุ้งไล่ออกจากกลุ่มไป และเวลานี้ เขาก็ได้ขึ้นมาสืบทอดกิจการร้านขายของชำในตัวเมืองแทนพ่อแม่แล้ว แต่ถึงเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม โชคก็ยังคงเหมือนเดิม ยังเป็นพวกขี้โอ่ ชอบทำตัวโอเวอร์เช่นเดิม และเมื่อเจอหน้าไกรหรือเลิศในแต่ละครั้ง ก็ไม่วายต้องหาเรื่องแขวะตลอด
ผู้หญิงที่แต่งตัวล่อตะเข้ที่เดินควงมากับโชคก็คือ ‘ฉวี’ เป็นลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านสมัย เธอมีศักดิ์เป็นคู่หมั้นของโชคนั่นเอง ซึ่งพึ่งจะตกลงหมั้นกันเมื่อไม่นานมานี้
“ได้ข่าวว่าพวกมึงยิงช่วยคนไม่ได้ คนเลยถูกไอ้เข้งาบไปแดกเหรอ อยากหัวเราะให้ฟันร่วง ทำกันอีท่าไหนวะ ถึงพลาดซะได้ ฮ่า ๆ ๆ” โชคหัวเราะลั่น
“ไอ้โชค มึง !!” เลิศเลือดขึ้นหน้า ปรี่เข้าจะทำร้ายโชค แต่ไกรรีบรั้งตัวไว้
“โอ๊ะๆๆ คุณตำรวจ จะทำร้ายประชาชนเหรอครับ เดี่ยวผมทำเรื่องร้องเรียนลงหนังสือพิมพ์ดีไหมนี่ …”
“ไอ้โชค ไอ้เลว !!”
ไกรกับผาต้องช่วยกันรั้งตัวเลิศไว้ ก่อนที่เลิศจะมือไวชกหน้าโชค อาจจะทำให้เสียเรื่องและต้องมาวุ่นกับการให้การในโรงพัก จากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ กลายเป็นอันธพาลเข้าห้องขังไป
“ไอ้โชค มึงมาทำไมอีกวะ พวกกูไม่อยากเห็นหน้ามึงนักหรอกนะ ไอ้กุ๊ย !” กุ้งชี้หน้าด่าขณะที่ภรรยาของกุ้งก็ได้แต่ปรามๆสามีว่า “ไม่เอาน่าพี่กุ้ง อย่าทะเลาะกันสิ เดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่อีก”
“โชค ถ้าเอ็งไม่สามารถพูดดีมากไปกว่านี้ล่ะก็ เอ็งอย่ามาพูดกับพวกข้าดีกว่า พวกข้ากำลังรีบอยู่ ภารกิจข้ามันก็เยอะพออยู่แล้ว อย่าทำให้พวกข้าต้องปวดหัวเพราะคำพูดของคนอย่างเอ็งมากไปกว่านี้เลย” ไกรเอ่ยขึ้น
“โอ๊ะโอ๋ แหมเดี๋ยวนี้ผู้กองก็ยังพูดเป็นหลักเป็นการเหมือนเดิมนะ อ้างว่างานเยอะ สุดท้ายก็ต้องจบด้วยการคว้าน้ำเหลวนั่นล่ะวะ ไม่งั้นมันจะมีคนตายเกิดขึ้นอีกได้ไง ทั้งๆที่พวกมึง ทั้งไอ้ไกร ไอ้เลิศ ที่ชาวบ้านเขายกย่องนับหน้าถือตาว่าเก่งอย่างนั้น เก่งอย่างนี้ ยกย่องกันเยี่ยงวีรบุรุษ ก็อยู่กันพร้อมหน้า ขนาดอยู่กันครบ ยังมีคนตาย แล้วถ้ามีคนใดคนหนึ่งในสองคนนี่ถูกไอ้เข้มันงาบไปแดก อีกคนจะทำไงวะ หรือว่ารอให้มันงาบไปอีก ฮ่า ๆ ๆ”
ไกรเริ่มเลือดขึ้นหน้า แสดงให้เห็นถึงความโกรธจัด แต่เขาก็ทำได้แต่กัดฟัน และพยายามข่มใจให้เย็นเข้าไว้ ห้ามต่อล้อต่อเถียงอะไรทั้งสิ้น ไกรคิดอยู่ในใจว่า โชคก็ยังคือโชควันยังค่ำ วันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สันดานของคนก็ไม่เคยเปลี่ยนไป เลวยังไงก็เลวอยู่อย่างนั้น ไกร กุ้ง และผา ช่วยกันลากตัวเลิศหนีโชคไปอีกทางหนึ่งเพื่อตามไปสมทบกับด็อกเตอร์ชมพู่ที่ยืนสอดส่องดูจากทางริมกำแพงที่หันไปทางคลองบางมุด โดยเธอกำลังใช้กล้องส่องทางไกลชนิดที่เห็นในความมืด ส่องไปที่คลอง
