คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3
ตอนที่ 3
ปี พ.ศ. 2554 หรือ 29 ปีผ่านไป คลองบางมุด ลำคลองสายหลักของชาวบ้าน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ก็ยังคงสงบนิ่ง เป็นแหล่งการคมนาคมที่สำคัญของชาวบ้านริมคลองเหมือนเดิม ชาวบ้านแถบนั้น ออกทำมาหากินด้วยการ เหวี่ยงแหจับปลา หาของป่ากันเหมือนทุกยุคทุกสมัย เป็นภาพที่ชินตาของเด็กๆในหมู่บ้าน ที่ซึ่งเติบโตขึ้นตามกาลเวลา แต่คลองแห่งนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน พวกเขามีความทรงจำอันสวยงามที่นี่มากมาย ชาวบ้านถือตะกร้า บ้างก็ถือกระชังที่บรรจุปลาที่พึ่งจับได้ กลับไปยังบ้านของตน
กลุ่มเด็กเล็ก ที่ออกมาจับกลุ่มเล่นซนตามริมคลองที่แสนสงบแห่งนี้ มีให้เห็นทุกยุคทุกสมัย ลำคลองที่ซึ่งเต็มไปด้วยปลาน้ำจืดนานาพันธุ์ และพืชพรรณที่โตตามริมน้ำ อีกทั้ง เรือหางยาว หรือเรือพายของชาวบ้านริมคลอง ที่ใช้สัญจรไปมา ก็ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป
รถตำรวจของ สถานีตำรวจภูธรหลังสวนแล่นไปตามริมคลองบางมุดอันเงียบสงบ กระจกด้านข้างคนขับ ลดลงเพื่อเปิดให้อากาศอันบริสุทธิ์ และลมโชยเย็นๆ พัดเข้ามาในตัวรถ นายตำรวจหนุ่มผิวขาว หน้าตาดีในชุดเครื่องแบบนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร จับพวงมาลัยบังคับรถไปพลาง ผิวปากไปพลางด้วยความอารมณ์ดี
“สวัสดีผู้กอง วันนี้ออกตรวจพื้นที่ด้วยตัวเองเลยเหรอครับ” ชาวบ้านที่เดินผ่านข้างรถ ที่นายตำรวจหนุ่มขับผ่าน เอ่ยทักทายด้วยความเป็นมิตร
“ครับผม วันนี้ หมู่บ้านเราก็สงบเหมือนเคยนะ จนตำรวจอย่างผมว่างงานเลยด้วยซ้ำ เนี่ย ว่างๆชวนเล่นไพ่มั่งก็ดีนะครับ ผมจะได้มีงาน ได้ไล่จับคนมั่ง” ผู้กองหนุ่ม หยุดรถและทักทายชาวบ้านที่คุ้นเคยกันด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“โห่ ผู้กอง ทุกวันนี้ แค่เอาปลาไปขาย กว่าจะได้ตังค์ก็ยากแล้วนา…จะให้เอาเงินไปลงบ่อน โห่ ถ้าเสีย แถมโดนจับ ค่าประกันนี่อานเลยนะครับ”
“พูดเล่นน่าครับ น้า ไม่มีคนเล่นพนันน่ะดีแล้ว”
ผู้กองหนุ่มพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะเหยียบคันเร่ง พารถลัดเลาะไปตามถนนเลียบคลอง และวกกลับขึ้นถนนใหญ่ เพื่อขับกลับไปยังสถานีตำรวจของต้นสังกัดที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ รถกระบะสีน้ำตาลขาวติดไซเรนท์ ที่ทางสถานีใช้เป็น รถปฏิบัติทางราชการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล่นผ่านตลาดหลังสวน ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่ประจำจังหวัดชุมพร นายตำรวจหนุ่มหยุดรถที่ร้านขายบะหมี่ร้านหนึ่ง ที่เปิดเป็น ห้องในตึกแถว เขาปรับกระจกหน้ารถ เพื่อให้สามารถมองเห็นใบหน้าของตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อจะตรวจเครื่องแบบว่าเรียบร้อยดีหรือไม่ ก่อนที่จะก้าวเท้าออกจากรถ อย่างน้อย ความสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อยของเครื่องแบบ ก็สามารถบ่งบอกได้ทันทีว่า เขาเป็นตำรวจที่เคร่งครัดในระเบียบวินัยอย่างมาก
