ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลำน้ำมรณะ

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 1 มี.ค. 55


    ตอนที่ 6

     

    ร้านตระกูลผาหมี่เกี๊ยว ยังคงมีชาวบ้านแวะเวียนมาอุดหนุนเช่นเดิม ผา เจ้าของร้านร่างใหญ่ก็กำลังลวกเส้นบะหมี่มาเสิร์ฟให้ลูกค้าอย่างตั้งอกตั้งใจเหมือนเช่นทุกวัน ตั้งแต่วันก่อนแล้วที่ชาวบ้านในแถบคลองบางมุด และแถบหลังสวนต่างพุดถึงเรื่องที่ทางสถานีตำรวจภูธรกับศาลากลางจังหวัดได้เห็นชอบเรื่องการขอให้หน่วยนาวิกโยธินจากสัตหีบ เข้ามาช่วยภารกิจในการล่าสัตว์ร้ายที่แฝงตัวอยู่ในคลองบางมุด ซึ่งเมื่อชาวบ้านได้ยินข่าวนี้ต่างก็รู้สึกดีใจที่จะมีทีมล่าสังหารฝีมือพระกาฬที่ไว้ใจได้ มาช่วยเหลือ

    ผารู้สึกอารมณ์ดี ลวกเส้นบะหมี่ไปฮัมเพลงไป เพราะตัวเขาเองก็รู้ดีว่า หัวหน้าทีมนาวิกโยธินที่จะมาในคราวนี้ก็ไม่ใช่คนอื่นไกล ก็คือไกร เพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่วัยเด็กนั่นเอง ซึ่งข่าวนี้ เลิศ นายตำรวจเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งก็เป็นคนนำมาบอกเขานั่นเอง

    ศูนย์วิทยุชุมชนก็ได้ประกาศถึงภารกิจการล่าตัวฆาตกรร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในคลองบางมุด ชาวบ้านมีทั้งหวาดกลัวต่อสภาพของคลองที่พวกเขาใช้สัญจรไปมา ผู้เฒ่าผู้แก่บางคนก็ถึงกับพูดขึ้นมาว่า วิญญาณของไอ้ด่างคงจะกลับมาแก้แค้นชาวบ้านหลังจากที่ชาวบ้านได้ร่วมมือกับทางการเพื่อไล่ล่ามันเมื่อครั้งในอดีต

    “นี่อีเงาะ รู้อะไรมั้ยว่าหน่วยนาวิกโยธินเขาจะมาถึงบางมุดพรุ่งนี้แล้วนะ” ที่โต๊ะบะหมี่ด้านใน หญิงชราคู่หนึ่งที่กำลังนั่งรอบะหมี่ที่ผาลวกอยู่ได้เปิดฉากสนทนากันถึงเรื่องที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในเวลานี้

    “เออรู้แล้ว เห็นชาวบ้านเขาพูดกันอยู่ นี่ตอนสมัยข้ายังสาวๆนะ ข้าก็พอทันเห็นไอ้ด่าง นี่ข้ายังสงสัยอยู่เลยว่า ไอ้ตัวที่อยู่ในคลองนี่มันจะเป็นตัวอะไรอีก” ยายเงาะ ผู้ซึ่งเป็นคู่สนทนาด้วยตอบ

    “ข้าก็สงสัยเหมือนกัน ข้าก็คิดว่ามันอาจจะเป็นไอ้เข้นี่แหละ แต่นึกแล้วก็เสียวไส้อยู่นะเกิดมันมาลากลูกหลานบ้านข้าไปกินอีก เออเอ็งรู้ใช่ไหมว่า หัวหน้าหน่วยนาวิกโยธินที่มานี่เป็นใคร ?” ยายแสงถามต่อ

    “รู้สิ ก็เจ้าไกรไง หลานยายกุลไง แหมเดี๋ยวนี้โตเป็นหนุ่ม การงานก็ดี เป็นเจ้าคนนายคน แถมหน้าตาหล่อด้วย หล่อเหมือนตามันเลย ข้าล่ะอิจฉายายกุลจริงๆที่เลี้ยงหลานมาจนได้ดิบได้ดีแบบนี้”

    “เหมือนข้าแหละ หลานข้าแต่ละคนมันเอาดีไม่ได้ซักคน วันๆถ้าไม่เมาหัวราน้ำก็นั่งเล่นไพ่ วนอยู่แค่สองอย่างนี่แหละ ไม่เหล้าก็ไพ่ มันน่าถีบมันตกไปให้ตัวอะไรไม่รู้ในคลองมันกินจริงๆ”

    สองหญิงชราหัวเราะด้วยความอารมณ์ดี ผานำบะหมี่หยกสองชามมาเสิร์ฟที่โต๊ะของหญิงชราทั้งสอง ผาเองก็อารมณ์ดีเพราะเขาเองก็จะได้พบหน้ากับไกร เพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคราวนี้เขากะว่าจะจัดงานเลี้ยงแลองกลุ่มเพื่อนเก่าๆสมัยเด็กเสียหน่อย

    “อารมณ์ดีจังนะไอ้ผา เป็นอะไรของเอ็ง?” ยายแสงตะโกนถามเจ้าของร้านร่างใหญ่ที่มานั่งอยู่ที่เก้าอี้ฟากตรงข้ามเพื่อนั่งพักหลังจากยืนทำบะหมี่ติดต่อกันมาหลายชาม

    “ก็แหม เห็นยายสองคนยังปลื้มที่หน่วยนาวิกโยธินจะมา ทำไมผมจะไม่ปลื้มบ้างล่ะ”

    “เอ็งก็เกาะกระแสเขาเหมือนกันเรอะ ?

