คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5
ตอนที่ 5
ข่าว การพบชิ้นส่วนศพของบุคคลปริศนาที่ริมคลองบางมุด กระจายไปทั่วประเทศไทย ผู้คนมากมายต่างเริ่มสงสัยกันแล้วว่า มีอะไรที่ทำร้ายคนได้ขนาดนี้ อีกทั้ง เริ่มมีเชื่อว่า เป็นไปได้ที่อาจจะมีจระเข้หลุดมาจากฟาร์มแล้ว แอบมาซ่อนตัวอยู่ในลำคลองบางมุด และคอยซุ่มล่าคนด้วยความหิวโหยอยู่ ข่าวคดีฆาตกรรมนี้ เริ่มเป็นที่พูดคุยกันในวงกว้างมากยิ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มสั่งตรวจตราลำคลอง เพื่อค้นหาต้นตอที่แท้จริงว่า อะไรคือสิ่งที่ทำร้ายเจ้าของอวัยวะแขนขวาจนเละเทะแบบนั้นได้ และกำลังพยายามค้นหาชิ้นส่วนศพที่เหลือ
สำนัก งานการประมง ของจังหวัดกรุงเทพมหานคร วันนี้ดูจะดูค่อนข้างวุ่นวายผิดปกติ เมื่อด้านหน้าที่ทำการ มีแต่ฝูงชนที่ส่วนใหญ่จะเป็นนักข่าว เตรียมเข้ามาขอสัมภาษณ์อธิบดีกรมประมง เกี่ยวกับการตรวจสอบเขี้ยวปริศนาที่ฝังติดกมากับอวัยวะส่วนแขนของบุคคลลึก ลับที่พบที่ริมคลองบางมุด
หลัง จากสถาบันนิติเวช ได้ส่งเขี้ยวปริศนามายังกรมประมง ชมพู่จึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตรวจสอบ ซึ่งจากการวัดขนาดของเศษเขี้ยวที่ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร และความยาวอีกร่วมๆ 8 เซนติเมตร ชมพู่ในชุดปฏิบัติงานแลปวิจัย เธอสวมถุงมือยางสีขาว เริ่มจับดูเศษเขี้ยวแหลมคมของอะไรบางอย่าง ที่วางอยู่บนโต๊ะยาวสีขาวกลางห้อง
“ด็อกเตอร์ครับ เป็นยังไงบ้าง นักข่าวมาออกันเต็มไปหมดเลยครับ ได้เรื่องรึยัง” ถวัลย์ ลูกมือประจำแลปของชมพู่เดินเข้ามาจากนอกห้องด้วยท่าทางรีบเร่ง
“สันนิษฐานไว้ก่อนได้เลยว่า นี่เป็นเขี้ยวของสัตว์เลื้อยคลาน ใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่เขี้ยวงู แน่นอน” ชมพู่กล่าว
“แล้วมันเป็นเขี้ยวอะไรเหรอครับ ตัวเงินตัวทองรึเปล่า?”
“ไม่ ใช่หรอก ตัวเงินตัวทอง เวลากินอาหาร มันจะใช้วิธีขย้อนเข้าไป อย่างงูก็เหมือนกัน แล้วแถบนั้นก็ไม่เคยมีรายงานว่า มีสัตว์ป่าอย่าง เสือ หรือพวกหมีอยู่ในแถบนั้น ปลาฉลามนี่ก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย จากซากแขนที่เขาชันสูตร เขาก็ยืนยันมาแล้วนะว่า เป็นแขนของคนชื่อ ช่อ จริงๆ แต่เรื่องของเศษเขี้ยวนี่ มันเกินความสามารถของพวกเขา เขาถึงส่งมาให้เราตรวจไง ซากแขนที่ว่า มันเหมือนกับเป็นการโดนกัด แล้วบดขยี้จนแหลกก่อนแล้วค่อยกลืน แล้วสัตว์เลื้อยคลานที่ใช้วิธี บดขยี้เหยื่อก่อนจะกลืนลงท้อง … มันมีอะไรบ้างล่ะ” ชมพู่อธิบายยาว
ชมพู่เองก็เริ่มที่จะตะหงิดๆในใจแล้วว่า นี่เป็นเขี้ยวของสัตว์อะไรกันแน่ ชมพู่เหลือบไปเห็นรูปวอลล์เปเปอร์ในคอมพิวเตอร์แลปทอปของเธอที่เธอตั้งอยู่ ใกล้ๆโต๊ะแลป ซึ่งเธอตั้งภาพเป็นภาพโปสเตอร์ของ ภาพยนตร์ไทยเรื่อง ‘ไกรทอง’ เป็นภาพที่ วินัย ไกรบุตร ซึ่งแสดงเป็นไกรทอง กำลังเงื้อมมีดหมอจะจ้วงแทง พญาจระเข้ ชาละวัน
“ชาละวัน … จระเข้ … จระเข้เหรอ !?” ชมพู่อุทานออกมา เธอรีบเปิดรูปภาพของจระเข้ที่เธอไปตามเก็บภาพมาจาก ตามสวนสัตว์ และจาก ฟาร์มจระเข้ที่เธอเคยไปลงพื้นที่ภาคสนามมา โดยเธอตั้งใจเปิดภาพเฉพาะภาพที่จระเข้กำลังอ้าปากเพื่อจะเปรียบเทียบเขี้ยวของจระเข้ในรูป กับเขี้ยวที่วางอยู่บนโต๊ะแลปข้างหน้าเธอ
“ถึง จะสรุปได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังไม่เห็นเจ้าตัวเจ้าของเขี้ยว แต่ชั้นให้ความมั่นใจในการตรวจสอบครั้งนี้ จากประสบการณ์โดยตรงไว้ที่ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เขี้ยวส่วนนี้ เป็นเขี้ยวของจระเข้ !!”
