ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลำน้ำมรณะ

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 1 มี.ค. 55


    ตอนที่ 1

     

    ปี พ.. 2507 ได้เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญขึ้นที่จังหวัดชุมพร จากคำบอกเล่าของชาวบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่ตามริมลำคลองบางมุด อำเภอหลังสวน ถึงการโจมตีของ สัตว์ใหญ่ชนิดหนึ่งที่คร่าชีวิตชาวบ้านไปมากมายหลายศพ ชายในเครื่องแบบเขียวขี้ม้ากว่าสิบนาย พร้อมผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ค่อยๆทยอยเดินเข้าไปในห้องประชุมเล็กๆ ซึ่งในวันนี้ มีการประชุม ของบรรดา คนในเครื่องแบบ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง นายทหารชั้นประทวนนายหนึ่ง มีสีหน้าที่เคร่งเครียด เขารู้ตัวดีว่า เขาเข้าออกห้องประชุมเล็กๆแห่งนี้มามากมายหลายครั้งแล้ว นับแต่รับภารกิจสำคัญนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายไปได้

     ห้องประชุมของศาลาว่าการจังหวัดชุมพร เต็มไปด้วย เหล่าทหารผู้มากฝีมือในการรบ การวางแผน นั่งบนเก้าอี้เหล็ก มีโต๊ะกลาง ด้านหน้าของหัวโต๊ะกลาง มีกระดานดำที่มีรูปของแผนที่ มีลักษณะเหมือนกับแผนที่สายน้ำแห่งหนึ่ง เขียนด้วยชอล์ก การประชุมครั้งนี้ค่อนข้างตึงเครียด อย่างที่รู้ๆกัน ว่าเรื่องมัน เริ่มต้นเพราะ สัตว์เดรัจฉานตัวนั้น แหกกฎห่วงโซ่อาหาร และคุกคามชีวิตของมนุษย์ การอธิบายแผนการเด็ดชีพสัตว์ร้ายคราวนี้ เริ่มต้นด้วยความเคร่งเครียด นายทหารชั้นประทวนผู้นั้น ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการในคราวนี้ คงจะทราบดีว่า ภารกิจคราวนี้ จะพลาดไม่ได้อีกต่อไป เขาเริ่มต้นอธิบายแผนการต่างๆ ให้ลูกทีมทราบถึงข้อปฏิบัติในภารกิจครั้งนี้

    ด้านนอกศาลาว่าการจังหวัด คลาคล่ำไปด้วย กลุ่มนักข่าวทั้งของท้องถิ่นและของสถานีวิทยุโทรทัศน์ต่างๆที่ทราบเรื่องของการประชุมในครั้งนี้ รวมทั้งชาวบ้านในละแวกนั้น สาวชาวบ้านรายหนึ่ง เริ่มมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เมื่อ ผู้ว่าราชการจังหวัด เดินออกมาจากห้องประชุมเป็นคนแรก และเดินลงมายังด้านล่างของศาลาว่าการ เขาประกาศสงครามกับสัตว์ร้าย และจะต้องจับตายให้จงได้  พร้อมทั้งการให้รายละเอียดการปฏิบัติการของ นายทหารผู้เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการในคราวนี้ สาวชาวบ้านนางนั้น รีบเดินตรงเข้าไปที่ ทหารผู้หนึ่งที่ซึ่งก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียดไม่ต่างไปจากผู้บังคับบัญชา

    “พี่จะไหวเหรอ คราวนี้ฉันรู้สึกไม่ดีเลย” สาวชาวบ้าน พูดขึ้นพร้อมทั้งนำมือ ไปจับมือซ้ายของทหารผู้นั้น ซึ่งไอ้หนุ่มในเครื่องแบบ ก็ตอบกลับด้วยการพยักหน้า

    “แล้วฉันจะวางใจได้ไง” สาวชาวบ้านเริ่มพูดต่อ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเศร้า เหมือนกับเธอจะต้องสูญเสียของที่เธอหวงแหนที่สุดไป “มันฆ่าคนไปหลายศพแล้วนะ”

    “พี่เป็นทหาร ภารกิจคราวนี้ ยังไงก็ต้องทำให้สำเร็จ ไม่ต้องห่วง กุล พี่จะต้องปลอดภัยกลับมา” ทหารผู้นั้นตอบสาวคนรักด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น และแกะมือของสตรีนางนั้นออก ก่อนจะเดินไปสมทบกับเพื่อนร่วมสังกัด ที่รถทหารที่จอดอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น เพื่อเตรียมเข้าสู่ภารกิจในคราวนี้ วงล้อขนาดใหญ่ของรถลำเลียงกำลังพล ค่อยๆหมุนและเร่งความเร็วออกจากลานจอดรถของ ศาลาว่าการจังหวัดชุมพร

     

    กุล  สาวชาวบ้านริมคลองบางมุด วัย 36 ปี คงต้องกังวลใจไม่น้อย เมื่อสามีของเธออย่าง สิบเอกกริชต้องเข้ารับหน้าที่เป็นหนึ่งในทีมล่าสังหาร สัตว์ร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนไม่เลือกหน้า มันอาจจะเป็นลูกหลานของ พญาชาละวันในตำนานก็เป็นได้ สำหรับชาวบ้านริมคลองบางมุด ซึ่งรวมถึง กุล ได้แต่ภาวนาว่า ขอให้การปฏิบัติการครั้งนี้สำเร็จ และขอให้นายทหารทุกคนที่อยู่ในภารกิจครั้งนี้รอดชีวิตปลอดภัยกลับมา ชาวบ้านในบริเวณนั้น รีบเดินทางกันไปยังริมคลองบางมุด เพื่อจับตาดูการไล่ล่า เพชฌฆาตในลำน้ำตัวนี้  กุลเองก็เช่นกัน สามีของเธอ อยู่ในทีมล่าสังหารสัตว์ร้ายตัวนี้ เธอรีบขึ้นรถจักรยานยนต์ที่เธอขับมาพบสามีเธอ ขับตามกลุ่มชาวบ้านที่นั่งรถไปยังริมคลองบางมุด เพื่อจับตาดูวินาทีการไล่ล่า สัตว์ร้ายในครั้งนี้