    “โธ่ยาย ยายไม่รู้เหรอว่าผมกับไอ้ไกร หัวหน้านาวิกโยธินน่ะเป็นเพื่อนรักกัน เล่นหัวเล่นหางมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ก็ต้องดีใจหน่อยสิ ไม่ได้เจอหน้ามันมานานแล้ว” ผาพูดพลางดื่มน้ำไปพลาง

    “เออสินะ ข้าก็เห็นพวกเอ็งตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย เวลามันผ่านไปเร็วจังนะ”

    ทั้งสามคนกำลังคุยกันอย่างสนุก แต่แล้วการสนทนาด้วยความปลื้มปิติที่หน่วยนาวิกโยธินกำลังจะมาก็ต้องยุติลงเมื่อมีเสียงครางดังมาจากโต๊ะด้านหลังของยายแสงและยายเงาะ มันเป็นเสียงครางของชายคนหนึ่งที่เมาไม่ได้สติ และเริ่มเงยหน้าขึ้นหลังจากฟุบหน้าลงบนโต๊ะมาได้พักใหญ่

    “เฮ้ย นี่ยังไม่กลับอีกเหรอนี่” ผาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นชายที่นั่งอยู่โต๊ะหลังสุดยังคงเมาไม่ได้สติและไม่ยอมลุกออกจากร้าน

    “ไอ้เจิด เอ็งเมาเอ็งก็กลับบ้านสิวะ จะมาทำตัวเมาหัวราน้ำแบบนี้ทำไม รบกวนชาวบ้านเขา” ยายแสงแกเอ็ด

    “อีแก่ เอ็งไม่ต้องพูดมาก

    ชายขี้เมาพูดเสียงดังก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นมา โดยที่ในมือขวาของเขายังถือขวดเหล้าที่ยังดื่มไม่หมดอยู่เลยด้วยซ้ำ ผาชักไม่สบอารมณ์เลยพูดเชิงไล่ให้ออกไปจากร้าน แต่ถึงอย่างไร ชายขี้เมาก็ไม่ยอมไปและยังพูดจาเสียดสีผาเข้าไปอีก

                    “ทำไมวะไอ้อ้วน พูดจายกยอไอ้พวกนอยอมันทำไม มันมีอะไรดี โดยเฉพาะไอ้ผู้กองไกรนั่น”

                    “นี่แกเป็นอะไรรึเปล่า เขามาทำภารกิจ เขามาช่วยชาวบ้าน อย่างน้อยก็ดีกว่าแกนะที่วันๆเอาแต่เมาหัวราน้ำ ไปๆ รีบๆออกไปจากร้านข้าเลย ก่อนที่ข้าจะโทรแจ้งตำรวจมาลากเอ็งเข้าคุก”

                    “กูจะบอกให้พวกมึงในร้านนี่รู้ไว้เลยว่า กู ไอ้เจิด กูนี่แหละที่ได้ชื่อว่าเป็น พ่อ ของไอ้ผู้กองไกรนั่น”

                    คำว่าพ่อที่หลุดออกมาจากปากของชายขี้เมานามว่าเจิด ทำให้ผา ยายแสง และยายเงาะตกใจ สำหรับผานั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่า ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว ไกรเป็นเด็กกำพร้าที่มีตายายเลี้ยงดูมาตลอด และมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ไกรแตกหักกับโชคก็คือการที่โชคล้อไกรว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ แล้วทำไม คนขี้เมาอย่างเจิด อยู่ดีๆจะมาพูดว่าตัวเองคือพ่อของไกรได้

                    ขณะที่ยายแสงและยายเงาะ ก็พอจะรู้อะไรมาบ้างว่าไอ้เจิดเคยทำอะไรกับลูกสาวของยายกุลไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน  สองหญิงชราเลือกที่จะเก็บเรื่องเลวร้ายนั้นไว้ในใจตลอด และไม่เคยนำเรื่องนี้มาพูดให้ใครฟัง ยายแสงทราบดีว่าไอ้เจิดเคยถูกจำคุกข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน และพึ่งจะพ้นโทษออกมาได้ไม่นานนี้ และแทนที่จะสำนึกก็กลับกลายว่ามาเป้นพวกเมาหัวราน้ำแทนซะได้

                    “เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน กูเองนี่แหละที่เห็นอีแก้ว ลูกสาวยายกุลไปเก็บของป่า  ….กูเห็นหุ่นมันยั่วอารมณ์กู กูเลยฉุดมันมาปล้ำทำเมียซะ แต่กูไม่คิดว่ามันจะท้อง เพราะฉะนั้นกูนี่แหละที่เป็นพ่อของไอ้ผู้กองไกร” เจิดพูดขาดๆห้วนๆ เพราะฤทธิ์ของแอลกฮอล์ และพยายามคลำทางให้เดินตรงมาที่โต๊ะของผาได้ด้วยการยันตัวเองเข้ากับขอบโต๊ะบะหมี่ “ไอ้ผู้กองไกร มันต้องมากราบกู …. เพราะ กูนี่แหละ พ่อมัน”

                    สิ้นประโยคนี้ กำปั้นจากมือขวาอันหนักหน่วงของผา ก็ได้ชกเข้าที่ใบหน้าของเจิดอย่างแรง เจิดล้มกระเด็นไปกองกับพื้นทันที เจิดเรียกเด็กเสิร์ฟในร้าน มาช่วยกันลากร่างอันบอบบางและคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าของเจิดไปเหวี่ยงทิ้งที่หน้าร้าน ผาที่มีอารมณ์โกรธจัดตามไปทั้งเตะทั้งกระทืบซ้ำที่ร่างของเจิด ซึ่งคนที่เดินสัญจรไปมานอกร้าน ตามฟุตบาทก็ต้องตกใจที่เห็นผาทำร้ายเจิดขนาดนี้ ร้อนเด็กเสิร์ฟต้องมาช่วยกันห้ามเจ้าของร้าน

                   

                    “มึงไปให้ไกลจากร้านกูเลยนะไอ้ขี้เมา แล้วอย่าเสือกมาเหยียบร้านกูอีก กูจะบอกไว้ ไอ้ไกรเขาไม่มีวันรับคนเลวๆอย่างมึงเป็นพ่อหรอกจำไว้” ผาชี้นิ้วด่า

                    เจิดค่อยพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นในสภาพที่สะบักสะบอม เขาเองก็ตอบกลับผาไปอีกอย่างว่า

                    “มึงจำไว้ไอ้อ้วน เดี๋ยววันงานวัดที่จะมาถึงนี้ กุจะไปประกาศต่อหน้าไอ้ผู้กองไกรให้มันได้รู้ว่า กูนี่แหละคือพ่อมัน”  เมื่อสิ้นประโยคนี้ของชายขี้เมา ผาก็แทบจะวิ่งถลาเข้าหาหมายจะทำร้ายเจิดซ้ำ แต่เด็กในร้านก็ช่วยกันรั้งไว้ ส่วนเจิดที่ตกใจต่ออารมณ์โมโหของผา ก็รีบวิ่งหนีไปในทันที

                   

                                                                    ………………………………….