เมื่อ สิ้นสุดการสรุปของชมพู่ ชมพู่ซึ่งถือเศษเขี้ยวนั้นไว้ในมือ ซึ่งมีขนาดเท่ากับฝ่ามือของชมพู่พอดี ถวัลย์ยืนตะลึง และไม่อยากเชื่อในคำพูดสรุปของชมพู่ ชมพู่เป็นนักวิจัยที่มีผลงานโดดเด่น และเชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลาน โดยเฉพาะจระเข้ แต่เขายังไม่อยากจะเชื่อว่า เขี้ยวนี้จะเป็นเขี้ยวของจระเข้ และหากมันเช่นนั้นจริง เจ้าตัวที่เป็นเจ้าของเขี้ยวอันนี้ จะต้องมีขนาดใหญ่โตมหึมาอย่างแน่นอน
……………………………..
สามวันถัดมา
สถานี ตำรวจภูธรหลังสวน กำลังอยู่ในช่วงวุ่นวาย ไม่ต่างไปจากที่ กรมประมงกรุงเทพฯ เลิศ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบคดีคนหายคราวนี้ พึ่งจะเดินออกจากห้องประชุม เขาเริ่มที่จะสงสัยในตัวลำคลองที่เขา กระโดดลงไปเล่นตั้งแต่ยังเด็กเสียแล้ว การประชุมที่พึ่งจะสิ้นสุดเมื่อไม่กี่นาที ได้มีการ แสดงเอกสารจากสถาบันนิติเวช ซึ่งตรวจซากแขนขวาปริศนา และยืนยันได้แล้วว่า แขนดังกล่าว เป็นของ นายช่อ เฒ่าจอมเฮฮาประจำหมู่บ้าน ที่หายตัวไปนั่นเอง ส่วนเขี้ยวปริศนาที่ฝังติดอยู่ในแขนนั้น เอกสารรายงานผลการตรวจก็ส่งมาถึง ซึ่งก็ยืนยันว่า เขี้ยวดังกล่าว เป็นเขี้ยวของ จระเข้
“ใน คลองหน้าบ้านเรา เนี่ยเหรอ มีจระเข้อยู่ ไอ้ด่างก็ตายไปเป็นสามสิบสี่สิบปี แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไงที่จะมีไอ้เข้อยู่ในคลอง” เลิศเริ่มคิดไปต่างๆ นานา ในขณะที่เขาเหลือบหันไปมอง ใบหน้าของผู้ที่ออกจากห้องประชุม โดยที่มีแต่ความเศร้าโศกและร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร จนเจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันพยุง และนำยาดม ยาหอมมาช่วยให้สูดดมให้หายใจสะดวกขึ้น นั่นก็คือ นางแม้น ผู้เป็นภรรยาของ ลุงช่อ และ ช้อน ลูกสาวของลุงช่อนั่นเอง เมื่อทราบว่า เสาหลักของครอบครัวอย่างลุงช่อ เสียชีวิตไปแล้ว และอาจจะกลายเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายที่เชื่อกันว่า เป็นจระเข้ ที่อาจจะซ่อนตัวอยู่ในลำคลองสายหลักที่ชาวบ้านบางมุด ใช้สอยกันตลอดแทบทุกวัน
“ผู้ กองครับ” เสียงของชายคนหนึ่ง ดังขึ้นที่ด้านหลังของเลิศ และเมื่อเลิศหันกลับไปมองเจ้าของเสียง ก็เป็น หมู่กานต์ ลูกน้องคนสนิทนั่นเอง
“ว่าไงหมู่”
“ท่านผู้กำกับ ขอให้ผู้กองไปพบตอนนี้ครับ”
เลิศ ได้ยินดังนั้น จึงรีบตามไปพบ พันตำรวจเอกพรชัย ผู้กำกับของ สถานีตำรวจภูธรหลังสวน ที่ซึ่ง พึ่งจะออกจากห้องประชุม เช่นเดียวกับเขา แต่เดินกลับไปยังห้องแล้ว เลิศรีบเดินไปยังห้องประจำตำแหน่งของ ผู้กำกับพรชัย เขาเคาะประตูและขออนุญาตเข้าไป ก่อนจะทำความเคารพผู้บังคับบัญชาตามมารยาท
“นั่ง ก่อนสิผู้กองเลิศ” ในห้องที่ทาด้วยสีขาวควันบุหรี่ และติดแอร์คอนดิชั่น เย็นสบายทั้งห้อง ผู้กำกับใหญ่ ผิวคล้ำรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาคมเข้ม ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เลาจน์ หลังโต๊ะประจำตำแหน่ง เอ่ยปากพร้อมทั้ง ยื่นเอกสารบางอย่างให้เลิศได้ดู หลังจากเลิศนั่งบนเก้าอี้ด้านหน้าแล้ว
“อะไรเหรอครับท่าน ?” เลิศถาม
“เปิดดูก่อนสิผู้กอง”
