คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
ตอนที่ 2
ปี พ.ศ.2525 ลำคลองที่ไหลเอื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับชีวิตของคนเรา ที่ไม่มีวันหยุด ต้องเดินหน้าต่อไป เวลานั้น พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ท้องฟ้าก็เริ่มจะมืดลง แต่ก็ยังไม่อาจจะทำให้ ดวงตาน้อยๆ ที่ดูแล้วสดใสของ เด็กกลุ่มหนึ่ง ละสายตาไปจากลำคลองที่ใสสะอาดแห่งนี้ไปได้ พวกเขามักจะมารวมกลุ่มกัน แล้วใช้ตลิ่งริมคลองแห่งนี้ เป็นที่ๆเล่นสนุกไปวันๆ ตามประสา เด็กๆลูกหลานชาวบ้านริมคลองบางมุด ลำคลองสายหลักของ ชาวบ้านหมู่บ้าน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร แห่งนี้ บางทีพวกเขาก็กระโดดลงไปเล่นในคลอง หรือ วิ่งเล่นกันอยู่ริมฝั่ง เพื่อรอเวลาให้พ่อแม่ของพวกเขา กลับจากการหาของป่า หรือ หาอาหารตามลำคลองแห่งนี้
กลุ่มเด็กน้อยพวกนี้ ได้รับการปลูกฝังกันมาเหมือนกันแทบทุกคน คือ อย่าดื้อ อย่าซน ถ้าซนจะให้ไอ้ด่างมาคาบไปกิน ซึ่งเด็กน้อยๆที่ยังไม่รู้ประสีประสาอย่างพวกเขา ก็เชื่อสนิทใจ พวกเขาฟังคำบอกเล่าของพ่อแม่ปู่ย่าตายายมา เรื่องของตำนานจระเข้ยักษ์ที่ดุร้ายที่สุด ที่เคยอาศัยอยู่ในลำคลองที่พวกเขาใช้เล่นอย่างสนุกสนานแห่งนี้ และหลายๆครั้ง พวกเขาจะเล่นเป็นทหารตำรวจ กำลังไล่ล่าไอ้ด่างอยู่ตามริมคลองอย่างสนุกสนาน
เรือพายลำหนึ่ง ลอยลำเข้ามาใกล้กับท่าน้ำริมตลิ่ง ใกล้ๆกับที่กลุ่มเด็กชายหญิง กำลังจับกลุ่มเล่นกันอยู่
“หวาน กลับบ้านได้แล้วลูก”
“แม่เรียกแล้ว เรากลับบ้านก่อนนะ”
เด็กสาวตัวเล็กๆ โบกมือลาเพื่อนๆในกลุ่ม และเดินตามหลัง ผู้เป็นแม่ที่เสร็จงานจากการหาปลาในลำคลอง ไปลงเรือ และพายกลับไปยังบ้านตน ไม่นาน คนอื่นๆก็ค่อยๆ กลับบ้านเมื่อพ่อแม่ของแต่ละคน มาเรียกตัวกลับ การเล่นสนุกในวันนี้ของพวกเขา จึงหมดลงไปอีกวันหนึ่ง เหลือเพียงเด็กชายตัวน้อยอีกคนหนึ่ง ที่ยังคง นั่งกอดเข่าอยู่บนริมฝั่ง และมองลงไปยัง คลองบางมุดที่ไหลเอื่อยๆ มองแล้ว เพลินตาจริงๆ
“ไกร ไกรเอ้ย” เสียงของคนๆหนึ่ง ดังมาจากด้านหลังของเด็กชาย
“ครับยาย” เด็กชายหันกลับไปแล้วขานรับเสียงนั้น
“กลับบ้านได้แล้วหลาน มืดแล้ว มากินข้าวเร็วหลานเอ๊ย”
ผู้ถูกเรียกว่ายาย ตะโกนลั่นมาถึงริมฝั่ง เด็กชายผู้ชื่อ “ไกร” รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งขึ้นจากตลิ่งริมฝั่ง ไปที่ยายของเขา ซึ่งยืนอยู่บริเวณ บันไดบ้านริมคลองนั่นเอง ผู้เป็นยาย เอามือลูบหัวหลานชายวัย 4 ขวบด้วยความเอ็นดู และจูงมือเดินขึ้นบันไดบ้านยกใต้ถุนสูงด้วยความระวัง กลัวหลานจะก้าวพลาดและพลัดตกบันไดลงไป
ชีวิตริมลำคลอง ของชาวบ้านคลองบางมุด ดำเนินมาถึงหัวค่ำของเหมือนทุกวัน อาหารค่ำวันนี้ของพวกเขา ก็หนีไม่พ้น ปลาสดๆตัวใหญ่ๆ ที่จับได้จาก คลองบางมุด เป็นแน่ ซึ่งตามเมืองกรุง คงหาปลาที่ทั้งตัวใหญ่ และสด กินทีเต็มคำได้แบบนี้เป็นแน่ ลูกเล็กเด็กแดง ต่างช่วยพ่อแม่ของพวกเขา แบก กระชังที่ใส่ปลาใหญ่ที่พวกเขาจับกันได้ กลับเข้าบ้าน หมู่บ้านริมคลองบางมุดยามค่ำคืน ที่ซึ่งแต่ละบ้าน เปิดไฟสลัวๆ รอบๆเป็นป่าไม้ที่ยังสมบูรณ์ ดูแล้ว รู้สึกเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด
“วันนี้มีอะไรกินมั่งครับยาย” ไกรเดินเข้าไปในครัว และพยายามชะเง้อมองสิ่งที่ยาย กำลังทอดอยู่ในกระทะ แต่ยายรีบดุทันทีที่เห็นหลานชายกำลังพยายาม ปีนดูกองที่กำลังทอด “อย่าทำอย่างนี้สิลูก เดี๋ยวเกิดน้ำมันในกระทะ หกมาราดตัว เป็นแผลเจ็บตัวกันพอดี”
“ก็ปลาที่ยายทอด กลิ่นหอมมากเลยนี่ฮะ” เจ้าตัวเล็ก ตอบยายด้วยน้ำเสียงทะเล้น
“เอ้อ ดีจริงๆ รู้จากกลิ่นแล้วยังจะมาถามอีก ไอ้หลานคนนี้นี่”