    กุล หญิงสาวหน้าตาสะสวย ผิวขาว รูปร่างเพรียว เธอไว้ผมยาวประบ่า และมักจะใส่เสื้อสีขาว อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเธอเอง  กุลเติบโตขึ้นที่ บ้านหลังเล็กๆริมคลองบางมุดแห่งนี้ และใช้ชีวิตในวัยเด็ก อยู่ที่นี่ เธอคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตริมลำคลองเป็นอย่างดี ทั้งใช้เป็นแหล่งเล่นสนุกสำหรับเด็กๆอย่างพวกเธอในวัยเยาว์ ใช้ดื่มกิน ใช้ซักล้างเสื้อผ้าที่พวกเธอสวมใส่ ใช้สัญจรไปมา ตั้งแต่เด็กยันเข้าสู่วัยใกล้ออกเรือนขนาดนี้ กุลเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่า ในลำคลองที่เงียบสงบแห่งนี้ จะกลับกลายเป็น ลำน้ำสีเลือด และสถานที่กบดานของ พญาสัตว์ขนาดใหญ่ ที่ซ่อนตัวอยู่ในลำน้ำหน้าบ้านของเธอแบบนี้

     

    สามเดือนก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่ที่สัตว์ร้ายตัวนี้ ปรากฏกายให้ชาวบ้านริมคลองอกสั่นขวัญแขนในช่วงเดือนกันยายน  บ่ายแก่ๆ ชาวบ้านต่างพากันมามุงดูอะไรบางอย่างที่อยู่ที่ริมตลิ่งคลองบางมุด และภาพที่หลายต่อหลายคนกำลังจับจ้องนั้น มันเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

                                    “ทำไมตายน่ากลัวแบบนี้”

                                    “ใครกันนะ ช่างโหดร้ายขนาดนี้”

    เสียงพูดคุย วิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านริมคลองที่ฟังไม่ได้ศัพท์ สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญให้ชาวบ้านริมคลองบางมุดรู้สึกตกใจก็คือ เมื่อช่วงบ่ายนี้เอง ได้มีคนพบศพของชาวบ้านที่หายตัวไปในคลองบางมุดแต่กลายมาเป็นศพที่ถูกฆ่าตายอย่างสยดสยองเหลือเพียงแค่ลำตัวท่อนบนเท่านั้น ลำตัวท่อนบนเต็มไปด้วยรอยฉีกกระชาก เนื้อตัวเหวอะหวะ ลำตัวท่อนล่างหายไปราวกับมีอะไรบางอย่างมาฉีกออกไป และศพนี้ก็เป็นศพของชายผู้ซึ่งเป็นชาวบ้านบางมุดชื่ออุดม                

    ภรรยาของนายอุดมร้องห่มร้องไห้เพราะการตายของสามีจนกระทั่งเป็นลมไป ชาวบ้านชายหญิงจึงต้องช่วยกันแบกเธอไปนอนที่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ ทั้งหายาหอมมาให้เธอสูดดมและพยายามปลอบขวัญเธอ ให้เธอใจเย็นขึ้น ในขณะที่ผู้ใหญ่บ้านก็ได้แต่ทำสีหน้าสงสัยว่า อะไรที่สามารถฆ่านายอุดมให้ร่างกายแหลกเหลวแบบนี้ได้

                                    “ผู้ใหญ่ ฉันว่ามันต้องเป็นไอ้เข้แน่ๆเลย เล่นงานศพจนเละขนาดนี้ได้น่ะ ต้องตัวยาวไม่ต่ำกว่าห้าเมตรแน่ๆ”

                                    “ไอ้จืด เอ็งอย่าพึ่งด่วนสรุปไป ข้ายังไม่เคยได้ยินเลยนะว่าในคลองบ้านเราจะมีไอ้เข้อยู่”

    ผู้ใหญ่สิงตอบลูกบ้านไปเช่นนั้น แต่สายตาของแกก็ยังคงเพ่งไปในคลองอยู่ตลอดเวลา ในใจของผู้ใหญ่บ้านสิงก็ยังคิดอยู่เสมอว่า คนธรรมดาไม่สามารถฆ่าคนให้ตายเละเทะแบบนี้ได้ แกคิดถึงว่าจะมีสัตว์ดุร้ายอะไรสักอย่างที่หลุดเข้ามาแฝงตัวอยู่ในหมู่บ้านหรือไม่ จะเป็นเสือ หรือหมี    หรืออะไรก็ตามที่สามารถล้มคนแล้วนำไปเป็นเหยื่อได้

    กุลซึ่งกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เดินหิ้วตะกร้าที่เก็บผักตามคลองผ่านมาตรงที่ชาวบ้านกำลังช่วยกันเก็บศพของนายอุดม เธอเห็นภรรยาของนายอุดมที่ร้องห่มร้องไห้ใจจะขาด เธอทำหน้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นจึงเดินเข้าไปถามชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว

                                    “เกิดอะไรขึ้นเหรอจ๊ะลุงเฟื่อง”