เมื่อ เลิศ เปิดซองเอกสารสีน้ำตาล ก็พบว่าด้านในมีเอกสารสองแผ่นด้วยกัน โดยแผ่นแรก เป็นแผ่นที่เขียนรายงานเกี่ยวกับ เศษเขี้ยวของสัตว์ที่ทำร้ายลุงช่อ ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่า น่าจะเป็นจระเข้ ส่วนอีกแผ่นหนึ่ง เป็นภาพถ่ายของหญิงสาวหน้าตาดี นางหนึ่งในชุดข้าราชการ ที่แปะบนกระดาษ พร้อมทั้งรายละเอียดต่างๆ
“ผู้หญิงคนนี้เหรอครับ ที่เป็นคนฟันธงว่า เขี้ยวนี่เป็นเขี้ยวของจระเข้?” เลิศถาม เมื่ออ่านประวัติคร่าวๆของ ชมพู่ ดอกเตอร์สาวสวย ประจำ กรมประมง
“ใช่ แต่เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลาน และถนัดเรื่อง ลักษณะทางด้าน นิสัย และกายภาพของจระเข้โดยเฉพาะ ทางกรมประมงติดต่อผมมาโดยตรงว่า อยากจะให้ความร่วมมือกับทางสถานีตำรวจของเรา โดยจะส่งเธอมาช่วยพวกเรา ในการสำรวจลำคลอง และถ้าหากมีจระเข้อยู่ในลำคลองจริงๆ เธอก็อาจจะช่วยเหลืออะไรพวกเราได้บ้าง” สารวัตรพรชัยร่ายยาว
“ก็ ดีนะครับ แต่จะไหวเหรอ เธอเป็นผู้หญิงนะครับ กลัวว่าจะเป็นพวกคุณหนู แล้ว มาลำบากแล้วก็บ่นๆ น่ะสิครับ” เลิศพูดโดยเหมือนจะรู้จักนิสัยคนกรุงเป็นอย่างดี
“ไม่ หรอกเลิศ ดอกเตอร์ชมพู่ ออกตรวจภาคสนามสัตว์น้ำ และสัตว์เลื้อยคลานตามสวนสัตว์และฟาร์มเพาะเลี้ยง แทบทุกพื้นที่ในประเทศ ไทย และออกดูงานที่ต่างประเทศบ่อยๆ เธอมีผลงานโดดเด่นเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ผมเองก็รับรองนะว่า เธอจะสามารถช่วยงานคุณได้แน่ๆ ยังไงผมก็อยากให้ผู้กอง รับเธอไว้เป็นหนึ่งในทีมงานในการตรวจตราลำคลองคราวนี้นะ”
“ถ้าเกิดเธอเป็นคนที่มีความสามารถขนาดที่ท่านว่า ผมก็ไม่ขัดข้องครับผม แล้วเธอจะเดินทางมาถึงที่นี่เมื่อไหร่ครับ”
“คิด ว่าคงไม่เกินวันสองวันนี้ ผมจะโทรไปคอนเฟิร์มที่ กรมประมงเอง ว่าทางเรายินดีร่วมมือกับทางกรมประมงทุกอย่าง และขอให้ดอกเตอร์ชมพู่ เดินทางมาคลองบางมุด พร้อมทีมงานได้ทันที โดยเราจะจัดที่พักไว้ให้เธอ”
เลิศ เดินออกจากห้องสารวัตร พร้อมทั้งเริ่มนึกถึงเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ที่ปัจจุบัน ไปเป็นหน่วยจู่โจมพิเศษ ที่สัตหีบ เขาคิดว่า ถ้าหากภารกิจคราวนี้ ต้องพบเจอกับฆาตกรที่อยู่เหนือความคาดหมายอย่างจระเข้จริงๆ เขาก็อยากให้เพื่อนเก่าของเขาคนนี้ มาร่วมเป็นหนึ่งในทีมล่าสังหารครั้งนี้ ความสามารถของเพื่อนเก่าคนนี้ จะช่วยแบ่งเบางานคราวนี้ให้ง่ายดายยิ่งขึ้น
“ไอ้ไกร นี่ถ้าเอ็งอยู่ที่นี่ตอนนี้ งานคงจะเบาไปได้เยอะแน่ๆ”
ช่วง สายๆของหลายวันถัดมา คณะทีมงานของ ชมพู่ที่โดยสารรถตู้ของ กรมประมง ได้เดินทางมาถึง ตำบลหนองไก่ปิ้ง อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร รถตู้ Toyota สีเงินติดชื่อกรมประมงที่ด้านข้าง ก็ได้แล่นเข้ามายังลานจอดรถ พื้นที่สถานีตำรวจภูธรหลังสวน สารวัตรพรชัย พร้อมทั้ง เลิศ ได้ออกมารับคณะเดินทางจากกรุงเทพ
“สวัสดีครับดอกเตอร์ชมพู่ และทีมงานทุกท่านนะครับ ยินดีต้อนรับสู่บ้านบางมุดครับผม” สารวัตรพรชัยทำท่าวันทยหัตถ์ เช่นเดียวกับ เลิศ
“ค่ะท่านสารวัตร ว่าแต่ตอนนี้ สภาพที่คลองเป็นยังไงบ้างคะ” ชมพู่ไม่รอช้ารีบเข้าเรื่องโดยทันที