ยายกุล หญิงชราวัย 54 ปี ซึ่งเกิดที่ลำคลองบางมุดแห่งนี้ เธอผ่านร้อนผ่านหนาวมามากพอที่จะจดจำเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นที่ลำคลองที่ไหลผ่านหน้าบ้านของเธอในอดีต ยายกุลตอนวัยรุ่น คือหนึ่งในผู้ที่เห็นเหตุการณ์ การไล่ล่าจระเข้ใหญ่ ที่เคยมีชีวิตและซุกซ่อนตัวอยู่ในลำน้ำคลองบางมุด แม้วันเวลาจะผ่านมานานกว่า 18 ปีแล้ว แต่ทุกๆภาพที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ มันยังคงติดตา และฝังลึกอยู่ภายใต้จิตใจของเธอเสมอ ยายกุลมีลูกสาวแค่คนเดียว แต่ลูกสาวของเธอชีวิตเหมือนมีกรรม ลูกสาวของเธอ ถูกข่มขืนตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 15 และเมื่อมีครรภ์ เธอก็ต้องออกจากโรงเรียน และสุดท้าย เธอก็ต้องมาจบชีวิตอย่างน่าสงสาร หลังจากคลอดลูกชายออกมาได้ไม่นาน…
และไกร คือแก้วตาดวงใจของยายกุลอย่างแท้จริง เด็กชายวัยกำลังซน ที่ปีนี้พึ่งจะได้เข้าเรียนชั้นอนุบาลเป็นปีแรก ด้วยเงินที่ยายกุล เก็บหอมรอมริบ มาหลายปี และจาก เงินเดือนที่ผู้เป็นตา หรือ พันตรีกริช ส่งมาให้ เด็กชายตัวน้อยอายุเพียง 4 ขวบ มีแววตาที่เหมือนแม่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อคือใคร และยายกุลเองก็ไม่อยากให้หลานชายของตัวเอง รู้สึกมีปมด้อย แกพยายามสั่งสอน ไล่ตั้งแต่ มารยาท การวางตัวเวลาอยู่กับเพื่อน หรือผู้ใหญ่ สอนอยู่เสมอว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ ที่ยายให้ หรือที่ตาส่งมาให้ นั้นมีค่า และให้ตั้งใจเรียนเสมอ
“ยาย เมื่อไหร่ ตาจะกลับมาล่ะครับ ผมคิดถึงตา ที่สุดเล้ย” เด็กตัวน้อย ถามหาตา ที่เปรียบเสมือนวีรบุรุษประจำตัวของเขา สำหรับ พันตรีกริช นั้น ปัจจุบัน ถูกส่งไปออกราชการยังต่างจังหวัด ทำให้ ไกร อาจจะเหงาไม่น้อย เมื่อสำหรับเขาแล้ว พันตรีกริช ผู้เป็นตานั้น เปรียบเสมือน ฮีโร่ในดวงใจของเขาเสมอมา และเป็นคนที่คอยเล่นกับไกรเสมอ ยามที่กลับมาพักที่บ้าน ยามว่างจากภารกิจของทางราชการ
“ตาเขาไปทำงานน่ะหลานเอ้ย เดี๋ยวก็กลับมาเองแหละ” ยายกุล ตอบคำถามหลานชาย ก่อนจะเอื้อมมือไปแกะปลาทอดที่ ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งบ้าน และนำไปใส่ไว้ในจานข้าวของไกร
“ยายครับ ถ้าผมโตขึ้น ผมจะเป็นทหารเหมือนกับตา ผมจะปกป้องยาย กับทุกๆคน รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วยแหละ” เด็กชายตัวน้อยพูดเสียงเจื้อยแจ้ว และออกท่าทางเต็มที่
“เออ…ยายรู้แล้ว เอ้า ! กินข้าวให้หมดซะ ถ้ากินไม่หมด ตัวก็จะไม่ใหญ่ ไม่แข็งแรง เดี๋ยวเป็นทหารไม่ได้นะ” ยายกุลเอ็ดหลานชายอย่างนี้ทุกวัน ซึ่งยายกุลเองก็รู้ดีเสมอว่า หลานชายของตน หลงใหลใน เครื่องแบบอันงามสง่าของ ทหาร มาตลอด ตั้งแต่ยังจำความได้ และหนีไม่พ้น ตาของไกร ผู้ซึ่งเป็นสามีของแก นั่นเอง และความฝันของเด็กน้อยคนนี้ก็หนีไม่พ้น การได้เป็นทหารเหมือนกับผู้เป็นตา ยายกุลก็ทำได้แค่ ส่งเสริม และสอนให้ตั้งใจเรียน และกินข้าวให้เยอะๆ ย่ากินเหลือ ตามประสา คนแก่ที่สอนลูกหลาน ซึ่งก็เป็นแบบนี้มาทุกรุ่นทุกสมัย
ปลาแรดทอด ฝีมือของยายกุล เป็นที่ถูกปากของไกรอย่างมาก ไกรเป็นเด็กที่ไม่กินทิ้งกินขว้าง นับว่า ยายกุลสอนหลานชายมาดีมาก ไกรช่วยยายถือจานข้าว และจานปลาแรดทอดที่กินหมดแล้ว ไปเก็บในครัว ซึ่งยายกุลจะเป็นคนล้างเอง
ยายกุล สั่งให้ไกร รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำก่อน และให้อ่านหนังสือทบทวนที่เรียนมาในแต่ละวัน ระหว่างรอเวลาให้ยายกุล ทำงานบ้าน และอาบน้ำเสร็จ ไกรอาบน้ำเสร็จ และใส่ชุดนอนลายการ์ตูน ทั้งเสื้อและกางเกง ของเด็ก เขาวิ่งไปหยิบหนังสือวิชาภาษาไทยของชั้นนักเรียนอนุบาล และไปนั่งอ่านในห้องนอน ซึ่ง ไกรจุดตะเกียงไว้เพื่ออ่านหนังสือแบบนี้ทุกวัน
“ก.ไก่…ข.ไข่…ค.ควาย…..”
