คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 7
ตอนที่ 7
“เลิศ ไอ้ไกรเป็นไงบ้างวะ?” กุ้งที่ช่วยภรรยายกหม้อข้าวออกมาจากครัวของบ้านไกร ถามถึงสภาพจิตใจของไกร ที่ยังอึ้งต่อคำพูดของเจิดเมื่อเย็นที่ผ่านมา คืนนั้น ทั้งผา เลิศ กุ้งกับภรรยา ได้มาทำกับข้าวกินกันที่บ้านของไกร เพื่อที่จะช่วยกันปลอบใจไกรให้มีสภาพจิตใจพร้อมจะปฏิบัติภารกิจในวันพรุ่งนี้
“ยืนอยู่ที่ริมคลองนู่น…ตั้งแต่ที่วัดแล้ว มันก็เอาแต่เงียบ ไม่ยอมพูดไม่ยอมจาเลย ข้าเองก็หวังว่า มันจะไม่ซึมแบบนั้นจนถึงวันพรุ่งนี้นะ” เลิศพูดพลางมองไปยังจุดที่ไกรยืนอยู่ เห็นเพื่อนเป็นแบบนี้ เขาเองก็รู้สึกสงสาร แต่ลึกๆในใจเขาก็เชื่อว่า ชายชาติทหารอย่างไกร จะต้องไม่มาอ่อนแอเพราะเรื่องนี้จนทำให้งานเสียแน่นอน
“ไอ้เลวเจิด กูน่าจะฆ่ามันทิ้งซะที่วัดเลย ศพมันจะได้โยนลงคลองไม่ก็ฝังเป็นศพไร้ญาติที่วัดซะให้รู้แล้วรู้รอด” ผากัดฟันพูดด้วยความโกรธจัด
“เฮ้ยผา บ้านเมืองมีขื่อมีแป อะไรที่ผิดก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ตอนนี้ข้าเอาไปเจิดไว้ในห้องขังที่ สน.แล้ว ใจเย็นๆก่อนสิ” เลิศเข้ามาปรามอารมณ์ของเพื่อนร่างใหญ่
ผู้กองหนุ่มแห่งกองทัพราชนาวีไทย ทวนคำพูดของเจิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาค่อยๆนั่งลงที่ริมตลิ่งอย่างช้าๆและมองไปยังคลองบางมุดอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ที่จะทำอะไรต่อไป คำพูดของคนขี้เมาประจำหมู่บ้านจะสามารถทำให้คนที่ได้ชื่อว่าผ่านศึกเหนือใต้มามาก มีหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยรบที่ได้ชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดอย่างหน่วยนาวิกโยธินอย่างตัวเขา คิดไม่ตก ทำอะไรไม่ถูกได้ขนาดนี้เลยหรือ และในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน เดินเข้ามาใกล้ๆกับเขา เมื่อไกรหันหน้าไปมอง ก็พบว่าเป็นชมพู่นั่นเอง
“เป็นไงบ้างคะผู้กอง ฉันเห็นคุณยืนอยู่ตรงนี้คนเดียวนานแล้ว เป็นห่วงเลยมาดู ?”
“ผมไม่เป็นไรครับ ผมแค่มานั่งมองกระแสน้ำที่ไหลเอื่อยๆของคลองบางมุด แค่นี้ก็ช่วยทำให้ผมดีขึ้นอยู่แล้ว” ไกรตอบพร้อมหันกลับไปมองกระแสน้ำในลำคลองต่อ ซึ่งจากสีหน้าของไกร ชมพู่ก็พอดูออกว่าไกรนั้นยังซึมอยู่ เธอจึงนั่งลงเป็นเพื่อนไกรข้างๆ
“ผู้กองอย่าคิดมากสิคะ ที่ไอ้คนขี้เมาพูดนั่น มันก็พูดจาเลอะเทอะไปแบบนั้นล่ะค่ะ อย่าใส่ใจเลย” ชมพู่พยายามพูดปลอบไกร
“ด็อกเตอร์ครับ ตั้งแต่เล็กจนโตมา มีแค่ตายายเท่านั้นที่เลี้ยงดูผมมา ผมไม่เคยได้ยินเสียงแม่ เคยเห็นหน้าแม่ก็แต่ในรูปที่ถ่ายไว้เพื่อตั้งหน้าศพ พอผมถามเรื่องคนเป็นพ่อกับยาย ยายก็บอกว่าพ่อผมตายไปแล้ว แต่ถ้าพ่อผมตายไป ทำไมที่บ้านผมไม่มีแม้แต่รูปตั้งหน้าศพของพ่อผม แค่นี้ก็พอจะสรุปได้นิดหน่อยแล้วว่า ตากับยายผมต้องเกลียดชังพ่อผม ไม่ด้วยสาเหตุใดก็สาเหตุหนึ่ง และยิ่งน้าเจิดมาพูดแบบนี้ ผมก็คงจะต้องเชื่อบ้างแล้วล่ะครับว่า เขาอาจจะเป็นพ่อผม โดยไม่ได้ตั้งใจทำให้ผมเกิดมา แต่เพราะความมากตัณหาของเขา ผมเกิดมาไม่มีพ่อแม่ก็โดนคนอื่นเขาล้อกันแทบจะบ้าอยู่แล้ว แล้วถ้ามารู้กันว่า ผมเกิดมาได้เพราะแม่โดนข่มขืน ผมก็คงไม่ต่างอะไรจากเศษดิน เศษหญ้าที่ไร้ค่า”