“ตอน นี้ เราเริ่มประกาศให้ชาวบ้าน อย่าพึ่งเข้าใกล้คลองแล้วครับ จนกว่าพวกเราจะตรวจสอบเสร็จ ทางเราเองก็กำลังลำบากเลยครับ เพราะขาดผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลาน ดีทีเดียวที่ได้ดอกเตอร์มาช่วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันเองก็อยากจะเห็นแล้วเหมือนกันว่า จะเป็นจระเข้ยักษ์จริงๆรึเปล่า”
“งั้น ตามผมมาเลยครับ เดี๋ยวผมจะพาดอกเตอร์กับคณะไปที่พักก่อน แล้วเดี๋ยวผมจะให้ลูกน้องผม กับชาวบ้านลงเรือไปกับดอกเตอร์ เราจะไปตรวจสอบลำคลองกันครับ” เลิศกล่าว ซึ่งชมพู่ดูเธอจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ
รถ ตู้ของทีมงานของชมพู่ แล่นเข้าไปยัง พื้นที่ใกล้บริเวณลำคลอง โดยชาวบ้านต่างรีบมาดูรถของเจ้าหน้าที่กรมประมงเข้ามาในหมู่บ้าน โดยรถแล่นมาจอดยัง หน้าบ้านไม้หลังหนึ่ง ชมพู่ก้าวลงจากรถตู้และมองดูบ้านไม้หลังนี้ บ้านไม้หลังดังกล่าวเป็นบ้านไม้ทรงยกใต้ถุนสูง ทาด้วยสีน้ำตาล เหมือนพึ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน
“บ้าน หลังนี้ พึ่งสร้างเสร็จเมื่อวานนี้เองครับ ชาวบ้านทุกคน พอรู้ว่า เจ้าหน้าที่กรมประมง มาช่วยตรวจสอบ เลยช่วยกันสร้างให้พวกดอกเตอร์ไว้พักกัน ส่วนเต็นท์สำหรับให้พวกดอกเตอร์ใช้ทำเป็นแลปวิจัยชั่วคราว สามารถตั้งตรง ใกล้ๆพื้นที่ริมตลิ่งได้นะครับ” เลิศกล่าว โดยมองไปยังบ้านไม้หลังนี้ ที่คณะเจ้าหน้าที่จากกรุงเทพ กำลังมองดูความสวยงามของบ้านไม้ ที่พักชั่วคราวในภารกิจนี้ของพวกเขาด้วยความชื่นชมใน น้ำใจชาวบ้านที่ช่วยกันสร้างให้
ช่วง บ่าย แดดจากดวงตะวันกำลังส่องลงมาอย่างเต็มแรง แสงแดดสะท้อนลงไปบนผิวน้ำลำคลองบางมุด ทำให้ภาพทิวทัศน์นี้ ยิ่งดูงดงามมากยิ่งขึ้น สายลมช่วยบ่ายๆ ที่พัดเข้ามา ทำให้กลุ่มนักวิจัยจากเมืองกรุง สองคน และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองนาย และชาวบ้านอีกสองคน ที่นั่งอยู่ในเรือยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่กำลังแล่นอยู่ในลำคลอง รู้สึกเย็นสบายมากยิ่งขึ้น
“ลมทะเล เย็นสบายจังนะคะ” ชมพู่ในชุดไปรเวทเอ่ยขึ้น
“พวก เราคุ้นเคยดีครับ นี่ถ้าเป็นสมัยก่อนนะครับ เย็นกว่านี้จนเราแทบจะเอาผ้าห่มมาห่มตลอดเวลา” เลิศพูดขณะที่บังคับหางเสือ นำเรือมุ่งหน้าไปยังจุดที่เป็นเวิ้งน้ำใหญ่ ที่ลุงช่อไปหาปลา และหายตัวไป
“น้ำ ใสสะอาดขนาดเห็นตัวปลาขนาดนี้ เป็นไปได้เหรอครับว่าจะมีจระเข้อยู่ในน้ำ” หมวดสน เพื่อนรุ่นน้องของเลิศ ที่ร่วมเดินทางมาด้วยถามขึ้น ในขณะที่มือซ้ายก็ถือกล้องส่องทางไกลไว้เพื่อช่วยมองหาสิ่งที่อยู่ไกลจากสาย ตา
“นั่น สิครับ ถ้ามีจระเข้จริงๆ พวกชาวบ้านอย่างพวกผมก็ต้องเจอสิครับ แต่นี่ ผมพยายามเดินสำรวจตามริมตลิ่งหรือตรงที่เป็นโคลนริมน้ำ ก็ไม่เคยเห็นแม้แต่รอยเท้า” ง้วน ชาวบ้านคลองบางมุดผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วยสนับสนุนความเห็นของหมวดสนอีก หนึ่งเสียง
“เชื่อ เถอะครับ ดอกเตอร์ชมพู่ วิเคราะห์มาแน่แล้วครับว่าเขี้ยวที่พบจากซากแขนนั่น เป็นเขี้ยวของจระเข้” วิชัย หนึ่งในทีมงานของชมพู่ การันตีความสามารถของชมพู่ ในขณะที่ชมพู่กำลังใจจดใจจ่อกับ ทัศนียภาพริมคลองบางมุด ที่ซึ่งเธอไม่เคยมีโอกาสได้เห็นมาก่อน