เขาสวมหมวกตำรวจ และเปิดประตูก้าวออกจากรถ ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ตามฟุตบาท บ้างก็แวะซื้อของตามร้านค้าต่างๆ บ้างก็แวะเข้าไปกินอาหารตามร้านค้าใกล้ๆ ผู้กองหนุ่มหน้าใส ก้าวเท้าเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ที่ใช้ชื่อว่า ‘ตระกูลผาหมี่เกี๊ยว’ ซึ่งถือว่าเป็นร้านบะหมี่ที่รสชาติเข้มข้นที่สุดในตลาดหลังสวนเลยก็ว่าได้ แม้แต่ผู้คนจากต่างจังหวัด ที่แวะเวียนมาเที่ยวจังหวัดชุมพร ยังต้องเข้ามาลองชิมบะหมี่ที่ขึ้นชื่อของอำเภอหลังสวนแห่งนี้
เจ้าของร้านรูปร่างสูงใหญ่ อ้วนท้วม กำลังก้มหน้าก้มตาลวกเส้นบะหมี่อย่างตั้งอกตั้งใจ และเมื่อรู้สึกว่า มีลูกค้าเข้าร้านจึงรีบเอ่ยปากต้อนรับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง “เชิญครับ สั่งอะไรดีครับ”
“เล็กน้ำไม่งอกธรรมดา ชามนึง ใส่ลูกชิ้นเยอะๆ เส้นเยอะๆ ในวงเงินยี่สิบห้าบาท” ผู้กองหนุ่มสั่งบะหมี่ด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“อ่ะฮ้า…สั่งกวนๆแบบนี้ มีแต่เอ็งคนเดียวแหละน๊า…ไอ้ผู้กองเลิศ!!” เจ้าของร้าน เงยหน้าและอำผู้กองหนุ่มกลับทันทีอย่างคุ้นเคย เพราะทั้งเขากับผู้กองหนุ่ม ต่างก็เป็นเพื่อนที่วิ่งเล่นมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก “ไงล่ะ ลมอะไรพัดเอ็งมาถึงที่นี่ได้ล่ะ”
‘เลิศ’ หรือ ‘ร้อยตำรวจเอกเลิศชาย’ รองสารวัตรสืบสวนประจำ สถานีตำรวจภูธรหลังสวน เขามีหน้าตาที่คล้ายกับพ่อซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจและเกษียณอายุราชการไปแล้ว อีกทั้ง เอกลักษณ์ที่ดวงตา ที่ซึ่งเป็นคนตาตี่ตั้งแต่เล็ก ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ผู้กองเลิศ หลังจากเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ก็ได้มาบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจอยู่ที่ สถานีตำรวจภูธรหลังสวน เหมือนเช่นที่พ่อของเขา เคยปฏิบัติงานอยู่ที่นี่ และด้วยความที่เป็นกันเองกับชาวบ้าน และยิ้มแย้มเสมอ ทำให้เวลาเลิศ ออกลาดตระเวร ก็จะมีชาวบ้านตะโกนทักทาย หรือมีของป่า ผลไม้ป่า มาฝากเขาเสมอๆ
‘ผา’ เพื่อนเล่นของเลิศตั้งแต่วัยเด็กก็เติบโตขึ้น และสืบทอดกิจการร้านบะหมี่ของบ้านตัวเองอย่างเต็มภาคภูมิ อีกทั้ง ดูเหมือนว่า กิจการจะเติบโตขึ้นอย่างมาก ทั้งรสชาติ ทั้งลีลาการพูดเชิญชวนให้เข้าร้าน การบริการลูกค้า ผาได้รับการถ่ายทอดมาอย่างดีจากพ่อแม่ของเขา ที่ปัจจุบัน ก็มีหน้าที่แค่คอยนับเงินที่ลูกชาย ขายบะหมี่ได้ แต่เอกลักษณ์ของผา ก็ยังเหมือนเดิม ไม่ผิดเพี้ยนไปจากตอนเด็กคือ รูปร่างที่อ้วนกลม และยิ้มแย้มเสมอนั่นเอง
“ก็ วันนี้โดนเวรออกตรวจพื้นที่ เลยแวะมากินที่ร้านเอ็งไง ไอ้หมูอ้วนเพื่อนยาก”
“โห่…ไรว้า พอเวลาหิวน่ะดันคิดถึงเพื่อน แต่พอเวลาไม่หิวนี่นะ ไม่เคยเห็นโผล่หัวมาให้เห็น” ผาพูดกัดๆเลิศนิดหน่อย พร้อมกับถือบะหมี่ที่เลิศสั่ง มาเสิร์ฟให้กับเลิศ พร้อมทั้งสั่งให้เด็กเสิร์ฟในร้าน เอาน้ำแข็งเปล่า 2 แก้ว พร้อมน้ำเปล่า 1 ขวดมาบริการให้กับเพื่อนรักทันที
“เฮ้ย กินเต็มที่นะ สั่งได้อีก มื้อนี้ ข้าเลี้ยงเอง” เจ้าของร้านร่างใหญ่โชว์ป๋าเต็มที่
“บ้าเหรอไอ้ผา เอ็งเป็นคนทำมาหากิน จะมาเลี้ยงข้าทำไมวะ ไม่ๆเว้ย คิดเงินตามปกติเลย”
“โธ่ ไอ้เลิศ นานๆเจอเพื่อน ไม่เป็นไรน่า วันๆหนึ่ง ข้าก็ขายได้เกือบๆหมื่นแล้ว ไม่ต้องคิดมากน่า อีกอย่าง ข้าจะกล้าคิดเงินกับเพื่อนได้ไงเล่า” ผาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วจริงใจ
“ขอบคุณมากเว้ยเพื่อน เออ ว่าแต่พ่อแม่เอ็งน่ะ เป็นไงบ้าง ?”