ยายกุล ใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาว และนุ่งผ้าถุงสีเลือดหมู ทาแป้งหน้าขาวนวล เปิดประตูค่อยๆ และเดินเข้ามาในห้องนอน ยายกุลเห็นหลานชาย นั่งอ่านหนังสือเสียงดังฟังชัด แกเองก็อดจะยิ้มไมได้ เมื่อเห็นหลานชายมีความตั้งใจจริงขนาดนี้ ยายกุลกางมุ้งสีขาว เพื่อที่จะใช้เป็นที่ป้องกันยุง หรือแมลงที่อาจจะมาก่อกวน แกกับหลานในช่วงที่กำลังหลับอยู่ เหมือนอย่างเช่นทุกวัน ก่อนที่จะให้ไกร ดับไฟที่ตะเกียง และมานอนกับแก
ไกร เอาหนังสือเรียนวิชาภาษาไทยไปเก็บในกระเป๋านักเรียนตามเดิม และเป่าลมดับตะเกียง จากนั้น เขาจึงจะมุดเข้าไปในมุ้งเพื่อนอนกับยายเหมือนทุกๆคืน
“ยายครับ เล่าเรื่องไอ้ด่างให้ฟังหน่อยสิ”
“ยายก็เล่าให้ฟังทุกคืน อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ฟังนิทานเรื่องอื่นแทนมั้ยหลาน?”
“ไม่เอา ไม่เอา ผมจะฟังเรื่องไอ้ด่าง นะยาย นะครับ นะ”
“ชอบจริงๆนะเรา ก็ฟังทุกวันจนจำเรื่องราวได้หมดแล้ว ยังจะอยากฟังซ้ำซากอีก เอ้า เล่าก็เล่า พอยายเล่าจบ แล้วต้องนอนนะ รู้ไหม”
“ครับ!!”
ก่อนนอน ยายกุลมักจะให้ไกร รู้จักไหว้พระที่หมอนหนุนหัวเสมอ ซึ่งเป็นการเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในบ้าน ให้ปกป้องคุ้มครองทั้งยายและหลาน รวมทั้ง ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง พันตรีกริช ผู้เป็นสามีของยายกุล และตาของไกร ปฏิบัติราชการสำเร็จ และกลับมายังบ้านโดยปลอดภัย
เมื่อยายกุล กับ ไกร ไหว้พระที่หมอนหนุนเสร็จ ยายกุลตบหมอนหนุนเล็กน้อย และ ห่มผ้าให้กับไกร และตัวแกเอง ก่อนจะเริ่มต้น เล่าเรื่องน่าตื่นเต้นเมื่อครั้งยายกุลยังสาวๆ
“หลายปีก่อน ที่คลองหน้าบ้านของเรา มีจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่ง ที่ชาวบ้านคิดว่า น่าจะหลุดมาจากแหล่งน้ำทางใต้ มันดุร้าย ยิ่งกว่าจระเข้ธรรมดาๆ มันไม่ชอบกินปลากินสัตว์ แต่มันชอบกินคนเป็นอาหาร” ยายกุลเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ยายครับ พวกลุงช้อยเขาก็บอกนี่ว่าปกติ จระเข้น่ะกินคน” ไกรพูดแทรกขึ้นมา
“จระเข้ธรรมดาตามปกติ ไม่ค่อยล่าคนอยู่แล้ว ถ้ามันไม่จวนตัว หรือไม่มีอาหาร แต่นี่ ในลำคลองเรา ปลาก็มี อะไรๆก็มี แต่มันกลับไม่กิน มันหันมากินคนอย่างเดียว จระเข้ตัวนี้ พวกเราต่างรู้สึกได้ว่า มันมีฤทธิ์ เหมือนกับ พญาชาละวันในตำนานเรื่อง ไกรทอง… จระเข้ตัวนี้ กินคนเข้าไปหลายคน จนหลายๆคนพูดกันเลยว่า มันเป็นจระเข้ผีสิง มันมีลำตัวสีดำทมิฬ แต่ที่ส่วนลำคอของมัน กลับเป็นสีขาว พวกเราเลยเรียกมันว่า ไอ้ด่าง”
“ตัวใหญ่มากเลยเหรอครับยาย ผมอยากเห็นตัวจริงของมันจังเลย” ไกรพูดเสียงแจ้ว
“ใหญ่มากเลยแหละไกรหลานยาย ใหญ่ขนาดที่ว่า งาบไกรหายไปได้ทั้งตัวโดยที่ไม่ต้องเคี้ยวเหมือนที่ไกรเคี้ยวปลาทอดของยายวันนี้เลยล่ะ ฮ่าๆๆ” ยายกุลเล่าปนหัวเราะ เมื่อเห็นหลานชายทำท่าตื่นกลัว พร้อมทั้งเอามือไปลูบหัวหลานชายด้วยความเอ็นดู
“ไม่ต้องกลัวหรอกไกร ไอ้ด่างโดนระเบิดจนแหลกไปแล้ว… ตอนนั้นน่ะนะ เสียงระเบิดดังขึ้นไม่เว้นในแต่ละวัน สมัยนั้นชาวบ้านแถวนี้ ต้องเปลี่ยนเส้นทางที่ใช้ทำมาหากินกันเกือบหมด จากเคยใช้ลำคลอง ก็ต้องเปลี่ยนมาใช้บนบก พวกเราชาวบ้านริมคลอง คุ้นเคยกับการใช้ลำคลองสายนี้ เป็นหลักในการทำมาค้าขาย หรือหาอาหารประทังชีวิต พวกเราทำได้แค่ภาวนาไว้ว่า อย่าได้สูญเสียใครไปอีก อย่าให้มันมาเอาตัวคนในครอบครัวเราไป”