“ไอ้ไกร ไอ้ผา ไอ้กุ้ง เอ็งไม่น่ามาห้ามข้า เกือบจะได้ชกหน้ามันให้หายแค้นอยู่แล้ว” เลิศที่ยังอารมณ์ค้าง สบถออกมาด้วยความแค้นเคือง
“ใจเย็นหน่อยสิวะเลิศ เรามาทำงานนะ อย่าไปฟังพวกปากหอยปากปูสิ ใจเย็นๆไว้” ไกรกล่าว
“แต่ถ้าไอ้เลิศกระทืบไอ้โชคจริง ข้าจะช่วยด้วยว่ะ หมั่นไส้ไอ้นี่มานานแล้ว ขี้โอ่ ปากเสีย เอาแต่ใจ เลว นี่แหละตัวมัน” กุ้งพูดเห็นดีเห็นงามด้วยกับเลิศ
“มีอะไรกันเหรอคะ ท่าทางหงุดหงิด ?” ชมพู่ลดกล้องส่องทางไกลลงแล้วหันมาถามพวกไกร
“มีปัญหานิดหน่อยครับ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว” ไกรตอบ
“ระวังหน่อยแล้วกันนะคะ เดี๋ยวจะเสียงาน”
นักวิจัยสาวสวย พกเอากล้องถ่ายรูปชนิด CX5 เพื่อใช้ในการถ่ายภาพตอนกลางคืนโดยเฉพาะมาด้วย เพื่อที่จะเตรียมไว้ถ่ายภาพของจระเข้ยักษ์ ที่อาจจะออกล่าเหยื่อในช่วงค่ำคืนนี้ เมื่อเธอพูดจบ เธอก็ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องดูต่อ
เมื่อเห็นว่าเพื่อนต้องปฏิบัติหน้าที่กันต่อ ผาจึงขอตัวกลับไปช่วยร้านขายบะหมี่ต่อ ส่วนกุ้งกับภรรยาก็ขอแยกตัวไปเที่ยวงานวัดกันต่อ ไกรกับเลิศจึงแยกกันออกเดินตรวจตราพื้นที่ริมคลองบริเวณหน้าวัดน้ำลอด ไกรมุ่งหน้าไปด้านซ้ายซึ่งจะเป็นจุดที่มีการสอยดาว อาจจะมีเด็กหรือคนที่เดินลงไปที่ท่าน้ำบริเวณนั้น ส่วนเลิศไปทางขวาเพื่อตรวจสอบตรงจุดที่เป็นศาลาริมน้ำ
“ขอโทษนะครับ ตอนนี้เรามีปัญหานิดหน่อย คือทางเรากลัวว่าจะมีจระเข้ยักษ์ ออกมาหาอาหารแถบนี้ คงได้ยินมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ ยังไงช่วยอย่าพึ่งเข้าใกล้คลองหรือ มานั่งตรงริมศาลาริมน้ำนะครับ อาจจะเกิดอันตรายได้”
เลิศพยายามอธิบายกับคนที่มาเที่ยวในงานวัด และกำลังนั่งเล่นอยู่ในศาลาริมน้ำ ที่ซึ่งมีทั้งรับฟังเหตุผลและทำตามแต่โดยดี และมีทั้งที่ดื้อ ไม่ยอมฟัง ถึงขั้นต้องพูดตะคอกขับไล่กัน แต่นายตำรวจหนุ่มก็พอเข้าใจเพราะในเวลาแบบนี้ ยิ่งมีเทศกาล โดยเฉพาะคนต่างถิ่น ยากที่จะเข้าใจ เพราะพวกเขาก็ไม่ใช่คนในละแวกนี้ที่ได้เห็นเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว และไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นที่นี่
“เจออะไรบ้างไหมจ่า ?” ไกรเดินไปตบบ่าลูกน้องที่ถือปืนเดินตรวจตราอยู่
“ไม่เลยครับหัวหน้า แต่เรากำลังทำหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ”
“ดี … พยายามเข้านะ เดี๋ยวผมจะไปดูที่ท่าน้ำหน่อย”
ในระหว่างที่ไกรกำลังเดินไปที่ท่าน้ำนั้น เขาก็สังเกตว่า มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินไปที่ท่าน้ำ ท่าน้ำของวัดน้ำลอด มีลักษณะเป็นท่าที่ทำด้วยไม้มาต่อกัน สำหรับจอดเรือแจวที่พายข้ามฟากไปมา และสิ่งที่ชายหญิงนั้นกำลังทำอยู่ก็คือ เขานั่งคลอเคลียกัน และแช่ขาไว้ในน้ำ สิ่งที่ไกรเบื่อหน่ายที่สุดก็คือการที่เตือนใครแล้วไม่ค่อยฟัง แต่เขาก็ต้องรีบวิ่งเข้าใกล้ๆกับท่าน้ำ และเมื่อมองชัดๆ ก็พบว่าชายหญิงที่มานั่งก็คือ โชคกับฉวีนั่นเอง
