คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4
ตอนที่ 4
อากาศในกรุงเทพมหานคร ช่างแตกต่างกับอากาศตามชนบทจริงๆ แม้แต่การจราจรในช่วงวันหยุด ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ที่ซึ่งวันหยุดก็ต้องการที่จะพักผ่อน หรือ ออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ กรุงเทพเปรียบเสมือนจุดศูนย์กลาง จะออกเหนือใต้อีสาน ก็ไปได้หมด ผู้ใหญ่เดินจูงมือลูกเล็กเด็กแดง กันเกลื่อนถนน เพื่อจะพาพวกเขาไปเที่ยวยังที่ต่างๆ วันเสาร์เปรียบเสมือนวันพบเจอครอบครัวอย่างแท้จริง และถ้าจะให้พูดถึงการเดินทางตามท้องถนน วันเสาร์ก็ไม่ต่างอะไรกับวันธรรมดา จันทร์ถึงศุกร์ ที่ท้องถนนต้องเต็มไปด้วยรถ
รถยนต์ Toyota Altis สีบรอนซ์ ป้ายทะเบียนกรุงเทพทหานคร วิ่งออกจากชานเมืองกรุงเทพ ออกสู่เส้นปากน้ำ ผ่านทั้งโรงเรียนนายเรือ และสถานที่ต่างๆที่จะเข้าไปถึงยัง ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ฟาร์มจระเข้ที่ได้รับการจดบันทึกว่า ใหญ่ทั้งตัวฟาร์มและตัวจระเข้เอง ฟาร์มจระเข้แห่งนี้เป็นฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์ร่วมรุ่นไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้ง ที่นี่ยังได้เพาะพันธุ์ และเลี้ยงจระเข้ยักษ์ที่ว่ากันว่า ใหญ่ที่สุดในโลกไว้อีกด้วย รถยนต์สีบรอนซ์คันงาม ถอยหลังเข้าสู่โรงจอดซึ่งเป็น โครงเหล็กยกสูง มีหลังคาพาดยาว
ประตูรถฝั่งคนขับเปิดออก ขาที่สวมกางเกงขาเดฟสีดำก้าวออกมาพ้นตัวรถ ร่างอันอรชรของหญิงสาว หลุดออกจากห้องคนขับ เธอเป็นผู้หญิงรูปร่างเพรียว สวมเสื้อยืดสีชมพู มีเสื้อยีนส์สีน้ำเงินสวมทับอีกชั้นหนึ่ง เธอเกล้าผมเป็นมวย มีผิวพรรณที่ขาวผ่องเป็นประกาย จมูกโด่ง ปากนิดจมูกหน่อย พร้อมทั้งดวงตากลมโต ผู้คนที่มีโอกาสได้มองดูเธอ ต่างก็ต้องชมกันเป็นคำพูดเดียวกัน “ลูกใครหนอ...ช่างงามเสียจริงๆ”
“อาจารย์ชมพู่ แหม…เดินทางมาเหนื่อยมั้ยครับ” ชายหนุ่มรูปร่างท้วม หัวล้าน ผู้หนึ่ง ซึ่งสวมเสื้อสูทสีดำ พร้อมทั้งคนติดตามรีบวิ่งเข้ามาที่รถยนต์คันงามของหญิงสาว พร้อมเอ่ยทักทายเธอด้วยความสนิทชิดเชื้อ
“ไม่หรอกค่ะ พอดีวันนี้เป็นวันกำหนดปฏิบัติงานพอดี ดิฉันพร้อมเสมอแหละค่ะ ที่จะมาดูความเรียบร้อยของทุกๆตัวในที่นี้” หญิงสาวตอบพร้อมยิ้มโชว์ลักยิ้มเก๋ ที่บุ๋มอยู่แก้มทั้งสองข้างของเธอ
“เจอกันทีไรอาจารย์ก็ยังสวยเหมือนเดิมนะครับ แหม…นี่ถ้าผมอายุถอยหลังไปซัก สิบ ยี่สิบปี ผมจะยกขันหมากไปสู่ขออาจารย์เลยนะนี่”
“ฮิๆ ไม่กลัวภรรยาเอ็ดเอาเหรอคะ คุณทอง”
ชายหนุ่มร้างใหญ่อมยิ้ม แต่ก็ยังแสดงท่าทีวิตก เมื่อหญิงสาวเอ่ยถึงภรรยาของเขา ‘นายทอง’ เป็น 1 ในหุ้นส่วนใหญ่ของ ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการแห่งนี้ โดยเขาได้รับความไว้วางใจจากบอร์ดบริหาร ให้ลงออกตรวจตราความเรียบร้อยตลอดทั้งฟาร์ม รวมทั้ง ตรวจหาว่ามีสัตว์ในเขตพื้นที่ฟาร์มตัวไหน ที่มีปัญหาด้านสุขภาพหรือไม่ ซึ่งความที่เขาเป็นคนอัธยาศัยดี และมักออกงานสำคัญๆ ที่เกี่ยวกับระบบนิเวศ หรือเกี่ยวกับชีวิตสัตว์ อย่างงานประมงน้อมเกล้าฯ จึงทำให้เขา ได้รู้จักกับ ‘ดร.ชมพู่’
ดร.ชมพู่ สาวสวยหน้าตาดี วัยเพียง 32 ปี เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำ และสัตว์เลื้อยคลานจาก กรมประมงที่รับผิดชอบออกตรวจ และวิจัยลักษณะทางนิสัย และ ด้านกายภาพของสัตว์เลื้อยคลานอย่างจระเข้ ชมพู่เกิดในตระกูลที่เป็นนักวิจัย ซึ่งแน่นอน ทั้งพ่อแม่ของเธอ ต่างเคยสังกัดอยู่ในกรมประมงก่อนจะเกษียณอายุไป เธอเรียนจบระดับปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยของรัฐบาล ด้วยผลการเรียนระดับ เกียรตินิยมอันดับ 1 สาขา การประมง ด้วย บุคลิกลุยๆของเธอ ทำให้เธอรักที่จะออกพื้นที่ภาคสนาม มากกว่าจะนั่งอยู่ในห้องเพื่อพิมพ์เอกสารรายงานต่างๆ ที่สำคัญ เธอชอบจระเข้ !!