ไกรหยุดพูดไว้เพียงแค่นี้ก่อนที่บางสิ่งจะไหลออกมาจากดวงตาของเขา ชมพู่ฟังสิ่งที่ไกรพูดก็ทำให้เธอรู้สึกสะเทือนใจ เธอเอื้อมมือซ้ายเขาไปจับบ่าข้างขวาของผู้กองไกร เธอค่อยๆลูบไล่ของเขาเบาๆ เพื่อให้ไกรรู้สึกผ่อนคลายต่อความเครียด ไกรหันไปมองหน้าของชมพู่ เขาเห็นเธอกำลังยิ้มให้อยู่ ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเขาได้มองเห็นหน้าเธอ ทำให้ใจเขารู้สึกผ่อนคลายได้ รอยยิ้มที่อ่อนโยนของชมพู่ กำลังช่วยสลายความเศร้าที่เกาะกุมจิตใจของไกร ให้ค่อยๆหายไปทีละนิดๆ
“ไม่เป็นไรนะคะผู้กอง ไม่ว่าจะยังไง ทั้งฉัน ทั้งผู้กองเลิศ ทั้งคุณผา ทุกๆคนที่คลองบางมุด ล้วนแต่เป็นกำลังใจให้ผู้กองกันทั้งนั้น แล้วสิ่งที่ดิฉันเห็นนะคะ ดิฉันมองไม่เห็นเศษเสี้ยวหนึ่งบนหน้าตาของอีตาขี้เมานั่น ปะปนอยู่บนใบหน้าหล่อๆของผู้กองเลย สบายใจเถอะค่ะ”
ไกรยิ้มก่อนจะค่อยๆลุกขึ้น เขาสูดลมหายใจลึกๆเข้าไปเต็มปอด ลมโชยจากคลอง อากาศที่ไร้ซึ่งมลภาวะที่เขาไม่ได้สูดดมมานานแรมปี ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น เขายื่นมือไปที่เบื้องหน้าของชมพู่ ก่อนจะพยักหน้าให้เธอ ชมพู่ยื่นมือไปจับที่มือของไกร และผู้กองหนุ่ม ก็ดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นมา
“ขอบคุณมากครับ ที่ช่วยพูดให้ผมดีขึ้น ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วล่ะครับ”
“ถ้าผู้กองสบายใจแล้ว ก็กลับบ้านเถอะค่ะ ป่านนี้เพื่อนๆของผู้กองคงจะรอกันนานแล้ว”
ไกรยิ้มก่อนจะเดินพาชมพู่ไปส่งที่หน้าบ้านของเธอที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขานัก ไกรมองตามหลังชมพู่ที่กำลังเดินขึ้นบันไดบ้านพักไป และก่อนเธอจะปิดประตูบ้าน เธอก็หันกลับมากล่าวราตรีสวัสดิ์กับไกร แน่นอนว่าไกรเองก็พูดราตรีสวัสดิ์กับเธอเช่นกัน
กับข้าวที่วางอยู่ที่กลางห้องรับแขกบ้านของไกร มีทั้งปลาทอด แกงเลียง ผัดพริกแกง และข้าวสวยร้อนๆเต็มหม้อ เมื่อเห็นไกรเดินกลับมาด้วยใบหน้าที่ดูดีขึ้น เลิศจึงหันมาบอกให้กุ้งเปิดฝาเบียร์เตรียมดื่มได้เลย
และเมื่อไกรเดินขึ้นบนไดมา เลิศก็เดินเข้ามากอดคอและยีหัวเพื่อนรักเล่นก่อนจะแซวออกไปว่า
“แหม ผู้กองไกร เดี๋ยวนี้ริอาจไปส่งสาวถึงหน้าบ้านแล้วเหรอครับนี่ ไวไฟใช่เล่นนะเรา”
“เฮ้ยไม่ใช่อย่างนั้น ก็เห็นมันมืดค่ำแล้ว มันอันตราย เลยไปส่งด็อกเตอร์ชมพู่เป็นเพื่อนแค่นั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรไม่ดีเลยนะเว้ย” ไกรรีบแก้ต่างก่อนจะสะบัดมือเพื่อนออก
“บ้านอยู่แค่นี้จริงๆไม่ต้องไปส่งถึงที่ก็ได้นี่ไอ้ไกร หรือว่ามีลับลมคมในอะไรรึเปล่า เฮ้ย ถ้าเป็นเรื่องความรักน่ะปรึกษาข้าได้นะเว้ย” กุ้ง เจ้าของร้านตัดผมริมคลองกล่าวติดตลก
“บ้าน่าไอ้กุ้ง มาๆ กินข้าวดีกว่า หิวแล้ว”
เลิศนั่งลงแล้วหยิบกระติกน้ำแข็งออกมา พร้อมทั้งคีบน้ำแข็งใส่แก้วและรินเบียร์ให้ไกรเพื่อเริ่มต้นงานสังสรรค์ของเพื่อนเก่า ซึ่งพวกเขาก็รู้สึกเสียดายที่ ศักดิ์มาไม่ได้เพราะต้องตรวจสถานที่ให้พร้อมก่อนงานวัดพรุ่งนี้ ผากับกุ้งกอดคอกันร้องเพลงตามแบบฉบับหนุ่มอารมณ์ดีกันยกใหญ่ ส่วนภรรยาของกุ้งก็ได้แต่พยายามสามีตัวเองว่าอย่าเสียงดัง
……………………………………………………….
