ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลำน้ำมรณะ

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 10

    • อัปเดตล่าสุด 2 มี.ค. 55


                                                          ตอนที่ 10

                   

                    “เอ็งว่าเป็นไปได้ไหมที่มันจะหนีออกทะเลกลับไปถิ่นเดิมของมันแล้ว ?” เลิศที่วันนี้แวะมาหาไกรตั้งแต่เช้า เอ่ยถามไกร ขณะที่ไกรกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่ห้องรับแขกของบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงของเขา เลิศยังมีความรู้สึกที่ว่า มันอาจจะทั้งยังอยู่และซ่อนตัวรอให้บาดแผลหายดี หรืออาจจะหนีลงทะเลเพราะกลัวการโดนล่า

                    “ข้าว่ายัง เพราะมันเจอกับพวกเรามาตั้งกี่ครั้ง พวกเราเจอมันก็ยิงปืนใส่มันทุกครั้ง แต่มันก็ไม่เคยกลัว ข้าว่ามันต้องซ่อนตัวอยู่และรอให้บาดแผลหายดีก่อนแน่ๆ” ไกรตอบก่อนจะตักข้าวไข่เจียวใส่ปาก

                    “งั้นเอ็งว่า มันจะกลับมาว่างั้น”

                    “ก็แน่นอน ข้าไม่ยอมเลิกราจากมันแน่ รุ่นสมัยตาข้ายังตามล่าไอ้ด่างกันตั้งไม่รู้กี่เดือน แต่ท้ายที่สุด ไอ้ด่างก็ต้องโดนจับตาย”

     

                    รถกระบะ Mitsubishi Stardar สีขาว แล่นบนถนนลูกรังริมคลองบางมุดมาจอดที่บริเวณถนนหน้าบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงของไกร ผาเปิดประตูลงจากรถและถือถุงพลาสติกถุงใหญ่สองถุงซึ่งผาใส่บะหมี่จำนวน 40 ถุงแยกน้ำไว้ให้พร้อม มาให้กับไกร

                    “ข้าทำมาเผื่อเอ็งสองคนกับพวกลูกน้องเอ็ง เอ้อ ! ถุงใหญ่นี้ฝากให้พวกด็อกเตอร์ชมพู่ด้วยนะ เห็นพวกเอ็งเหนื่อยกันมาหลายวันแล้ว” เจ้าของร้านบะหมี่รสเด็ดยื่นน้ำใจที่ใส่มาเต็มที่ทั้งสองถุงใหญ่ให้กับไกร

                    “ขอบใจมากผา แล้วนี่เอ็งมาทำไมแต่เช้า คงไม่ได้มาแค่เพื่อให้บะหมี่นี่อย่างเดียวหรอกนะ ?

                    “อื้ม ข้าจะมาบอกพวกเอ็งว่า ไอ้โชคมันออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว” ผาเอ่ยถึงโชค ซึ่งพวกไกรก็พากันร้องอ้อขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่เหตุการณ์ที่วัดน้ำลอด พวกเขาก็ไม่ได้สนใจข่าวคราวของโชคอีกเลย เพราะมัวแต่ตามล่าจระเข้ยักษ์กันตลอดทุกวัน โชคถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลหลังสวนเพื่อรีบรักษาบาดแผลที่โดนจระเข้ยักษ์กัด และตอนนี้พึ่งจะออกจากโรงพยาบาลตอนเช้านี้

                    “มันกลับมาพักฟื้นที่บ้านร้านค้าของมันแล้ว เห็นพ่อแม่มันด่าพวกเอ็งฉอดๆว่า ทำงานกันไม่ได้เรื่อง ปล่อยให้ไอ้โชคถูกจระเข้กัดได้” ผากล่าว

                    “ไอ้พวกผู้ใหญ่เฮงซวย พวกเราทำงานกันสายตัวแทบขาด เสี่ยงตายตามล่ามันทุกวัน ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก ไอ้ไกรก็พูดเตือนมันแล้ว แต่มันไม่ฟัง ถ้ามันฟัง ไอ้กุ้งก็คงไม่ต้องมาตายแทนมันแบบนี้ จริงๆแล้วไอ้โชคนี่แหละที่สมควรต้องตาย ไม่ใช่ไอ้กุ้ง !!” เลิศตะโกนลั่นด้วยความโกรธแค้น

                    “โวยวายไปก็เท่านั้นเลิศ กุ้งมันไปสบายแล้ว ถ้าเราอยากแก้แค้นให้กุ้ง เราก็ต้องฆ่ามันให้ได้” ไกรพูดเสียงเย็นๆก่อนจะวางถุงบะหมี่ไว้ที่ข้างประตูหน้าห้องรับแขก