                                    “อ้าวกุล พวกลุงมาช่วยเก็บศพน่ะ ตาอุดมแกตายแล้ว” ผู้ถูกเรียกว่าลุงเฟื่องตอบ

    “ตายจริง แกตายได้ยังไง” กุลทำหน้าตกใจ ทั้งๆที่วันก่อนเธอพึ่งจะพบหน้านายอุดมขณะที่พายเรือผ่านหน้าบ้านของเธอขณะจะไปหาปลาอยู่เลย

                                    “เอ็งเข้าไปดูสิ แต่ข้าว่า ท้องแก่อย่างเอ็ง อย่าเข้าไปดูเลย เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ”

                                    “ไม่เป็นไรหรอกน่าลุง ฉันเป็นเมียทหาร เรื่องแค่นี้ฉันไม่กลัวหรอก”

    กุลทำใจกล้าเดินเข้าไปดูใกล้ๆที่ชาวบ้านกำลังมุงดู และเมื่อเธอสามารถแหวกชาวบ้านเข้าไปดูได้ สภาพศพของนายอุดมที่เหลือเพียงครึ่งตัว ก็ทำเอาสาวชาวบ้านที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียทหารอย่างกุล แทบล้มทั้งยืน เธอตกใจร้องลั่นแล้วรีบออกมาจากกลุ่มชาวบ้านที่กำลังยืนดูศพในทันที ลุงเฟื่องแกเห็นอย่างนั้นเลยรีบเข้าไปประคองก่อนที่เธอจะเตลิดวิ่งหนีจนล้มแล้วอาจจะแท้งลูกได้

                                    “เป็นไงล่ะ ข้าบอกแล้วว่าอย่าไปดูก็ไม่เชื่อ”ลุงเฟื่องพากุลไปนั่งที่โขดหินใกล้ๆ

                                    “ลุงเฟื่อง ตาอุดมทำไมตายน่ากลัวแบบนั้น” กุลถามพร้อมกับค่อยๆวางตะกร้าใส่ผักไว้ใกล้ๆโขดหิน

                                    “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่คนทำแน่ ยังไงช่วงนี้ข้าจะไปคุยกับผู้ใหญ่ก่อนว่าให้ชาวบ้านระวังตัวไว้”

     

    เหยื่อรายแรกของฆาตกรไม่ทราบสัญชาติผ่านไปแล้ว จนกระทั่งอีกไม่กี่วันถัดมา คราวนี้ก็ถึงคิวของนายอิน ที่ถูกสัตว์ที่ชาวบ้านเห็นได้ถนัดตาว่าเป็น จระเข้ มันโผล่ขึ้นมาแล้วล่มเรือของนายอินจนกระทั่งมันได้พุ่งเข้านายอิน และงับร่างของเขาหายไปในน้ำ สิ่งชาวบ้านเห็นนั้น เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีที่ไม่มีใครคาดคิด และไม่มีใครสามารถช่วยได้ทัน แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือ มันเป็นจระเข้ขนาดมหึมาที่มีลายด่างสีขาวอยู่ที่ลำคอ ทุกคนจึงพร้อมใจกันขนานนามมันว่า ไอ้ด่าง

    ในเมื่อขึ้นว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่กลับมาเบียดเบียนสัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์ ก็อย่าหวังว่าสัตว์เดรัจฉานอย่างนี้ จะอยู่ร่วมโลกกับมนุษย์ได้ ต้องตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น เลือดก็ต้องล้างด้วยเลือด และด้วยเหตุนี้เอง จึงได้เกิดภารกิจการไล่ล่าระหว่าง คมกระสุน กับคมเขี้ยว

     

                                                                    ………………………………………

     

    คลองบางมุดวันนี้ ดูคึกคักเป็นพิเศษ ทั้งๆที่มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นที่นี่อยู่ ชาวบ้านริมคลอง ถือไม้ไผ่ยาวที่เหลาจนแหลมพอที่จะแทงให้เข้าเนื้อคนหรือสัตว์จนได้เลือด อีกทั้งบางคนที่พอจะมีอาวุธจำพวกปืน ก็ถือติดไม้ติดมือมาด้วย เพื่อที่จะได้เป็นกำลังเสริม ช่วยหน่วยปฏิบัติการ ในการล่าสัตว์ร้ายที่ยังคง สิงสถิตอยู่ใต้ลำน้ำที่เงียบสงบแห่งนี้ ชาวบ้านจับกลุ่มพูดคุยกันเซนแซ่  เรือยนต์ของทีมล่าสังหาร แล่นเอื่อยๆอยู่ในลำคลอง พร้อมเหล่าทหารกองพลเสือดำ ที่เข้าร่วมภารกิจครั้งนี้ พวกเขาเตรียมพร้อมปืนยาว ฉมวก รวมทั้งระเบิด ซี.สาม ไว้เพื่อเด็ดหัวสัตว์ร้ายตัวนี้โดยเฉพาะ แต่ถึงอย่างไร สายน้ำก็ยังคงนิ่ง มีแต่เสียงเครื่องยนต์ของเรือ กับเสียงลมพัด ที่พัดเอื่อยๆในบริเวณคลองเท่านั้น ยังไม่ปรากฏร่างของ ฆาตกรอำมหิตตัวนั้นเลย  