เวลาแปดโมงเช้าของวันถัดมา เรือยนต์จากสถานีตำรวจภูธรหลังสวนจำนวน 2 ลำ ได้มาจอดเทียบท่าที่บริเวณท่าน้ำใกล้ๆกับบ้านของไกร ที่ริมตลิ่ง ไกรในชุดพราง จัดระเบียบแถวของหน่วยนาวิกโยธินในความควบคุมของตัวเอง นาวิกโยธินทั้ง 18 นายถืออาวุธเป็นปืนกลชนิด M60 ใช้กระสุนแบบ 7.62 มม.ที่ผลิตในสหัรฐฯ เป็นอาวุธจู่โจมหลัก แต่พวกเขาก็ยังมีอาวุธเป็นปืนสั้นชนิด M1911 คาดไว้ที่เอวทุกนาย
หลังจากอธิบายแผนการเสร็จ ไกรได้นำลูกน้องในความควบคุม 3 นายลงเรือไปพร้อมกับตัวเอง พร้อมทั้งชมพู่ โดยมีร้อยตำรวจตรีพงษ์เพชรเป็นผู้ขับเรือยนต์ ส่วนอีกลำหนึ่ง เลิศจะเป็นคนขับ และมีจ่าสิงห์กับนาวิกโยธินอีก 2 นายลงในเรือด้วยเพื่อที่ลำของเลิศ จะได้นำทางไปยังเวิ้งน้ำใหญ่ของคลองบางมุด และนาวิกโยธินอีก 11 นาย จะประจำการบนฝั่งพื้นดินโดยจะติดตามไปด้วยรถของชาวบ้านที่อาสาร่วมในภารกิจครั้งนี้
ชาวบ้านเกือบทั้งหมู่บ้าน ขับรถตามไปดูปฏิบัติการล่าสัตว์ลึกลับที่ฆ่าลุงช่ออย่างโหดร้าย ซึ่งเจ้าหน้าที่ทีมงานของชมพู่ก็นั่งรถตู้ติดตามไปด้วย ไกรมองกวาดสายตาไปทั่วท้องน้ำคลองบางมุดด้วยสายตาที่กล้าแกร่ง ชมพู่มองดูใบหน้าของไกร เธอรู้สึกโล่งใจที่ไกรกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว
“ผู้กอง ตื่นเต้นไหมคะ?”
“ไม่ครับ ผมรู้สึกดีด้วยซ้ำ วันนี้ลมเย็นดี อากาศเป็นใจแบบนี้ วันนี้น่าจะโอเคอยู่”
“แบบนี้ฉันก็วางใจค่ะ ว่าแต่ถามหน่อยค่ะ เมื่อคืนผู้กองไม่ได้ดื่มกับพวกผู้กองเลิศเหรอคะ เห็นเสียงดังเหมือนกันนี่”
“อ๋อ ผมดื่ม แต่ดื่มไม่มากครับ เลิศก็ด้วย ที่เมาจนแฮงค์ไปก่อนนี่คือกุ้ง ที่เป็นเจ้าของร้านตัดผมแหละครับ วันนี้เลยไม่ได้มาดูการปฏิบัติการคราวนี้ด้วย”
กระแสลมในคลองบางมุดวันนี้ ไม่ได้รุนแรงมากนัก กระแสน้ำก็ไหลผ่านไปเหมือนเช่นทุกวันที่มันเคยเป็น แต่เพียงแค่บรรยากาศบางอย่าง มันมากดดันความรู้สึกของตำรวจ และชาวบ้านเท่านั้น เพราะยังไม่มีใครทราบว่า สิ่งที่พวกเขากำลังจะได้พบหลังจากนี้ จะเป็นอะไรกันแน่ ชมพู่เองก็รู้สึกหวาดหวั่นเช่นกัน เพราะเธอเสียลูกน้องไปจากเหตุการณ์คราวนี้
เมื่อแล่นมาได้สักพักหนึ่ง ภาพที่ไกรได้เห็นก็คือ ภาพของคลองที่อ้ากว้างออกจากกัน จนเป็นลักษณะคล้ายกับเป็นอ่าว เป็นเวิ้งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งไกรจำได้ดีว่าสมัยตอนเด็ก เขาเองก็ไม่เคยมาที่นี่ เขารู้ทันทีว่าจุดนี้ไม่ใช่เวิ้งน้ำธรรมดา เพราะน้ำที่นี่นิ่ง เหมือนไม่ค่อยมีเรือผ่านมา
เรือของเลิศหยุดแล่น นาวิกฯสองนาย ถือปืนมองดูสองฝั่งของคลองที่อ้าออกจากกันเป็นวงกว้าง เลิศใช้ ว.ติดต่อไปที่ไกรที่อยู่ที่เรืออีกลำหนึ่ง
“ไกร ตรงนี้แหละ ที่เราเจอแขนของลุงช่อ แล้วก็เป็นจุดที่เรือของพวกเราโดนหนุนจนพลิก”
“ทราบแล้ว”
ชมพู่ก้มลงแล้วแกะกระเป๋าที่เธอนำใส่เรือมาด้วย ในนั้นมีอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นจานแบนกลม สีเหลืองติดตั้งสายเคเบิลยาวประมาณ 6 – 7 เมตรพันไว้ และสายนั้นก็เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทรงสี่เหลี่ยมที่มีหน้าจอ ชมพู่ค่อยๆหยิบเอาอุปกรณ์สี่เหลี่ยมออกมาก่อนและกดปุ่มเพื่อเปิดการทำงาน
“ช่วยหย่อนเจ้านี่ลงไปในน้ำให้หน่อยค่ะ” ชมพู่พูดพลางยื่นจานกลมๆให้กับนาวิกฯนายหนึ่ง ให้นำไปหย่อนลงในน้ำ
“นี่คืออะไรเหรอครับด็อกเตอร์ ?” ไกรถาม