                    “มันโหดขนาดนี้ ไม่รู้ทำไมด็อกเตอร์ชมพู่ถึงอยากจะจับเป็นมันนะ !?” เลิศถอนหายใจก่อนจะหงายหลังลงนอนกับพื้นบ้านในห้องรับแขก และในขณะที่ทั้งสามกำลังนั่งเซ็งกันอยู่นั้น ชมพู่เองก็มีความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากพวกไกรเท่าไหร่ เพียงแต่ความคิดของเธอแตกต่างไปจากพวกไกรก็คือ เธออยากจะจับจระเข้ยักษ์นี้แบบเป็นๆมากกว่า

     

                    นับตั้งแต่วันที่ไกรสั่งให้จ่าสิงห์โยนระเบิดลงไปในน้ำ จนทำให้จระเข้ยักษ์ได้รับบาดเจ็บ มันก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลย จนกระทั่งวันนี้เป็นวันที่ 3 แล้ว และกำหนดการในวันนี้ ทุกคนจะต้องออกปฏิบัติภารกิจในช่วงเที่ยงวันเพราะชมพู่เป็นคนแนะนำว่า มีโอกาสที่มันจะโผล่ขึ้นมานอนอาบแดดอยู่บนฝั่งก็เป็นได้

                    แสงแดดอันอบอุ่นในช่วงเช้าเวลา หกโมงครึ่ง ชมพู่ในชุดไปรเวท เสื้อยืดสีขาว กางเกงขาเดฟสีดำ ใส่รองเท้าผ้าใบเดินลงจากบ้านพัก และผ่านมาทางหน้าบ้านของไกร ซึ่งเมื่อผู้กองหนุ่มเห็นชมพู่เดินผ่านมา เขาจึงตะโกนเรียกเธอ

                    “ด็อกเตอร์ชมพู่ ตื่นเช้าจังนะครับ จะไปไหนแต่เช้าเชียว ?

                    “พอดีอยากสูดอากาศตอนเช้าๆน่ะค่ะ แถวนี้อากาศสดชื่นดี ในกรุงเทพ แทบจะไม่ได้ตื่นเช้าด้วยอารมณ์สดชื่นแบบนี้เลย” เธอยิ้มให้ไกรแล้วตอบกลับ

                    “เดินคนเดียว เหงารึเปล่าครับ ผมเดินเป็นเพื่อนได้นะ !!

                    “บ้า ! ผู้กองก็พูดไปเรื่อย”

                    ชมพู่หัวเราะก่อนจะเดินเลาะไปตามถนนลูกรังเรื่อยๆ ไกรมองเธอจนเดินลับสายตาไป ผากับเลิศสังเกตว่า เพื่อนรักมองตามสาวตาไม่กระพริบ พวกเขาก็รู้ทันทีว่า เพื่อนรักของพวกเขาคนนี้ กำลังตกหลุมรักสาวเมืองกรุงดีกรี   ด็อกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญสัตว์เลื้อยคลานเข้าอย่างจัง  เลิศดึงตัวไกรให้นั่งลงเมื่อเห็นเพื่อนตาค้างมองไม่หยุดแบบนั้น

                    “ถามเอ็งตรงๆนะ เอ็งชอบเขา แล้วทำไมเอ็งไม่เข้าไปจีบให้เป็นเรื่องเป็นราววะไกร ?” เลิศยิงคำถามไปที่เพื่อนรักตรงๆ

                    “ไม่กล้า”

                    “ตอบง่ายนะเอ็ง แหมพูดมาได้ ไม่กล้า ที่เรื่องเสี่ยงตายล่าไอ้เข้นี่ ลุยได้ตลอด ไม่เคยกลัว” ผาพูดเหน็บเพื่อนพลางนั่งลงที่ขั้นบันไดและนั่งมองดูกระแสน้ำที่ไหลเอื่อยๆในคลองบามุดอย่างสบายอารมณ์

                    “ก็ตอนนี้มันเวลางานนะ อย่าเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาแทรกสิ แล้วเมื่อกี๊ ข้าก็แค่พูดเล่นแสดงความเป็นมิตรไมตรีเท่านั้นแหละ” ไกรเริ่มพูดแก้ตัว

                    “ข้าเห็นเอ็งพูดแสดงไมตรีจริง แต่ข้าเห็นเอ็งมองด็อกเตอร์ชมพู่ตามหลังเขาแบบตาไม่กระพริบเลยนะ อย่างนี้เขาเรียกว่าอาการตกหลุมรักสาวเว้ย จะว่าไปข้าก็สังเกตเอ็งมาตั้งแต่เริ่มภารกิจนี้แล้ว เห็นเอ็งคุยเล่น กระจุ๋งกระจิ๋งกับ  ด็อกเตอร์ชมพู่ตลอด ไม่ต้องอายหรอกเพื่อน ความลับมันไม่มีในโลกนะ คนสวยๆ นิสัยดี ขี้เล่น อย่างด็อกเตอร์ชมพู่น่ะ เผลอๆหาไม่ได้อีกแล้วนะ” เลิศพูดพลางเอื้อมมือขวาดึงคอไกรมากอดไว้