    สิบเอกกริช ผู้ซึ่งเป็นสามีของกุล ถือปืนไรเฟิลวินเชสเตอร์ วิ่งไปรวมแถวกับเพื่อนร่วมทีม บริเวณริมตลิ่ง เพื่อเตรียมพร้อมจะเข้าสู่ปฏิบัติการล่าสังหารไอ้ด่างบางมุด จระเข้ขนาดใหญ่ ที่ซึ่งเป็นสายพันธุ์ผสม ระหว่างพันธุ์น้ำจืด และพันธุ์น้ำเค็ม หรือจะเรียกง่ายๆว่า จระเข้น้ำกร่อย ไอ้ด่างเป็นตัวการของเหตุโศกนาฎกรรม ที่เกิดขึ้นในลำคลองสายนี้ หลายๆชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับคมเขี้ยวของมัน วันนี้เหล่าทหารหาญเหล่านี้ จะต้องหยุดยั้งความอหังการของ ไอ้เคี่ยมโหดตัวนี้ให้ได้  ทั้งทหารและชาวบ้าน ต่างกระจายกำลังออกไปทั่วทั้งสองฝั่งของคลองบางมุด

    สิบเอกกริช ทหารหนุ่มวัย 37 ปี ผู้ซึ่งผ่านศึกเหนือใต้มาอย่างโชกโชน จัดว่าเป็นนายทหารที่มีประสบการณ์เรื่องของการออกภาคสนามมากกว่าเพื่อนในรุ่น กริชเป็นชาวบ้านที่เติบโตขึ้นที่ริมคลองบางมุดแห่งนี้ ถึงแม้อดีตเขาจะเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกพระที่วัดเก็บมาเลี้ยง แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะยึดติดกับอดีตที่ตัวเองไม่มีพ่อไม่มีแม่ เขาตั้งใจเรียน จนสามารถสอบ บรรจุเข้ารับราชการทหารได้สำเร็จ เขาเป็นผิวขาว หน้าตาคมสัน รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน สมดั่งชายชาติทหาร ด้วยประสบการณ์ของเขา ทำให้กริช เป็นที่ไว้วางใจของผู้บังคับบัญชา เพื่อนๆ และรุ่นน้อง ความแม่นยำในการใช้ปืนยาวของเขา จัดได้ว่า อยู่ในระดับหาตัวจับได้ยาก และบุคลิกความเป็นผู้นำของเขา ทำให้การปฏิบัติการแต่ละครั้ง เรียกได้ว่า เป็นที่พึงพอใจของผู้บังคับบัญชาเป็นอย่างมาก  

    “เหนื่อยหน่อยนะกริช งานนี้ข้าอยากจะถลกหนังมันให้ได้เต็มแก่แล้ว” ร้อยโทลิขิต หัวหน้าชุดปฏิบัติที่กริชสังกัด เดินเข้ามาพูดคุยพร้อมกับตบบ่าให้กำลังใจกริช รุ่นน้องคนสนิท

    “แน่นอนพี่ลิขิต ถ้าขืนปล่อยให้มันรอดไปได้อีก มันคงได้ไปงาบชาวบ้านอีกแน่ แล้วก็อาจจะรวมเมียผมด้วย  กุล เมียผมกำลังท้อง ผมจะต้องฆ่ามันให้ได้ ก่อนที่มันจะไปทำอะไรกุล” กริชตอบกลับพร้อมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มือของกริช กำปืนไรเฟิลวินเชสเตอร์คู่ใจไว้แน่น และสอดส่องสายตา ไปรอบๆคลองบางมุด

    “แน่นอน ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องเศร้าแบบเดียวกับที่ จำนง กับ ห้วนพบเจอหรอกนะ ญาติตัวเองแท้ๆ แต่กลับต้องมาตายอนาถเพราะไอ้เข้ยักษ์ตัวนี้ ข้าเองก็ไม่ยอมให้มัน มีชีวิตรอดต่อไปจนถึงพรุ่งนี้หรอก วันนี้คือวันที่มันจะต้องดับสูญ” ร้อยโทลิขิต พูดด้วยความมั่นใจพร้อม บรรจุกระสุนปืน เข้ารังกระสุนของปืนรีโวลเวอร์คู่ใจ

                   

    ผิวน้ำคลองบางมุด สงบนิ่ง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกคนต่างรู้ดีถึงพิษสง และความฉลาดของ พญากุมภีล์ตัวนี้ เมื่อมันรู้ตัวว่า มันกำลังจะกลายเป็นเหยื่อให้ถูกล่าซะเอง มันจะซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำ โดยที่ไม่ปรากฏแม้แต่ พรายน้ำขึ้นมาให้เห็นตำแหน่งที่มันซ่อนตัวอยู่เลย ชาวบ้านริมคลอง ทั้งลองเขวี้ยงหินลงไปในคลอง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น การล่าไอ้ด่างครั้งนี้ ก็เหมือนทุกครั้ง เมื่อทีมล่าสังหาร ลงพื้นที่เพื่อเตรียมจะถลกหนังมัน มันก็จะกบดานนิ่งอยู่ในน้ำ เรือยนต์ของกำลังพลทหารทั้งจากกองพลเสือดำ และหน่วยปฏิบัติการของ ร้อยโทลิขิต ลอยลำอยู่กลางลำคลอง ตรงบริเวณที่คาดว่า จะเป็นแหล่งกบดานของมัน

     

    “มันไม่ยอมโผล่ขึ้นมาสักที ตรงนี้จะใช่ที่ซ่อนตัวของมันเหรอครับพี่ลิขิต” กริชเอ่ยขึ้นในขณะที่เล็งปืนไปด้วย

    “คิดว่าไม่ผิดแน่นอน เพราะชาวบ้านแถบนี้ พูดยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ตรงที่เราประจำที่อยู่ เป็นจุดที่คลองมีแอ่งลึก และเคยมีจระเข้ใหญ่มาอาศัยที่นี่เป็นแหล่งกบดานหลายครั้ง จะเรียกว่า วังของมันก็ไม่ผิด” ลิขิตตอบคำถามไปตามที่ได้ยินมาจากชาวบ้าน “ตอนนี้ เราต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของผิวน้ำให้ดี มันอาจจะโผล่ขึ้นมาก็ได้ ใครจะไปรู้”