     

    เวลาบ่ายสองโมงของวันถัดมา รถ Isuzu Hi-Landers สีดำ ได้แล่นเข้ามาจอดในบริเวณที่จอดรถด้านหน้าของสถานีตำรวจภูธรหลังสวน ตามมาด้วยรถลำเลียงกำลังพลที่แล่นตามเข้ามาจอดใกล้ๆ ไกรลงจากรถ Isuzu Hilanders วันนี้ไกรมาด้วยชุดสีกากีซึ่งเป็นชุดปกติของทหารเรือ ลูกน้องทีมนาวิกโยธินของเขา ค่อยๆลงจากกระบะท้ายของรถลำเลียงกำลังพล พวกเขาก็มาด้วยเครื่องแบบปกติสีกากีเช่นเดียวกัน ไกรตรวจตราความเรียบร้อยของกระบะท้ายก่อนจะสั่งจัดแถว เพื่อตรวจความเรียบร้อยของเครื่องแบบ และระเบียบวินัยของลูกน้อง ทั้งหมด 18 นาย ยามต้องออกปฏิบัติภารกิจภาคสนาม อย่างน้อย ถึงจะทำงานอะไรได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ความสง่างามของระเบียบวินัยทางทหาร และเครื่องแบบที่น่าภาคภูมิใจของเขานั้นต้องสำคัญเหมือนกัน

    “ตามระเบียบพัก!!” ไกรสั่งตามระเบียบพัก ซึ่งลูกน้องของเขาก็แยกขาออกและนำมือทั้งสองข้างไปไขว้หลังไว้อย่างพร้อมเพรียงทุกนาย

      พันเอกพรชัยกับร้อยตำรวจเอกเลิศ เดินมายังด้านหน้าของสถานี เพื่อมาต้อนรับทีมนาวิกโยธินจากสัตหีบ ไกรสั่งลูกน้องทำวันทยหัตถ์ พร้อมที่ตัวเองก็ทำวันทยหัตถ์ให้กับพันตำรวจเอกพรชัย ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส ผู้กำกับพรชัยเองก็ทำวันทยหัตถ์เพื่อเป็นการรับการทำความเคารพของหน่วยนาวิกโยธินเช่นกัน ไกรจับมือกับเลิศ เพื่อนสนิทต่างเหล่าทัพในฐานะที่เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก และเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันสมัยที่เป็นนักเรียนเตรียมทหาร ผู้กำกับพรชัยนำทางไกรและหน่วยนาวิกโยธิน ไปยังห้องประชุมของสถานีตำรวจเพื่อจะพูดคุยถึงแผนการในคราวนี้

     

    ห้องประชุมขนาดกลางทรงสี่เหลี่ยม ด้านหน้ามีโต๊ะที่วางเครื่องโปรเจ็คเตอร์เพื่อฉายสไลด์ เลิศดึงผ้าขาวเพื่อที่จะไว้โชว์ภาพที่จะฉายขึ้นลงมาจากขอบบนของกระดานไวท์บอร์ดด้านหน้า  ไกรกับลูกน้องอีก 18 นายได้นั่งที่เก้าอี้พลาสติกสีแดงที่ทางสถานีตำรวจได้จัดเตรียมไว้ให้ และเมื่อนั่งกันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว เลิศก็ให้ลูกน้องเป็นคนกดเปลี่ยนรูปที่คอมพิวเตอร์ โดยเขาจะเป็นคนบรรยายเหตุการณ์ตามที่เห็นในรูปภาพ ในฐานะที่เป็นหนึ่งคนที่เคยได้ประสบกับการโจมตีของสัตว์ร้ายใต้น้ำนี้มาแล้ว

     

    “ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อน ผมกับดาบตำรวจอนันต์ ด็อกเตอร์ชมพู่กับลูกน้องอีกหนึ่งคน และ ชาวบ้านสองคน ได้นำเรือยนต์ออกตรวจตราพื้นที่ของคลองบางมุด จนกระทั่งเราไปถึงยังจุดนี้ของคลองบางมุด” เลิศให้ลูกน้องเปลี่ยนภาพถ่าย ภาพถ่ายที่ฉายขึ้นสไลด์ เป็นภาพของเวิ้งน้ำที่ขยายตัวออกเป็นวงกว้าง เป็นจุดที่กว้างที่สุดของคลองบางมุด ไกรมองดูสภาพภูมิประเทศบริเวณเวิ้งน้ำจุดนี้ ทำให้เขารู้สึกตกใจว่า ยังมีจุดที่เป็นเวิ้งน้ำกว้างใหญ่ขนาดนี้อยู่อีกหรือ

    “จุดนี้เป็นจุดที่เราพบเรือพายของนายช่อ ลอยเคว้งอยู่กลางคลอง ทางเราสามารถลากเรือเข้าฝั่งได้ ในเรือมีทั้งวิทยุ FM รุ่นเก่า และกระชังใส่ปลา และตรงบริเวณตลิ่งในจุดของเวิ้งน้ำนี้ เราพบแขนของนายช่อที่อยู่ในสภาพเหมือนมีอะไรบางอย่างฉีกแขนของนายช่อออก น้ำบริเวณนี้สังเกตได้อย่างหนึ่งว่าจะนิ่งมาก เพราะไม่ค่อยมีเรือผ่านไปมา พอเราแล่นเรือเข้าตรงจุดบริเวณกลางคลองนี้เท่านั้น” เลิศชี้ไม้ไปที่ภาพตรงกลางคลองก่อนจะบรรยาย

    “มีวัตถุขนาดใหญ่ มาหนุนเรือเราจนคว่ำ” เลิศเล่า

    “ลักษณะการโจมตีนี่โจมตีจากใต้ท้องเรือเลยเหรอครับ?” จ่าสิงห์ ลูกน้องของไกรเอ่ยปากถามขึ้น

    “ใช่ครับ วัตถุขนาดใหญ่ที่ว่า พุ่งเข้าชนใต้ท้องเรือ แล้วก็หนุนเรือเราจนเรือหงายท้องพลิกคว่ำทันที  ผู้ที่เสียชีวิตในภารกิจตรวจตราคลองบางมุด เป็นลูกน้องของด็อกเตอร์ชมพู่ชื่อวิชัย เขาถูกอะไรบางอย่างที่มาหนุนเรือจนคว่ำลากลงน้ำลึกหายไป”