“ก็สบายดี เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเหนื่อยแล้วเว้ย นั่งๆนอนๆนับเงินอย่างเดียว ข้าก็มีความสุขล่ะวะที่เห็นพ่อแม่สบาย พอร้านค้าเริ่มมีชื่อเสียง ได้ลงในหนังสือท่องเที่ยว ข้าก็เลยขายดีแบบติดลมบนเลย”
“ก็ดีสิวะ มีเพื่อนเป็นคนดัง ฮ่าๆๆ”
“โห่…เหนื่อยนะเอ็ง ทำทีแทบไม่ได้หยุด ดีที่ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้ เด็กในร้านหมดแล้ว เออเลิศ เดี๋ยวนี้ได้ข่าวเรื่องไอ้โชครึเปล่า มันจะแต่งงานแล้วนะเว้ย”
“จริงเหรอ คนเอาแต่ใจอย่างมันนี่มีผู้หญิงชอบด้วยเหรอวะ ไม่อยากจะเชื่อ”
“ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน แต่เห็นคนแถวนี้เขาพูดกันว่า พ่อแม่มันหาให้ แต่ข้าเคยเห็นๆผู้หญิงคนที่ว่าแล้วนะ หน้าตาก็ หืม…แต่งตัวก็ โห…อย่างกับ อีตัว แน่ะ”
“เฮ้ย พูดดังไปแล้ว เดี๋ยวมันก็ได้ยินหรอก ร้านของมันก็อยู่แถวนี้นี่”
ผู้ชายที่เลิศกับผา พูดถึงก็คือ ‘โชค’ เพื่อนเก่าสมัยเด็กๆของพวกเขานั่นเอง แต่โชคนั้น เป็นเด็กเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็ก และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ยังคงไม่ละทิ้งนิสัยเดิมๆ เขายังเป็นคนที่เอาแต่ใจ ขี้โวยวาย ปากหาเรื่อง โชคโตขึ้นมามีหน้าตาที่คมสัน ไว้ผมรองทรงต่ำ ผิวขาว ชาวบ้านแถวตลาด มักจะเห็นเขาสวมเสื้อยืดสีดำ สวมกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินโพกผ้าขาวม้าที่เอวเป็นประจำ และเขามักจะมีปัญหากับ ร้านค้าต่างๆที่อยู่ตามละแวกบ้านเขาเสมอ อีกทั้ง บ้านของโชค ก็ยังเป็นเจ้ามือเล่นเปียแชร์อยู่เหมือนเดิม
เมื่อโชคเรียนจบระดับปริญญาตรีที่กรุงเทพ เขาก็กลับมาสืบทอดกิจการร้านขายของชำที่บ้าน และด้วยความที่เป็นคนหน้าตาดี ถึงแม้จะเอาแต่ใจ แต่ก็มีหญิงสาวมากมาย เทใจให้กับเขา แต่ท้ายที่สุดแล้ว โชคก็เลือกที่จะตกลงปลงใจ หมั้นกับ ‘ฉวี’ ลูกสาวของ ‘ผู้ใหญ่สมัย’ ผู้ใหญ่บ้านบางมุด ที่ซึ่งผู้ใหญ่สมัย สนิทกับพ่อแม่ของโชคนั่นเอง
หลังจาก กินบะหมี่ฝีมือเพื่อนรักเสร็จ ผู้กองเลิศก็กล่าวลาผา เพื่อจะกลับไปยังสถานีตำรวจ ผู้กองเลิศ ขับรถผ่านร้านขายของชำของโชค ซึ่งตอนเด็กๆ เขาเองก็เคยแวะมาซื้อขนม หรือของเล่นอยู่บ่อยครั้ง และภาพที่เขาเห็นก็เหมือนเช่นตอนวัยเด็ก แต่ต่างตรงที่ คนที่ออกมาต่อล้อต่อเถียงกับ แม่ค้า ข้างๆร้าน ไม่ใช่ นางพร หรือ นายธง ผู้เป็นพ่อและแม่ของโชค แต่กลับเป็นผู้สืบทอดร้านค้าคนปัจจุบันอย่างโชคนั่นเอง ซึ่งเลิศ ก็ไม่ค่อยอยากจะลงไปแวะเวียนทักทายเพื่อนเก่าคนนี้เท่าไหร่นัก เพราะลงไป ก็คงโดนแขวะ หาว่ามาปรับ มาเก็บเงินค่านู่นค่านี่อีก
ร้านตัดผม ‘กุ้งบาร์เบอร์’ริมคลองบางมุด วันนี้ชาวบ้านในละแวกเดียวกับร้าน ก็ยังคงแวะเวียนมาใช้บริการอยู่เหมือนเดิม และ ‘กุ้ง’ ชายหนุ่มผู้สืบทอดกิจการร้านตัดผมต่อจากผู้เป็นพ่อ ก็สานต่องานที่ทำกันมาหลายช่วงอายุคนได้อย่างดีเยี่ยม จัดได้ว่า ทุกคนในละแวกริมคลองบางมุด ต่างต้องมาขอใช้บริการร้านตัดผมของกุ้งแทบทุกคน ด้วยฝีไม้ลายมือและทักษะการใช้กรรไกรซอยผม กับถือ บัตตาเลี่ยนในการ จัดแต่งทรงผมของกุ้ง จัดได้ว่าขนาดมืออาชีพยังต้องยอมรับ
“ไอ้กุ้ง วันนี้ ทำไอ้ทรงผมยาวๆให้ลุงหน่อยสิ ประมาณพวก ไอ้นักร้องวงเกาหลีๆอะไรพวกนั้นน่ะ” ชายวัยชราร่างผอมผู้หนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง ขณะที่นั่งบนเก้าอี้จัดแต่งทรงผม
“อะไรเล่าลุงช่อ ! ดูผมบนหัวลุงสิ มีให้ตัดที่ไหนเนี่ย เอ๊อ… จะให้มาทำทรงเกาหลงเกาหลี ไถไอ้ที่เป็นกระจุก หยอยๆบนหัวไม่ง่ายกว่าเหรอ” ชายหนุ่มเจ้าของร้านตอบลูกค้าด้วยน้ำเสียงกวนๆอย่างที่ชาวบ้านและลูกค้าแถบนั้น ได้ยินเป็นประจำ แต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นกันเอง
“เอ้า ! เอ็งนี่ พูดมาอย่างกับข้าแก่แล้ว ข้ายังหนุ่มนะเว้ย ดูซะ หน้าตาเต่งตึง ผิวนี้ ขาวเนียนอย่างกับผิวปลาโลมา ว่าจะแต่งหล่อไปเที่ยวงานวัดปีนี้ ให้สาวๆกรี๊ดกร๊าดกันซักหน่อย”
“ผิวเหี่ยว แถมสากเป็นปลาฉลามล่ะสิไม่ว่า แล้วลุงช่อ ผมว่าไปตัดแว่นใหม่ดีมั้ย ดู๊ดู ดูยังไงว่าตัวเองผิวขาว ฮ่าๆๆ อยากจะหัวเราะ ผมว่าถ้าลุงขาวนะ แล้วถึงป้าแม้น เมียลุง จะดำนะ โอกาสที่อีช้อน ลูกสาวลุงจะขาวเหมือนลุง มันจะยังเยอะกว่าด้วยซ้ำ นี่อะไร ลุงก็ดำ ป้าแม้นก็ดำ อีช้อนออกมา มันก็ดำสิลุง ฮ่าๆๆ ก็เพราะตัวหัวเชื้อมันดำ” การโต้ตอบด้วยคารมเรียกเสียงหัวเราะของกุ้ง ดังไปทั่วร้าน ทำเอาลูกค้าที่เข้าคิวรอตัดผมรายต่อๆไป ถึงกับหัวเราะกันทั้งร้าน
“อ้าวๆ ไอ้นี่ ลามปามถึงลูกเมียกูแล้วนะเฮ้ย ตัดๆไปเหอะ เอาทรงเดิม ไถให้เกลี้ยงล่ะ ถ้าไม่เกลี้ยง ไม่จ่ายตังค์นะเว้ย !!”