“ไอ้โชค อย่าพึ่งมานั่งตรงท่าน้ำ ไอ้เข้มันกำลังอาละวาดอยู่” ไกรพยายามเตือนเพื่อน
“อะไรมึงไอ้ไกร มึงมาเสือกอะไรด้วย กูจะนั่งตรงนี้กับแฟนกู มึงจะทำไม ?” โชคหันหน้ามาเยาะเย้ยใส่ไกร
“ข้าเตือนเอ็งแล้วนะไอ้โชค ข้าไม่อยากให้เอ็งโดนไอ้เข้ลากไปกินนะ เอ็งขึ้นไปจากท่าน้ำนั้นดีกว่า แล้วเอ็งกับคู่หมั้นเอ็ง จะไปสวีทกันที่ไหนก็เรื่องของเอ็ง แต่ขอเถอะ อย่าเป็นที่ใกล้ๆคลองแบบนี้”
“พูดมากจริงเว้ย กูไม่ไป ใครจะทำไม !!”
เมื่อเห็นคนรักเริ่มพูดจาไม่ดี ฉวีจึงเริ่มปรามโชค “พี่โชค พี่ไกรเขาก็พูดมีเหตุผลนะ ฟังเขาหน่อยดีกว่า แล้วเราไปหาที่นั่งอื่นกันเถอะ จริงๆแล้ว ฉวีก็กลัวเหมือนกันนะ”
“อะไรฉวี เธอกลัวด้วยเหรอ ไอ้ข้งไอ้เข้อะไรมันจะมาแถวนี้ไม่มีทาง”
จ่าสิงห์ที่ตรวจตราอยู่ไม่ไกลจากบริเวณท่าน้ำ เขามองไปยังกลางคลอง แล้วก็เห็นเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ใต้น้ำ เป็นลักษณะของวัตถุขนาดใหญ่ที่กำลังไหว้ขึ้นมาจากทิศใต้ และกำลังมุ่งตรงไปยังท่าน้ำของวัดน้ำลอด และเมื่อเห็นว่าน่าจะเป็นจระเข้ เขาจึงรีบติดต่อไปหาไกรที่เป็นหัวหน้า
“หัวหน้าครับ นี่สิงห์พูด มันมาแล้วครับ”
“หาอะไรนะ พูดใหม่ซิจ่า ?”
“มันมาแล้วครับ ไอ้เข้ยักษ์มันมาแล้ว มันมุ่งหน้าไปที่ท่าน้ำแล้ว !!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไกรจึงตะโกนลั่น บอกให้ทุกคนที่อยู่ใกล้คลอง รีบถอยห่างจากคลองโดยเร็ว เมื่อผู้คนเริ่มแตกตื่น จึงเป็นเหตุให้นาวิกโยธินนายอื่น รวมทั้งเลิศกับชมพู่ รู้ว่า จระเข้ยักษ์ได้บุกมาถึงบริเวณคลองหน้าวัดแล้ว พวกเขารีบเร่งเต็มฝีเท้าไปที่ท่าน้ำวัดลอดทันที
ไกรพยายามพูดโน้มน้าวให้เพื่อนลุกขึ้นจากท่าน้ำ แล้วเดินเข้าเขตวัด แต่จนแล้วจนรอด ลูกชายเจ้าของร้านขายของชำ ผู้มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ยอมฟังเหตุผลคนอื่น ก็ไม่ยอมลุกเสียที
“ไอ้โชค ไอ้เข้มันมาแล้ว รีบลุกสิวะ”
“กูไม่ลุก มึงอย่ามาเพ้อเจ้อ ไอ้เด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่”
“เฮ้ย ! มึงชักจะมากไปแล้วนะไอ้โชค งั้นกูไม่สนใจมึงแล้วนะ ฉวี คุณรีบหนีเถอะ เชื่อผม จระเข้ยักษ์ มันมาที่นี่แล้ว”
“พี่โชค ลุกเถอะนะ ฉันขอร้อง” ลูกสาวผู้ใหญ่สมัยทั้งเขย่าแขนขอร้องให้คนรักเชื่อในสิ่งที่ผู้กองไกรพูดบ้าง แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ โชคสะบัดแขนฉวีออกพร้อมชี้หน้าด่าเธอ หาว่าเชื่อคำพูดของพวกไม่มีพ่อไม่มีแม่มากกว่า แต่แล้ว วัตถุขนาดใหญ่ก็ได้พุ่งเข้าที่ท่าน้ำอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางความตกตะลึงของชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ ส่วนหัวของจระเข้ขนาดมหึมา ได้โผล่ขึ้น แล้วงับร่างของโชค มันสะบัดหัวและเหวี่ยงโชคลอยขึ้นไปบนอากาศ จนร่างของเขาตกลงไปกลางคอลงอย่างรวดเร็ว
“พี่โชค !?”