“เครื่องโซนาร์ค่ะ ฉันตั้งใจจะใช้เจ้านี่เป็นตัวสะท้อนการเคลื่อนไหวของวัตถุใต้น้ำ เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากทีเดียวค่ะ เราจะรู้ได้ทันทีว่าใต้ท้องน้ำนี่ จะมีอะไรอยู่รึเปล่า ดิฉันปรับความถี่ให้สะท้อนเฉพาะวัตถุขนาดใหญ่ไว้เรียบร้อยแล้ว” ชมพู่อธิบาย
ไกรมองเจ้าเครื่องมือขนาดเล็กนี้ ค่อยๆหายไปในน้ำ ซึ่งนาวิกฯนายที่รับผิดชอบในการหย่อยตัวโซนาร์นั้น กำลังค่อยๆผ่อนสายให้ลงไปลึกจากใต้ท้องเรือประมาณ 3 เมตร ขณะที่เครื่องสะท้อนใต้น้ำกำลังทำงาน สัญญาณที่จอมอนิเตอร์ก็ดัง ปิ๊บๆ ตลอดเวลา ขณะที่ชมพู่กำลัง ใจจดใจจ่ออยู่ที่หน้าจอ ไกรก็ยืนขึ้นและกวาดสายตาไปรอบๆท้องน้ำ
บนฝั่ง ชาวบ้านกำลังมุงดูการปฏิบัติภารกิจคราวนี้ของหน่วยนาวิกโยธิน เหล่านาวิกฯอีก 11 นายได้เตรียมพร้อมอาวุธปืนเล็งไปยังคลองบางมุด และพร้อมโจมตีทุกเมื่อหากเกิดเหตุร้ายขึ้น ในช่วงนั้นเอง เลิศก็ได้สังเกตเห็นผิวน้ำจากจุดที่ไกลออกไปจากเรือลำแรกประมาณสามสิบเมตร แตกกระจายจนเป็นละอองน้ำกระเซ็นขึ้น
“พรายน้ำ … หรือว่า !?” เลิศรีบวิทยุไปหาไกรที่อยู่ที่เรืออีกลำหนึ่ง
“ไกร ห่างจากเรือสามสิบเมตร มีพรายน้ำผุดขึ้นมาเป็นกลุ่มใหญ่ ระวังตัวด้วย”
“ทราบแล้ว ทางนี้กำลังใช้โซนาร์ตรวจหาวัตถุที่อยู่ใต้น้ำอยู่” ไกรวิทยุตอบพลางมองไปยังจอมอนิเตอร์ที่ชมพู่กำลังจับตาดูอยู่ และแล้ว ที่หน้าจอก็แสดงสัญลักษณ์เป็นลักษณะของวัตถุขนาดใหญ่ ที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ใต้น้ำ ชมพู่มือสั่นด้วยความหวาดหวั่น แต่เธอก็ยังแข็งใจและเงยหน้าบอกกับไกรไปว่า
“ผู้กองคะ จากเรือสามสิบเมตร มีวัตถุขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามา ขอย้ำนะคะว่าเคลื่อนตัวมาด้วยความเร็วด้วย”
“นั่นใช่ไหม ?” ไกรชี้นิ้วไปยังข้างหน้า และเมื่อชมพู่ยืนขึ้นและมองไปตามจุดที่ไกรชี้นิ้วไป มีพรายน้ำขนาดใหญ่ผุดขึ้นมา ไกรสั่งให้ทุกคนประทับปืนเตรียมพร้อม ใบหน้าของแต่ละคนแสดงถึงความเคร่งเครียด ในขณะที่ชาวบ้านต่างก็กำลังลุ้นระทึกเมื่อเห็นผู้ที่อยู่บนเรือ เล็งปืนไปยังจุดที่มีพรายน้ำผุดขึ้นมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มดังขึ้น ชมพู่ที่จับตามองสัญญาณของวัตถุใต้น้ำ กำลังค่อยรายงานถึงการเคลื่อนไหวที่ใกล้เข้ามา
“อีกสิบเมตร … เก้าเมตร … แปดเมตร … เจ็ดเมตร … หกเมตร … ห้าเมตร … สี่เมตร … สามเมตร …”
ผู้กองไกรกลืนน้ำลายลงคอ และเตรียมใจพร้อมที่กำลังจะเผชิญกับอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้น้ำ และเมื่อสิ้นเสียงของชมพู่ว่า “อยู่ใต้ท้องเรือเราแล้ว !” ไกรก็เล็งปากกระบอกปืนไปที่ผิวน้ำทันที
ผู้กล้าบนเรือทั้งสองลำ หันปากกระบอกปืนไปที่ใต้ผิวน้ำ แต่แล้ว เรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อสัญญาณโซนาร์ที่แสดงบนหน้าจอได้ขาดหายไป เครื่องดับสนิท ชมพู่เริ่มงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวสะท้อนคลื่นความถี่ที่หย่อนลงไปใต้น้ำ เธอขอให้นาวิกฯที่เป็นคนหย่อนลงไป กว้านสายขึ้นมาทันที แต่เมื่อกว้านสายขึ้นมาก็ พบว่า สายที่อีกส่วนหนึ่งเชื่อมกับตัวจานสะท้อนคลื่นความถี่ได้ถูกอะไรบางอย่างตัดขาด
“อะไรมันตัดสายเครื่อง เลยทำให้เครื่องโซนาร์ไม่ทำงาน ?” ชมพู่อารมณ์เสียและยืนขึ้นมองไปรอบๆ ขณะที่ไกรเมื่อเสียสิ่งที่จะช่วยบอกพิกัดการเคลื่อนไหวของวัตถุใต้น้ำไปแล้ว ทีนี้เขาเหลือแค่วิธีเดียวก็คือวัดดวงว่า สิ่งที่อยู่ใต้น้ำจะโผล่ขึ้นมาหรือไม่
“เกิดอะไรขึ้นไกร ?” เลิศวิทยุมา
“สายเครื่องโซนาร์ขาด มีอะไรมาตัดมันจนขาดไม่รู้ !!”