“เออน่าลุง แหม ทำเป็นซีเรียส…”
กุ้งทำหน้าที่ตัดผมบนศีรษะของลุงช่อ ผู้เป็นลูกค้าอย่างชำนิชำนาญ กุ้งไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก เพียงแค่ทาแป้งลงบน ก้อนเส้นผมที่ขึ้นเป็นกระจุกเพียงแค่ 2-3 จุดบนศีรษะของลุงช่อ ก่อนจะลงมือใช้บัตตาเลี่ยนไถ ไม่กี่ครั้ง ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว กุ้งใช้ผ้าขาวเช็ดหน้าเช็ดตา และศีรษะของลุงช่อก่อนจะนำผ้าสีขาวผืนใหญ่ที่พาดไว้กับพนักพิงเก้าอี้ ที่อยู่ใกล้ๆ มาปัดที่หลังเพื่อให้เศษเส้นผม หลุดออกจากหลังคอและเนื้อผ้า
“อ้ะ เสร็จแล้วลุง”
“เท่าไหร่วะ คนหนุ่ม สามสิบบาท หรือไง”
“โหย อะไรล่ะลุง ลุงอ่ะอายุปีนี้เท่าไหร่ หกสิบแล้วไม่ใช่เหรอ แหมจะบอกว่าคนหนุ่ม ลุง กระจกก็อยู่ตรงหน้าลุงนี่ ตอนลุงตัดผมอยู่อ่ะ”
“ก็ดูหนุ่มอยู่นี่ เฮ้อ…” ลุงช่อโต้ตอบพร้อมทำทำท่าหวีเสยผมเหมือนที่บรรดา นักร้องนักแสดงทั้งหลายชอบทำกันให้เห็นตามทีวี ซึ่งทำเอากุ้งถึงกับหัวเราะลั่น
“เอาไปเถอะลุงช่อ ผมไม่คิดตังค์หรอก” กุ้งบอกไปอย่างนั้น
“อ้าว ทำไมไม่เอาล่ะ”
“ก็ลุงต้องไปหาปลาต่อไม่ใช่เหรอ เอาไปเถอะ เงินลุงน่ะเก็บไว้เถอะ อีกอย่าง เอาผมแค่สองสามก้อนออก ยังต้องมาคิดตังค์ มันไร้สาระ”
“จริงๆนะ เออๆ ยังไงก็ขอบใจมาก บุญรักษา ไอ้กุ้ง”
“คร้าบ ขอให้บุญรักษาลุงเช่นกัน อย่าพึ่งไปยมโลกก่อนผมจะมีลูกล่ะ ฮ่าๆ”
“แน่ะไอ้นี่ มาย้อนอีก”
กุ้งโบกมือลาลุงช่อ จนกระทั่งชายสูงวัยผู้นั้น ไปลงเรือพายที่จอดอยู่ที่ท่าน้ำ ริมตลิ่งด้านหน้าของร้านตัดผม ก่อนจะจัดแหจับปลาให้เรียบร้อย ตามด้วย คลายเชือกที่ผูกตัวเรือเข้ากับเสา และใช้พาย ดันตัวเรือออกจากท่าน้ำ แจวเรือออกไปยังจุดที่หาปลาเป็นประจำ ลุงช่อ ปีนี้อายุ 60 ปี เป็นชาวบ้านชาวคลองบางมุดโดยสายเลือด แกเติบโตขึ้นที่นี่ และอาศัยการหาปลาเลี้ยงชีพมาตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น เอกลักษณ์ของแกก็คือ ลักษณะของศีรษะที่ค่อนข้างจะปราศจากเส้นผมแล้ว เสียงที่ดังเอะอะ มักจะนึกว่าตัวเองหนุ่มแน่นอยู่เสมอ อีกทั้งยังเจ้าชู้เล็กๆ แกได้กับป้าแม้น หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับแก ที่พบรักกันในช่วงยังหนุ่มสาวด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งแกมีโซ่ทองคล้องดวงใจคือ ‘ช้อน’ หญิงสาวที่ซึ่งเป็นนางรำประจำหมู่บ้าน
“เว้ย…มีแต่พวกมาหาปลาเหมือนกัน แล้วแบบนี้ ปลาตัวไหนวะ มันจะมาติดแหข้า”
ลุงช่อบ่นอิดออด ก่อนที่แกจะแจวเรือ ออกไปไกลจากจุดที่แกเคยมาทอดแหเป็นประจำ เสียงพายกระทบผิวน้ำ เสียงนกร้องตามต้นไม้ริมคลอง เสียงปลาเล็กปลาน้อยกระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำ เป็นบรรยากาศที่มองดูแล้วเพลินตาจริงๆ ลุงช่อแจวเรือไป กวาดสายตามองไปรอบๆพื้นที่คลอง ซึ่งเมื่อแกแน่ใจแล้วว่า แกพายมาไกลจากจุดที่แกมาทอดแหประจำแล้ว ซึ่งจุดที่ว่านี้ ปราศจากคู่แข่งที่จะมาแย่งแกทอดแห การพายเรือระยะไกลคราวนี้ ทำให้เรือไม้ของแก มาถึง เวิ้งน้ำแห่งหนึ่งของลำคลองบางมุด ที่ซึ่งกว้างใหญ่และเงียบสงบ และดูเหมือนปลาจะชุมอีกด้วย ทั้งสองฝั่งริมคลอง เต็มไปด้วยต้นโกงกาง และสัตว์เลื้อยคลานเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ตามป่าชายเลนริมคลอง