“ยิงไอ้เข้นั่นเร็ว !!”
ไกรสั่งให้ลูกน้องที่วิ่งตามมา ระดมยิงใส่จระเข้ยักษ์ทันที เลิศกับกุ้งและชมพู่ที่วิ่งตามมา เมื่อเห็นร่างขนาดมหึมาของจระเข้ยักษ์ กำลังค่อยๆเคลื่อนตัว กลับตัวอันใหญ่โตของมันเพื่อที่จะว่ายน้ำไปกลางคลอง หมายจะเข้าไปคาบเหยื่อที่มันเหวี่ยงลงไปในน้ำ ซึ่งนั่นก็คือโชค
ลูกชายเจ้าของร้านชำ พยายามว่ายน้ำหนี พลางตะโกนร้องให้คนช่วย ชมพู่รัวชัตเตอร์เก็บภาพลักษณะทางกายภาพของจระเข้ยักษ์ ส่วนเลิศก็ใช้ปืนชนิด 11 มม. ยิงใส่พญาสัตว์ไม่ยั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้ โชคพยายามว่ายน้ำหนีโดยการว่ายไปในทิศทางลักษณะตีวงโค้งอย่างรีบเร่ง ในขณะที่คมเขี้ยวของมัจจุราช ใกล้เข้ามาทุกขณะ
“พี่โชค ว่ายมาเร็วเข้า !!”
กุ้งที่เห็นโชคกำลังว่ายน้ำหนีอย่างไม่คิดชีวิต เขารีบกระโจนลงน้ำเพื่อที่จะไปช่วยดึงมือโชคให้กลับเข้าท่าน้ำ โชคที่เริ่มหมดเรี่ยวแรงเพราะว่ายน้ำมาจากกลางคลอง คว้ามือของกุ้งไว้แน่น กุ้งดึงร่างของเพื่อนรักเพื่อนแค้นอย่างโชค เข้ามาแล้วพยายาม ดันตัวโชคขึ้นฝั่ง
“มึง … ช่วยกูทำไม … ไอ้กุ้ง” โชคพูดเสียงสั่น
“คิดมากน่ะ มึงน่ะเป็นเพื่อน กูเต็มใจช่วยมึงเสมอ !!”
ในวินาทีนั้นเอง หลังจากที่กุ้งก็สามารถดันตัวโชคขึ้นไปบนท่าน้ำได้สำเร็จ ไกรก็ลากตัวโชคเข้าไปที่กลางท่าน้ำ แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อจระเข้ยักษ์ ได้โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง และคราวนี้ มันงับเข้าที่กลางลำตัวของกุ้ง ชายผู้เป็นเจ้าของร้านตัดผมอย่างจัง !
“อ๊าก !?”
“พี่กุ้ง !?”