ตั้งแต่ยังจำความได้ ชมพู่มักจะชอบออกเที่ยวตามสวนสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ่อเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานอย่างจระเข้ สามารถทำให้เธอยืนจ้องมองพวกมันได้เป็นวัน แม้แต่ชีวิตในวันหยุดของเธอ ก็ไม่วายที่จะหยิบเอาแผ่นดีวีดีภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับจระเข้ยักษ์กินคน ออกมาดู หรือไม่ลังเลใจที่จะควักเงินจากกระเป๋าเธอ ตีตั๋วเข้าชมภาพยนตร์ใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับจระเข้กินคนโดยเฉพาะ
ภายในพื้นที่ของฟาร์มจระเข้แห่งนี้ รวมสายพันธุ์จระเข้ไว้หลากหลายชนิด หลายสายพันธุ์ ทั้งพันธุ์น้ำจืดและน้ำเค็ม ตั้งแต่ขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ ซึ่งรอบพื้นที่ฟาร์ม จะมีบ่อเพาะเลี้ยงอยู่รอบๆ ทั้งอยู่ในโซนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และไม่เปิดให้เข้าชม แต่ไม่มีเพียงแค่จระเข้ แต่ยังมีสัตว์ชนิดอื่นให้ชมอีกด้วย ทอง พร้อมทั้งผู้ติดตามและ ดร.สาวสวย กำลังเดินอยู่บนทางเท้าที่ซึ่ง ฝั่งขวาเป็นทั้งร้านขายของที่ระลึก ส่วนทางซ้าย เป็นทางทะลุไปยังจุดชมสัตว์ต่างๆ
“เจ้าใหญ่ เป็นไงบ้างคะคุณทอง”
“สุขสบายดีครับ ตอนนี้เราให้เจ้าหน้าที่ ใช้ยาสลบทำให้มันหลับไปแล้วครับผม ป่านนี้ เจ้าหน้าที่น่าจะกัน จระเข้ตัวอื่น ออกนอกพื้นที่วิจัยของอาจารย์แล้วล่ะครับ”
ทองนำชมพู่ เดินตรงไปยัง บ่อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ซึ่งในบ่อนี้ ส่วนมากจะมีแต่จระเข้ที่มีขนานลำตัวตั้งแต่ 4-5 เมตรขึ้นไป ไม่จำกัดเพศ อายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป ในบ่อเพาะพันธุ์บ่อนี้ มีลักษณะเป็นทางเดินไม้สีแดง ทอดยาวไปกลางบ่อเลี้ยง ตรงกลางบ่อ มีศาลาใหญ่ไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวนั่งพักผ่อน ซึ่งวันนี้ ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมซักเท่าไหร่
หุ้นส่วนร่างท้วม พาชมพู่ไปยังหลังกำแพงบ่อเพาะพันธุ์ เพื่อเข้าประตูลับที่ไว้ให้เพื่อ เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจตราความเรียบร้อยของจระเข้ในบ่อ ในนั้น เจ้าหน้าที่ในชุดปฏิบัติงาน กว่า 10 นาย พร้อมทั้งอาวุธปืน และท่อนไม้ยาวกำลังรอการมาของ ชมพู่อยู่
ลักษณะของพื้นที่ริมบ่อภายใต้ทางเดินไม้ มีลักษณะเป็นพื้นปูนขาว มีจระเข้น้อยใหญ่มากมาย ที่นอนอ้าปากหวออยู่กันอย่างแน่นขนัด แต่ส่วนใหญ่ กำลังถูกเจ้าหน้าที่ กันออกจากบริเวณทำการวิจัย โดยไว้เพียงเจ้ายักษ์ใหญ่ที่นอนสงบนิ่งหลังจากโดนยาสลบเข้าไปเพียงแค่หนึ่งตัวเท่านั้น
“สวัสดีครับ ดอกเตอร์ชมพู่” หัวหน้าทีมชุดปฏิบัติการเข้ามาทำความเคารพชมพู่ด้วยความคุ้นเคย
“ค่ะ เป็นไงบ้างคะวันนี้ เหนื่อยกันแต่เช้าเลยใช่มั้ยคะนี่”
“ครับผม ยังไงด็อกเตอร์ช่วยจัดการต่อด้วยนะครับ ผมจะคอยกันจระเข้ตัวอื่นออกไปให้ห่างจากตรงนี้เอง เจ้าใหญ่ ผมใช้ยาสลบที่ผสมลงไปในเนื้อไก่สดให้มันไปครับ”
“ดีแล้วค่ะ พยายามอย่าใช้ปืนยาสลบเลยค่ะ มันจะทำให้ผิวหนังของพวกเขาเป็นรอยแผลเป็นมากขึ้น”
ชมพู่เดินตรงไปพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่คุ้มกัน ไปยังเจ้าของร่างใหญ่ที่นอนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้า มันเป็นร่างอันใหญ่โตมหึมาของ จระเข้ใหญ่ที่มีชื่อเรียกคุ้นหูของนักท่องเที่ยวว่า ‘เจ้าใหญ่’ มันเป็นจระเข้สายพันธุ์ผสม ระหว่างน้ำจืดและน้ำเค็ม ที่ได้รับการบันทึกเป็นสถิติโลกว่า เป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ชมพู่ดึงสายวัด โดยให้เจ้าหน้าที่ช่วยดึงส่วนปลายอีกด้านหนึ่ง ไปวัดจากส่วนหัว โดยเริ่มจากที่ปลายของปากของเจ้าใหญ่ ส่วนชมพู่ ดึงสายวัดส่วนที่เหลือให้ตึง และดึงไปให้ถึง ปลายหาง