เวิ้งน้ำที่เงียบสงบไร้คู่แข่งที่จะมาหาปลาเหมือนกัน วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน แสงแดดสะท้อนกับผิวน้ำ เป็นประกายระยิบระยับ มองดูแล้วสวยงามจริงๆ ลุงช่อแกหยิบเอาแหคู่ชีพขึ้นมาพันรอบข้อมือขวาของแกและยืนขึ้นทรงตัวบนเรือ เมื่อได้จังหวะ แกก็เหวี่ยงข้อมือที่มีแหพันอยู่รอบไปสุดแขน แหพุ่งกระจายลงไปบนผิวน้ำ ลุงแช่นั่งลง ก่อนที่จะเปิดวิทยุเอฟเอ็มรุ่นเก่าสีดำ ที่แกมักจะเอาลงเรือมาเปิดฟังด้วยเสมอเวลาที่แกเบื่อๆ ซึ่งวันนี้ รายการวิทยุ ซึ่งเป็นคลื่นวิทยุชุมชน ก็ได้นำเสนอเรื่องราวเรื่องหนึ่งขึ้น
“สวัสดียามบ่ายนะครับ สำหรับพ่อแม่พี่น้องชาวคลองบางมุดที่น่ารักทุกคน วันนี้ทุกๆคนก็ยังคงทำงานกันอย่างขะมักเขม้น สินะครับ อยากให้คนไทยเราทั่วประเทศ สามัคคีและขยันทำงานแบบพวกเราชาวบ้านบางมุดจริงๆ เอาละครับ เข้าเรื่องกันเลยนะครับ พวกเราอยู่ในชุมพร ยิ่งเป็นอำเภอหลังสวน คลองบางมุดด้วยแล้วนี่ ถ้าคนไหนไม่รู้จักชื่อของ ไอ้ด่างบางมุด นี่คงจะเชยระเบิดเลยนะครับ”
“จะไม่รู้จักได้ไง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นไอ้เข้ที่ไหน ดุขนาดมันมาก่อน” ลุงช่อพูดขึ้นลอยๆ
“ไอ้ด่างบางมุดอย่างที่ทุกคนรู้นะครับ ว่ามันเป็นชื่อของจระเข้ยักษ์ที่เคยอาละวาดไล่กินคนในคลองบางมุดเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน คาดว่าลุงๆป้าๆ ที่อาศัยอยู่แถบริมคลอง น่าจะเคยเห็นเหตุการณ์ช่วงที่ไอ้ด่างกำลังอาละวาดนะครับ ว่ามันตื่นเต้น และน่าขนลุกขนพองสยองเกล้าซักแค่ไหน แหม ขนาดพูดนี่ ผมยังขนลุกเลยครับ ไอ้ด่างเป็นจระเข้สายพันธุ์น้ำจืดกับน้ำเค็ม ที่พวกเราว่าสายพันธุ์ไอ้เคี่ยม น้ำกร่อยนี่เอง ส่วนที่มาของชื่อไอ้ด่างนี่ ก็มาจาก ที่ลำคอของมันสีขาวพาดรอบลำคอ ทั้งๆที่ลำตัวของมันเป็นสีดำ แต่มันกลับมีความดุร้ายที่มากกว่าจระเข้ทั่วๆไป และแน่นอนครับว่า มันจะเป็นจระเข้กินคนตัวสุดท้ายที่อาละวาดในประเทศไทยของพวกเรา”
ลุงช่อพายเรือเข้าไปยังจุดที่ปมจับลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำ แกเอามือขวาข้างถนัดของแกเอื้อมไปคว้าไว้ก่อนจะสาวเข้ามาแล้วใช้มือซ้ายช่วยจับ ลุงช่อดันตัวขึ้น และยืนทรงตัวบนเรืออีกทั้ง สองมือของแกยังคงกำปมแหไว้อย่างมั่นคง เมื่อรู้สึกว่า ปลาในคลองคงจะมาติดแหที่แกทอดไว้แล้ว ซึ่งภายใต้ผิวน้ำนั้น นอกจากจะมีปลานานาพันธุ์แล้ว ลุงช่อแกยังไม่รู้ว่า เงาดำของวัตถุขนาดใหญ่ เคลื่อนตัวเข้ามาใต้ท้องเรืออย่างเงียบสงบ
“วันนี้ น่าจะได้ไอ้ช่อนนะ จะเอาไปย่างให้อร่อยๆเลย” ว่าแล้วแกก็พยายามดึงแหขึ้น แต่แล้วก็เกิดแรงต้านมหาศาลจากใต้ผิวน้ำ ราวกับว่ามีอะไรกำลังดึงแย่งแหของลุงช่ออยู่ที่อีกด้านหนึ่งของแกที่อยู่ใต้น้ำ แหเริ่มตึง
“เฮ้ย แหไปติดอะไรเข้าวะ” ลุงแช่พยายามเกร็งกล้ามเนื้อ และออกแรงที่จะดึงแหขึ้นมาจากใต้น้ำ แกเริ่มคิดไปว่า วันนี้อาจจะได้ปลาใหญ่รสชาติดีกลับไปบ้านเป็นแน่แท้ แต่ว่าในคลองแห่งนี้จะมีปลาอะไรที่จะมีแรงดึงมหาศาลขนาดนี้ ลุงช่อพยายามสุดกำลังที่จะดึงแหเข้าหาตัวแต่ในวินาทีนั้นเอง
“เฮ้ย!!”