“แต่ถ้ามันเป็นเขี้ยวจระเข้จริงๆมันก็ต้องมีขนาดใหญ่มากใช่มั้ยครับดอกเตอร์ชมพู่” คราวนี้เลิศถามชมพู่บ้าง
“ก็ เป็นไปได้ค่ะ เพราะขนาดของเขี้ยวใหญ่มาก เป็นไปได้สูงทีเดียวที่ เจ้าตัวที่เป็นเจ้าของเขี้ยว จะมีขนาดใหญ่มากเหมือนกันค่ะ ดิฉันเองก็อยากเห็นเหมือนกันค่ะว่า จระเข้ใหญ่ขาดนี้มันจะน่ากลัวเหมือนในหนังรึเปล่า” ชมพู่ตอบเลิศพลาง ใช้กล้องส่องดูริมตลิ่งทั้งสองฝั่งคลองบางมุด
เสียง เรือยนต์ที่กำลังแล่นอยู่ตรงกลางลำคลอง บวกกับ เสียงชี้บอกทางของป้าหมวย ที่นำทางให้เลิศบังคับหางเสือไปถูกจุดมากขึ้น อาจจะทำให้ การพูดคุยกันบนเรือ ลำบากและฟังกันไมได้ศัพท์มากนัก
“ผู้ กองเลิศคะ ช่วงนี้แหละค่ะ ที่ตาช่อแกมาหาปลา” ป้าหมวย ชาวบ้านเก่าแก่ของริมคลองบางมุด ชี้นิ้วไปยังข้างหน้าที่ซึ่งสังเกตได้จาก กลุ่มต้นจากหนาทึบ ซึ่งขึ้นเพียงจุดเดียวของ ริมคลองบางมุด และขนาดของคลอง ที่อ้ากว้างออกจากกัน ซึ่งมันดูคล้ายกับ อ่าวอันกว้างใหญ่ ที่มีอยู่เพียงจุดเดียวของคลองบางมุด เลิศแตะเบรก ชะลอความเร็วของเรือให้คงที่
เรือ ยนต์สีขาวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ลอยอยู่กลางลำคลอง ชมพู่เดินไปยังท้ายเรือเพื่อสอดส่องบริเวณลำคลองจุดนี้ เธอสังเกตได้อย่างหนึ่งว่า น้ำบริเวณนี้ ดูนิ่งเงียบเชียบไม่เหมือนแถบอื่น ในขณะที่เลิศก็พยายามมองหาสิ่งผิดปกติ ที่อาจจะเป็นต้นตอที่ทำให้ ลุงช่อถูกฆ่าอย่างโหดร้าย
“ดอกเตอร์ครับ ... ผมไม่เห็นว่า จะมีจระเข้ยักษ์อย่างที่ดอกเตอร์คิดไว้เลยนะครับ” เลิศเอ่ยขึ้น
“เป็นเวิ้งน้ำใหญ่ บริเวณนี้น้ำนิ่งมาก จระเข้จะชอบอยู่ในบริเวณที่เป็นน้ำนิ่ง ไร้ซึ่งศัตรูรบกวน ดิฉินคิดว่า ไม่แน่ มันอาจจะกำลังเล็งพวกเราอยู่ก็ได้ค่ะ เพราะพวกเรา บุกรุกถิ่นมัน” ชมพู่ตอบเลิศ ในขณะที่เธอชะโงกหน้า ก้มลงไปมองผิวน้ำ ขณะที่ป้าหมวยแสดงอาการตื่นกลัวมากยิ่งขึ้น เมื่อแกมองไปรอบๆ
“ถ้า ป้าจำไม่ผิดนะ ตอนป้าเด็กๆ ป้าเคยวิ่งตามผู้ใหญ่ไปดูเขาล่าไอ้ด่างกัน รู้สึกจะเป็นแถวๆนี้แหละ แถวนี้เมื่อก่อน คนเฒ่าคนแก่เขาบอกว่า มันเป็นวังจระเข้เก่า และไอ้ด่างก็ถูกระเบิดจนตายที่นี่ นี่มันวังเก่าของไอ้ด่าง…”
ใน ตอนนั้นเอง ใต้ท้องเรือยนต์ วัตถุขนาดใหญ่สีดำทะมึน เคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบ มันมีขนาดใหญ่มหึมา ราวกับปีศาจร้าย ในพริบตานั้นเอง วัตถุไม่ทราบสัญชาตินั่น ก็พุ่งเข้าชนใต้ท้องเรือเข้าอย่างจัง !!
“ว้าย !!”
เสียง ร้องลั่นด้วยความตกใจของชมพู่ดังสนั่น เหล่าลูกเรือรีบหาที่จับ แต่ไม่ทันเวลาแล้ว เมื่อหัวเรือยนต์ยกตัวขึ้นสูง ราวกับมีอะไรบางอย่าง กำลังหนุนใต้ท้องเรือให้ยกขึ้นและในพริบตา เรือยนต์สีขาวของ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็หงายท้องพลิกคว่ำทันที กลุ่มผู้คนหา ตกลงไปในน้ำ และเมื่อลอยคอขึ้นมาพ้นผิวน้ำ พวกเขากำลังลอยคออยู่กลางลำคลอง
“ว่ายกลับ เข้าฝั่งเร็วครับ !!” หมวดสนตะโกนลั่น และในขณะที่พวกเขากำลังตะเกียกตะกายว่ายเข้าฝั่งนั้น วัตถุขนาดใหญ่ใต้น้ำ ก็ได้พุ่งเข้าหาร่างของวิชัยได้ความรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด
“อ๊าก !! ช่วยด้วย !!”