“แล้ว ตากริช ก็เป็นคนจัดการมันได้ใช่ไหมครับ เย้ … ตากริช เก่งที่สุดเล้ย!!” ไกรส่งเสียงเต็มที่ ซึ่งเขารู้ดีว่า ผู้ที่สามารถเผด็จศึกไอ้ด่างได้ ก็คือ ตากริช ของเขานั่นเอง
“อื้ม…ในเมื่อรู้แล้ว ยังจะให้ยายเล่าให้ฟังได้ทุกค่ำทุกคืน เอาล่ะ นอนได้แล้วนะหลาน พรุ่งนี้วันเสาร์ จะได้มีแรงไปเล่นกับเพื่อนๆได้นะ” ยายกุล ลุกขึ้นและห่มผ้าให้ไกรอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆเอนตัวลงนอน ไกร ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อที่จะไปหอมแก้มยายของเขาเหมือนเช่นทุกวัน ก่อนที่จะค่อยๆหลับไป ยายกุลยังไม่หลับ แต่แกคอยเฝ้าดูหลานชายว่า หลับสนิทรึยัง ยายกุลเอามือลูบหน้าผากน้อยๆของไกรอย่างเบามือ
“ฝันดีนะหลานรักของยาย…”
ช่วงสายๆ ของวันเสาร์ ไกรสวมเสื้อกล้ามสีขาวของเด็ก และใส่กางเกงขาสั้นสีฟ้า ออกไปเล่นกับเพื่อนๆเหมือนอย่างเช่นทุกวัน ไกรวันนี้ เอาปืนของเล่นไปเล่นกับกลุ่มเพื่อนๆที่ริมท่าน้ำ บริเวณที่พวกเขาชอบมารวมกลุ่มกันเป็นประจำ ดูเหมือนวันนี้ พวกเขาจะเล่นเป็น ตำรวจจับผู้ร้ายกัน
“ปัง ปัง” พวกเขาส่งเสียงเลียนแบบเสียงปืนกันอย่างสนุกสนาน
“ไกร บุกไปด้วยกันเลย!!” นั่นคือเสียงของ ‘เลิศ’ เด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันกับไกร ซึ่งเลิศ ถือว่าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของไกร
“ได้เลยเพื่อนรัก” ไกรกับเลิศ วิ่งตีคู่กันไปพร้อมกับถือปืนสั้นของเล่นคนละกระบอก แล้วทำท่ายิงปืนใส่เพื่อนเด็กๆ ที่เล่นเป็นผู้ร้าย ซึ่งแอบซ่อนตัวอยู่ตามพุ่มไม้ หลังต้นไม้ หรือแม้แต่ใต้ท่าน้ำพวกเขาก็ยังอุตส่าห์ลุยน้ำลงไปซ่อนตัวกัน ไกรกับเลิศ ออกท่าทางเหมือนผู้ชนะ และกอดคอกันเหวี่ยงตัวลงไปนอนบนพื้นดินริมตลิ่งพร้อมๆกับที่เพื่อนๆที่เล่นเป็นผู้ร้าย ก็วิ่งกรูกันเข้ามากอดทับกันอย่างสนุกสนาน
ไกร เลิศ ผา กุ้ง โชค ศักดิ์ และ ศร พวกเขาต่างเป็นกลุ่มเพื่อนที่มักจะมาเล่นด้วยกันอย่างนี้ทุกวัน ถ้าเป็นช่วงวันธรรมดา หลังเลิกเรียน พวกเขาก็จะรีบกลับบ้านไปทำการบ้านที่ได้มาจากโรงเรียน ก่อนจะรีบมารวมตัวกันที่ท่าน้ำ ที่ซึ่งเปรียบได้ว่าเป็นจุดนัดรวมพลของพวกเขา ทั้ง 7 คน เรียนอยู่ชั้นเดียวกัน
เลิศ เพื่อนสนิทของไกร เป็นลูกของนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรประจำสถานีตำรวจภูธรหลังสวน เขาเป็นเด็กรูปร่างเพรียว ผิวขาว คิ้วดก แต่หน้าตาของเขาออกแนวลูกเจ๊ก เพราะจากลักษณะของตา ที่ดูตี่ๆ อีกทั้ง แม่ของเลิศ ยังมีเชื้อสายคนจีน และคงจะเป็นเพราะว่า มีจิตใจที่อยากเป็นตำรวจ ซึ่งคล้ายๆกับไกร ที่อยากเป็นทหาร จึงทำให้ทั้งสองคนดูสนิทกันมากเป็นพิเศษ
ผา เด็กชาย ลูกเจ้าของร้านบะหมี่รสเด็ดในตลาดหลังสวน เขาดูเป็นเด็กรูปร่างอ้วนท้วม ผิวขาว ซึ่งมาจากที่พ่อแม่เป็นเจ้าของกิจการร้านขายบะหมี่ จึงทำให้เขา กินจุมาแต่เด็ก ทำให้เขาเป็นเด็กที่มีรูปร่างอ้วนมากกว่าเพื่อนๆในกลุ่ม
กุ้ง เด็กชายลูกเจ้าของร้านตัดผมในหมู่บ้านที่ไกรอาศัยอยู่ กุ้งเป็นเด็กผิวคล้ำ ตัวเล็ก ไว้ผมเตียนๆ แต่ดูปราดเปรียว อีกทั้ง ร้านตัดผมของพ่อกุ้ง ก็เป็นร้านตัดผมเพียงแห่งเดียวในละแวกนี้ ที่คนในหมู่บ้านจะไปใช้บริการ อีกทั้ง แม้แต่ยายกุล ก็ยังพาไกร ไปตัดผมที่ร้านของพ่อกุ้งเป็นประจำ