    “เห็นตัวมั้ยว่า มันเป็นตัวอะไร ?” คราวนี้ไกรเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม ซึ่งคำตอบที่ได้จากเลิศก็คือการส่ายหน้า

    “ด็อกเตอร์ชมพู่สันนิฐานว่า น่าจะเป็นจระเข้ เพราะจากเขี้ยวที่แงะออกมาจากซากแขนของนายช่อ เมื่อเทียบกับสัดส่วนของสัตว์เลื้อยคลาน เธอมั่นใจว่าเป็นเขี้ยวของจระเข้ และเจ้าของเขี้ยวนี้จะต้องมีขนาดใหญ่มาก”

    ลูกน้องของเลิศ เปลี่ยนภาพไปเป็นภาพของเศษเขี้ยวที่ฝังติดมากับแขนของลุงช่อ ซึ่งบรรดาสมาชิกทีมซีลต่างตกตะลึงกับขนาดที่ใหญ่โตอย่างไม่น่าเชื่อ ไกรเอ่ยปากถามต่ออีกว่า

    “มีใครเคยเห็นตัวมันเป็นๆรึยังเลิศ ?

    “ยัง ไม่มีชาวบ้านคนไหนเห็นตัวมัน ศพของนายช่อเป็นคนแรกที่ตาบในบริเวณเวิ้งน้ำนี้ และศพที่สองก็เป็นวิชัย ที่ตายที่เวิ้งน้ำนี้เช่นกัน ยังไม่มีรายงานว่ามีชาวบ้านเสียชีวิตที่จุดอื่นของคลอง พูดง่ายๆว่า บริเวณที่ชาวบ้านใช้ออกหาปลาหรือเก็บผักตามริมคลองกันเป็นประจำ ยังไม่มีใครตายนั่นแหละ”

     

    ไกรพยักหน้า และเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ว่า ในคลองหน้าบ้านของเขา มีอะไรอยู่กันแน่ ในเย็นวันเดียวกัน ไกรได้ไปดูพื้นที่สำหรับตั้งแคมป์ของหน่วยนาวิกโยธินที่บริเวณริมตลิ่งไม่ไกลจากบริเวณบ้านของเขานัก เขาให้ลูกน้องลำเลียงอุปกรณ์สำหรับตั้งแคมป์ และจัดงานเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆไว้ให้มิดชิดเพื่อกันพวกมือไวที่อาจจะมาขโมยไปได้ ไกรปล่อยให้ลูกน้องทำภารกิจส่วนตัวเพื่อเตรียมพร้อมปฏิบัติภารกิจในเช้าวันพรุ่งนี้ ไกรหิ้วกระเป๋าเป้เดินขึ้นเนินเพื่อวิ่งไปยังบ้านของเขา

     

    บ้านไม้ยกใต้ถุนสูง ยังคงเหมือนเดิม แต่อาจจะแตกต่างแค่สีที่ทาใหม่ แต่โครงสร้างทุกอย่าง ยังเหมือนวันวานสมัยที่เขาเคยอยู่ เคยเติบโตที่นี่  ไกรมองดูโอ่งน้ำหน้าบ้านที่ไว้สำหรับล้างเท้า ตอนเด็กๆก่อนขึ้นบ้าน เขาต้องล้างเท้าก่อนเสมอเมื่อกลับจากเล่นกับเพื่อนๆ

    นายทหารหนุ่มเดินขึ้นบนไดหน้าบ้าน เขาไขกุญแจที่แม่กุญแจสีทอง และแง้มประตูไม้เปิดเข้าไป เขามองดูสภาพในห้องรับแขก ที่มีฝุ่นจับบ้างอะไรบ้าง ความรู้สึกที่อบอุ่นได้กลับมาเข้ามาในหัวใจของนายทหารหัวใจเพชรอย่างเขาอีกครั้งหนึ่ง เขาเงยหน้ามองดูหิ้งที่ติดอยู่ที่เหนือหัวของเขาด้านขวามือ ไกรเปิดสวิตช์ไฟในห้องรับแขกและวางเป้ไว้ริมห้องด้านซ้าย เขาหยิบไฟแชกออกมา

    ไกรจุดไฟแชกที่ธูปสามดอกที่เขาดึงออกมาจากซอง และนำธูปดอกหนึ่งไปปักไว้ที่กระถางธูปหน้ารูปอัดกรอบซึ่งเป็นรูปขาวดำของชายที่สวมเครื่องแบบทหาร อีกดอกหนึ่งปักที่กระถางหน้ารูปของหญิงชราแต่หน้าตาอิ่มเอิบไปด้วยความสุข และดอกสุดท้าย ปักไปที่กระถางธูปหน้าของรูปหญิงสาวที่ดูจากหน้าตาแล้วพึ่งจะแตกเนื้อสาวได้ไม่นานนัก

    นายทหารหนุ่มพนมมือแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ตาครับ ยายครับ แม่ครับ ผมกลับบ้านแล้ว ผมกลับมาที่บ้านหลังนี้แล้วนะ”  พูดจบนายทหารหนุ่มแห่งกองทัพราชนาวีไทยก็เงยหน้ามองไปที่รูปถ่ายทั้งสามของผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูเขามาแม้หนึ่งในนั้น เขาจะไม่มีโอกาสได้ยินเสียงเลยก็คือแม่ของเขา  พันโทกริช และยายกุล ผู้ซึ่งเป็นตายายของไกรได้เสียชีวิตลงด้วยโรคชราเมื่อสามปีก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะต้องโศกเศร้าเพียงใดก็ตาม ไกรก็ไม่เคยแสดงให้ใครเห็นว่าเขาร้องไห้ในงานพระราชทานเพลิงศพของพันโทกริชเลย แม้แต่ในงานศพของยายกุลที่เสียชีวิตตามพันโทกริชในเวลาไล่เลี่ยกันแค่ประมาณ 4-5 เดือน

    “ภารกิจคราวนี้ ผมไม่รู้ว่าผมจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่ตากับยายแล้วก็แม่ ช่วยคุ้มครองผมกับลูกน้องผม แล้วก็ผู้ที่เกี่ยวข้องในภารกิจนี้ทั้งหมดให้สามารถปฏิบัติให้สำเร็จ ไม่มีใครต้องตายด้วยเถอะนะครับ”

    เมื่อไกรลุกขึ้น ไกรรู้สึกเหมือนมีสายลมอุ่นพัดเข้ามาในห้องรับแขกที่เขาอยู่ สายลมที่พัดเข้ามานี้ ทำให้เขารู้สึกสบายใจและมั่นใจว่าภารกิจที่เขาจะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้จะต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่นอน