ร่างของลุงช่อ ถูกดึงตกลงไปใต้น้ำพร้อมกับแห หลังจากกระแสน้ำสงบลงหลังจากร่างของลุงช่อตกลงไป ซึ่งไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ลุงช่อก็ยังไม่โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ในขณะที่เรือแจวของแกยังคงลอยโคลงเคลงอยู่กลางลำคลองที่เงียบสงบเหมือนเดิม …
ช่วงสายของวันต่อมา ผู้กองเลิศวันนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ออกลาดตระเวน สถานีตำรวจภูธรหลังสวน ดูเงียบสงบดี ตำรวจชายหญิง ต่างนั่งอยู่ที่โต๊ะปฏิบัติงาน และทำภารกิจของตนอย่างขยันขันแข็ง ส่วนผู้กองเลิศ นั่งเขียนบันทึกงานประจำวันอยู่ตามปกติที่ โต๊ะทำงานประจำตำแหน่ง ผู้กองหนุ่มขอให้ลูกน้องชงกาแฟร้อนๆมาเสิร์ฟ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
หญิงชรารูปร่างใหญ่นางหนึ่ง กับหญิงวัยกลางคนอีกนาง เปิดประตูทางเข้าสถานีตำรวจภูธรหลังสวน และรีบเดินเข้ามาในท่าทีเร่งรีบ ทั้งสองเอ่ยทักทายนายตำรวจวัยรุ่นนายหนึ่ง ก่อนเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงานของเลิศ สตรีทั้งสองยกมือไหว้ผู้กองหนุ่ม ซึ่งเลิศเองก็ดูจะคุ้นเคยกับผู้หญิงต่างวัยทั้งสองเป็นอย่างดี เขาเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับป้าแม้น พี่ช้อน วันนี้มีอะไรเหรอครับ เห็นจ้ำอ้าว หน้าตาตื่นมาแต่ไกลเชียว”
“ป้ามาแจ้งความคนหายจ้ะผู้กอง”
“คนหาย ? ใครหายเหรอครับ” เลิศถามด้วยท่าทางสงสัย
“ผัวป้าจ้ะ” ป้าแม้นตอบ
“อ้าว … ลุงช่อ ทำไมเหรอครับ แกหายไปไหนล่ะ?”
“ป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน มันไม่กลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ป้าแม้นตอบนายตำรวจหนุ่มด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ลุงช่อแก ไปติดสาวที่ไหนรึเปล่าครับ เห็นทุกครั้ง ป้าก็มาแจ้งความว่าลุงแกหาย ที่ไหนได้ก็ไปกุ๊กกิ๊กกับสาวๆในตลาด แถมป้ากับลุงช่อ ยังเคยมาตีกันจนโรงพักผมแทบพัง” ผู้กองหนุ่มเอ่ยติดตลก
“แหมๆ จะแซวกัน ก็ไว้หลังจากคุยเสร็จเถอะค่ะผู้กอง” ช้อน ลูกสาวของป้าแม้น ซึ่งเป็นนางรำประจำงานต่างๆของหมู่บ้านรีบพูดขัดก่อนจะเสียงาน
“เอ่อครับๆ เล่าต่อเลยป้าแม้น”
“คือว่า ไอ้ช่อ ผัวป้า เมื่อวานมันก็ออกไปหาปลาตามปกตินะ แต่ว่ามันไม่กลับมาเลยตั้งแต่เมื่อวาน ป้าก็ไปตามตัวมันจากบ้านของ อีเมียน้อยที่มันเคยไปนอนกกด้วยแทบทุกตัว ถึงขนาด ป้าต้องไปตามบ้านของคนที่ป้าคิดว่าน่าจะเป็นเมียน้อยคนใหม่นะ แต่ไม่เห็นเงาผัวป้าเลยแม้แต่นิด ไม่รู้มันไปอยู่ไหน”
“ป้าจำได้มั้ยครับว่าก่อนลุงช่อแกจะไปหาปลา แกจะไปไหนก่อน” เลิศเริ่มถามย้อนเหตุการณ์ก่อนลุงช่อจะหายตัวไป
“ป้าจำได้ว่า ผัวป้าบอกว่า จะไปตัดผมที่ร้านไอ้กุ้งน่ะ แต่ป้ายังไม่ได้ไปหาที่ร้านไอ้กุ้งเลย”
“อ๋อ ร้านของไอ้กุ้งเหรอครับ ไอ้กุ้งเป็นเพื่อนผม เดี๋ยวผมจะแวะเข้าไปถามๆให้นะครับ เผื่อจะได้เรื่องอะไร แล้วผมจะรีบติดต่อป้าแม้นทันทีครับผม”
“จ้ะ ป้าฝากด้วยนะ ผู้กอง”
วันนี้ ร้านตัดผม ‘กุ้งบาร์เบอร์’ ยังไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ กุ้ง ผู้เป็นเจ้าของร้าน เปิดโทรทัศน์และนั่งดูจากเก้าอี้แต่งผม ที่เขาหันตัวเก้าอี้ มายังทิศที่สายตามองเห็นหน้าจอโทรทัศน์ เสียงรถกระบะมาจอดที่หน้าร้าน ทำให้กุ้ง ละสายตาจากหน้าจอและหันตัวเก้าอี้ไปมองยังด้านหน้าร้าน ซึ่งรถกระบะที่เขาเห็นนั้น เป็นรถสีขาวน้ำตาล สีของรถที่ใช้ในหน่วยงานราชการตำรวจนั่นเอง เมื่อประตูรถเปิดออก ขาที่มีเนื้อผ้าสีน้ำตาลเข้ม ก็ก้าวออกจากตัวรถ ร่างของผู้กองเลิศ จัดแต่งเครื่องแต่งกายนิดหน่อย ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าที่หน้าร้านตัดผม
“ไงเพื่อน มาซอยผมออกเหรอ” กุ้ง เอ่ยทักทายเลิศ ซึ่งเป็นเพื่อนในวัยเด็กด้วยรอยยิ้ม
“ซอยก็หมดหล่อสิวะไอ้กุ้ง วันนี้ แวะมาคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ ว่างรึเปล่า ?” เลิศพูดกับเพื่อนด้วยความเป็นกันเอง
“อย่างที่เห็น ลูกค้าหายไปไหนหมดไม่รู้ เข้ามาสิ เดี๋ยวเตรียมเหล้า แล้วมาฉลองกันซักแก้ว”
“เฮ้ยๆ ยังอยู่ในหน้าที่อยู่เว้ย กินไมได้ เดี๋ยวแฮงค์ก่อน”
“ฮ่าๆๆ เออๆ มาสิ มีอะไรวะ”
เลิศเดินมานั่ง และวางหมวกตำรวจ เขานั่งอยู่ในท่าผ่อนคลาย ที่เบาะยาวสำหรับให้ลูกค้าที่รอคิวเข้าใช้บริการ ฝีมือตัดผมชั้นเซียนของกุ้ง ส่วนกุ้งก็เดินมานั่งที่เก้าอี้แต่งผมเช่นเดิม และหันตัวเก้าอี้ มาด้านหลังซึ่งจะได้คุยกับเลิศได้ง่ายขึ้น
“ว่าแต่มีอะไรล่ะ”
“กุ้ง เมื่อวานลุงช่อแกมาตัดผมที่นี่รึเปล่า ?”