                    “เฮ้ย ด็อกเตอร์ชมพู่อาจจะมีแฟนอยู่แล้วก็ได้มั้ง”

                    “ไม่ถามแล้วจะรู้ไหมเล่า ลองๆหน่อยสิ นี่ข้าบอกตรงๆนะ ถ้าตากับยายเอ็งยังอยู่นะ ท่านก็เชียร์ให้เอ็งจีบว่ะเชื่อเถอะ ลองดูน่าไม่เสียหาย แต่ถ้าแป้ก สาวบางมุดสวยๆแถวนี้ยังมีอีกเยอะ” เลิศเอ่ยติดตลก ซึ่งไกรก็ได้แต่พยักหน้างกๆ แต่ยังไม่วายไม่ยอมลุกเพื่อตามชมพู่ไป เมื่อทำท่าว่าน่าจะเข็นไม่ขึ้น เลิศจึงบอกกับเพื่อนรักต่างเหล่าทัพไปว่า

                    “ไอ้ไกร ถ้าเอ็งไม่กล้าเข้าหาด็อกเตอร์ ภารกิจล่าไอ้เข้นี่ยกเลิก มันจะฆ่าใครก็ปล่อยมันตามสบาย โอเคไหม?

                    “เฮ้ย !! พูดบ้าอะไรของเอ็งไอ้เลิศ อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาพูดเล่นนะเว้ย” ไกรหันหน้ามาแล้วพูดเสียงดัง ทำท่าฮึดฮัด ซึ่งเป็นบุคลิกส่วนตัวของไกรที่เป็นคนจริงจังกับงานอยู่แล้ว

                    “ข้าเห็นด้วยกับไอ้เลิศว่ะ ไม่เป็นไร มีจระเข้ว่ายน้ำอยู่ในคลองบางมุดซักตัวก็ดีเหมือนกัน เผลอๆจะช่วยเรียกนักท่องเที่ยวเข้ามาดูด้วย แถมไม่แน่ก็ให้เป็นอาหารของมันได้เลย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” ผาเริ่มพูดเข้าข้างนายตำรวจเพื่อนซี้

                    “ไอ้บ้าผา เอ็งก็เป็นไปกับเขาด้วย นี่พวกเอ็งสองคนเป็นบ้าไปแล้วรึไงวะ ?

                    “ถ้าอยากให้พวกข้าเป็นเหมือนเดิม จริงจังกับงานเหมือนเดิม ก็รีบตามไปคุยกับด็อกเตอร์ชมพู่ซะเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่สำเร็จไม่ต้องกลับมา ไม่ต้องทำงานวันนี้กันเลย” เลิศตอบพร้อมตีสีหน้าเจ้าเล่ห์

                    “แล้วถ้าไม่สำเร็จ บะหมี่ที่ข้าทำมาก็ห้ามกินเว้ย” ผาเสริม

                    “เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะไอ้พวกเวร ก็ได้ เดี๋ยวข้ามา” ไกรถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินลงบันได ซึ่งเลิศกับผาจับมือหัวเราะกันร่า ไกรเดินลงบันไดและจะเดินตามชมพู่ไป สองเพื่อนซี้ก็ไม่วายตะโกนมาอีกว่า

                    “ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้านะโว้ย”

     

                    ไกรใส่เสื้อแขนกุดสีขาว และใส่กางเกงฟุตบอลขาสั้นสีดำ เขารีบใส่รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งที่วางอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้าย วิ่งตามชมพู่ไป ผู้กองหนุ่มจำได้ว่า ชมพู่จะเดินเลาะไปตามถนนริมคลองบางมุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากในการตามหา และถือว่าเป็นการออกกำลังกายตอนเช้า ไกรวิ่งไป บ้างก็เจอชาวบ้านเอ่ยทักทายอรุณสวัสดิ์ เขาก็จะยิ้มและกล่าวอรุณสวัสดิ์กับคนที่ทักเช่นกัน เขาทำแบบนี้มาตั้งแต่ยังจำความได้ การหัดรู้จักทักทายคนละแวกเดียวกันโดยไม่ถือชั้นวรรณะ จะเป็นสิ่งที่ทำให้คนรอบข้าง ให้ความเกรงใจและให้ความช่วยเหลืองานต่าง ๆ

     