    ทีมล่าสังหารที่กระจายไปตามจุดต่างๆของคลองบางมุด กำลังเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเคร่งเครียด แต่ในช่วงวินาทีนั้นเอง สายตาของ สิบตรีวินัย ที่ซุ่มอยู่บริเวณต้นตาลริมตลิ่งฝั่งซ้ายจากจุดที่ ร้อยโทลิขิต กับ สิบเอกกริชยืนประจำการอยู่ ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวน้ำ จากจุดนั้น  จากผิวน้ำที่นิ่งสงบ มีพรายน้ำกลุ่มใหญ่ ผุดขึ้นมาประมาณ 10 วินาทีเศษ สัญญาณจากการทำมือของสิบตรีวินัย กลายเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเริ่มจู่โจมในวันนี้

     

    “มันมาแล้ววินัย นั่นพรายน้ำลมหายใจของมัน!! ไอ้เข้ฆาตกร!!” สิบเอกจำนง ผู้ซึ่งมีความแค้นกับไอ้ด่างที่มันฆ่าญาติของเขา ประกาศลั่นด้วยความแค้น และเล็งปืนยาวไปยังจุดที่พรายน้ำผุดขึ้นมา แต่สิบเอกวินัย รีบนำมือไปกดกระบอกปืนยาวของจำนง ให้ลดลง และพยายามพูดให้เพื่อนใจเย็นๆ ก่อนที่เพื่อนจะทำเสียงาน

    “หัวหน้า ไอ้ด่างมันอยู่ในน้ำไม่ได้แล้วครับ มันหายใจเป็นพรายน้ำขึ้นมาแล้วครับ ตรงกลางคลอง ใกล้ต้นตาลที่ผมยืน!!” สิบตรีวินัย รีบรายงานกับร้อยโทลิขิต

    “ไอ้ด่างโผล่แล้ว ทั้งหมด ยิง !!” ทหารทุกคน ประทับปืนเตรียมพร้อมในท่ายืนยิง แล้วลั่นไกทันที ชาวบ้านในบริเวณนั้น วิ่งกรูกันเข้าไปริมตลิ่ง และกราดยิงด้วยปืนยาว ลงไปในลำคลองไม่ยั้ง ตามจุดที่สิบตรีวินัยบอกตำแหน่ง เรือยนต์ของทีมล่าสังหารทั้งสองลำ ที่อยู่กลางคลอง ก็จัดการระดมยิง ตามลงไปในทันที เสียงปืนดังก้องไปทั่วคุ้งน้ำ ชาวบ้านบางคนที่เหลาไม้ไผ่มาเป็นปลายแหลม ก็พุ่งเหลาไม้ไผ่ ลงไปในน้ำ หมายให้ปลายแหลม แทงทะลุผิวหนังของไอ้ด่าง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเวลากว่านาที ที่ทหาร และชาวบ้าน ร่วมมือกัน ระดมยิงปืนใส่ไอ้ด่างที่ซ่อนตัวอยู่ในน้ำ เมื่อสิ้นสุดการยิง ก็ยังไม่ปรากฏว่า ไอ้ด่างจะลอยตัวขึ้นมาให้เห็น

     

    ร้อยโทลิขิต ประกาศให้ชาวบ้านบริเวณนั้น ออกห่างจากริมตลิ่ง รวมทั้งเรือยนต์ของกองพลเสือดำ กับ ทีมของร้อยโทลิขิต ให้ถอยลำเรือ ออกจากบริเวณจุดที่พรายน้ำผุดขึ้นมา

    “ห้วง ซี.สาม โยนลงไปเลย!!” ร้อยโทลิขิต ออกคำสั่งให้สิบเอกห้วง ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด จัดการโจมตีด้วยระเบิดทันที 

    “ครับ งั้นหัวหน้าถอยไปก่อน ผมจะระเบิดมันเป็นชิ้นๆเลยคราวนี้” สิบเอกห้วงดึงสลักออก ก่อนจะเขวี้ยงระเบิดชนิด ซี.สาม ลงไปยังจุดที่ สิบตรีวินัยบอกตำแหน่งอย่างแม่นยำ

     

                                    “ตูม!!

     เสียงระเบิดซี.สาม ดังกึงก้องกัมปนาทไปทั่วคลองบางมุดที่เงียบสงบ พร้อมกับน้ำพุ่งเป็นลำขึ้นสูงเทียมยอดตาล จากแรงระเบิดใต้น้ำ เมื่อเหตุการณ์สงบลง ชาวบ้านที่ซ่อนตัวอยู่ ออกจากที่ซ่อน และวิ่งมาดูกันที่ริมตลิ่ง เพื่อจะรอดูร่างของ พญากุมภีล์ ที่อยู่ใต้น้ำว่า สิ้นฤทธิ์เดชแล้วรึยัง ผิวน้ำกระเพื่อมไปมา จากแรงระเบิดที่พึ่งสงบลง แต่ยังไม่ปรากฏร่างของ ไอ้ด่างลอยตัวขึ้นมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

    “เฮ่ย โยนระเบิดลงไปขนาดนั้นแล้ว ทำไมมันยังไม่ลอยขึ้นมาอีกวะ” ชาวบ้านริมคลอง พยายามชะเง้อหัว เพื่อจะมองหาร่างของไอ้ด่าง ที่อาจจะลอยขึ้นมา แต่ก็ไม่มีวี่แวว พวกกริชคาดการณ์ไว้แล้วว่า ระเบิดลูกแรก อาจจะยังไม่สามารถจะถล่มวังของมัน แล้วต้อนมันให้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำได้ สิบเอกห้วง ไม่รอช้า โยน ซี.สามตามลงไปอีกลูก โดยที่ไม่บอกให้คนอื่นรู้ก่อน

     

                                    “ตูม!!