“อื้ม…ตัวใหญ่ขึ้นนะนี่ สองสามเดือนก่อนยังยาวแค่ หกเมตรกับอีก เจ็ดสิบเซ็นเอง ตอนนี้ยาวเกือบๆ เจ็ดเมตรได้แล้วนะคะ ถือว่า มันโตขึ้น สำหรับจระเข้อายุเกือบๆสี่สิบปีอย่างเจ้าใหญ่”
“อย่างนี้ มันก็ไม่มีจระเข้ตัวไหนในโลก จะมาใหญ่สู้กับไอ้ใหญ่ของเราแล้วสินะครับ ด็อกเตอร์”
“ก็ไม่แน่ค่ะคุณทอง ในโลกนี้ยังมีแหล่งน้ำธรรมชาติอีกมากมายที่ยังไม่เคยได้รับการสำรวจ อาจจะมีจระเข้ใหญ่กว่าเจ้าใหญ่ ซ่อนตัวอยู่ในนั้นก็ได้ กุสตาฟที่บุรันดี้ก็ใหญ่ไม่ใช่เล่น คิดว่าน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับเจ้าใหญ่ได้สบายๆเลยล่ะค่ะ”
เจ้าหน้าที่นายอื่น พยายามใช้ไม้ยาวตีน้ำกระจายเพื่อไม่ให้จระเข้ตัวอื่น เข้ามาใกล้บริเวณวิจัย ชมพู่เริ่มต้นตรวจตราผิวหนังของเจ้าใหญ่ และกะขนาดน้ำหนักของเจ้าใหญ่ จากน้ำหนักเก่าที่เคยชั่งไว้ ซึ่งคำนวณรวมด้วย ปริมาณอาหารแต่ละมื้อที่เจ้าหน้าที่ให้เจ้าใหญ่ ก่อนที่จะขอไม้ขัดตัว เพื่อที่จะได้ทำความสะอาดล้างตะไคร่น้ำบนตัวเจ้าใหญ่ออก การปฏิบัติหน้าที่ของชมพู่ ไม่เพียงแต่ทำให้แค่เจ้าใหญ่เท่านั้น แต่ชมพู่ยังตรวจสอบคุณภาพของน้ำ และดูสภาพรวมๆของจระเข้ตัวอื่นๆในบ่ออีกด้วย
เมื่อเสร็จจากการตรวจตราบ่อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ชมพู่เอ่ยปาก ขอขึ้นไปเดินเที่ยวชมบน สะพานไม้ที่ทอดยาวไปยังกลางบ่อ โดยมีทองคอยเดินตามติด
“แหม เสียวจังนะคะ ถ้าเกิดตอไม้ทางเดินพังขึ้นมาจะทำยังไง”
“อาจารย์ก็พูดเป็นเล่น เราคำนวณมาอย่างดีครับผม ไม้ชนิดที่เรานำมาก่อสร้าง แข็งแรงเป็นพิเศษ พังยากครับ ผมรับรอง”
ชมพู่มองลงไปยังเบื้องล่าง เจ้าใหญ่ที่เริ่มรู้สึกตัว มันค่อยๆลืมตาก่อนจะคลานต้วมเตี้ยมลงไปในน้ำ ชมพู่หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาและซื้อเนื้อไก่สดสำหรับที่ให้นักท่องเที่ยวไว้ซื้อเพื่อโยนให้อาหารจระเข้ เธอใช้ถุงพลาสติกสวมที่มือและจับโครงไก่สด โยนลงไปในน้ำ และก็เป็นเจ้าราชันย์กุมภีล์ในบ่อนี้อย่างเจ้าใหญ่นี่เอง ที่ชูหัวขึ้นและอ้าปากงับโครงไก่ที่โยนลงมาจากข้างบนอย่างพอดิบพอดี
“แหม โยนแม่นจังนะครับ ปกตินักท่องเที่ยว แทบที่จะโยนให้เจ้าใหญ่แทบไมได้นะครับ มันไม่ค่อยขึ้นมาเหนือผิวน้ำเท่าไหร่ บางทีก็นอนหลับ”
“ดิฉันกับเจ้าใหญ่คุ้นเคยกันดีค่ะ เราเป็นพี่น้องกัน” ชมพู่พูดอำหุ้นส่วนร่างท้วมและยิ้มเล็กๆ
“เชื่อเลยล่ะครับ รู้ธรรมชาติของเจ้าพวกนี้ซะขนาดนี้ ถ้าผมรู้ว่าอาจารย์ชอบจระเข้ขนาดนี้ ผมชักอยากจะมาเกิดเป็นจระเข้ในบ่อนี้ ให้อาจารย์รักเอ็นดูผมแล้วล่ะครับ”
“ระวังภรรยาคุณมาเกิดเป็นไกรทอง เอาหอกไล่แทงคุณนะคะ”
“อย่าจี้จุดสิครับอาจารย์ แหม… แซวนิดแซวหน่อยก็ไม่ได้”
ชมพู่เดินสะพายกระเป๋าย่ามใบเก๋ของเธอ เดินไปตามทางเดิน ที่ซึ่ง เริ่มมีนักท่องเที่ยวมากันเยอะขึ้น แต่สายตาของชมพู่กลับไม่ได้มองไปยัง จระเข้ที่ลอยคออยู่ในน้ำด้านล่าง แต่เธอกลับมองไปยังเบื้องหน้า ไปยังคนๆหนึ่งที่ยืนเอาแขนพาดขอบราวสะพาน และมองลงไปยังผิวน้ำเบื้องล่างเหมือนมีความหลังฝังใจ
ชายหนุ่มรูปร่างสูง กำยำ ผิวขาวแต่หน้าตาดี เขาไว้ผมรองทรงสูง เขาใส่เสื้อกางเกงสีกากี สวมรองเท้าคัตชูที่ขัดจนมันวาว เมื่อดูจากบนหัวไหล่ ซึ่งประดับอินธนู ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นคนที่ทำงานในหน่วยงานราชการ
“เป็นอะไรเหรอครับอาจารย์” ทองเอ่ยถามเมื่อเห็นชมพู่ยืนจ้องมองชาหนุ่มผู้นั้นอยู่
“อ๋อ เปล่าค่ะคุณทอง พอดีดิฉันจำคนๆนั้นได้น่ะค่ะ ที่เขาใส่เครื่องแบบสีกากี เพราะทุกๆครั้งที่ดิฉันมาที่นี่ ดิฉันต้องเจอเขาเสมอ และต้องเป็นที่บ่อเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์แห่งนี้”