และในเวลานั้นเอง สิ่งที่หลายคนไม่ตาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อวัตถุใต้น้ำได้เคลื่อนตัวไปยังริมตลิ่งอย่างเงียบ และพริบตานั้นเอง ผิวน้ำที่นิ่งสงบตรงบริเวณตลิ่งก็ระเบิดกระจาย วัตถุขนาดใหญ่โผล่ส่วนหัวของมัจจุราชขึ้นเหนือผิวน้ำ มันเป็นส่วนหัวอันใหญ่โตของจระเข้ขนาดมหึมาที่โผล่ขึ้นมาและอ้าปาก เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมที่ฝังอยู่เต็มปาก มันงับเข้าที่กลางลำตัวของชาวบ้านที่เคราะห์ร้าย ที่มาดูการล่าสัตว์ร้ายที่อยู่ใต้น้ำอย่างจัง ท่ามกลางเสียงชาวบ้านที่ตกใจสุดขีด และเสียงปืนที่ดังมาจากตำรวจ และนาวิกโยธินบนฝั่งที่ระดมปืนยิงใส่พญาสัตว์ขนาดมหึมา มันคาบชาวบ้านเคราะห์ร้ายไว้ที่กลางส่วนปากอันใหญ่โตของมัน
“ช่วยด้วย !?”
“ว้าย !?”
“ไอ้เข้ !! ไอ้เข้ยักษ์ !!”
“ยิงมัน ยิงมันเลย !!”
เสียงปืนที่ดังขึ้นจนแก้วหูแทบแตก ทั้งจากปืนกล M60 และปืนสั้น รวมถึงปืนไรเฟิลของชาวบ้านบางรายที่นำมาด้วย ระดมยิงใส่จระเข้ยักษ์ตัวนี้ แต่ก็ไม่อาจจะทำให้มันคายร่างของชาวบ้านเคราะห์ร้ายออกจากปาก มันกลับตัวพุ่งลงน้ำอย่างรวดเร็ว และในเสี้ยววินาทีที่มันกลับตัว หางของมันก็ได้สะบัดขึ้นมาฟาดชาวบ้านจนกระเด็นคว่ำไปไกล
“หัวหน้า ไอ้เข้ครับ ไอ้เข้ยักษ์ !!” ลูกน้องของไกรชี้ให้เห็นว่า มีจระเข้ขนาดใหญ่ได้คาบเอาชาวบ้านลงน้ำ และกำลังจะดำหายไป ไกรหลุดจากอาการตกใจเมื่อเห็นถึงขนาดลำตัวที่ใหญ่ยักษ์อย่างไม่น่าเชื่อในสายตา ไกรสั่งทุกคนในเรือ ระดมยิงทันที
“ทั้งหมดยิง !!”
เสียงปืนสั้นชนิด 11 มม. และปืนกล M60 จากบนเรือ กระหน่ำยิงใส่พญาสัตว์ขนาดมหึมา ที่ไว้น้ำตรงเข้ามาใกล้เรือ ร่างของชายเคราะห์ร้าย ยังไม่ตายสนิท เขาทั้งพยายามกำมือฟาดใส่ส่วนบนของปากจระเข้ยักษ์ แต่ก็เปล่าประโยชน์ จระเข้ยักษ์กดร่างของเหยื่อลงไปในน้ำหมายให้ขาดอากาศหายใจ และแล้ว มันก็ดำลง หายไปใต้ผิวน้ำนั่นเอง ท่ามกลางความตกตะลึงของชาวบ้านนับร้อย ตำรวจ และหน่วยนาวิกโยธินทั้งบนเรือและบนฝั่ง บัดนี้ชาวบ้านชาวบางมุด ได้รู้กันเสียทีว่า ฆาตกรตัวจริงนั้นคืออะไร ที่แท้ ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง คลองบางมุดแห่งนี้กำลังจะโดนย้อมไปด้วยสีเลือดอีกครั้ง จากในอดีต ที่ไอ้ด่างเคยทำไว้ แต่ครั้งนี้ จระเข้ยักษ์ที่หิวโหย กระหายเลือด จะเป็นผู้สร้างตำนานความน่าสะพรึงกลัวให้ชาวบ้านได้หวาดหวั่นแทนไอ้ด่าง
ไกรนำเรือกลับเข้าฝั่ง แค่ภารกิจครั้งแรก เขาก็หลงกลในความร้ายกาจของสัตว์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะแฝงตัวอยู่ในคลองบางมุดได้อย่างจระเข้ ในภารกิจแรกที่ไกรได้มาร่วมด้วยนั้น ต้องแลกด้วยการสูญเสียชาวบ้านไปหนึ่งราย ซึ่งความเศร้าโศกนี้ ทำให้ภรรยา และพ่อแม่ของหนุ่มเคราะห์ร้ายผู้นั้นถึงร้องห่มร้องไห้ และหมายมั่นว่าจะต้องออกล่าจระเข้ยักษ์ตัวนี้ให้ได้
ไกรนั่งพักด้วยความเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่เลิศก็เดินเข้ามาหาและนั่งพิงใต้ต้นมะพร้าวริมตลิ่ง เขาพึ่งสั่งให้ชาวบ้านอย่าเข้าใกล้น้ำเป็นอันขาด