     

    ตอนเย็น ไกรเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาวสีดำ เขารับไหว้ชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา บ้างรับไหว้ บ้างก็ตะโกนทักทายหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานาน ไกรเดินลงจากบ้านเพื่อจะเดินสำรวจ และรำลึกถึงความทรงจำในวัยเด็กของเขา หลังจากไม่ได้กลับมาที่นี่เป็นเวลานานแล้ว

    ไกรมองเห็นเต๊นท์ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บริเวณริมตลิ่งห่างจากเนินถนนประมาณยี่สิบเมตร ด้านนอกนั้นมีรถตู้ที่ติดสติ๊กเกอร์ว่ากรมประมง และมีอุปกรณ์ทันสมัยต่างๆที่เหล่าเจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันขนไปวางยังจุดต่างๆ จึงทำให้ไกรรู้ทันทีว่านั่นคือแคมป์ของด็อกเตอร์ชมพู่

     

    ด็อกเตอร์ชมพู่ ที่ซึ่งมีอาการซึมเศร้าหลังจากสูญเสียเพื่อนร่วมงานไปหนึ่งคน แม้ว่าจะต้องเศร้าแค่ไหน แต่เธอก็พยายามหาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสายพันธุ์ของจระเข้ที่ยังอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติในประเทศไทย แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะเจอแต่ข้อมูลว่ามีแต่จระเข้ที่หลุดมากับน้ำท่วม แต่ก็โดนจับไปหมดแล้ว  

    เธอถอนหายใจและวางแลปทอปของเธอไว้ที่ด้านในประตูห้องรับแขก เธอลุกขึ้นและเดินลงบันไดหน้าบ้านเพื่อที่จะไปที่แคมป์ของทีมงาน และในระหว่างนั้นเอง เสียงทักทายที่คุ้นหู ก็ดังมาเข้าหูเธอ

    “เป็นไงบ้างครับด็อกเตอร์แสนสวย ?

    ชมพู่หันไปมองหาเจ้าของเสียงทักทาย ซึ่งเมื่อเธอได้พบกับผู้กองหนุ่มที่เธอเคยได้สนทนากันเกี่ยวกับเรื่องของจระเข้ที่ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ ก็ทำให้เธอรู้สึกใจชื้นขึ้น

                    “มาทำอะไรที่นี่คะผู้กองไกร?

                    ไกรยิ้มและเดินเข้าไปหาด็อกเตอร์ชมพู่ที่วันนี้สวมชุดเป็นเสื้อยืดสีชมพูและกางเกงขายาวสีดำ “ใส่เสื้อสีคล้ายชื่อตัวเองเลยนะครับ เสื้อสีชมพู แต่คนใส่ชื่อชมพู่”

                    “มาถึงก็พูดดีเชียวนะคะผู้กอง คุณจะตอบคำถามฉันได้รึยังว่าคุณมาที่นี่ได้ยังไง”

                    “ผมได้จดหมายจากร้อยตำรวจเอกเลิศ เพื่อนของผมที่อยู่ สน.หลังสวน จดหมายที่ว่าส่งไปที่สัตหีบเพื่อขอให้ผมช่วยเหลือภารกิจล่าสัตว์ร้ายในคลองบางมุด เขาขอให้ผมนำหน่วยนาวิกโยธินสังกัดกรมทหารราบที่หนึ่งจากสัตหีบมาร่วมปฏิบัติภารกิจนี้ด้วย”

                    “อย่างนั้นก็ดีสิคะ”

    “แล้วนี่บ้านพักของด็อกเตอร์ หลังนี้เหรอครับ?” ไกรถาม

    “ใช่แล้วค่ะ ชาวบ้านที่นี้มีน้ำใจมากจริงๆ ที่ช่วยกันประกอบบ้านไม้หลังสวยๆแบบนี้ให้ฉันสำหรับภารกิจครั้งนี้ ฉันจะไม่มีวันลืมน้ำใจของชาวบ้านริมคลองบางมุดตลอดไป” ชมพู่ยิ้มและตอบคำถาม “แต่ฉันอยากขอผู้กองอย่างหนึ่ง”

                    “เรื่องอะไรเหรอครับ?

                    “ถ้าหากสัตว์ที่อาศัยอยู่ในคลองบางมุดเป็นจระเข้จริง ฉันอยากจับเป็นมากกว่าค่ะ โอกาสที่เราจะเจอจระเข้ใหญ่ขนาดที่ฉันตั้งสมมติฐานไว้ได้นี่ มันเจอยากมาก ฉันอยากให้อนุรักษ์ไว้น่ะค่ะ” ชมพู่อธิบายเหตุผลของเธอ

                    “เรื่องนี้ผมให้คำตอบคุณไม่ได้หรอกนะครับ เพราะเรายังไม่เจอตัวมัน แต่ถ้าสามารถจับเป็นได้ ผมก็ไม่ขัดข้อง แต่ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นกับชาวบ้านจนเกินกว่าที่เราจะจับเป็นได้ ก็คงต้องจับตาย” ไกรพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นก่อนที่เขาจะถามคำถามหนึ่งขึ้นมาว่า “คุณไม่รู้สึกแค้นมันมั่งเหรอครับ มันฆ่าทีมงานของคุณไปคนหนึ่งนะ”

                    ชมพู่ตอบทันควันทันทีว่า “โกรธค่ะ โกรธมากด้วย แต่มันเป็นสัตว์ มันก็ต้องกินอาหารเพื่อเอาตัวรอด แม้แต่จระเข้ยักษ์ที่ฟิลิปปินส์ที่จับได้ มันก็กินคนไปคนหนึ่งแล้วเพื่อรักษาชีวิตของมันให้รอด แต่พวกเขาก็ไม่ได้ฆ่ามัน แต่เอามันไปดูแลรักษาไว้ที่อุทยานแห่งชาติต่อไป”

                    ไกรพยักหน้า เขาพยายามเข้าใจในความคิดของเธอ เพราะชมพู่เป็นนักอนุรักษ์ ในขณะที่ตัวเขาเป็นทหาร อาจจะไม่ได้มีจิตใจที่อ่อนโยนมากสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ยืนยันว่าจับเป็นได้ถ้าโอกาสมี แต่ถ้ามันเสี่ยงเกินไปก็ควรจับตาย

     

                    เลิศขับรถกระบะสีน้ำตาลสลับดำของสถานีตำรวจภูธรหลังสวนผ่านมาทางแคมป์ของทีมงานจากกรมประมง เขาเห็นไกรกับชมพู่ยืนคุยกันอยู่ จึงขับเข้าไปใกล้ๆทั้งสองคนเพื่อทักทาย

                    “ด็อกเตอร์ชมพู่ครับ  ไอ้ไกร จะไปดูการเตรียมงานวัดของชาวบ้านหน่อยมั้ย คลายเครียดด้วย?