โชค ลูกเจ้าของร้านขายของชำในตลาด และเป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่า พ่อแม่ของโชคนั้น มีฉายาว่า “คู่เค็ม” เพราะทั้งสองคนนั้น มีนิสัยขี้เหนียว อีกทั้งยังเป็นที่จดจำของลูกบ้านชาวคลองบางมุดว่า ปากจัดที่สุดในหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ โชคเป็นเด็กตัวเล็ก ผิวขาว ที่เอาแต่ใจ บ่อยครั้งที่เขามักจะ มีปัญหากับเพื่อนๆในกลุ่ม เพราะเขาจะทำตัวเป็นผู้นำ ไม่ฟังความคิดใคร และเชื่อมั่นในตัวเองสูง
ส่วน ศักดิ์ และ ศร เป็นสองพี่น้องฝาแฝดกัน ศักดิ์ซึ่งเป็นแฝดคนพี่ จะมีไฝอยู่ที่แก้มซ้าย ส่วน ศรจะมีไฝอยู่ที่แก้วขวาซึ่งตามปกตินั้น ทั้งสองจะใช้ชีวิตอยู่ที่วัด เพราะว่า ทั้งสองคนเป็นเด็กกำพร้า ซึ่งพระที่วัดในหมู่บ้าน เมตตาทั้งสองคน และเลี้ยงไว้ ซึ่งพวกเขาโตมาก็เป็นลูกศิษย์วัด และมีจิตใจที่ฝักใฝ่ในธรรมะ สามารถท่องบทสวดมนต์ได้คล่อง และชัดถ้อยชัดคำกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน
“เฮ้ยพวกเรา วันนี้ไปดูวิดีโอที่บ้านข้าป่ะ พ่อข้าซื้อวิดีโอเรื่อง ไบโอแมนมาให้ดู โคตรเจ๋งเลย!!” กุ้งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงห้าวๆอันเป็นเอกลักษณ์
“จริงดิ ไปๆๆ” กลุ่มเด็กชายพูดเป็นเสียงเดียวกัน “โธ่…แค่ไบโอแมน บ้านข้าก็มีเว้ย”
เสียงที่ฟังดูอวดดีแบบนี้ ดังมาจากปากของ โชค ลูกเจ้าของร้านขายของชำ ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่ลูกอาเสี่ยอย่างเขา มักจะทับถมเพื่อน อวดนู่นอวดนี่กับเพื่อนๆเป็นประจำ
“อ้าว ก็ข้าพึ่งมี ข้าถึงจะชวนไปดูไง ว่าแต่เอ็งอ่ะ จะไปป่าว”
“บ้านเอ็งมันเล็ก สกปรก ข้าไม่ไป” โชคยังคงทำตัวหยิ่ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากกลุ่มของเพื่อนๆที่นั่งล้อมวงกันอยู่ริมตลิ่ง กุ้งเริ่มโกรธที่โชคพูดจาดูถูกบ้านของเขา กุ้งลุกขึ้นและวิ่งไปผลักโชคจนล้มกลิ้งไปกับพื้น ทั้งสองคนไม่รอช้า ชกต่อยกันอุตลุต ไกร กับคนอื่นๆรีบวิ่งเข้าไปห้ามทั้งสองคน
ไกรเอาแขนรั้งตัวกุ้งไว้ และ ส่วนผาก็พยายามช่วยไกรลากเอาตัวกุ้ง ออกมาให้ห่างจากโชค ขณะที่ เลิศ และคู่แฝดศักดิ์ - ศร ก็เหนี่ยวรั้งตัวโชคไว้
“พอได้แล้วกุ้ง เพื่อนกันนะเว้ย จะชกกันทำไม เดี๋ยวพ่อแม่ก็ด่าหรอก” ไกรพยายามพูดเตือนสติกุ้ง
“อย่ามาห้ามข้าไอ้ไกร เป็นเอ็ง เอ็งโกรธไหม มันว่าพ่อแม่ข้านะ” กุ้งตอบขณะที่พยายามจะดึงตัวให้หลุดจากที่ไกรและผา เหนี่ยวรั้งตัวไว้
“มันไม่โกรธหรอก ไอ้ไกรมันมีพ่อแม่ที่ไหนล่ะ” เสียงของโชคดังขึ้น ซึ่งด้วยประโยคนี้ ทำเอาไกรอึ้ง แม้แต่เพื่อนๆต่างก็ตกใจที่โชคพูดแบบนี้ออกมา ไกรทวนคำพูดของโชคในใจ คำว่า ไม่มีพ่อแม่ ดังลั่นอยู่ในหัวสมองของไกรตลอดเวลา ไกรมือไม้อ่อน และค่อยๆปล่อยมือที่รั้งตัวกุ้งไว้
“ไกร เอ็งอย่าไปฟังมันนะ ไอ้โชคมันปากเสีย” เลิศตะโกนลั่นเมื่อเห็นเพื่อนรักมีท่าทางช็อคต่อคำพูดของโชค
“ปากเสียอะไรล่ะ ก็มันจริงนี่ ไอ้ไกรมันไม่มีพ่อแม่ พ่อกับแม่ข้าพูดให้ข้าฟัง มันมีแต่ยายเลี้ยงมันมา ไอ้ไกร ไอ้เด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไอ้ไกร ไอ้เด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไอ้ไกร…”
ผวัะ!!