“เอ็งเห็นรึเปล่าไอ้เลิศ ?” ไกรเอ่ยปากถามเพื่อน
“เห็นชัดเต็มลูกตาสองข้างเลย มันว่ายฝ่าดงกระสุนจากทั้งบนบกทั้งบนเรือของเรา ยิงรอบทิศ แต่ทำอะไรมันไม่ได้เลย หมายความกระสุนปืน M60 ของพวกเอ็งนี่คือบอดสนิท” เลิศตอบ
“สงสัยงานวัดวันนี้จะกร่อยแน่ๆ”
“อย่างที่ฉันคาดไม่ผิด มันคือจระเข้” ชมพู่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง การคาดคะเนจากเศษเขี้ยวกลายเป็นความจริง เธอมองหน้าสองผู้กองต่างเหล่าทัพ ซึ่งทั้งสองก็พยักหน้ายอมรับในความเป็นจริงว่าชมพู่วิเคราะห์ได้ถูก สมกับที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลาน ชมพู่พูดกับทั้งสองอีกว่า
“และสิ่งที่ฉันคาดการณ์ถูกอีกอย่างก็คือ ขนาดของมัน ใหญ่โตจนประมาณค่าไม่ได้” คำพูดนี้ ไกรกับเลิศก็พยักหน้าเห็นด้วยอีก
“แต่มีสิ่งที่ฉันยังไม่รู้ก็คือ มันหลุดเข้ามาในคลองบางมุดนี้ได้ยังไง แต่ตอนนี้คือมันเหยื่อไปกินทั้งหมดสามราย แล้วทั้งสามรายล้วนตายที่นี่ เวิ้งน้ำที่ซึ่งเป็นบ้านของมัน”
“แล้วคิดว่ามันจะมีสิทธิ์ออกล่าเหยื่อนอกพื้นที่ของมันไหมครับด็อกเตอร์ ?” เลิศถาม
“มีโอกาสสูงเหมือนกันค่ะ จระเข้ตัวนี้ดูเจนจัดในเรื่องการล่าเหยื่อ และฉลาดพอที่จะเล่นงานเราให้ตามตัวมันไม่เจอด้วยการกัดสายเคเบิ้ลที่เชื่อมกับตัวโซนาร์จนขาดได้ จระเข้ตัวนี้ไม่ใช่จระเข้ธรรมดาๆเสียแล้ว”
ช่วงบ่ายในวันเดียวกัน นักข่าวท้องถิ่นได้เข้ามาทำข่าวที่คลองบางมุดหลังจากทราบเรื่องว่า ฆาตกรที่แท้จริงที่แอบซ่อนตัวอยู่ในคลองบางมุด ที่แท้ก็คือจระเข้ขนาดยักษ์ที่ล่าสุด ก็สามารถลากชาวบ้านไปกินได้อีกหนึ่งราย นักข่าวท้องถิ่นได้สัมภาษณ์ด็อกเตอร์ชมพู่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคราวนี้ซึ่งเธอก็ตอบไปว่า ทฤษฎีของเธอถูกต้อง และเธอยังบอกอีกว่าจระเข้ตัวนี้น่าจะมีความยาวไม่ต่ำกว่าหกเมตรแน่นอน อีกทั้ง มันยังหิวโหย และมันจะกลับมาเหยื่ออีกแน่นอน
ที่ศาลาว่าการจังหวัดชุมพร เรือเอกไกร พร้อมด้วยสมาชิกหน่วยนาวิกโยธิน 18 นาย , ร้อยตำรวจเอกเลิศ , ด็อกเตอร์ชมพู่ รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านสมัย ได้เข้าประชุมด่วนถึงการประกาศเตือนภัยชาวบ้านเรื่องจระเข้ยักษ์ที่แฝงตัวอยู่ในคลองบางมุด ในห้องประชุม ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัด และหัวหน้าประมงประจำจังหวัดกำลังรอฟังคำชี้แจงของพวกไกรกันอยู่
“สรุปว่าสิ่งที่ฆ่าชาวบ้าน คือจระเข้อย่างนั้นใช่ไหมครับด็อกเตอร์?” ผู้ว่าราชการจังหวัดเอ่ยถามในห้องประชุมที่นั่งล้อมรอบโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว
“ค่ะ ตอนนี้ดิฉันคาดคะเนความยาวของจระเข้ตัวนี้ไว้ที่แปดเมตรเป็นอย่างน้อย ส่วนเรื่องจะเป็นพันธุ์น้ำจืดหรือพันธุ์น้ำเค็ม ดิฉันยังให้คำตอบไม่ได้ ต้องรอตรวจสอบ และมีรูปถ่ายของมันก่อน ถึงจะสามารถระบุได้ อีกทั้งดิฉันกำลังหาข้อพิสูจน์อีกอย่างว่า ทำไมมันถึงเข้ามาอยู่ในคลองบางมุดได้” ชมพู่กล่าว