    ชาวบ้านบริเวณนั้น ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เพราะเสียงระเบิดที่ดังสนั่นไปทั่วคลอง ที่ซึ่ง สิบเอกห้วง เป็นผู้โยนลงไป และด้วยความแค้นที่ไอ้ด่าง คาบญาติของเขาไปเป็นเหยื่ออันโอชะ ทำให้สิบเอกห้วง ระเบิดความแค้นออกมา แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนอกจาก ความว่างเปล่า ไอ้ด่างยังคงซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำเหมือนเดิม

                                    “ไอ้เข้ชาติชั่ว มึงขึ้นมาสิวะ กูจะฆ่ามึง มึงฆ่าพี่ช้วน วันนี้ไม่มึงก็กู ต้องตายกันไปข้างนึง ออกมาสิวะ”

    เมื่อลูกน้องเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ หัวหน้าทีมอย่าง ร้อยโทลิขิต จึงจำเป็นต้องไปช่วยระงับสติอารมณ์ของลูกน้อง เขารีบวิ่งเข้าไปหา สิบเอกห้วงทันที

    “ทำอะไรลงไปน่ะห้วง รู้มั้ยว่าชาวบ้านเขาไม่ทันได้หลบ อย่าเอาอารมณ์แค้นส่วนตัว มาปนกับหน้าที่สิ มันจะทำให้เสียงานนะ”

    สิบเอกห้วง โกรธจัดจนพูดไม่ออก ได้แต่กัดฟันกรอดๆ ก่อนจะสะบัดมือของ ร้อยโทลิขิตที่จับต้นแขนทั้งสองข้างออก และพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง ในวินาทีนั้นเอง ภายใต้ผิวน้ำ หลังจากเกิดแรงระเบิด วัตถุขนาดใหญ่ ได้เคลื่อนตัวเข้าไปยังริมตลิ่งอย่างเงียบเชียบ และไม่ทันที่จะทำอะไรต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ส่วนหัวของ พญากุมภีล์ โผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำ และใช้ปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมงับเข้าที่ขาขวาของ หนุ่มชาวบ้านผู้เคราะห์ร้าย รายหนึ่ง อย่างรวดเร็ว

                                    “อ๊า”

    ร่างของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย ล้มลงเพราะแรงกระชากของไอ้ด่าง มันพยายามที่จะลากเขาลงไปในน้ำหมายฉีกกินเป็นอาหารอย่างโหดร้าย

    “ไอ้ด่าง ไอ้ด่างโผล่แล้ว”

                                    “มันงับขาไอ้ยอด มาช่วยกันเร็วทุกคน”

                                    “อ๊า ช่วยด้วย”

    ชายหนุ่มที่ชาวบ้านเรียกชื่อว่า ยอด ร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด เมื่อฟันแหลมคมของไอ้ด่าง เจาะทะลุกล้ามเนื้อส่วนขาขวาของเขาอย่างจัง ไอ้ด่างพยายามลากเขาลงไปในน้ำ ซึ่งชาวบ้านก็พยายาม รีบเข้าไปช่วย พยายามช่วยดึงตัว นายยอด ให้หลุดจากการถูกงับ ทีมล่าสังหาร บนฝั่ง รีบวิ่งเข้าไป และระดมยิง ไอ้ด่าง แต่ส่วนหัวที่ใหญ่มหึมาของมัน และหนังที่หนา ถึงแม้จะยิงเข้า แต่ก็คงไม่ทำให้มันสะทกสะท้านได้ และดูเหมือนจะยิ่งไร้ประโยชน์ เมื่อพละกำลังของ พญาสัตว์ มีมากกว่าที่คิด นายยอดทำได้เพียงร้องให้คนช่วย จนกระทั่ง ถูกไอ้ด่าง ลากลงน้ำจมหายไป ต่อหน้าต่อตาทุกคน 

    ความอหังการของมัน นำพามาซึ่งหวาดกลัวของชาวบ้านอีกครั้งหนึ่ง ความโหดร้ายของมัน ไม่อาจจะทำให้ชาวบ้านลืมเลือนเหตุการณ์ในครั้งนี้ไปได้  จระเข้ยักษ์ที่มีลำตัวดำและส่วนหัว สีดำสนิท แต่ยกเว้นส่วนลำคอที่เป็นสีขาว จนมาถึงชื่อของมัน ไอ้ด่าง

    ท้องน้ำมีแต่คราบเลือด ที่ผุดขึ้นมา จากเหยื่อที่ไอ้ด่าง ได้ไปในวันนี้ ชาวบ้านเริ่มเสียขวัญ ซึ่งคราวนี้ ไอ้ด่างท้าทายพวกเขาด้วยการ ลุยขึ้นมาคาบคนไปกินต่อหน้าต่อตาทหารและชาวบ้านนับร้อย ร้อยโทลิขิต สิบเอกกริช สิบเอกจำนง และสิบเอกห้วง รวมทั้งเหล่าทีมล่าสังหารไม่จำเป็นต้องมีความปราณีอีกต่อไป ร้อยโทลิขิต ออกคำสั่งยิงปืนทุกกระบอก ลงไปในลำน้ำทันที

     

                                    “ปัง ปัง ปัง”