ไกร วิ่งถลาเข้าไปต่อยท้องของโชคจนจุก ใบหน้าของไกรมีแต่น้ำตา เมื่อได้ยินคำพูดล้อเลียนไม่หยุดปากของโชค และความอดทนของไกรก็หมด ไกรใส่กำปั้นเข้าที่ท้องของโชคไม่ยั้ง จนเพื่อนๆต้องรีบมารั้งตัวไกรไว้ แต่แล้ว
“พวกเอ็งน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ” เสียงของหญิงคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังของกลุ่มเด็กชาย น้ำเสียงที่ดัง ฟังแล้วน่ากลัวนั้น เป็นเสียงของหญิงวัยกลางคน ทื่ยืนอยู่กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง บริเวณใต้ต้นโพธิ์ริมตลิ่ง หญิงสาวคนนั้น สวมเสื้อลายสีแดง นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาว ขณะที่ผู้ชายใส่เสื้อสีกรมท่า ใส่กางเกงขายาวสีน้ำตาล ทั้งสองคนจ้องกลุ่มเด็กด้วยแววตาถมึงทึง ก่อนจะปรี่เข้ามาหากลุ่มเด็กชาย
“ตายละ พ่อแม่ไอ้โชค” ผาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกลัว
พ่อแม่ของโชคซึ่ง ผ่านมาเก็บค่าเปียแชร์ แถวๆบ้านชาวบ้านริมคลอง เดินเข้ามา และรีบคว้าข้อมือโชคพาเดินออกมาให้ห่างจากกลุ่มเด็กชาย อีกทั้งแม่ของโชค ยังชี้หน้าไปที่ไกร ซึ่งสองสามีภรรยา เห็นว่า ไกรทำร้ายลูกชายของพวกตน อย่างโกรธแค้น
“มึง ไอ้เด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่สั่งสอนสิท่า ถึงทำตัวเกเรแบบนี้” คำด่าของแม่โชค ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของไกรเข้าไปอีก
“น้าพร ไอ้โชคนั่นแหละที่ว่าไอ้ไกรก่อน มันหาว่าไกรเป็นเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่” เลิศพยายามพูดปกป้องเพื่อนรัก
“อ้าว ก็มันจริงนี่ ไอ้ไกรมันเป็นลูกกำพร้า มีแต่ตายายเลี้ยงมัน” ธง ผู้เป็นพ่อของโชคเปิดปากตอกย้ำ
“ไปลูก อย่าไปเล่นกับไอ้เด็กเหลือขอแบบนั้น ทีหลังไม่ต้องไปเล่นกับพวกมันอีก” พ่อแม่ของโชค พาโชคเดินจากไป ทิ้งไว้ให้กลุ่มเด็กชายที่เหลือ มองตามหลังสามคนนั่นด้วยสายตาที่โกรธแค้น อีกทั้งยังรู้สึกสงสารไกรด้วย ไกรปิดปากเงียบไม่ยอมพูดจาอะไร เลิศกับผา กอดคอไกรเหมือนพยายามจะปลอบเพื่อน ขณะที่สองฝาแฝดก็ทำได้แค่ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ส่วนกุ้งนั้น ที่ยังมีอารมณ์ค้างอยู่ ก็ได้วิ่งไปตะโกน ใส่ ครอบครัวของโชคที่เดินห่างออกไปมากพอสมควรแล้ว
“มึงออกจากกลุ่มไปเลย ไม่ต้องมาเล่นกับพวกกูอีก ไอ้โชค !!”