ภรรยาของกุ้ง รีบคว้าข้อมือของสามีไว้ ในขณะที่เลิศ ชมพู่ และชาวบ้านอีกหลายๆคน ก็รีบช่วยคว้าข้อมือของกุ้งไว้ ขณะที่ไกร ระดมยิงด้วยปืนกล M60 อย่างบ้าคลั่งไปที่กลางตัวของมันที่โผล่ขึ้นมาให้เห็นเพียงน้อยนิดในน้ำ เหมือนเป็นการชักคะเย่อ กันระหว่างจระเข้ยักษ์ และชาวบ้านคลองบางมุด โดยมีร่างของกุ้งต่างเชือก
“ปล่อยข้าเถอะ เดี๋ยวจะตายกันหมด !!” กุ้งพูดไป เลือดไหลออกจากปากไป ร่างท่อนล่างของกุ้ง ถูกปากอันใหญ่โตของสัตว์ร้าย งับไว้จนมิด จระเข้ยักษ์พยายามลากร่างของกุ้งให้ลงน้ำ ในขณะที่ชาวบ้านก็พยายามช่วยดึงมือของกุ้งไว้
“ไอ้กุ้ง แข็งใจไว้โว้ย !!” เลิศตัดสินใจปล่อยมือและชักปืนสั้น 11 มม. ออกมายิงใส่จระเข้ยักษ์
จ่าสิงห์แห่งหน่วยนาวิกโยธิน ใช้พานท้ายปืนกล M60 ฟาดไปที่ส่วนหัวของจระเข้ยักษ์อย่างแรง แต่ก็ไม่สำเร็จ และแล้วความพยายามของชาวบ้านก็ไร้ผล จระเข้ยักษ์เหวี่ยงสะบัดกระชากร่างของกุ้งออกเป็นสองท่อน เลือดสาดกระเซ็นไปทั้งท่าน้ำ เมื่อมันได้ส่วนท่อนล่างของกุ้งไป มันจึงดำน้ำหายไปในคลอง ทิ้งไว้แต่ร่างที่ถูกกัดขาดเป็นสองท่อนของกุ้ง ที่ชาวบ้านดึงขึ้นมาบนท่าน้ำได้ นอนจมกองเลือด สิ้นใจอย่างน่าเวทนา
“ไอ้กุ้ง ! ไอ้กุ้ง !”
“พี่กุ้ง ไม่ ! ฮือ … ฮือ …”
เสียงร้องไห้ของภรรยากุ้ง เป็นที่น่าเวทนาของชาวบ้าน ไกรไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนที่วิ่งเล่นมาด้วยกัน พึ่งจะได้เห็นหน้าหลังจากกลับมาที่บ้านเกิดได้เพียงไม่กี่วัน และเมื่อคืนก็พึ่งจะนั่งกินข้าว สังสรรค์ด้วยกัน กลับต้องมาตาย อย่างอนาถแบบนี้ ทั้งๆที่หากไม่ลงไปช่วยโชค ก็คงไม่ต้องตายแบบนี้
ด้านของโชค ที่เสียขวัญจากการถูกจระเข้ยักษ์ว่ายน้ำกวดอย่างกระชั้นชิด แม้จะรอดตายมาได้เพราะการเสียสละของเพื่อนที่ตัวเองเคยชี้หน้าด่าตอนเด็ก แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บ จากการถูกรอยเขี้ยวของมันกัดที่กลางตัว แม้ว่าจะไม่ได้ถูกงับอย่างจังจนร่างแหลกแบบกุ้ง และเมื่อเลิศที่หันมาเห็นร่างของโชค นอนหายใจหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดที่แผล เขาก็รู้สึกโกรธจัด
“ไอ้โชค เพราะมึงคนเดียว มึงทำให้ไอ้กุ้งต้องตาย !!”
เลิศชี้หน้าด่า แล้วปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อของโชค เขาทั้งเขย่าแล้วผลักร่างของโชคลงไปกระแทกพื้นไม้ของท่าน้ำอย่างแรง ฉวีพยายามพยุงร่างของคนรักให้ลุกขึ้นมา ไกรกำหมัดแน่นแล้วหันกลับไปมองที่ลำคลอง เขาตะโกนออกมาเสียงดัง แล้วระเบิดกระสุนปืน M60 ลงไปในน้ำอย่างบ้าคลั่ง จนชาวบ้านที่มาช่วยกุ้งตอนแรก ตกใจ
“ผู้กอง ใจเย็นๆ สงบสติอารมณ์ก่อนค่ะ” ชมพู่เข้าไปจับที่บ่าของไกร ขณะที่นาวยิกฯนายหนึ่งก็เข้าไปจับแขนของไกรไว้ “หัวหน้าครับ ใจเย็นๆ ตอนนี้มันไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