“ผู้กองเลิศล่ะ มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับจระเข้ตัวนี้ ?” ผู้ว่าหันมาถามนายตำรวจหนุ่มแห่งสถานีตำรวจภูธรหลังสวนบ้าง
“ครับ ! สิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอกก็คือ จระเข้ตัวนี้มีความฉลาดในการหลอกล่อพวกเรา มันกัดสายเคเบิลของเครื่องโซนาร์ ที่ใช้ตรวจจับการเคลื่อนไหวของวัตถุใต้น้ำจนขาด ทำให้เราไม่สามารถตามตัวมันได้ แล้วยังสามารถฝ่าการระดมยิงด้วยกระสุนปืนกลขนาด 7.62 มม.จากปืนกล M60 ออกมาได้อย่างสบายเลยครับ” เลิศรายงาน
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะผู้กองไกร ?” ผู้ว่าฯหันไปถามไกร
“ผมอยากให้ทางผู้ใหญ่บ้าน ประกาศห้ามชาวบ้านลงน้ำ หรือเข้าใกล้เขตริมตลิ่งเด็ดขาดหากไม่จำเป็น แล้วให้จัดเวรยามช่วยกันสอดส่องดูรอบๆคลองทั้งสองฝั่ง ให้เลี่ยงเส้นทางการคมนาคมทางน้ำไปใช้ทางเรือก่อน และงดการหาปลาด้วยสักระยะ จนกว่าเราจะสามารถกำจัดมันได้ครับ” ไกรตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมเห็นด้วยนะกับทั้งสามคนนะ เอาล่ะผู้ใหญ่สมัย ผมฝากด้วยนะ ประกาศให้ชาวบ้านอย่าพึ่งเข้าใกล้คลอง งดการหาปลาหรือกิจกรรมอะไรก็ตามที่ต้องใช้คลอง ยังไงก็ขอให้ช่วยกันกำจัดมันให้ได้ ก่อนที่ชาวบ้านจะพากันอพยพหนีออกจากหลังสวนกันไปหมด”
……………………………………………
แคมป์ของหน่วยนาวิกโยธินที่อยู่ใกล้กับคลองบางมุด ไกรนัดหมายวันเวลาในการเตรียมความพร้อมในการออกล่าจระเข้ยักษ์ คือเตรียมเริ่มต้นอีกครั้งในวันถัดไป โดยไกรได้ขอคำสั่งไปทางกองบัญชาการหน่วยนาวิกโยธินเพื่อขอเบิกอาวุธประจำหน่วยชนิดเป็นเครื่องยิงลูกระเบิด แต่เนื่องจากว่าช่วงเย็นที่วัดน้ำลอด จะมีงานวัดประจำปี ด้วยความเสี่ยงที่ว่า สัตว์ร้ายตัวนี้อาจจะออกล่าเหยื่อ ไกรจึงได้จัดกำลังหน่วยนาวิกโยธิน คอยสอดส่องดูแลตลอดทั้งสองฝั่ง และอนุมัติให้ใช้อาวุธปืนได้ทันทีโดยไม่ต้องรอคำสั่ง
“เลิกแถว !!”
เมื่อไกรสั่งเลิกแถว เหล่านาวิกโยธินทั้ง 18 นายก็กระจายกันไปทำภารกิจส่วนตัวกัน เพื่อเตรียมความพร้อมในช่วงเย็น โดยจะมุ่งหน้าไปยังวัดน้ำลอด ไกรเดินไปนั่งที่เก้าอี้เหล็กในเต็นท์ใหญ่ เขากดน้ำจากคูลเลอร์มาดื่มเพื่อดับกระหาย
รถตำรวจแล่นเข้ามาจอดที่ริมถนน เลิศเปิดประตูรถและค่อยๆวิ่งลงเนินไปที่แคมป์ของหน่วยนาวิกโยธิน เลิศถือเอาม้วนกระดาษม้วนหนึ่ง เขารีบเดินไปยังโต๊ะที่ไกรนั่งพักอยู่
“ที่ด็อกเตอร์ชมพู่บอกว่ามันมีโอกาสที่จะออกล่าเหยื่อนอกเขตแดนของตัวมันเองด้วยน่ะ เอ็งคิดว่าถ้ามันออกมาจากเวิ้งน้ำนั่นโดยการว่ายน้ำมาตามทิศที่เรามา เอ็งคิดว่าจุดเสี่ยงที่สุดน่าจะเป็นที่ไหน ข้าบอกได้เลยนะว่า เอ็งต้องเครียดแน่ถ้าเอ็งรู้” นายตำรวจหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
“ที่ๆเรามาเหรอ เวิ้งที่มันรังของมัน อยู่ทางทิศใต้ ถ้ามันขึ้นเหนือ … หรือว่า ?” สิ้นเสียงของไกร เลิศก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าพร้อมทำสีหน้าคิ้วขมวด
“วัดน้ำลอด !! แล้ววันนี้เป็นวันที่มีงานวัดวันแรกด้วย !!”