เมื่อทองมองไปที่ชายหนุ่มคนที่ชมพู่พูดถึง ทองก็พอจะเดาได้ว่า ชายหนุ่มคนนั้นทำงานด้านอะไร
“ดูจากเครื่องแบบแล้ว เป็นทหารเรือนี่ครับ แต่ผมก็รู้สึกคุ้นๆนะครับ เหมือนจะเจอเขาประจำ แต่ไม่เคยเข้าไปพูดคุยด้วยน่ะครับ”
หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ๆชายหนุ่มในเครื่องแบบสีกากี ก่อนจะกล่าวทักทายด้วยความเป็นกันเอง
“ขอโทษนะคะ ดิฉันเห็นคุณมาที่นี่ประจำเลย คุณชอบจระเข้เหรอคะ” ชมพู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันกลับมา
“…ครับ ผมชอบดูเจ้าพวกนี้ เจ้าพวกนี้ดูน่าเกรงขาม มันเต็มไปด้วยพละกำลัง แล้วพวกมันก็เปรียบได้เหมือนกับ เครื่องจักรสังหารในเวลาเดียวกัน ดูอย่างเจ้าสองตัวนั้นสิครับ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้ม พร้อมกับชี้นิ้วไปยัง ริมฝั่งที่ซึ่ง มีจระเข้ขนาดใหญ่ สองตัว กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด จนได้เลือดทั้งสองฝ่าย “มันจะกัดกันเองเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ มันจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บหรือตาย หรือแม้แต่ตอนที่มันจะแย่งอาหารกัน ผมรู้ว่า พวกมันสามารถกินกันเองได้ด้วยซ้ำ อย่างเจ้าสองตัวนั่น” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ชี้นิ้วไปยัง บนฝั่งที่อยู่ตรงมุมตรงสายตาของเขา ซึ่งเมื่อชมพู่มองตาม ก็เห็นจระเข้ขนาดใหญ่สองตัว กำลังเปิดฉากขบกัดกันเองอย่างดุเดือด และก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกมันถึงกัดกันเองแบบนั้น
“ไม่มีใครคาดเดาพวกมันได้หรอกครับว่าพวกมันต้องการอะไรกันแน่ พวกมันมีความสุขที่ได้ฆ่า ได้ต่อสู้ ได้ล่าเหยื่อ เมื่อสามสิ่งนี้รวมกัน ก็จะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่ธรรมชาติสร้างขึ้นอย่างพวกมัน”
ชายหนุ่มพูดต่อเช่นนั้น จากน้ำเสียง และคำพูดของชายหนุ่ม ทำให้ชมพู่ พอจะดูออกว่า ชายหนุ่มคนนี้ น่าจะคุ้นเคยกับธรรมชาติของจระเข้อย่างดี
“คุณดูรู้นิสัยของพวกมันดีนะคะ ดิฉัน ชื่อชมพู่ เป็นเจ้าหน้าที่วิจัยจากกรมประมง ทำงานเกี่ยวกับการวิจัยศึกษาด้านกายภาพและนิสัยของสัตว์เลื้อยคลานค่ะ” ชมพู่แนะนำตัว
ชายหนุ่ม หันกลับมา ทำให้ชมพู่ได้เห็น ตรายศและเครื่องหมายที่หน้าอก พร้อมทั้งป้ายชื่อสีดำ ที่ติดไว้บนหน้าอกด้านซ้ายมือของชายหนุ่ม
“ผม เรือเอกไกร เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ สังกัดหน่วยนาวิกโยธิน ของกองนาวิกโยธินสัตหีบครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวพร้อมทั้ง ก้มหัวโค้งทำความเคารพ ซึ่งเป็นการทำความเคารพของทหารเรือในยามที่หากไม่ได้สวมหมวกหม้อตาล
“เป็นนาวิกโยธินเหรอคะ ยอดไปเลยนะคะนี่ ว่าแต่ ทำไมถึงมาอยู่ที่สมุทรปราการได้ล่ะคะ มันไกลจากชลบุรีมากพอสมควรนะคะ”
“ผมเข้ามาประชุมที่ ป้อมพระจุลฯน่ะครับ ทุกครั้งที่ผมเสร็จจากการประชุมที่นี่ ผมจะต้องเข้ามาแวะเวียนดู เจ้าเพื่อนร่วมโลกน้อยใหญ่พวกนี้เสมอแหละครับ ดอกเตอร์ชมพู่”
“เหรอคะ ถ้าอย่างนั้น ดิฉันหวังว่า เราคงจะมีโอกาสได้พบกันอีกนะคะ ผู้กองไกรทอง เอ๊ย ผู้กองไกร” ชมพู่เอ่ยติดตลก
“จริงๆจะเรียกผมว่าไกรทอง ก็ได้นะครับ เพราะคุณยายของผม ท่านตั้งชื่อว่าไกร ก็เพราะว่าอยากให้ผมเก่งกล้าสามารถเหมือนไกรทองน่ะแหละครับ แต่คงไม่ได้จะไปสู้กับจระเข้ในตอนนี้หรอกนะครับ เพราะผมเองก็เป็นแค่ทหาร ไม่ได้มีวิชาอาคมอะไรเหมือนไกรทองตัวจริง” ไกรกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้ม แต่ติดตลก