ไกรเดินกลับไปบ้านด้วยแววตาที่เศร้าหมอง ยายกุลที่ซึ่งหิ้วตะกร้าใส่ผักสด กลับจากการเด็ดหาผักที่ขึ้นตามริมคลอง และกำลังจะขึ้นบ้าน เห็นไกร กลับมาบ้าน ด้วยท่าทางที่ผิดปกติ จากตอนเช้าๆที่ยังดูร่าเริงอยู่ แต่ทำไมพอกลับมาบ้าน กลับดูซึมๆ อีกทั้ง ถ้าดูตามเวลา เวลาประมาณนี้ ตามปกติถ้าเป็นวันหยุด ไกรจะยังไม่กลับบ้าน เพราะยังเล่นกับเพื่อนๆอยู่ ยายกุลจึงเดินเข้าไปหาไกร
ยายกุลมองใบหน้าของไกร โดยเฉพาะแววตาของไกร ที่แดง และมีคราบน้ำตาติดอยู่
“เป็นอะไร ไกรหลานยาย”
ไกรมองหน้ายาย ก่อนจะโผเข้ากอดยายแล้วร้องไห้ระงม ยายกุลตกใจที่หลานชาย กลับบ้านมาทำไมถึงเอาแต่ร้องไห้ และดูเหมือน ไกรจะมีปัญหาอะไรมาซักอย่างก่อนที่จะกลับมาบ้าน ซึ่งดูจากรอยคราบน้ำตา และลักษณะอาการของไกร ยายกุล พาไกรขึ้นบ้านมานั่งที่ห้องนั่งเล่น
“ไกร เป็นอะไรลูก ใครทำอะไร” ยายกุลเริ่มถาม
“ยาย ..ครับ…พ่อแม่ ผม…เขาอยู่ที่ไหน…”
ยายกุลแปลกใจที่ไกรถามแบบนี้ ปกตินั้น ทุกๆวัน ไกรจะเอาแต่ออเซาะยายกุลตลอดเวลา โดยที่ไม่เคยถามถึงพ่อแม่ของเขาเลยว่า พ่อแม่ของเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน ยายกุลรู้สึกอึดอัดที่จะตอบ เพราะไกรเอง ก็ยังเด็กเกินไปที่จะรับรู้ถึงเรื่องราวอันเจ็บปวด ที่เกิดขึ้นกับ “ริน” ลูกสาวของยายกุล เมื่อหลายปีก่อน ยายกุลรู้ดีว่า ลูกสาวของเธอนั้น ทำไมถึงไม่ได้อยู่ดูแลไกร
“แม่ของไกร ไปสวรรค์แล้วลูก” ยายพูดเสียงสั่นเครือ
“สวรรค์ ทำไมแม่ถึงไปสวรรค์ สวรรค์อยู่ที่ไหน ผมอยากไปหาแม่”
“สวรรค์ อยู่บนฟ้า…เป็นที่ๆคนเรา เมื่อตายก็ต้องไปอยู่” ยายกุลเริ่มพูดเสียงตะกุกตะกัก ความสะเทือนใจที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของแกมานาน ได้ถูกเปิดออกมาอีกครั้งหนึ่ง ยายกุลนั้น เก็บเรื่องราวนี้ไว้ โดยไม่อยากให้ไกรรับรู้ เมื่อยังไม่ถึงเวลา ไกรบอกยายกุลว่า พ่อแม่ของโชคเป็นคนบอกว่า ไกรเป็นเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ ซึ่งคำพูดนี้เอง ทำให้ยายกุลรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เด็กไร้เดียงสา ไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนี้ กลับมาโดนคนใจต่ำ ดูถูกเหยียดหยามกันได้ขนาดนี้ ถ้ามาดูถูกต่อหน้าตน ยายกุลคงจะเอามีดอีโต้ไล่ฟันไปแล้วแน่ๆ
“ร้องไห้เหมือนผู้หญิงแบบนี้ โตไปเป็นทหารไม่ได้หรอกนะ ไกร”
เสียงทุ้มต่ำ ของชายคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง ชายรูปร่างสูงใหญ่ กำยำในชุดทหารพราง วางกระเป๋าสัมภาระที่ ริมผนังห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดกับบันไดขึ้นบ้าน นายทหารผู้ที่ดูสง่างามนั้น คือ วีรบุรุษที่อยู่ในใจของไกรเสมอมา
“ตากริช!!” ไกรปล่อยมือจากยาย แล้ววิ่งโผเข้าไปกอดตากริช หรือ พันตรีกริช หัวหน้าหน่วยจู่โจมพิเศษ แห่งค่ายเขตอุดมศักดิ์ ที่ซึ่งพึ่งเสร็จภารกิจราชการยังต่างพื้นที่ พันตรีกริช หรืออดีตสิบเอกกริช นายทหารผู้ซึ่งสามารถ พิชิตพญากุมภีล์ที่ดุร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่าง ไอ้ด่างบางมุด ลงได้นั่นเอง ตากริช เอามือลูบหัวหลานชายด้วยความเอ็นดู ก่อนจะกล่าวทักทายศรีภรรยา อย่างยายกุล
“แม่เอ้ย…ไม่ได้เห็นหน้าหลายวัน คิดถึงแม่เอ็งที่สุด” การเรียกชื่อคนรัก เปลี่ยนไปตามกาลเวลา จากเคยเรียกแค่ชื่อ กุล เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้น ก็กลับกลายเป็นเรียกว่า แม่
“ฉันเองก็คิดถึงพี่ พี่กริช …” ยายกุลค่อยๆลุกขึ้น และเดินเข้ามากอดสามี ด้วยความรักและคิดถึง หลังจากที่ไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน
“ตาครับ ผมคิดถึงตาที่สุดเลย” ไกรเงยหน้าพูดกับตากริชด้วยรอยยิ้ม
“ตาเองก็คิดถึงหลานเหมือนกัน ตามีของมาฝากด้วยนะ ว่าแต่ ทำไมถึงร้องไห้ล่ะไกร”