“ใช่ แกมาตัดผมที่นี่ แต่ข้าไม่ได้เอาตังค์แกนะเว้ย เป็นไงข้าใจดีรึเปล่า”
“เออๆ ใจดี แต่ถามหน่อยสิ หลังจากแกตัดผมเสร็จแล้ว แกไปไหนต่อรู้มั้ย?” เลิศเริ่มถาม
“ข้าเห็นแกเอาเรือแจวลำที่แกใช้ไปทอดแห พายไปแถวๆที่แกหาปลาประจำไม่ใช่เหรอวะ” กุ้งตอบ
“เหรอ งั้นแกหายไปไหนวะ วันนี้เห็นป้าแม้น เมียแกมาแจ้งความว่าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แกไม่ได้กลับบ้านน่ะ หายตัวไปไหนอีกไม่รู้”
“เฮ้ย แกไปติดสาวที่ไหนอีกรึเปล่า ได้ข่าวว่า ก่อนหน้านี้ ป้าแม้นเคยไปอาละวาดที่โรงพักเอ็งมารอบนึงแล้วไม่ใช่เหรอไง”
“ก็ใช่ไง แต่ป้าแม้นแกบอกว่า แกไปไล่ตามหาลุงช่อที่บ้านเมียน้อยแกแทบทุกคน แต่ก็ไม่เจอเลย”
“บางทีแกอาจจะเปลี่ยนที่ทอดแหรึเปล่า ลุงช่อแกไม่ชอบหาปลาในที่ๆมีคนมาแย่งแกทอดแห นะ เท่าที่รู้จักนิสัยแก”
ผู้กองเลิศเริ่มคิดหนัก ใจหนึ่งตอนนี้ เขาเริ่มอยากจะใส่ชื่อของลุงช่อไว้ในแฟ้มบัญชีคนหายแล้วด้วยซ้ำ เขาเริ่มสงสัยว่าลุงช่อหายไปไหน ในช่วงเวลานั้น ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งซึ่งกลับจากการหาปลา จับกลุ่มเดินคุยกันจนกระทั่งมาถึงยังร้านตัดผมของกุ้ง และเมื่อเห็นว่า กุ้งนั่งคุยกับเลิศอยู่ พวกเขาจึงไม่รีรอที่จะเดินเข้ามาทักทายผู้กองหนุ่ม กับเจ้าของร้าน
“ผู้กอง ไอ้กุ้ง ทำไมวันนี้มานั่งคุยกันได้”
“อ๋อ นิดหน่อยครับ ว่าแต่พวกน้ามีอะไรเหรอครับ”
“พวกน้าเจอเรือแจวของใครไม่รู้ ลอยเคว้งอยู่กลางคลอง ดูคล้ายๆเรือของตาช่อนะ จำสีได้”
ผู้กองเลิศเริ่มสงสัยในคดีคนหายคราวนี้มากขึ้น ลุงช่อหายตัวไป แต่กลับเจอเรือพายของแก ลอยเท้งเต้งอยู่ในคลอง มันเป็นเพราะอะไร ถ้าลุงช่อไปหาพวกบรรดาเมียน้อย เมียเก็บของแก แกก็น่าจะเอาเรือไม้ลำนี้ ไปผูกติดกับท่าน้ำที่ใดที่หนึ่งก่อน เขาเอ่ยปากขอให้กลุ่มชาวบ้าน นำทางไปยังจุดที่พบเห็นเรือแจวไร้คน ลอยเคว้งอยู่กลางลำคลอง ซึ่งคาดว่าจะเป็นเรือของลุงช่อ ที่หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา รถกระบะของทางราชการตำรวจ ซึ่งกลุ่มชาวบ้าน นั่งกันเต็มกระบะท้าย พร้อมด้วย กุ้งที่ขอติดรถไปด้วย เผื่ออาจจะช่วยอะไรในคดีคราวนี้ได้
จากการนำทางของกลุ่มชาวบ้าน ทำให้รถตำรวจของเลิศ แล่นมาถึงยัง ริมตลิ่งของเวิ้งน้ำกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ที่อยู่ห่างออกไปจากจุดที่พวกชาวบ้าน มักจะมาใช้เป็นแหล่งหาปลา พวกชาวบ้านกระโดดลงจากกระบะท้ายหลังจากที่เลิศ จอดรถสนิทดีแล้ว เลิศ ก้าวออกจากรถ และพยายามมองไปยังลำคลองเพื่อหาเรือแจวของลุงช่อ และสายตาของกุ้ง ก็เห็นเรือไม้ลำหนึ่ง ลอยเท้งเต้งอยู่กลางลำคลองอยู่ลำเดียว และไม่มีเจ้าของเรืออยู่ในเรือ ซึ่งเขาจำได้ทันทีว่า เรือลำนั้น คือเรือของลุงช่อ
“นั่นไงๆ ข้าจำได้ นั่นเรือของลุงช่อ” กุ้งตะโกนเสียงดัง และชี้นิ้วไปยัง ทางขวามือของพวกกลุ่มชาวบ้าน
เลิศมองไปตามทิศที่กุ้งชี้นิ้วไป และก็เห็นเรือลำนั้น ลอยอยู่จริงๆ เลิศเดินกลับไปที่รถและหยิบเอาวิทยุสื่อสารประจำตัวมาติดต่อไปยังที่สถานี