“ค่ะ ยังไง ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ ผู้กองไกร แล้วเราคงได้พบกันอีก”
“เช่นกันครับผม”
ชมพู่เดินออกไปจาก สะพานพ่อเพาะพันธุ์พร้อมกับทอง โดยทิ้งให้ชายหนุ่มในเครื่องแบบมองตามสตรีผู้แสนงามผู้นี้จนลับสายตาไป และสำหรับผู้กองหนุ่มผู้นี้ คงคิดว่า หญิงสาวผู้ที่มีคำพูดชัดเจนฉะฉานแบบนี้ คงจะต้องให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์ร่วมรุ่นไดโนเสาร์แบบนี้ได้มากมายเลยทีเดียว และอาจจะให้ได้มากกว่าความรู้อีกด้วย
“เธอช่างงามจริงๆ”
เรือเอกไกร หรือในอดีตก็คือ ไกร เด็กน้อยหลานชายของยายกุล ชาวบ้านคลองบางมุด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพรนั่นเอง ไกรเติบโตขึ้นด้วยการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมของยายกุล จนกระทั่งเรียนจบการศึกษาชั้น มัธยมศึกษาตอนต้น ในเวลานั้น ไกรตัดสินใจที่จะเลือกสอบเข้า เพื่อศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหาร เพื่อหวังจะดำเนินรอยตาม พันเอกกริช ผู้เป็นตา
2 ปีในรั้วเตรียมทหาร หลังจากสำเร็จการศึกษา ไกรเลือกที่จะลงเหล่านักเรียนนายเรือ ซึ่งเป็นเหล่าที่เขาเลือกไว้แล้วในวันที่สมัครสอบเตรียมทหาร ซึ่งตากับยายก็ไม่ได้คัดค้านใดๆ ซึ่งหลังจากนั้นอีก 5 ปีต่อมา ไกรก็สำเร็จการศึกษาและได้เข้ารับกระบี่พระราชทานเพื่อประดับยศเป็นว่าที่เรือตรี ไกรสมัครเข้าฝึกภาคสนาม เพื่อเข้าสังกัดหน่วยนาวิกโยธิน หรือเรียกสั้นๆว่า นย. ก็ไม่ผิด และเมื่อสำเร็จหลักสูตร ไกรก็ได้ เข้ารับการบรรจุเข้าเป็น หน่วยนาวิกโยธิน และประจำการอยู่ที่ กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 กองพลนาวิกโยธิน สังกัดหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อำเภอสัตหีบ ไม่ไกลจากฐานทัพเรือสัตหีบมากนัก จากเด็กตัวเล็กๆ หุ่นจ้ำม่ำ บัดนี้ ได้กลายเป็น นายทหารระดับผู้นำของต้นสังกัดหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ กำยำ เต็มไปด้วยความสง่างาม
ทองก็ได้เชื้อเชิญให้ชมพู่ ไปรับประทานอาหาร ที่ร้านอาหารตามสั่งของฟาร์ม โดยที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ
“เชิญเลยนะครับอาจารย์ วันนี้ค่าอาหารสำหรับอาจารย์ ฟรีครับ ไม่ต้องจ่ายเลย”
“จะดีเหรอคะคุณทอง ถ้าดิฉันไม่ช่วยเรื่องค่าอาหาร แล้วจะมีเงินทุนที่ไหนไปซื้ออาหารให้จระเข้ในฟาร์มกันละคะ”
“ไม่เป็นไรครับ เราทำสัญญากับฟาร์มเลี้ยงไก่ที่หนึ่งไว้ ถ้ามีไก่ที่ตายในฟาร์มของเขา เขายินดีจะนำซากไก่พวกนั้น มาให้พวกเราไว้ใช้เป็นอาหารให้พวกจระเข้ครับผม แต่ตอนนี้ อาจารย์สั่งอาหารก่อนดีกว่าครับ จะทานอะไรดี เนื้อจระเข้เพื่อสุขภาพไหมครับ อร่อยมากนะครับ คุณค่าทางโภชนาการก็สูง อีกทั้ง…”
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันชอบจระเข้ก็จริง แต่ดิฉันไม่ชอบทานเนื้อจระเข้น่ะค่ะ” ชมพู่รีบพูดแทรก เพื่อเป็นการปฏิเสธเมนูอาหารแปลกๆที่ทองกำลังแนะนำ
เมนูอาหารที่ชมพู่สั่งนั้น เป็นข้าวผัดกุ้งที่ส่งกลิ่นหอมหวนชวนทาน ซึ่งพนักงานประจำร้านอาหาร ยกมาเสิร์ฟพร้อมกับน้ำอัดลมเย็นๆอีก 1 ขวด ก่อนที่จะยก แก้วใส่น้ำแข็งเปล่ามาอีก 2 แก้ว ตามด้วยผัดไทยกุ้งสดที่ซึ่งเป็นของทอง
“อาจารย์ดูท่าทางจะชอบจระเข้มากเลยนะครับ ทำไมถึงให้ความสนใจมาทำงานแบบนี้ล่ะครับ ทั้งๆที่สัตว์อย่างนี้มันอันตราย” ทองเอ่ยถาม
“ดิฉันรู้สึกว่าสัตว์พวกนี้มันดูน่าพิศวงนะคะ แถมดูน่าเกรงขามมากด้วย ทำไมมันถึงมีชีวิต และสืบเผ่าพันธุ์มาได้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆที่พวกมันก็อยู่ร่วมโลกมาพร้อมๆกับไดโนเสาร์ ในขณะที่ไดโนเสาร์กลับสูญพันธุ์ไปหมด มันไม่น่าเชื่อนะคะ แถมเวลาไหนที่โรงหนัง นำเข้าหนังที่เกี่ยวกับจระเข้นะ ดิฉันจะต้องรีบขับรถไปตรงหนังเพื่อขอซื้อตั๋วเข้าไปชมก่อนเพื่อนๆในที่ทำงานเลยแหละค่ะ”