ยายกุลเอามือสะกิดต้นแขนของตากริช ตากริชหันมามองหน้ายายกุล เมื่อเห็นว่า ยายกุลส่ายหน้าแสดงท่าทางบอกว่า อย่าพึ่งถามถึงเรื่องนี้ ตากริชก็พยักหน้า ก่อนจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำ หลังจากเดินทางกลับมาถึงบ้านเหนื่อยๆ
หลังจากตากริชอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และเอาของเล่นชิ้นใหม่ให้กับไกร ซึ่งเป็น ปืนยาวของเล่นสำหรับเด็กให้ไกร เอาไปเล่น ตากริชจึงมีโอกาสได้ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของ ยายกุลผู้เป็นภรรยา
“ฉันน่ะ ไม่เป็นไรหรอกพี่ แต่ฉันรู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของเจ้าไกร”
“อื้ม…เจ้าไกรเป็นอะไรล่ะ กลับมาก็เห็น เอาแต่ร้องไห้กอดแม่อยู่”
“ก็…หลานเรา โดนอีพร กับไอ้ธง พ่อแม่ของไอ้โชคน่ะ ด่าว่า เป็นเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่…” ยายกุลพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ซึ่งด้วยประโยคนี้ ทำให้นายทหารที่ผ่านศึกเหนือใต้มาอย่าง ตากริชถึงกับโมโห
“มันว่าหลานเราขนาดนี้เลยเหรอ เดี๋ยวพ่อจะไปเอาเรื่องมัน!” ตากริชลุกขึ้น ทำท่าจะไปจริงๆ แต่ยายกุลก็รีบรั้งตัวไว้
“ใจเย็นๆพี่กริช ฉันว่าถ้าเรายิ่งไปพูดต่อล้อต่อเถียงกับมัน ฉันว่าจะยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของเจ้าไกรมากยิ่งขึ้นไปอีกนะ เพราะเจ้าไกร กำพร้าพ่อแม่จริงๆ”
“แล้วแม่ บอกหลานไปรึยังว่า พ่อแม่ของหลานไปไหน”
“ฉันยังไม่ได้บอกเรื่องของพ่อมัน ฉันบอกแค่ว่า แม่ของหลานน่ะ ไปสวรรค์แล้ว เป็นที่ๆคนที่ตายแล้วไปอยู่”
“หลานยังเล็กอยู่ คงจะยังไม่เข้าใจหรอกว่า คำว่าไปสวรรค์ กับ คำว่าตายน่ะ คืออะไร แต่ว่านะ อย่าพูดเรื่องพ่อจริงๆให้หลานฟังเด็ดขาด ทุกวันนี้พ่อยังแค้น ไอ้เลวตัวนั้นอยู่เลย มันทำลูกสาวเรา…”
“พอเถอะพี่ ฉันไม่อยากนึกถึง !” ยายกุลรีบหยุดไม่ให้สามีพูดประโยคนั้นต่อ เพราะแกเองก็เริ่มที่จะอดกลั้นความรู้สึกของตัวเองไม่ไหวแล้ว “ฉันไม่อยากนึกถึงช่วงเวลาที่โหดร้ายแบบนั้น”
ยายกุลน้ำตาคลอเบ้า ตากริชถอนหายใจ และคลายปมมัดผ้าขาวม้าที่พันเอวอยู่ นำมาเช็ดน้ำตาของยายกุล ตากริชมองลอดผ่านประตูห้องนั่งเล่น ซึ่งเห็นลำคลองบางมุดที่ใสสะอาด ทำให้ตากริช ได้นึกถึงเรื่องราวเก่าๆที่เกิดขึ้นที่นี่ เสียงเจื้อยแจ้วของกลุ่มเด็กๆที่เล่นกันอยู่ที่ริมตลิ่งหน้าบ้านของตากริช ดังลั่นไปทั่วบริเวณ พวกเขากำลังเล่นสนุกไปตามประสาเด็กๆ ซึ่ง 1 ในนั้น ก็คือ ไกร หลานชายของตากริชและยายกุล ที่คลายเศร้า ได้แล้ว และกลับไปเล่นกับกลุ่มเพื่อนๆอีกครั้งหนึ่ง
“โห ปืนยาว เท่ห์เป็นบ้า” ผาเอ่ยขึ้นพร้อมทำตาลุกโพลง
“ใครซื้อให้อ่ะไกร” ศร แฝดน้องของศักดิ์ถาม
“ตาข้าเองแหละ เอางี้ พวกเรา มาเล่นเป็นหน่วยทหารล่าไอ้ด่างกันเถอะ”
“เอาสิ ไปกันเถอะ!!”
กลุ่มเด็กน้อย วิ่งไถลไปตามเนินตลิ่ง และไปยังริมน้ำเพื่อเล่นกันตามที่ตกลงกัน ไม่นานนัก กลุ่มเด็กผู้หญิงที่เล่นอยู่ใกล้ๆ ก็มาร่วมจอยด้วย ทำให้วันที่ดูแสนเศร้าของไกร ค่อยๆเลือนหายไป กลายเป็นวันแห่งความสุขเหมือนเช่นทุกวันๆ เพราะเขามีทั้งเพื่อนๆ มีตากับยายที่เขารักและเคารพเสมอ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ตากริชมองดูหลานชายที่ยิ้มแย้ม ร่าเริงได้อีกครั้ง อย่างมีความสุข ตากริชเองก็หวังว่า สักวันหนึ่ง ความฝันของไกรจะต้องเป็นจริง ไกรคืออนาคตที่ของบ้านที่จะต้อง ดำเนินชีวิตต่อไป
“เก่งมากไกร หลานเอาชนะความเศร้าได้แล้วนะ หลานไม่ต้องคิดมากอะไร หลานมีตา มียาย มีเพื่อนๆอยู่เคียงข้างเสมอ ใครจะพูดอะไรก็ปล่อยให้มันพูดไป หลานตา หลานต้องเติบโตขึ้นด้วยความสง่างามและกล้าแกร่ง และเกรียงไกร สมชื่อนะ”
“หลานยาย อีกหน่อย จะต้องเป็นเจ้าคนนายคน เป็นคนเก่ง ฉลาด และกล้าหาญ ให้เกรียงไกร สมกับชื่อ ยายจะเอาใจช่วยหลานเสมอนะ…หลานรักของยาย”
ความคิดเห็น