                    “งานวัดเหรอ น่าสนุกนี่ ไปมั้ยครับด็อกเตอร์?” ไกรหันมาถามชมพู่

                    “ไปก็ได้ค่ะ แล้วยังไงแวะมาส่งด้วยนะคะ”

                    เลิศให้ไกรกับชมพู่ขึ้นที่มานั่งที่กระบะท้ายก่อนจะขับรถพาไปยังวัดน้ำลอด ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ริมคลองบางมุด  เวลานี้ก็ใกล้ถึงงานวัดประจำปี แม้ว่าจะมีข่าวการตายของเจ้าหน้าที่จากกรมประมง หรือจะเป็นลุงช่อ แต่ก็ไม่อาจจะมาทำลายขวัญกำลังใจของชาวบ้านในการร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานวัดประจำปีนี้ได้  ชาวบ้านช่วยกันตั้งร้าน ช่วยกันจัดสถานที่ให้สวยงาม เพื่อเตรียมพร้อมต้อนรับแขกที่จะมาเยือนจากทั้งจากต่างอำเภอ จากต่างจังหวัด หรือแม้แต่จากต่างประเทศ

                    ผู้กองเลิศพาชมพู่และไกรไปดูรูปปั้นของจระเข้ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นรูปปั้นจำลองของตำนานพญากุมภีล์ที่เคยอาละวาดอยู่ในคลองบางมุด ไอ้ด่างบางมุด  ชมพู่มองรูปปั้นด้วยความหลงใหล เธอไม่รอช้า หยิบเอาโทรศัพท์มือถือของเธอ ออกมากดถ่ายรูป ซึ่งหลังจากนั้น เลิศก็ได้พาทั้งสองเข้าไปไหว้พระประธานในอุโบสถ

    ไกร เลิศ ชมพู่ก้มกราบพระประธานในอุโบสถด้วยกิริยาท่าทางที่นอบน้อม ซึ่งสิ่งที่ทั้งสามได้ขอพรก็คงหนีไม่พ้น ขอให้สามารถปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ไม่มีอะไรมาขัดขวาง ด้วยจิตที่มุ่งมั่นของทั้งสาม ทำให้พวกเขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังย่างเท้าเข้ามาในอุโบสถเช่นกัน

    “มากันตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะโยมผู้กอง ?

    เมื่อไกรได้ยินเสียง จึงรีบหันไปหาเจ้าของเสียงที่อยู่ด้านหลัง เบื้องหน้าของเขานั้น เป็นพระภิกษุผิวขาวรูปร่างท่าทางสง่างาม ยืนอยู่ในท่าทางที่สงบ พระภิกษุรูปนี้มีลักษณะเด่นคือมีไฝอยู่ที่แก้มข้างขวา เมื่อไกรเห็นดังนั้นจึงก้มลงกราบสามครั้ง เช่นเดียวกับเลิศและชมพู่ที่หันตามมาก็ก้มลงกราบเช่นกัน

    “พึ่งมาถึงวันนี้เองครับ หลวงพี่ศร” ไกรตอบ พระศร หรือ ศร ฝาแฝดซึ่งเป็นเพื่อนของไกรและเลิศตั้งแต่วัยเด็กนั่นเอง ตอนเด็กนั้นพระศรได้บวชเณรศึกษาทางธรรมตั้งแต่อายุเพียงแค่ 7 ขวบ และในตอนนี้ก็ศึกษาทางธรรมจนได้ก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสวัดน้ำรอด ริมคลองบางมุด ที่ซึ่งพระศรได้เติบโตขึ้นมา แม้ว่าจะเป็นเด็กกำพร้าที่พระในวัดเก็บมาเลี้ยง ก็ไม่อาจจะทำให้จิตใจที่ฝักใฝ่ในทางธรรมของพระศร แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้

    “อาตมาดีใจที่ได้เจอกับโยมผู้กองไกรอีก แล้วโยมด็อกเตอร์ล่ะ สบายใจมั่งหรือยัง?” พระศรหันไปถามชมพู่

    “ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าดิฉันจะทำยังไงต่อไป” ชมพู่ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

    “ใจเย็นๆโยม มันเป็นกรรมเก่าของเขา ตอนนี้โยมมีหน้าที่ที่ต้องทำคือ ค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่ฆ่าเขา และฆ่าโยมช่อไป ชาวบ้านมีขวัญกำลังใจมากขึ้นก็เพราะพวกโยม พวกโยมอย่าอ่อนแอ ชาวบ้านหวังพึ่งแต่พวกโยมเท่านั้น”

    ไกร เลิศ และชมพู่พร้อมใจกันกราบพระศร และขอไปดูการทำงานของชาวบ้านที่เตรียมจัดงานวัดประจำปี ซึ่งพระศรก็ไม่ขัดข้อง เพราะเดี๋ยวพระศรเองก็ต้องเตรียมทำวัตรเย็นแล้วเช่นกัน

     

    ลานวัดที่ซึ่งหันทิศไปทางคลองบางมุด ทั้งร้านค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านปลาหมึกย่าง เกมปาเป้า เกมยิงปืนลม ร้านบะหมี่ หอยทอด และอะไรอีกหลายๆอย่าง ชาวบ้านกำลังช่วยกันจัดเตรียมกันอย่างเต็มที่ บางคนก็ช่วยกันจัดเตรียมแสงสีเสียง อีกทั้งยังมีเครื่องเล่นเด็กอย่างม้าหมุน หรือชิงช้าสวรรค์อีกด้วย

    หัวแรงใหญ่ในงานวัดคราวนี้ก็คือ มัคทายกไฟแรงอย่าง ศักดิ์ที่ซึ่งกำลังพูดผ่านไมค์เพื่อแนะนำชาวบ้านและ บอกจุดวางของต่างๆให้ชาวบ้านที่มาจัดเตรียมสถานที่ได้รับรู้