“แหม…อย่างนี้คราวหน้า ผมคงต้องขอนัดอาจารย์ไปดูหนังด้วยกันซะแล้ว ถ้ามีหนังจระเข้เข้าฉาย” ทองพูดไปยิ้มไป
“คุณทองคะ…เมียมาค่ะ”
“แหมอาจารย์ก็พูดแซวกันอยู่เรื่อย ผมพูดเล่นน่ะครับ เอ่อ แล้วถ้าเป็นไปได้ อย่าพูดถึงเมียผมเลยครับ ผมกลัว”
ชมพู่ยิ้มที่ได้สนทนากับคนที่มีอารมณ์ขันอย่างทอง แต่ในเวลานั้นเอง ประตูกระจกของร้านอาหารก็ได้เปิดออก ร่างสูงใหญ่ของนายทหารเรือก้าวเข้ามา โดยเขาเดินเข้ามาสั่ง ข้าวผัดพริกแกงทะเลที่หน้าเคาน์เตอร์ ก่อนจะมองหาที่นั่ง
“ผู้กองไกรคะ” ชมพู่ โบกมือให้กับไกรที่เดินเข้ามาสั่งอาหาร
“ด็อกเตอร์ชมพู่” ไกรเห็นด็อกเตอร์สาวสวยที่เจอกันที่บ่อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กำลังโบกมือให้เขา
“นั่งที่นี่ก็ได้ค่ะ มานั่งทานข้าวด้วยกันสิคะ”
“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณกำลังนั่งกับแฟนคุณอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ นี่คือคุณทอง เป็นหุ้นส่วนของฟาร์มจระเข้แห่งนี้ค่ะ เขามีภรรยาแล้ว ไม่ต้องห่วงค่ะ”
“แหมอาจารย์ครับ ประกาศตำแหน่งกับสถานะผมซะอล่างฉ่างเลย แต่มาเถอะครับผู้กอง มานั่งทานข้าวด้วยกัน” ทองเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร ซึ่งคงยากแล้วที่ไกรจะปฏิเสธ เขาเดินอย่างสง่าผ่าเผย เข้ามาและอนุญาตนั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วย
“ไม่ต้องมากพิธีขนาดนี้ก็ได้ค่ะผู้กอง กันเองค่ะ ตามสบายเลย”
พนักงานเสิร์ฟ ยกอาหารที่ไกรสั่งมาเสิร์ฟ พร้อมแก้วใส่นมเย็นสีชมพูดูน่ากิน ไกรค่อยๆถือช้อนตักอาหารเข้าปากอย่างสุภาพเรียบร้อย ซึ่งแม้แต่ชมพู่มองดูมารยาทบนโต๊ะอาหารของไกรแล้ว เธอดูออกทันทีว่า เขาจะต้องผ่านการอบรมมารยาทมาอย่างดีแน่นอน ชมพู่เริ่มเอ่ยปากถามถึงที่มาของไกร และอะไรอีกหลายๆอย่าง
“เห็นมาบ่อยจัง ท่าทางผู้กองจะชอบพวกจระเข้พวกนี้มากนะคะ?”
“ที่ผมคุ้นเคยกับจระเข้ ก็เพราะ บ้านเกิดของผมที่ชุมพร เมื่อก่อนเป็นดงจระเข้ที่ชุกชุมที่หนึ่งของประเทศไทยแหละครับ บ้านของผม อยู่ริมคลองบางมุดที่เมื่อก่อน มีจระเข้ยักษ์กินคน อาละวาด ชื่อไอ้ด่าง” ไกรเริ่มเล่า
“จริงเหรอคะ แต่ดิฉันคิดว่า คุณคงไม่น่าจะเกิดทันเหตุการณ์ตอนไอ้ด่างอาละวาดนะคะ”
“คนที่เลี้ยงผมมา คุณยายผม ท่านเกิดทันและได้เห็นเหตุการณ์ในช่วงการล่าไอ้ด่าง ส่วนคุณตาของผม ท่านเป็นทหารหน่วยรบพิเศษที่ร่วมภารกิจล่าไอ้ด่างในสมัยนั้น ตั้งแต่เล็กมา คนเฒ่าคนแก่แถวนั้น มักจะขู่ให้เด็กๆแถวริมคลองกลัว และให้รีบกลับบ้าน อย่าเล่นซน อย่าดื้อ ไม่งั้นก็จะให้ไอ้ด่างมาคาบไปกิน เด็กแถวคลองบางมุด รู้จักไอ้ด่างกันทุกคนแหละครับ”
“แหม ดิฉันอยากไปที่นั่นจังเลย ไม่รู้ว่าสมัยนี้ ในประเทศไทยจะยังมีจระเข้ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติในห้วยหนองคลองบึงอีกรึเปล่านะคะ แต่เท่าที่ดิฉันเคยศึกษาดูเกี่ยวกับประวัติของคลองทางแถบภาคใต้ ช่วงหลังจากที่ล่าไอ้ด่างได้ เห็นบอกว่า เขาก็เริ่มกวาดล้างทั่วทุกแห่งจนล้างบางจระเข้ได้แทบทั้งพื้นที่เป็นพันๆตัวเลยนี่คะ”
“ครับ จระเข้ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ หายไปเกือบหมดแล้วล่ะครับ ถ้าเป็นในไทยเรา จะเป็นคลองบางมุดบ้านเกิดของผม หรือจะเป็นที่คลองอิปัน หรือจะที่ปากพนัง ล้วนแต่ถูกล่าไปหมดแล้ว พูดไปก็เสียดาย เพราะจระเข้ในเมืองไทยเราในอดีต ก็ขึ้นชื่อเรื่องขนาดความยาว ความดุร้าย ไม่แพ้ประเทศทางแอฟริกา หรือ ออสเตรเลีย แต่ถ้าคิดๆดูแล้ว หมดไปก็ดี ไม่งั้นป่านนี้ ผมคงไม่มานั่งคุยกับด็อกเตอร์ได้หรอกครับ เพราะคงโดนมันกินไปแล้ว สมัยเด็กๆ ผมชอบที่จะกระโดดเล่นน้ำในคลองซะด้วยสิ” ผู้กองหนุ่มยิ้มก่อนจะตักอาหารเข้าปาก ซึ่งชมพู่เองก็ยิ้มให้กับความอารมณ์ขันของไกรเช่นกัน