ไกรตกใจ เขาลืมนึกไปทันทีว่าวันนี้ที่วัดจะมีงาน และแน่นอนว่า จะต้องมีหลายๆคนไปนั่งที่ริมน้ำ หรือตามท่าน้ำหน้าวัดแน่ๆ ไกรรีบออกคำสั่งให้หน่วยนาวิกโยธิน กระจายกำลังกันคอยดูตรวจตราบริเวณวัดน้ำลอด ซึ่งวันนี้จะมีงานวัดช่วงเย็น ซึ่งไกรกับเลิศ ก็ต้องคอยสอดส่องดูแลทั่วทั้งงานด้วยเช่นกัน
ช่วงเย็น ชาวบ้านเริ่มเดินทางเข้ามาเที่ยวชมงานวัดประจำปีของชาวบ้านคลองบางมุด แม้จะพึ่งเกิดเหตุร้ายขึ้นหมาดๆ แต่ก็ไม่อาจจะหยุดอารมณ์รักสนุกของชาวบ้านให้เข้ามาเล่นเกมที่จัดตามร้านต่างๆ หรือจะลิ้มรสอาหารอร่อยที่ชาวบ้านมาตั้งร้านกันไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาอาจจะไม่คุ้นก็คือ การที่มีทหารและตำรวจถืออาวุธปืนครบมือ ในการเตรียมป้องกันภัยริมฝั่งคลอง หากมีสัตว์ร้ายอย่างจระเข้ปรากฏตัวขึ้นมา
“เป็นไงบ้างวะไกร เลิศ ข้าได้ข่าวมาว่ามีคนตาย ตกลงเป็นไอ้เข้ใช่ไหม?” ผาวิ่งมาถามสองผู้กอง ขณะทีทั้งสองเดินผ่านซุ้มร้านบะหมี่ของผา
“ใช่ เป็นจระเข้จริงๆ แล้วก็เป็นจระเข้ขนาดใหญ่ด้วย ตอนนี้คลองหน้าบ้านพวกเราไม่ปลอดภัยแล้ว พวกเรากำลังหาวิธีที่จะล่าตัวมันอยู่ แต่มันฉลาดพอตัวนะ มันกัดสายเครื่องโซนาร์จนขาด ทำให้เราหาตัวมันเวลามันอยู่ใต้น้ำไม่เจอ” ไกรกล่าว
“แล้วที่ทหารกับตำรวจมากันเต็มงานวัดนี่ มีอะไรรึเปล่า ?” ผาถามต่อ
“คือว่าแบบนี้นะผา ด็อกเตอร์ชมพู่คิดว่า มีโอกาสที่มันจะออกล่าเหยื่อในคืนนี้โดยมันจะว่ายขึ้นเหนือ แน่นอนว่าจุดที่มันจะเจอเป็นจุดแรก เมื่อมันออกจากรังของมันที่เวิ้งน้ำนั่น ก็คือวัดน้ำลอด แล้วยิ่งวันนี้ มีงานวัด คนมากันเยอะ เราจะควบคุมพื้นที่ลำบาก คนจะออกมาเดินเที่ยว ตามริมน้ำตามท่าน้ำกันเต็มไปหมด แล้วคิดดูสิว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเกิดมันมาจริงๆ เหยื่อของมัน มีให้เลือกเต็มไปหมดแบบนี้” เลิศพูดพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ซึ่งด้วยประโยคนี้ ทำเอาผาถึงกับเครียดลงกระเพราะ
กุ้งกับภรรยาเดินถือขนมมาถุงใหญ่ ซึ่งเป็นขนมจำพวกข้าวเกรียบ เขานำมาให้เพื่อนที่กำลังปฏิบัติภารกิจอยู่อย่างไกรและเลิศ
“กินซะเพื่อน จะได้มีแรงทำงาน”
“ขอบใจมาก เออข้าขอบอกเอ็งไว้ก่อนเลยนะ เอ็งอย่าพึ่งพาเมียเอ็งไปนั่งเล่นตามศาลาริมน้ำ หรือท่าน้ำนะกุ้ง” เลิศเอ่ยขึ้นหลังจากรับถุงข้าวเกรียบมา
“ทำไมวะ ?”
“มีโอกาสที่จระเข้ยักษ์นั่นจะออกล่าเหยื่อ แล้วมันจะมาที่นี่” เลิศตอบ
“ตกลงเมื่อเช้านี้ ที่พวกเอ็งไปเจอกันมานี่เป็นจระเข้จริงๆใช่ไหม ?” กุ้งถามต่อ
“ชัวร์ แถมตัวใหญ่ชนิดที่ว่าอย่างกับไดโนเสาร์ และที่สำคัญคือมันได้ชาวบ้านไปกินคนหนึ่งแล้ว ด็อกเตอร์ชมพู่บอกว่า มันจะออกหากินกลางคืนด้วย ต้องระวังตัวไว้ ยังไงเอ็งกับเมียก็ฟังๆคำเตือนข้าไว้บ้างละกัน” ไกรเป้นคนตอบแทน ซึ่งกุ้งกับภรรยาก็พยักหน้า
ชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อลายสก๊อต และใส่กางเกงขาเดฟสีดำขลิป หน้าตาคมสัน ตัดผมทรงรองทรงต่ำ ฉีดน้ำหอมฟุ้งไปทั้งตัว พร้อมทั้งยังมีหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งตัวสั้นๆด้วยการใส่เกาะอกสีแดง รวมทั้งใส่กางเกงขาสั้นเกือบเห็นแก้มก้นเดินเข้ามาใกล้พวกไกรมากขึ้น น้ำเสียงที่คุ้นหูแต่ไม่ค่อยอยากได้ยินนัก มาเข้าหูพวกไกรจนได้
“เฮ้ย ไงวะพวกมึง ไม่เจอกันนานเชียว …”
ไกร เลิศ ผา และกุ้ง หันไปมองเจ้าของเสียง ซึ่งพวกเขาก็รู้สึกเซ็งเมื่อหันไปเห็นเจ้าของเสียงที่ซึ่งเป็นบุคคลที่พวกเขาแทบจะไม่อยากเจอมากที่สุด
“ไอ้โชค…”
ความคิดเห็น