    “อ้าว แล้ววันนี้เราก็ได้พบกับผู้กล้าที่จะมาต่อกรกับสัตว์ร้ายที่อยู่ใต้น้ำแล้วพี่น้อง” ศักดิ์พูดจบ ก็วางไมค์ไว้ที่บนลำโพงขนาดใหญ่ เขาเดินมาทักทายกับไกร เลิศ และชมพู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาจับมือกับไกรซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็ก และไม่ได้พบหน้ากันมาเป็นเวลานาน พร้อมทั้งถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ

    “เป็นไงบ้าง เดินทางมาเหนื่อยไหมเพื่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีงานวัด มาให้ได้นะ”

    “ก็อยากมาอยู่หรอกเพื่อน แต่พรุ่งนี้เป็นวันที่ต้องออกตรวจคลอง เพื่อจะหาต้นตอการตายของชาวบ้านในคราวนี้ อาจจะมาไม่ได้น่ะศักดิ์”

    “เฮ้ย ถ้าเสร็จงานตอนเย็นก็มาสิ งานเริ่มตอนเย็นถึงมืดนู่น มาเถอะน่า เลิศกับด็อกเตอร์ชมพู่ด้วยนะ มากันให้ได้ ดูสิเห็นไหม ชาวบ้านช่วยกันจัดเตรียมสถานที่กันแบบหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ น่าภูมิใจออก ถ้าไม่มีเดินเที่ยวนี่เสียดายแย่” ศักดิ์พูดไปพลางชี้นิ้วไปยังกลุ่มชาวบ้านที่กำลังช่วยกันทำงานอย่างขยันขันแข็ง และหนึ่งในกลุ่มชาวบ้านที่กำลังช่วยกันทำงานอยู่นั้น ก็มีผา เจ้าของร้านบะหมี่ ที่มาจัดร้านในงานวัดคราวนี้ด้วย โบกมือทักทายไกรด้วยความดีใจที่เห็นเพื่อนเก่าอีกครั้งหนึ่ง

     

    ไกรโบกมือให้ผาก่อนจะส่งซิกให้ว่า เดี๋ยวตอนมืดให้ไปกินข้าวด้วยกันที่บ้าน เพื่อจะได้เป็นการเลี้ยงกลุ่มเพื่อนสนิทในวัยเด็กอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าผาก็ตอบตกลง

    “เลิศ ไอ้โชคมันจะมาออกร้านแถวนี้รึเปล่าวะ?” ไกรถามถึงโชค อดีตเพื่อนกลุ่มเดียวกันแต่แตกคอกันไป

    “ถามถึงไอ้นี่ทำไมวะ มันไม่มาน่ะดีแล้ว อีกอย่าง พื้นที่งานวัดต้องเสียเงินค่าเช่าที่ คนขี้เหนียวอย่างมันน่ะ ไม่มาหรอกเชื่อเถอะ” เลิศพูดพลางทำหน้าคิ้วขมวดไปพลางเพราะนึกถึงเหตุการณ์ในวัยเด็กที่ทำให้กลุ่มของเขากับโชคต้องแตกคอกัน จากนั้น เลิศก็ได้ขอตัวไปพูดคุยกับผาเพื่อจะนัดเวลาไปกินข้าวที่บ้านของไกรหลังจากเสร็จงานวันนี้ ซึ่งสภาพตัวงานวัดก็เกือบเสร็จสมบูรณ์ 100% แล้ว

    “วันนี้ผมจะทำกับข้าวกินกันที่บ้านผม ไม่ไกลจากบ้านพักของคุณเท่าไหร่ คุณจะมาร่วมด้วยมั้ยครับ?” ไกรเอ่ยปากชวนชมพู่

    “ก็น่าสนุกนะคะ แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันยังทำงานวิจัยค้างไว้อยู่ ดิฉันอยากรีบนอนเพื่อเตรียมความพร้อมในวันพรุ่งนี้ด้วยน่ะค่ะ”

    “งั้น ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยววันนี้ผมไปส่ง แล้วยังไงพรุ่งนี้ผมจะไปรับที่หน้าบ้านนะครับ” ไกรกล่าวด้วยรอยยิ้ม ซึ่งด็อกเตอร์สาวสวยก็ยินดีที่จะตอบรับความหวังดีนี้ของผู้กองหนุ่มไว้ เธอตอบตกลง

     

    ชายขี้เมาคนหนึ่งเดินผ่านร้านบะหมี่ของผาที่ตั้งอยู่ในลานวัดไป ท่าทางของชายขี้เมาคนนี้ เหมือนท่าทางพร้อมจะหาเรื่องคนได้ตลอดเวลา ผามองดูชายคนนี้ด้วยความไม่สบอารมณ์ เช่นเดียวกับเลิศที่ออกอาการเซ็งเมื่อเห็นหน้าชายขี้เมารายนี้ แต่แล้วสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผาตกใจก็คือ เขาเห็นชายขี้เมาคนนี้กำลังจงใจเดินไปยังที่ที่ไกรกับชมพู่กำลังยืนคุยกันอยู่

    “ไอ้เลิศ ชักไม่ดีแล้วสิวะ” ผาเอ่ยขึ้น

    “ไอ้เจิดมันจะทำอะไรของมัน ? มันเดินเข้าไปหาไอ้ไกรทำไม”

    “เลิศ ข้าว่าเอ็งไปดึงไอ้ขี้เมานั่นออกไปจากวัดก่อนดีกว่า ก่อนที่มันจะพูดจาเลอะเทอะกับไอ้ไกร ข้าไม่อยากให้ไอ้ไกรมันช็อคหรือคิดมากกับสิ่งที่ไอ้ขี้เมานี่กำลังจะพูดออกมา”

     

    เจิด ชายขี้เมาประจำหมู่บ้านถือขวดเหล้าและตรงรี่เข้าไปหาไกร สภาพเนื้อตัวของเจิดที่สวมใส่เสื้อผ้าขาดๆ กลิ่นเกล้าคลุ้งไปทั้งตัว มีแต่ชาวบ้านรังเกียจ เขาเดินลากพาตัวเองเข้าไปกอดคอกับไกรก่อนจะพูดว่า

    “งายผู้กองรูปหล่อ กินเหล้าด้วยกันหน่อยมั้ย …?