“ผู้กองครับ ผมขอถามอะไรนิดหน่อย” ทองเปิดปากถามบ้างหลังจากเงียบปล่อยให้ผู้กองหนุ่มกับดอกเตอร์สาวได้สนทนากัน
“เรื่องอะไรเหรอครับ?” ไกรหันหน้ามามองทอง
“ผู้กองพอจะรู้ขนาดที่แท้จริงของไอ้ด่างรึเปล่าครับ ผมอยากวัดแบบปอนด์ต่อปอนด์กับเจ้าใหญ่ของผมเลยว่า จะพอฟัดพอเหวี่ยงกันรึเปล่า”
ผู้กองหนุ่มตักข้าวผัดพริกแกงทะเลเข้าปากหนึ่งคำก่อนที่จะตอบคำถามของหุ้นส่วนร่างท้วมไปว่า
“ขนาดของไอ้ด่างที่วัดได้คือ สี่เมตรเศษ แน่นอนว่ามีขนาดลำตัวเล็กกว่าเจ้าใหญ่ที่อยู่ในบ่อที่นี่ แต่สิ่งที่ผมกล้ารับประกันก็คือ ความดุร้ายของไอ้ด่าง เจ้าใหญ่ไม่สามารถเทียบได้ ถึงแม้ว่าสองตัวนี้จะเป็นจระเข้พันธุ์ผสมระหว่างน้ำจืดกับน้ำเค็มเหมือนกัน”
“ทำไมล่ะครับผู้กอง?” ทองทำหน้าสงสัยอีก
“คุณลองคิดดูนะว่า เจ้าใหญ่เป็นจระเข้เลี้ยง อยู่ในบ่อที่คนเลี้ยงมาตลอดนับตั้งแต่วันที่มันออกจากไข่ ถ้าไม่มีคนให้อาหาร มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก แต่ไอ้ด่างมันเกิดตามธรรมชาติ หากินตามธรรมชาติของมัน สัญชาตญาณของสัตว์เดรัจฉานของมัน และความดุร้ายของมันย่อมมีมากกว่าไอ้ด่างแน่นอน” ไกรหยุดพูดก่อนจะตักอาหารเข้าปาก และเขาก็ได้พูดต่อว่า
“เจ้าใหญ่อาจจะใหญ่ที่สุดในโลกในบรรดาจระเข้ทุกสายพันธุ์ แต่เจ้าใหญ่ยังไม่อาจจะดุร้าย และโหดเหี้ยมที่สุดในโลกได้ หากว่าโลกนี้ยังมีตำนานของ ไอ้ด่างบางมุดอยู่…”
ด้วยประโยคนี้ทำให้ทองรู้สึกเสียหน้านิดๆที่จระเข้ในสังกัดของตัวเอง ดีกรีความดุร้ายยังสู้ตำนานเพชฌฆาตแห่งลำน้ำทางใต้อย่างไอ้ด่างไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็ทำได้แต่เพียงพยักหน้ารับความพ่ายแพ้เชิงชีววิทยาให้กับผู้กองหนุ่มหน้าใสคนนี้ไป และก่อนที่จะทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบ ทองจึงได้ถามคำถามหนึ่งว่า
“แล้วผู้กองเคยได้ยินข่าวเรื่องการจับจระเข้ยักษ์ที่อินเดียหรือฟิลิปปินส์ได้รึเปล่าครับ ผมขนาดความยาวกับความดุร้ายนี่ก็พอๆกับเจ้าใหญ่ของผมเลยนะ”
“ถ้าเป็นจระเข้ยักษ์ที่จับได้ที่อินเดีย ผมเคยอ่านในพวก Wikipedia แล้วก็ดูภาพตามอินเตอร์เน็ต รู้ว่ายาวประมาณเกือบยี่สิบห้าฟุต แต่ถ้าเป็นตัวที่จับได้ที่ฟิลิปปินส์ ผมมัวแต่ทำงาน งานยุ่งจนแทบไม่ได้ติดตามข่าวคราวเลย ดอกเตอร์พอทราบหรือไม่ครับ” ไกรหันมาถามชมพู่
“ตัวที่จับได้ที่ฟิลิปปินส์ เป็นพันธุ์น้ำเค็ม ยาวหกเมตรสิบเจ็ดเซนติเมตรค่ะ แต่บางข้อมูลก็บอกว่าเป็นพันธุ์อินโดแปซิฟิกที่ซึ่งสามารถว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรได้ เห็นชาวบ้านแถบนั้นบอกว่ากินคนไปแล้วหนึ่งคน เป็นชาวประมง ตอนนี้จับตัวได้แล้วกำลังเอาไปไว้ที่อุทยานแห่งชาติ”
ไกรพยักหน้าให้กับความรู้ที่ชมพู่ตอบกลับมา แม้แต่ทองเองก็ยังรู้สึกทึ่งกับการเก็บข้อมูลที่แม่นยำของชมพู่ ชมพู่เปิดกระเป๋าและหยิบไอแพดของเธอขึ้นมา เธอเปิดภาพที่เธอเซฟจากอินเตอร์เน็ต ซึ่งภาพที่เธอเปิดนั้นเป็นภาพของจระเข้ยักษ์ที่ชาวบ้านจับได้ที่ฟิลิปปินส์ ร่างของจระเข้ตัวนี้ถูกวางไว้บนรถลาก ซึ่งดูจากขนาดลำตัวจากหางถึงปลายปาก ก็นับได้ว่าใหญ่โตจริงๆ อีกทั้งเกล็ดตามลำตัวยังเงางามไร้ซึ่งริ้วรอยขีดข่วน สมกับฉายาพญาจระเข้ ชมพู่ให้ทองได้ดูภาพนั้นก่อนที่เธอจะยื่นไอแพดที่เปิดภาพจระเข้ยักษ์ให้ไกรได้ดูบ้าง
ไกรชื่นชมภาพนั้น แต่ในใจเขาก็ยังรู้สึกอยู่เสมอว่า ต่อให้มีจระเข้ยักษ์เกิดขึ้นมากมายในโลก ต่อให้ฆ่าคนไปกี่คน ก็ไม่มีตัวไหนร้ายกาจพอที่จะเป็นตำนานได้อย่างไอ้ด่างบางมุดที่เขารู้จักไปอีกแล้ว