เมื่อ ชมพู่หันกลับมา ก็พบว่าร่างของผู้ช่วยเธอ กำลังทำท่าตะเกียกตะกายเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ ราวกับมีอะไรบางอย่าง กำลังจะลากเขาให้ดำลงไปใต้ผิวน้ำ รอบตัวเขา ปรากฏเป็นกลุ่มเลือดกลุ่มใหญ่ผุดขึ้นมา
“วิชัย !?” ดอกเตอร์ สาวสวยพยายามจะว่ายน้ำเข้าไปช่วย แต่ผู้กองเลิศ ก็ได้ใช้มือคว้าแขนเธอไว้ ก่อนจะพยายามว่ายลากพาตัวเธอเข้าหาฝั่งด้วยความรีบร้อน พวกป้าหมวย หมวดสน และ ง้วน ต่างตะเกียกตะกายว่ายพาตัวเข้าฝั่ง และรีบวิ่งขึ้นไปบนตลิ่งกันด้วยความโกลาหล
“ไป เถอะครับดอกเตอร์ เขาตายแล้ว เขาตายแล้ว!!” เลิศดึงตัวชมพู่ให้ว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง ในขณะที่ร่างของวิชัย ก็ค่อยๆถูกวัตถุลึกลับใต้น้ำ ดึงหายลงไปใต้ลำคลองอันกว้างใหญ่นั่นเอง…
เมื่อ นักวิจัยจากเมืองกรุง และนายตำรวจประจำท้องที่ ว่ายขึ้นฝั่งได้สำเร็จ ทั้งสองทรุดฮวบด้วยความเหนื่อยหอบ หลังจากต้องว่ายน้ำจากกลางลำคลองเข้าริมฝั่งโดยที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวก่อน ชมพู่นั่งร้องไห้ด้วยความช็อกที่ เธอต้องมาสูญเสียทีมงานของเธอไปหนึ่งชีวิตโดยที่เธอคาดไม่ถึง และสุดท้ายก็ไม่รู้ว่า สิ่งที่ฆ่าลูกน้องเธอไปนั้นคือตัวอะไรกันแน่
“ใจ เย็นๆครับดอกเตอร์ มันเป็นอุบัติเหตุ” เลิศพยายามปลอบใจชมพู่ ในขณะที่คนอื่นๆต่างเข้ามาช่วยประคองให้ชมพู่อยู่ในท่านั่งที่สบายขึ้น
“แต่ดิฉันเสียผู้ช่วยไปนะคะผู้กอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวอะไรที่มันฆ่าเขา” ชมพู่ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เลิศ พยุงตัวขึ้น และมองลงไปยังเรือที่พลิกคว่ำหงายท้องอยู่กลางลำคลอง เลิศตัดสินใจที่จะเรียก ตำรวจนายอื่นให้รีบมานำตัวชมพู่และพวกป้าหมวย ไปตรวจยัง อนามัยใกล้หมู่บ้าน และรายงานถึงความเสียหายของตัวเรือที่พบเจอกับอะไรบางอย่างที่หนุนเรือจน คว่ำในวันนี้ รวมทั้ง รายงานถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้อีกหนึ่งคน
......................................
ห้าวันถัดมา
ค่ายพระมหาเจษฏาราชเจ้า เป็นที่ตั้งของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน พื้นที่แห่งนี้ จะเรียกได้ว่าเป็นอาณาจักรของทหารเรือก็ว่าได้ จะเป็นทหารในชุดกากี ชุดขาว แต่พระเอกของหน่วยงานแถบนี้ ก็ต้องเป็นเหล่านาวิกโยธินที่ได้ชื่อว่าเป็นหน่วยรบระดับหัวกะทิของกองทัพเรือไทยแน่นอน ที่ซึ่งมีหน้าที่ในการรบนอกเหนือจากในน่านน้ำชายฝั่ง เหล่านาวิกโยธินได้รับการฝึกให้มีความคล่องตัวในการปฏิบัติภารกิจ ทั้งบนบกและในน้ำ ทำให้ความสามารถของพวกเขาอยู่ในระดับคู่คี่กับเหล่าทหารราบของกองทัพบกกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นภารกิจเสี่ยงตายในทะเล หรือบนบก พวกเขาก็สามารถปฏิบัติการได้อย่างเฉียบขาด
ด้านหน้า อาคารกองพันทหารราบที่ 1 ทหารในชุดพรางนายหนึ่ง วิ่งสุดฝีเท้าเข้าไปในอาคารไม้ชั้นเดียวและวิ่งเข้าไปยังห้องด้านในซ้ายมือสุด
“ก๊อก ก๊อก”
เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องทำงานของผู้กองหนุ่ม ดังขึ้น ไกรเงยหน้าขึ้นจากงานเอกสาร และตอบรับเสียงเคาะประตู
“เข้ามาได้ครับ”
เมื่อ ประตูทางเข้าห้องเปิดออก ร่างของนายทหารหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มีผิวคล้ำ แต่หน้าตาคมเข้ม ไว้ผมสั้นเกรียน เดินเข้ามาพร้อมทำความเคารพไกร ในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ไกรพยักหน้ารับการทำความเคารพของลูกน้องก่อนจะถามถึงสาเหตุที่เขาวิ่งหน้าตาตื่นมาแบบนี้
“ว่าไงจ่าสิงห์ หน้าตาตื่นมาเชียว มีอะไรล่ะ” ไกรเอ่ยทักทาย จ่าเอกสิงห์ ลูกน้องคนสนิท ที่ซึ่งสังกัดกองพันทหารราบที่ 1 เช่นเดียวกับเขา
“หัวหน้าไกรครับ ท่านผู้บัญชาการมีคำสั่งให้หัวหน้าเข้าพบด่วนครับ ตอนนี้เลย” ลูกน้องผิวคล้ำรายงานคำสั่ง
“ตอนนี้เลยเหรอ ทำไมล่ะ ? “
“ผมเองก็ไม่ทราบครับ ยังไงหัวหน้ารีบไปตอนนี้เลยละกันครับ”