ไกรหายใจถี่ๆ เหงื่อค่อยๆไหลออกมาจากใบหน้า เขาหันไปมองหน้าลูกน้องและชมพู่ ผู้กองหนุ่มก้มหน้านิ่ง ก่อนจะถือปืนค่อยๆเดินฝ่าฝูงชนที่มามุงดูที่ท่าน้ำออกไป เพื่อขึ้นไปที่เขตวัด เขาพยายามหาที่นั่งที่เงียบที่สุด และไม่มีใครมารบกวนเพื่อสงบสติอารมณ์ หลังจากต้องสูญเสียเพื่อน
พระภิกษุรูปหนึ่ง กับชายผู้หนึ่ง เดินมาอย่างเงียบสงบมาที่ม้านั่งหินอ่อนที่ตั้งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใกล้อุโบสถ
“โยมไกร ใจเย็นๆ โยมเป็นทหาร เป็นผู้นำ โยมต้องมีสติกว่านี้ อย่าวู่วาม ปกติโยมเป็นคนใจเย็น แล้วถ้ามาระเบิดอารมณ์แบบนี้ ลูกน้องภายใต้บังคับบัญชาจะเสียกำลังใจนะ”
เมื่อไกรหันไปมองหาเจ้าของเสียง เขาก็พบว่าผู้ที่มายืนอยู่ด้านหลังม้านั่งหินอ่อนนั้นก็คือ พระศร กับศักดิ์ มัคทายกวัดน้ำลอดนั่นเอง ศักดิ์มานั่งใกล้ๆกับผู้กองหนุ่มก่อนจะบอกว่า
“ตอนนี้ ข้าติดต่อให้รถมูลนิธิ มารับศพกุ้งแล้วนะ แล้วก็ติดต่อรถพยาบาลจากโรงพยาบาลหลังสวน มารับตัวไอ้โชคไปตรวจร่างกายแล้ว”
ไกรได้แต่พยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจแล้วหลับตาลง เขาไม่มีอารมณ์ หรือจิตใจที่จะปฏิบัติภารกิจหรือทำอะไรต่อไปอีกแล้ว และเมื่อเห็นว่าผู้กองหนุ่มแห่งกองทัพราชนาวีไทย หมดไฟในการปฏิบัติหน้าที่ พระศรจึงได้พูดออกไปอีกว่า
“โยม สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม โยมกุ้งเขาทำบุญมาแค่นี้ แต่โยมต้องอยู่ต่อไป ความหวังของชาวบ้านทุกคนอยู่ที่โยมกับหน่วยนาวิกโยธินที่โยมนำทีมมา ถ้าโยมที่เป็นผู้นำ แต่กลับท้อแท้แบบนี้ แล้วลูกน้องของโยมจะเป็นยังไง เมื่อเสาหลักอ่อนแอแบบนี้ แล้วส่วนที่เป็นเหมือนตัวบ้าน ก็ต้องระส่ำระสาย”
ไกรลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นรถมูลนิธิกับรถพยาบาล วิ่งเข้ามาในลานวัด ไกรมองตลอดทุกเหตุการณ์ ตั้งแต่ที่เจ้าหน้าที่ หามเปลที่นำร่างไร้วิญญาณที่เหลือเพียงครึ่งตัวของกุ้งและนำผ้าขาวคลุมไว้ นำมาใส่ที่แคปหลังของตัวรถ ส่วนอีกเปลหนึ่ง เป็นเปลของโรงพยาบาลหลังสวนที่มีร่างที่ได้รับบาดเจ็บของโชคนอนอยู่ มีฉวีที่เดินตามมาด้วยความเป็นห่วง โดยขึ้นรถไปกับรถของโรงพยาบาล
เสียงร้องไห้ของภรรยากุ้ง ดังอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งเธอเป็นลมไป จนชาวบ้านต้องรีบนำยาดมมาให้เธอสูดเพื่อช่วยระบบหายใจให้ดีขึ้น เลิศ ชมพู่ และผาเดินเข้ามาหาไกรก่อนจะถามเขาว่า
“ค่อยยังชั่วยังไกร ?” เลิศเอ่ยถาม
“นิดๆ” ไกรตอบสั้นๆอย่างไร้ซึ่งอารมณ์
“ไอ้โชค ไอ้ตัวซวย มันน่าจะเป็นคนที่ต้องตาย ไม่ใช่ไอ้กุ้ง” เลิศสบถด้วยความโกรธและเกลียดชัง
“ผู้กองคะ ตอนนี้ ทหารกับตำรวจกำลังกันชาวบ้านให้ออกห่างจากริมน้ำแล้ว ตอนนี้ฉันได้รูปถ่ายของจระเข้ยักษ์ตัวนี้แล้ว คืนนี้ฉันจะรีบวิเคราะห์ว่ามันเป็นพันธุ์ไหน” ชมพู่เอ่ยขึ้น
ไกรไม่ตอบ แต่ใช้วิธีพยักหน้าแทน เขาลุกขึ้นและเดินออกจากกลุ่มของพวกเลิศไป ชมพู่รู้สึกแย่ที่เห็นสภาพของผู้กองหนุ่มเป็นแบบนี้ เธอวิ่งตามไกรไป ในขณะที่เลิศกับผาก็รีบวิ่งตามไปด้วยเพราะกลัวว่าผู้กองหนุ่ม อาจจะทำอะไรไม่คาดคิดขึ้นมา