“ว.เจ็ด ขอความช่วยเหลือ ให้เอาเรือเร็ว มาที่คลองบางมุดด่วน ตอนนี้พบเรือพายของนายช่อแล้ว เปลี่ยน”
เรือยนต์ของทางสถานีตำรวจที่นำขึ้นรถพ่วง มายังคลองบางมุด และเมื่อนำเรือยนต์ลงน้ำได้สำเร็จ กองกำลังตำรวจ ห้านายจากบนฝั่ง และอีก สามนายบนเรือ แล่นเข้าไปยังเรือไม้ที่ลอยอยู่กลางคลอง ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านที่มากับผู้กองเลิศซึ่งจับตาดูอยู่บนฝั่ง นายตำรวจบนเรือ นำเชือกโยง ผูกติดกับเรือไม้และลากเข้าฝั่ง ซึ่งเมื่อเรือยนต์มาจอดเทียบที่ตลิ่ง เลิศจึงรีบเข้าไปถามข้อมูลจากลูกน้องที่ออกไปกับเรือทันที
“หมู่ เจออะไรมั่งมั้ย” เลิศเข้าไปถาม หมู่กานต์ ลูกน้องที่เป็นคนนำเรือยนต์เข้าไปลากเริอไม้เข้าฝั่ง
“ไม่เลยครับผู้กอง ในเรือไม้ มีแค่อุปกรณ์หาปลา พวกกระชัง แล้วก็ วิทยุเอฟเอ็มเก่าๆเครื่องหนึ่ง เท่านั้นครับผม”
“ใช่เลยผู้กอง ตาช่อแกชอบเอาวิทยุของแก ไปฟังบนเรือประจำแหละ เวลาแกไปหาปลา” ชาวบ้านหญิงนางหนึ่งเอ่ยแทรก เป็นการยืนยันว่า เรือไม้ลำดังกล่าว เป็นของลุงช่อจริงๆ แต่แล้ว ขณะที่เลิศกับลูกน้อง กำลังจะเดินไปสอบปากคำชาวบ้านที่พอจะรู้จักและ ออกไปหาปลากับลุงช่อเป็นประจำ ก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีดดังขึ้นมาจาก บริเวณริมตลิ่งที่มีกลุ่มต้นจากขึ้นเรียงราย
“ว้าย !?”
เลิศรีบวิ่งตามเสียงร้องนั้นไป พร้อมๆกับหมู่กานต์ มีหญิงชาวบ้านนางหนึ่ง กรีดร้องด้วยเสียงที่ตกใจสุดขีดราวกับว่ากำลังเห็นภูตผี หรือว่าอะไรบางอย่างที่น่ากลัวสุดขีด
“เกิดอะไรขึ้นครับ!?”
“คุณตำรวจ ดูนั่น!!
สิ่งที่เลิศกับลูกน้องเห็นที่ บริเวณต้นจากริมตลิ่งนั้น ทำให้นายตำรวจใจเพชรอย่างเขาถึงกับต้องผงะ กับสิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่มาติดอยู่บริเวณริมตลิ่ง มันเป็นอวัยวะส่วนแขนข้างขวา ที่ถูกฉีกขาดออกจากต้นแขนตั้งแต่ใต้ข้อศอกลงไป ซึ่งสภาพซากแขนคนนั้น มีรอยอะไรบางอย่างที่กัดจนเหวอะหวะ มีฝูงแมลงวัน กำลังบินตอมอยู่
“ผู้กอง นี่มัน … แขนคน ! แขนคน” หมู่กานต์ทำท่าจะอาเจียน เมื่อเห็นสภาพแขนที่เละเทะไม่มีชิ้นดีของใครบางคน บนพื้นนั้น
“ใจเย็นๆหมู่ ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆแล้ว กันคนออกไป แล้วสั่งปิดพื้นที่เลยนะ”
ตำรวจที่มาปฏิบัติหน้าที่ เริ่มกันพื้นที่ ไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้ริมฝั่งคลองบางมุดจุดที่พบซากแขนขวาปริศนา เลิศเดินกลับมานั่งในรถตำรวจที่เขาขับมายังพื้นที่นี้ และเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาพบเจอในวันนี้ ทำไมเรือของลุงช่อไปลอยเท้งเต้งอยู่กลางคลอง แขนข้างขวาที่เจอวันนี้เป็นแขนใคร เป็นของลุงช่อหรือไม่ แล้วลุงช่อหายตัวไปไหน
“มูลนิธิร่วมกตัญญูมาถึงแล้วครับผู้กอง”
“ให้มูลนิธิร่วมกตัญญู เก็บไปให้ศูนย์สมิติเวช ชันสูตรว่าเป็นแขนของใคร จะเป็นแขนของลุงช่อรึเปล่า เข้าใจนะ”
“ครับผม”
ความคิดเห็น