“แล้วผู้กองคิดว่า ในคลองบางมุด จะยังมีจระเข้หลงเหลืออยู่สักตัวไหมคะ?” คราวนี้ชมพู่เป็นฝ่ายถามบ้าง
“ผมเองสามารถตอบในเวลานี้ได้เลยว่า ไม่มีแน่นอน เพราะถ้ามี มันก็คงงาบผมไปแล้ว” ไกรตอบด้วยความมั่นใจก่อนจะตักข้าวใส่ปากอีกหนึ่งคำ
“และที่สำคัญคือ ยุคสมัยนี้ คนก็อยู่กันพลุกพล่าน ถ้ามีจระเข้อยู่ในคลองสักตัว ชาวบ้านก็คงเอาปืนสอยแล้วเอาไปแล่ทำหนังจระเข้ขายแล้วล่ะครับ”
ไกรยกนาฬิกาที่ข้อมือซ้ายขึ้นมาดู เวลาในตอนนี้คือเกือบบ่ายโมงครึ่งแล้ว ไกรจึงรีบทานอาหารให้หมดก่อนจะเรียกเด็กในห้องอาหารมาเก็บค่าอาหาร แม้ทองจะพูดว่าไม่เป็นไร ไม่คิดเงิน แต่ไกรก็ยืนยันว่าจะช่วยจ่ายเงิน เพราะค่าอาหารที่เขาจ่ายนั้น จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการซื้ออาหารให้จระเข้ในฟาร์ม
“แหมวันนี้ ผมได้เจอคนยอดนักอนุรักษ์ที่กลัวจระเข้หิวถึงสองคนเลยนะนี่” ทองเอ่ยขึ้นหลังจากเดินออกมาจากห้องอาหาร ไกรยกนาฬิกาขึ้นมาดูอีกครั้งและตั้งใจจะกล่าวลาเพื่อนใหม่ทั้งสองเพื่อกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง
“แล้วด็อกเตอร์ล่ะครับ จะทำอะไรต่อ ?”
“ดิฉันตั้งใจอยู่ตรวจตราความแข็งแรงของตัวบ่อ กับสำรวจพื้นที่แวดล้อม แล้วก็จะเก็บตัวอย่างของน้ำในบ่อไปวิจัยก่อนน่ะค่ะว่า น้ำเน่าเสียรึเปล่า”
“เหนื่อยหน่อยนะครับ ถ้างั้นผมต้องขอตัวก่อน ผมต้องรีบกลับไปสัตหีบวันนี้เลย ลาละครับด็อกเตอร์ชมพู่ คุณทอง”
ด็อกเตอร์สาวสวยกับหุ้นส่วนร่างท้วมไหว้ผู้กองหนุ่ม ซึ่งไกรก็โค้งคำนับทั้งสอง ก่อนจะเดินออกนอกประตูทางเข้าฟาร์มจระเข้ เขาเปิดประตูรถ Isuzu H-Landers สีดำ ก่อนจะสตาร์ทเครื่องและขับออกไปจากบริเวณที่จอดรถด้านหน้าฟาร์ม และมุ่งตรงสู่เส้นทางไปยังจังหวัดชลบุรี
หลังจากเสร็จภารกิจการตรวจตราจระเข้ที่ฟาร์มจระเข้แห่งนี้ ชมพู่ได้กล่าวลาทอง และสตาร์ทรถ ขับ Toyota Altis สีบรอนซ์คันงามออกจากบริเวณลานจอดรถของฟาร์มจระเข้ และขณะที่รถยนต์ของเธอกำลังแล่นออกสู่ถนนใหญ่ เธอก็ได้เปิดวิทยุฟังข่าวไปด้วย
“รายงานข่าวนะคะ เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ มีชาวบ้านริมคลองบางมุด ตำบลหนองไก่ปิ้ง เขตอำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพร หายตัวไปขณะที่ออกไปหาปลา ทราบชื่อนายช่อ อายุประมาหกสิบปี ซึ่งจากการออกติดตามค้นหาของตำรวจและชาวบ้านริมคลอง ตรวจพบ เรือพายปริศนาลอยอยู่กลางลำคลอง จากคำยืนยันของชาวบ้าน ยืนยันได้ว่าเรือพายดังกล่าว เป็นของนายช่อ ซึ่งมีสภาพเหมือนกับว่าเจ้าของเรือนั้นหายตัวไปกลางคลองอย่างไร้ร่องรอย อีกทั้งเมื่อตรวจสอบบริเวณริมฝั่งคลอง ก็พบเศษอวัยวะส่วนแขนข้างขวาของ บุคคลไม่ทราบสัญชาติ ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะเป็นแขนของเจ้าของเรือพายรึเปล่า ติดอยู่บริเวณใต้ต้นจากริมคลอง ขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่กำลัง นำเศษแขนปริศนานี้ ไปให้ทางสถาบันสมิติเวช ตรวจสอบอยู่ว่าจะเป็นแขนของนายช่อหรือไม่ และทางการตำรวจ พยายามค้นหาศพของนายช่อ หากนายช่อเสียชีวิตแล้วจริง และกำลังเร่งติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้มาดำเนินคดี”
“ริมคลองบางมุดเหรอ คลองหน้าบ้านของผู้กองไกรสินะ” ชมพู่เอ่ยขึ้นขณะตั้งใจฟังข่าวนี้อย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเอง ในรถกระบะ Isuzu Hi-Landers สีดำ ก็กำลังเปิดข่าวเดียวกันกับที่ชมพู่ฟังอยู่เช่นกัน
“ยายครับ คลองบ้านเรา มันกำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก” ไกรพูดลอยๆ
ความคิดเห็น