ที่กำแพงวัดที่อยู่ติดกับถนนใหญ่ ใกล้ประตูทางเข้าออกวัด ไกรยืนนิ่ง วางปืน M60 พาดไว้กับกำแพง เขาเอามือขวายันเข้ากับกำแพงวัดและก้มหน้านิ่ง หยดน้ำบางอย่าง ค่อยๆ ตกลงสู่พื้นดิน ร่างของไกรค่อยๆย่อตัวลง เอามือขวายันพื้นในท่าชันเข่า ไกรกำหมัดแน่น ที่ดวงตาของเขา น้ำตาค่อยๆไหลออกมา นับว่าเป็นน้ำตาแห่งความเสียใจในรอบหลายปี นับตั้งแต่วันที่เขาแอบมาร้องไห้คนเดียวหลังจากที่ยายของเขาเสียชีวิต แต่คราวนี้ เพราะเพื่อนสนิทที่ต้องจากไป
ไม่ไกลจากตรงที่ไกรนั่งอยู่ เลิศ ผา และชมพู่ยืนนิ่งมองไกรที่กำลังระบายความเศร้าอยู่เพียงลำพัง พวกเขารู้ดีว่า ชายชาติทหารอย่างไกร นี่คงจะเป็นที่สุดแล้ว ถ้าไม่แบบนั้น เขาจะไม่มีวันหลั่งน้ำตาออกมาแบบนี้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือ ปล่อยให้ไกรได้ระบายสิ่งที่ตัวเองอัดอั้นออกมาให้เต็มที่ เพื่อที่จะได้ขจัดความเศร้าออกไป และเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจที่จะเริ่มต้นใหม่ในวันพรุ่งนี้
………………………………………..
คืนนั้นหลังจากแยกย้ายกันกลับที่พักของตน ชมพู่นำ SD Card จากกล้องดิจิตอลที่เธอถ่ายภาพของจระเข้ยักษ์ได้ที่บริเวณท่าน้ำของวัด โหลดข้อมูลเข้าแลปทอปของเธอ ซึ่งเรียกได้ว่า กล้องสำหรับถ่ายในที่มืดที่เธอลงทุนมาในครั้งนี้ ช่วยเธอได้เยอะ เพราะช่วยให้เธอได้เห็นภาพลักษณะลำตัวของจระเข้ยักษ์ตัวนี้อย่างชัดเจน จากผลงานวิจัยของเธอที่เธอทำเพื่อส่งงานมหาวิทยาลัยสมัยเรียนปริญญาเอก สามารถเป็นข้อมูลชั้นดีให้เธอได้
ลักษณะของจระเข้ยักษ์ตัวที่เธอถ่ายภาพได้นั้น มีลักษณะเด่นชัดคือ ลักษณะของจะงอยปากที่ยาว และมีส่วนปากที่แหลมแบน สีลำตัวจะออกสีเหลืองอ่อน สีลำตัวของส่วนหางมีลักษณะเหลืองอ่อนสลับดำ คล้ายกับกระดานหมากรุก และเพียงแค่หลักฐานเท่านี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลานอย่างชมพู่ สามารถระบุสายพันธุ์ได้ทันทีว่า มันคือ สายพันธุ์ ‘Indo – Pacific Crocodile’ หรือที่เรารู้จักกันว่า ‘จระเข้น้ำเค็ม’
ประสบการณ์เรื่องจระเข้ที่เธอศึกษามาตลอดเกือบทั้งชีวิต จากการระบุเขี้ยวที่ผ่าออกมาจากเศษแขนของลุงช่อได้ถูกต้องว่าเป็นเขี้ยวของจระเข้ เรียกได้ว่าไม่มีทางผิดแน่นอน สำหรับข้อมูลครั้งนี้ และยิ่งกว่านั้น ชมพู่รู้ดีว่า จระเข้น้ำเค็มนี้ อันตรายที่สุดในบรรดาสายพันธุ์จระเข้ที่มีอยู่บนโลก
บ้านไม้ยกใต้ถุนสูงของผู้กองไกร ค่อนข้างเงียบสงัด ในห้องนอนทรงสี่เหลี่ยม เป็นห้องนอนที่ไกรเคยนอนกับยายสมัยที่เขายังเด็ก และทุกครั้งที่เขาได้กลับมายังบ้านริมคลองบางมุดแห่งนี้ เขามักจะมานอนในห้องของยายเสมอในคืนนี้ ไกรนอนไม่หลับนัก หลังจากที่เขาตรวจตราลูกน้องหลังจากสั่งกระจายให้ไปพักผ่อน เขาก็เอาแต่นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันที่ผ่านมา ชาวบ้านต้องมาตกเป็นเหยื่อให้กับสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ อีกทั้งยังต้องสูญเสียเพื่อนสนิทไปอย่างไม่มีวันกลับ แค่วันเดียวก็สองรายเข้าไปแล้ว