ไกร รีบเปลี่ยนเครื่องแบบจากชุดพรางเป็นชุดสีกากี ตามปกติ เขารีบเดินเท้าไปยังอาคารหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เพื่อเข้าพบกับผู้บังคับบัญชาใหญ่ของเขา ไกรหยุดทักทายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เดินผ่านเขา หรือไม่ก็รับการทำความเคารพจากนายทหารชั้นผู้น้อย ตลอดทางจนกระทั่งถึงห้องประจำตำแหน่งของ ‘พลเรือโทหทัยรัตน์’ ผู้บัญชาการหน่วยนาวิกโยธิน
“ก๊อก ก๊อก”
“เข้ามาได้” เสียงอันเปี่ยมไปด้วยพลังจากบุคคลที่อยู่ภายในดังออกมานอกห้อง
ไกร เดินเข้าไปและทำวันทยหัตถ์ ให้กับ พลเรือโทหทัยรัตน์ เพื่อเป็นการทำความเคารพผู้บังคับบัญชา
พลเรือโทหทัยรัตน์ นายทหารสัญญาบัตรชั้นนายพล จบจากโรงเรียนนายเรือเช่นเดียวกับไกร เมื่อครั้งยังหนุ่มแน่น หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ เขาก็ได้เข้าสมัครฝึกนาวิกโยธินเช่นเดียวกันกับไกร ได้รับความนับหน้าถือตาจากเพื่อนพ้องร่วมรุ่น อีกทั้งยังมีเกียรติประวัติในการบุกเข้ายึดเรือประมงขนของผิดกฎหมายในน่านน้ำอ่าวไทยมาแล้วหลายครั้ง เขาเป็นคนรูปร่างอ้วนท้วม ผิวขาว แต่ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ และให้ความสำคัญกับงานและลูกน้องเป็นอย่างยิ่ง
“ผมรอคุณอยู่พอดี ผู้กองไกร นั่งก่อนสิ ผมมีเรื่องอยากปรึกษาคุณหน่อย” นายพลวัยใกล้เกษียณ พูดกับไกรด้วยความเป็นกันเอง โดยไกรได้เลื่อนเก้าอี้ไม้หน้าโต๊ะทำงานของหทัยรัตน์ออกก่อนจะนั่งลงอย่าง เรียบร้อย
“ที่ ผมเรียกตัวคุณมาพบวันนี้ ไม่ได้มีเรื่องจะต่อว่าอะไรคุณหรอก เข้าเรื่องเลยดีกว่า ผมได้รับเรื่องขอความร่วมมือมาจากทาง สถานีตำรวจภูธรหลังสวน เขาอยากให้คุณ นำกำลังกองพันทหารราบที่หนึ่ง หน่วยของคุณลงพื้นที่เพื่อประสานงานกับตำรวจท้องที่นั้น ค้นหา ฆาตกร ที่คาดว่าน่าจะกบดานอยู่แถวๆใกล้คลองบางมุด” นายพลร่างท้วมเริ่มเปิดปากบอกถึงภารกิจใหม่ที่จะมอบหมายให้ไกรไปทำหน้าที่
“ผมทราบข่าวแล้วครับ แต่ ทำไมต้องให้หน่วยนาวิกโยธินลงไปทำหน้าที่ด้วยล่ะครับ ดูมันไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับงานที่พวกผมทำเลย” ไกรถามกลับ
“เพราะ หลายฝ่ายคาดเดาว่า ฆาตกรรายนี้ อาจจะไม่ใช่คน ทางการฝ่ายนั้นเขาขอร้องมาเลยนะว่า อยากให้คุณลงไปปฏิบัติภารกิจ เพราะคุณเป็นคนพื้นที่นั้นตั้งแต่เกิด” นายพลหทัยรัตน์ว่าต่อ
“ใครเหรอครับที่ขอร้องให้ผมไปช่วยงานคราวนี้ ?” ไกรถามอีก
“ร้อยตำรวจเอกเลิศชาย รองสารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจภูธรหลังสวน”
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็เพื่อนเก่าผม เพื่อนสมัยเด็กที่เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกับผมนี่เอง”
“เขา ต้องการให้ผู้กองนำทีมนาวิกโยธินภายใต้การควบคุมของผู้กองเอง ลงไปที่นั่นนะ ทางชาวบ้านเขาพร้อมให้ความร่วมมือในการจัดหาที่พักให้ทีมของคุณเรียบร้อยแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ ผมอยากให้คุณดูนี่ก่อน” หทัยรัตน์ ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลซองหนึ่งให้กับไกร และให้เขาลองเปิดดู เมื่อไกรเปิดดู ในนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่ง พร้อมทั้งรูปถ่ายสองสามแผ่นที่ใส่มาในนั้นด้วย เมื่อไกร หยิบเอามาดูดีๆ ก็พบว่า มันคือภาพถ่ายของ อวัยวะแขนขวาของบุคคลปริศนาที่พึ่งออกข่าวนั่นเอง แต่เมื่อไกรดูรูปอีกสองแผ่นที่เหลือ ภาพในรูปถ่ายนั้น มีลักษณะเป็นเหมือนกับ อะไรบางอย่างสีขาว มีปลายแหลมคม คล้ายกับ เขี้ยวของอะไรบางอย่าง
“เห็น แล้วใช่ไหมผู้กอง เขี้ยวปริศนานี้ มันติดมากับซากแขนคน” หทัยรัตน์ว่าต่อ และเมื่อไกร พลิกอ่านกระดาษที่เขียนรายละเอียดต่างๆไว้ ก็พบว่า ผลการชันสูตร และตรวจ DNA นั้น พบว่า เจ้าของแขนนี้ก็คือ นายช่อ ผู้หายตัวไปอย่างลึกลับนั่นเอง
“แขนของลุงช่อ … แล้วอะไรล่ะครับที่มันทำร้ายลุงช่อขนาดนี้ ตัวเงินตัวทองเหรอครับ”
“ถามไม่คิดเลยนะผู้กอง อ่านให้มันจบก่อนสิ”
เมื่อ ไกรอ่านรายละเอียดของภาพ ที่เขียนอยู่ในย่อหน้าต่อไปของกระดาษ เขาก็พบว่า จากการตรวจสอบสภาพของวัตถุลักษณะคล้ายเขี้ยว ทางกรมประมงได้ยืนยันแล้วว่า เขี้ยวดังกล่าว เป็นเขี้ยวของสัตว์เลื้อยคลานอย่างจระเข้ !!