    ชาวบ้านที่เหลือ พยายามกราดกระสุนปืน ลงไปอีกระลอก ไอ้ด่างคราวนี้ แสดงความอหังการ ด้วยการว่ายพุ่งเข้าไปชนเรือยนต์ของ กองพลเสือดำเต็มแรง และแรงกระแทกของมัน ทำให้ทหารที่อยู่บนเรือ หลายต่อหลายคน กระเด็นตกลงไปในคลองทันที พวกที่ยังอยู่บนเรือ พยายามนำเรือเข้าไปช่วย และพยายามยื่นมือลงดึงเพื่อนที่อยู่ในน้ำให้ขึ้นมาบนเรือ

     

                                    “อ๊า”

    ไอ้ด่างว่ายเข้าหา ทหารผู้เคราะห์ร้าย ที่ยังลอยคออยู่ในลำคลองราวกับสายฟ้าฟาด มันงับร่างของเขาติดคาปาก โดยเพื่อนบนฝั่งและบนเรือ ได้แต่พยายามระดมยิงเพื่อมันปล่อยเหยื่อ แต่ก็เปล่าประโยชน์ ไอ้ด่างกัดเหยื่อของมันเดี้ยวเขี้ยวอันแหลมคม และลากเหยื่อหายลงไปใต้น้ำ ซึ่งคราวนี้ เป็นการสูญเสียทหารในการล่าสังหารเป็นครั้งแรก ทหารที่ยังลอยคออยู่ในน้ำ ได้รับการช่วยเหลือให้กลับขึ้นมาบนเรือแล้ว

                                    “ห้วง ซี.สาม โยนลงไปอีก เร็ว!!

                                    “ครับผม!!

                                    สิบเอกห้วง ดึงสลักระเบิดซี.สาม ออก และโยนลงไปในน้ำ

                                    “ตูม”

                   

    เสียงระเบิด ดังสนั่นไปทั่วท้องน้ำ ซึ่งชาวบ้าน ก็ยังคงระดมยิงปืนต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน และด้วยฤทธิ์จากแรงระเบิดซี.สาม ที่โยนลงไปในครั้งนี้ มีพรายน้ำผุดขึ้นแล้ววิ่งพุ่งเป็นทางจากจุดระเบิดเหนือ วังไปตามลำคลองด้านเหนืออย่างรวดเร็ว และนั่น คือการเริ่มต้นหนีจากความหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวมัน พญากุมภีล์หนีไปแล้ว

    “หัวหน้า ไอ้ด่างมันกำลังจะหนี!! สิบเอกกริช ตะโกนลั่น และรีบวิ่งไล่ตามไอ้ด่างไปตามริมคลอง ชาวบ้านและทีมล่าสังหารที่อยู่ทางทั้งสองฝั่ง ไม่รอช้า รีบวิ่งตามไอ้ด่างที่กำลังว่ายน้ำหนีไปอย่างกระชั้นชิด เรือยนต์ไล่ล่าทั้งสองลำ เดินเครื่องและแล่น ตามไอ้ด่างไปติดๆ และได้ระดมยิงตามหลังมันไปด้วย ไอ้ด่างว่ายด้วยความเร็ว จนกระทั่ง พรายน้ำที่แสดงถึงลมหายใจใต้น้ำของมัน ไปหยุดตรงบริเวณ กลางคลอง ห่างจากจุดแรกไปประมาณ 500 เมตรเศษ ทหารและชาวบ้าน เหนื่อยหอบกันถ้วนหน้า  สิบเอกกริช ถึงแม้จะเหนื่อยหอบ แต่ก็จับตามองดู จุดที่ไอ้ด่างกำลังพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ให้คลาดสายตา จนกระทั่ง พรายน้ำค่อยๆหายไป

    เมื่อรู้ว่า ไอ้ด่าง คงจะซ่อนตัว ลงไปในแอ่งน้ำลึกตรงบริเวณนั้นเป็นที่แน่นอนแล้ว ร้อยโทลิขิต จึงสั่งให้ สิบเอกห้วง เตรียมระเบิด ซี.สาม อีกลูกทันที

     

    “ห้วง คราวนี้ โยนลงไปให้แม่นเลยนะ ถ้ามันยังไม่โผล่ อนุญาต ให้โยนลงไปต่อเนื่องได้เลย เอาให้อยู่หมัด” ร้อยโทลิขิตออกคำสั่ง

                                    “ครับผม”

    สิบเอกห้วงรอให้ ร้อยโทลิขิต และนายทหารคนอื่น กันชาวบ้านออกไปให้ห่างจากริมตลิ่ง และสั่งให้เรือยนต์ทั้งสองลำ ถอยห่างจากจุดที่เขาจะโยนระเบิดลงไป ห้วงดึงสลักระเบิดซี.สาม ออกอย่างชำนิชำนาญ และ โยนระเบิด ซี.สาม คู่ใจ ลงไปในคลองทันที ซึ่ง ตรงตามเป้าหมายที่กะไว้พอดี

     

                                    “ตูม”

     

    เมื่อสิ้นเสียงระเบิด เวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อวังที่ไอ้ด่าง ใช้ซ่อนตัวอีกแห่งหนึ่ง ถูกถล่มจนราบคาบ พรายน้ำผุดขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ ไม่ได้ขึ้นมาแค่พรายน้ำ แต่มีร่างของ พญาจระเข้ที่อหังการที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง ไอ้ด่าง ลอยละเมื่อมขึ้นมาเหนือผิวน้ำด้วย ซึ่งดูจากลำตัวมันแล้ว บาดแผลฉกรรจ์จาก ที่ถูกกระสุนปืนเจาะทะลุ มีอยู่ทั่วร่าง มันส่ายหัวไปมา และส่งเสียงคำรามในลำคอ สะบัดหางไปมา แต่ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้อีกต่อไป ซึ่งด้วยฤทธิ์ของแรงระเบิดที่ซึ่งวันนี้ ถึง สี่ลูกซ้อน อาจจะทำให้ร่างกายของพญากุมภีล์ ช้ำจนถึงขีดสุดแล้ว