ในคืนพรุ่งนี้ ทางกองบัญชาการหน่วยนาวิกโยธิน จะส่งรถที่ลำเลียงอาวุธหนักมาส่งมอบให้กับหน่วยนาวิกโยธินสังกัดกองพันทหารราบที่ 1 ที่ไกรนำทีมมา เขาตั้งใจไว้แต่ว่า พรุ่งนี้เขาจะต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีใครมาจบชีวิตเพราะฆาตกรโหดตัวนี้อีก
…………………………………………………
เรือยนต์ของสถานีตำรวจภูธร กำลังแล่นตรวจตราสภาพของคลองบางมุด โดยเริ่มจากทางท่าน้ำหน้าวัดน้ำลอด ในเรือมีไกร เลิศ จ่าสิงห์ และนายตำรวจอีกนายหนึ่งเป็นผู้บังคับหางเสือ แดดในยามเช้าสาดส่องลงมา ทำให้เห็นสภาพของท่าน้ำหน้าวัดน้ำลอดชัดเจนยิ่งขึ้น ไกรกับเลิศมองไปที่ท่าน้ำแล้ว เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า จะมีจระเข้ยักษ์ที่บุกฝ่าเข้ามาล่าคนเป็นอาหารถึงที่นี่ได้
ท่าน้ำหน้าวัด ยังมีคราบเลือดเปรอะกระจายอยู่ สำหรับไกรนั้น รู้ดีเสมอว่าคราบเลือดนั้นคือคราบเลือดของกุ้ง เพื่อนสนิทที่ต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน ภาพที่กุ้งถูกฉีกร่างออกเป็นสองท่อน มันยังติดตาเขาอยู่ตลอดเวลา
“วันนี้ด็อกเตอร์ชมพู่ไม่มาเหรอวะไกร ?” เลิศหันมาถามเพื่อนสนิทต่างเหล่าทัพ
“เห็นเธอบอกว่า ยังวิจัยเรื่องมันไม่เสร็จ…” ไกรตอบ
“มัน ? เอ็งพูดถึงอะไรวะ”
“ไอ้ฆาตกรที่ฆ่ากุ้ง !!” ไกรตอบเลิศด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เลิศแทบไม่อยากเชื่อว่าน้ำเสียงที่ดูเหมือนโกรธจัด จะหลุดออกมาจากปากคนที่ใจเย็นยิ่งกว่าน้ำอย่างไกรได้
เรือยนต์กำลังแล่นลาดตระเวนไปทางทิศใต้ เพื่อมุ่งสู่เวิ้งน้ำที่เป็นที่ซ่อนตัวของจระเข้ยักษ์ ขณะที่เรือยนต์อีกลำหนึ่ง ร้อยตำรวจตรีกานต์ กับนาวิกฯ 4 นายก็ได้ถือปืนประทับไว้ตลอดเวลาหากเกิดเหตุร้ายขึ้น แต่ครั้งนี้ พวกเขาได้แล่นเรือแยกจากพวกไกรไปทางเหนือ ตามแผนของไกรนั้น เขาเริ่มที่จะระแวงพฤติกรรมของจระเข้ยักษ์ตัวนี้มากขึ้น มันอาจจะออกล่าเหยื่อนอกเขตแดนของมัน เหมือนที่มันกล้าโจมตีที่งานวัดเมื่อคืนนี้
ชาวบ้านคลองบางมุด ได้ติดตามการล่าจระเข้ยักษ์ของเหล่านาวิกโยธิน ด้วยการนั่งรถตามไปดูจากบนฝั่ง รวมทั้ง แต่ละจุดของตามริมตลิ่ง ยังมีหน่วยนาวิกโยธินที่เหลือ ภายใต้การควบคุมของไกร ยืนประจำจุดที่เป็นจุดเสี่ยงที่จระเข้ยักษ์จะออกล่าเหยื่อ
เรือยนต์ของลูกน้องไกรที่มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ได้วิทยุติดต่อไปหาไกรที่ไปทางใต้ว่า ตอนนี้ได้พบตัวจระเข้ยักษ์ตัวดังกล่าวแล้ว และมันกำลังเล่นงานวัวที่ชาวบ้าน จูงมากินน้ำริมตลิ่งอยู่ ไกรที่ทราบข้อมูลจากลูกน้อง จึงรีบให้คนขับเรือ หันหัวเรือกลับแล้วมุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที
ความคิดเห็น