“จระเข้ งั้นเหรอ จระเข้อะไรจะมีเขี้ยวใหญ่โตขนาดนี้ คุณยายของผมเคยเล่าเรื่องของไอ้ด่างให้ฟัง แต่ผมคิดว่า เขี้ยวนี่มันใหญ่กว่าของไอ้ด่างมากนะครับ” ไกรตะลึงกับข้อมูลที่สรุปมา หทัยรัตน์จึงพูดกับไกรต่อว่า
“ผู้ กอง เราเองก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อเท่าไหร่นะว่า สิ่งที่ทำร้ายนายช่อ จะเป็นจระเข้จริงๆ แต่ทางกรมประมง เขายืนยันมาเอง และคนที่ยืนยันข้อมูลมาให้นี่ก็เป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลาน เก่งเป็นอันดับต้นๆของเมืองไทยเลยนะ แล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้ ทีมงานที่กรมประมงส่งไป พร้อมกับผู้กองเลิศ กับผู้หมวดสน แล้วก็ชาวบ้านสองคน เจออะไรบางอย่างหนุนเรือจนคว่ำ แล้วเจ้าหน้าที่ที่มากับกรมประมง ก็ถูกอะไรบางอย่างที่คาดว่า อาจจะเป็นจระเข้ ลากไปกินใต้น้ำ”
“ดอกเตอร์สาวสวยชื่อชมพู่…” เมื่อไกรเอ่ยถึงชื่อนี้ หทัยรัตน์ก็ต้องแปลกใจ เขาสงสัยทันทีว่าผู้กองหนุ่มนายนี้ รู้จักชมพู่ได้อย่างไร “รู้ได้ไงว่าคือดอกเตอร์ชมพู่”
“ผม เคยเจอเธอที่ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการครับ เธอดูชอบจระเข้เอามากๆ แล้วยังไงต่อล่ะครับท่าน ผมเองก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตานะครับ เกิดมาที่นั่น กระโดดลงไปเล่นน้ำในคลอง ก็แทบทุกวัน แต่กลับไปเคยเจอไอ้เข้ซักตัว มันยังไงๆอยู่นะครับงานนี้” ไกรเก็บเอกสารและรูปถ่ายไว้ในซองตามเดิม และยื่นคืนให้กับหทัยรัตน์
“เพราะ แบบนี้ไง ทางนู้นถึงขอให้ดอกเตอร์ชมพู่ เดินทางล่วงหน้าไปยังคลองบางมุดก่อนแล้ว แถมเจอสัตว์ร้ายตัวนั้นเข้าให้แล้ว แถมมันกินลูกน้องเธอไปแล้วคนหนึ่ง ป่านนี้ เธอกับทีมงานคงกำลังออกตรวจพื้นที่อยู่นั่นแหละ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยทั้งของชาวบ้าน และทีมงานของดอกเตอร์ ผมอยากขอความร่วมมือ ก็เชิงขอร้องล่ะนะ ผู้กองไกร ช่วยลงไปที่คลองบางมุดพร้อมลูกทีมของคุณ ร่วมมือกับทางตำรวจที่นั่น และ ดอกเตอร์ชมพู่ สืบหาตัวสัตว์ร้ายที่ล่าชีวิตผู้คนที่นั่นทีเถอะ ก่อนที่ลำคลองแบบนั้น จะกลายเป็นลำคลองสีเลือดเหมือนครั้งในอดีต ถือซะว่า คนบ้านบางมุดเหมือนกันขอร้องนะ”
ไกร นั่งนิ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด เขาทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโตเป็นหนุ่ม และในที่สุด ไกรก็เงยหน้ามองผู้บังคับบัญชาและตอบกลับเขาว่า
“ท่านระบุวันให้เดินทาง พร้อมเซ็นรับรองให้ผมด้วยนะครับ ผมพร้อมจะลุยเสมอ!!”
ความคิดเห็น