    “เอ่อ ไม่เอาครับน้าเจิด ผมยังไม่อยากกินตอนนี้” ไกรปฏิเสธทันควันพร้อมทั้งพยายามแกะมือของเจิดออก

    “เรียกว่าน้าทำไม ทำไมไม่เรียกพ่อเล่า”

    คำว่า พ่อ ทำเอาไกรชะงัก และมองหน้าของชายขี้เมาผู้นี้อย่างตกใจ เขาพยายามปลอบใจตัวเองว่า คงเพราะเขาเมาเลยพูดจาเลอะเทอะไปเองมากกว่า ตั้งแต่เล็กจนโตมา ไกรเคยเจอตาเจิดมาก็หลายครั้ง ตอนเด็ก ไกรจำได้ว่าตอนที่เจอตาเจิดครั้งแรก ยายบอกว่าตาเจิดเป็นคนไม่ดี ขี้เมา พึ่งออกจากคุกมาได้ไม่กี่ปี อย่าทำตามเขาเด็ดขาด แต่สิ่งหนึ่งที่ตาเจิดพูดเวลาเมาประจำ และเป็นเสียทุกครั้งที่เจอหน้าไกรตอนเด็กก็คือ ชอบพูดว่าตัวเองเป็นพ่อทั้งๆที่พูดเวลาเมา แต่ยายก็จะทำสีหน้าโกรธแค้น และเกลียดชัง พร้อมทั้งเอาไม้เอาอะไรต่อมิอะไรก็ตามไล่ตาเจิดให้ไปพ้นๆ 

    ไกรก็พอจำได้อีกอย่างว่าหลังจากเขาเริ่มขึ้นชั้นมัธยม ตาเจิดถูกจับกุมด้วยข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิงในหมู่บ้าน และพึ่งจะพ้นโทษออกมาเมื่อปีที่ยายของเขาพึ่งเสียชีวิต ขณะที่ชมพู่ก็ออกอาการไม่ค่อยชอบใจพฤติกรรมของเจิดนัก เพราะตั้งแต่เธอมาที่นี่ เจิดก็มักจะส่งสายตาแทะโลมเธออยู่เสมอ

    “น้าเจิด ปล่อยสิครับ ผมจะพาคุณชมพู่ไปส่งบ้าน”

    “แหม เดี๋ยวนี้ไอ้ลูกชาย มันมีเมียแล้วเหรอนี่ แหมหน้าตาสวยด้วย ลูกสะใภ้หน้าตาจิ้มลิ้มแบบนี้ น่าจะยกให้พ่อมากกว่านะ”

    สิ้นประโยคนี้ ด็อกเตอร์ชมพู่ก็เหวี่ยงมือขวาตบเข้าที่แก้มขวาของเจิดอย่างแรงจนชายขี้เมา ล้มไปนอนกับพื้นทันที ท่ามกลางความตกใจของชาวบ้าน เลิศกับผารีบวิ่งเข้ามาดู และพยายามช่วยกันรั้งตัวชมพู่ไว้ก่อนที่เธอจะลงไม้ลงมือมากไปกว่านี้

    “คุณพูดอะไรคุณเกรงใจฉันมั่งนะ ฉันเป็นผู้หญิง ฉันเสียหาย แล้วถามหน่อยเถอะ คุณมาพูดได้ไงว่าฉันเป็นลูกสะใภ้คุณ แล้วที่คุณบอกว่าฉันควรจะเป็นของคุณมากกว่าน่ะ คุณกล้าพูดมาได้ยังไง ฉันไม่สนใจแล้วนะว่าคุณจะเมา”

    เจิดค่อยๆลุกขึ้นมา ก่อนจะมองหน้าไกรและหัวเราะออกมา

    “ฮ่า ๆ ๆ ถ้าไม่เข้าใจ เดี๋ยวจะบอกให้ว่า ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว กูนี่แหละที่ ” ยังไม่ทันจะจบประโยค ผาก็รีบตะโกนลั่นและชี้นิ้วไปที่หน้าของเจิด “หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะไอ้เจิด ถ้ามึงพูดอะไรออกมาอีกที มึงปากแตกแน่!

    เจิดได้ยินก็ยิ่งหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ ขณะที่ไกรก็ทำหน้างงต่อคำพูดของเจิด เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ชายขี้เมาคนนี้กำลังจะพูดออกมาคืออะไรกันแน่

    “ก็เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน กูเจออีแก้ว ลูกสาวยายกุล กูเห็นมัน….หน้าตาดี หุ่นดี กูเลยฉุดมันมาปล้ำทำเมียไง แล้วมันเสือกท้อง …. ก็เลยออกมาเป็นผู้กองไกรนี่ไง มาเร็ว มาหาพ่อนี่ เอาตังค์มาให้พ่อกินเหล้าหน่อย”

    พอจบประโยค ผาก็เอามือขวาตบเข้าที่หน้าของเจิดอย่างแรง และกระโดดเอาร่างอันอ้วนท้วมของตัวเอง ทับลงไปบนตัวของเจิด ซึ่งเจิดที่อยู่ในอาการมึนเมา ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เลิศกับชมพู่ต้องเข้ามาช่วยกันดึงตัวผาออกมา

    ผู้กองหนุ่มอย่างไกร ยืนนิ่งไม่รู้สึกรู้สาอะไร ในหัวใจของเขา คิดอะไรไปต่างๆนานา เขาเริ่มสับสนในคำพูดที่เจิดพูดแบบนี้ ตลอดเวลานับแต่เด็ก ตากับยายไม่เคยถึงเรื่องของพ่อของตัวเขาให้ได้ยินเลย บอกแค่เพียงว่าพ่อตายไปแล้ว ถ้าตายไปแล้ว ทำไมเขาไม่เห็นรูปถ่ายหน้าศพ วางอยู่ในบ้านเลย คำถามทุกอย่างที่เกี่ยวกับพ่อและแม่ของไกร กำลังมีอยู่ในสมองของเขาเต็มไปหมด เขาบอกตัวเองไม่ถูกว่าตัวเขาจะรับกับความรู้สึกแบบนี้ได้หรือไม่ มีพ่อก็เหมือนมีไม่มีพ่อ ถ้ามีพ่อแล้วพ่อเป็นคนที่แค่มาข่มขืนแม่จนท้องแล้วเกิดมาเป็นตัวเอง ควรจะนับถือ ควรจะเรียกคนๆนั้นว่าพ่อดีหรือไม่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×