    “พุ่งฉมวกเลยจำนง”  ร้อยโทลิขิต สั่งให้ สิบเอกจำนง จัดการพุ่งฉมวก ลงปักกลางหลังของไอ้ด่างทันที ไอ้ด่างดิ้นพลิกตัวไปมา ก่อนที่จะค่อยๆหยุดการเคลื่อนไหว สิบเอกกริช ไม่รอช้า ทิ้งปืนไรเฟิลวินเชสเตอร์ และขอเชือก และกระโดดลงไปในน้ำทันที กริชรีบนำเชือก เข้าไปผูกมัดปากของมัน และมัดร่างของพญากุมภีล์ที่ร่อแร่เต็มที  กริชโยนปลายเชือกอีกด้านหนึ่งขึ้นไปบนฝั่ง และให้ชาวบ้านบนริมตลิ่ง ช่วยกันลาก ร่างของไอ้ด่างขึ้นไปบนตลิ่ง แต่ในระหว่างนั้นเอง ดวงตาของ พญาสัตว์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ ก็ค่อยๆมืดลง หนังตาของมันค่อยๆปิด มันขยับส่วนหางเล็กน้อยก่อนจะพลิกหงายท้อง ในน้ำ ซึ่งนั่นคือ จุดจบของ พญากุมภีล์ที่ดุร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์  ไอ้ด่างบางมุด

                                    “มันพลิกท้องแล้ว มันเสร็จเราแล้ว!!

    ชาวบ้านและทีมล่าสังหาร โห่ร้องด้วยความดีใจสุดกำลัง ในที่สุด ความพยายามของพวกเขาอันนานแสนนาน ก็สำเร็จในที่สุด วันนี้ ชาวบ้านริมคลองบางมุด และทีมล่าสังหาร สามารถเด็ดชีพ สัตว์โหดประจำลุ่มน้ำตัวนี้ได้เสียที พวกเขาไม่ต้องขวัญเสียในเวลาที่ต้องลงน้ำที่คลองแห่งนี้อีกต่อไป ความสูญเสียญาติพี่น้องของพวกเขาในครั้งนี้ แม้จะดูโหดร้าย แต่ดวงวิญญาณของพวกเขาได้การชำระแค้นเรียบร้อยแล้ว

    ร่างของไอ้ด่าง ถูกนำขึ้นมาบนริมตลิ่ง ซึ่งชาวบ้าน เข้ามามุงดูกันอย่างแออัด เหยี่ยวข่าวประจำท้องที่ และจากที่ต่างๆที่มาลงพื้นที่ทำข่าวการไล่ล่าไอ้ด่าง รีบเข้ามาเก็บภาพ และสัมภาษณ์ชาวบ้านที่เข้าร่วมการไล่ล่าไอ้ด่างครั้งนี้ รวมถึงสัมภาษณ์ หัวหน้าทีมล่าสังหารอย่าง ร้อยโทลิขิตอีกด้วย

    สิบเอกกริช ซึ่งเสื้อผ้าเครื่องแบบเปียกโชก หลังจากลงไปนำร่างไอ้ด่างขึ้นจากผิวน้ำ ร่วมแสดงความยินดีกับ ร้อยโทลิขิต และเพื่อนๆ เล็กน้อย ก่อนที่จะเดินเลี่ยงจาก กลุ่มฝูงชุน มายืนพิงต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากลำคลองเพื่อพักเหนื่อย หลังจากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยมานานแสนนาน เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ต่อแต่นี้ไป ครอบครัวของเขาก็จะใช้ชีวิตด้วยความสงบสุข ไม่ต้องระแวง เวลาต้องใช้ลำคลองในการดำเนินชีวิตประจำวันอีกต่อไปแล้ว กุล ผู้เป็นภรรยา เดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้ม และโผเข้ากอดสามีด้วยความรักยิ่ง ซึ่งไม่ต่างอะไรจากกริช ที่กอดภรรยาของเขาไว้แน่น

    “ต่อนี้ไป จะไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นที่คลองแห่งนี้แล้วนะกุล เราจะสร้างครอบครัวของเราให้มีแต่ความสุข ไม่ต้องระแวงอะไรต่างๆในลำคลองอีกแล้ว”

    “พี่กริช พี่คือยอดชาย พี่คือวีรบุรุษ ถ้าลูกคลอดเมื่อไหร่ ฉันจะบอกเขาว่า พ่อของเขาคือวีรบุรุษ ขอบคุณที่พี่ทำให้ลำน้ำแห่งนี้ ไม่ต้องกลายเป็นลำน้ำสีเลือด

    กริชสวมกอดภรรยาและนำใบหน้าของเธอซบไว้ที่หน้าอกของเขา กริชเงยหน้ามองไปยัง คลองบางมุดที่ซึ่ง เขาเองก็เติบโตที่นี่ และวันนี้ เขาทำให้ลำคลองแห่งนี้กลับคืนสู่ความสงบสุขได้อีกแล้ว จะไม่มีจระเข้ตัวไหน ออกอาละวาดดั่งเช่นไอ้ด่างบางมุดตัวนี้อีกแล้ว ขอให้จระเข้ตัวนี้ เป็นตัวสุดท้ายที่ออกอาละวาดล่าคนเป็นอาหาร และขอให้คลองบางมุดแห่งนี้ สงบสุขตลอดไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×