                    วิ่งลัดเลาะไปตามถนนเลียบคลองบางมุด ด้านซ้ายจะเป็นเนินที่จะลงไปที่ตลิ่ง ส่วนด้านขวาจะเป็นป่า ภาพนี้เป็นภาพที่ไกรเห็นจนชินตาตั้งแต่ยังเด็ก การวิ่งในตอนเช้าแบบนี้ทำให้ผู้กองหนุ่มนึกย้อนไปในสมัยก่อนการสอบที่สองของโรงเรียนเตรียมทหาร ที่ต้องสอบพละกำลังในการวิ่งระยะไกล ซึ่งเขาต้องซ้อมวิ่งระยะไกลเพื่อให้ร่างกายทนทานแบบนี้กับเลิศทุกวัน

                    เขาเห็นหลังของคนที่ใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงขาเดสีดำอยู่ลิบๆ ด้านหลังของหญิงสาวที่เกล้าผมเป็นมวย ผู้กองหนุ่มยิ้มเมื่อเห็นเธอเดินอยู่ไม่ไกลจากเขามากแล้ว เขารีบเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะได้ตามเธอทัน

     

                    เจิดที่วันนี้ก็เหมือนทุกวัน เขาถือขวดเหล้าขาวเดินเซไปเซมาเพราะฤทธิ์ของน้ำเมาที่ถืออยู่ บ้างเดินแทบจะล้ม บ้างก็พูดจาเลอะเทอะ เป็นที่น่ารังเกียจของชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา แต่แล้ว ชายขี้เมาผู้นี้ก็ได้เดินมาประจันหน้ากับด็อกเตอร์ชมพู่ ที่ซึ่งเมื่อไม่กี่วันนี้ เขาพึ่งจะพูดจาไม่ดีกับเธอไป

                    “อ้าว ลูกสะใภ้นี่เอง มาคนเดียวเหรอจ๊ะ

                    “อะไรอีกล่ะคุณ เมาแต่เช้า กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว”

                    ชมพู่ทำท่ารังเกียจก่อนจะเดินเลี่ยงๆ แต่แล้วสิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเจิดยื่นมือคว้าเข้าที่ข้อมือของเธอ และดึงเธอเข้ามาใกล้ๆหน้าของเขา สีหน้าของเจิดแสดงให้เห็นว่า คิดไม่ซื่อกับด็อกเตอร์สาวสวยอยู่แน่นอน

                    “จะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ ! ปล่อย !

                    “หน้าตา สวยแบบนี้ หุ่นแบบนี้ สเป็คพี่เลย อย่าเป็นเลยลูกสะใภ้ เป็นเมียพี่เถอะ” เจิดเขวี้ยงขวดเหล้าทิ้งจนขวดแตกกระจาย ตาเฒ่าขี้เมาประจำคลองบางมุด พยายามที่จะลากตัวด็อกเตอร์ชมพู่ เข้าไปในเขตป่าที่อยู่ทางขวามือของชมพู่หมายจะปลุกปล้ำขืนใจ เธอพยายามขัดขืนและร้องตะโกนให้คนช่วย

                    “ช่วยด้วยค่ะ !! ใครก็ได้ ช่วยด้วย !!

                    “อย่าขัดขืนเลยอีหนู ไม่มีใครอยู่แถวนี้หรอก ..

                    ในขณะที่เจิดกำลังที่จะดึงตัวชมพู่ให้เข้าไปที่บริเวณชายป่า เจิดก็ต้องร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เมื่อเท้าขวาอันหนักหน่วงและทรงพลังของใครคนหนึ่ง เตะเข้าที่กลางหลังของเขาอย่างแรงจนทำเอาเจิดแทบทรุด จนปล่อยมือที่โอบกอดด็อกเตอร์ชมพู่ออก และเมื่อชมพู่เงยหน้ามอง ก็เห็นว่าผู้ที่เข้ามาช่วยเธอจากภัยร้ายจากเดนสังคมนี้ก็คือ

                    “ผู้กองไกร !?

                    ผู้กองหนุ่มแสดงสีหน้าที่เคียดแค้น เต็มไปด้วยความโกรธจัด ใช้เท้าขวาเตะเข้าเต็มใบหน้าของเจิดราวกับเตะลูกฟุตบอล เจิดหน้าหันไปอีกทางหนึ่ง ไกรกระชากคอเสื้อของเจิดและดึงตัวเจิดขึ้นมาก่อนจะพูดว่า

                    “มึงนี่นับวันยิ่งทำตัวเลวขึ้นทุกวัน วันนี้กูจะไม่ปล่อยให้มึงรอดชีวิตแล้วไปทำตัวระรานชาวบ้านอีกแล้ว !!” ไกรแทงเช่าขวาเข้าที่ท้องของเจิดอย่างแรง ก่อนจะเหวี่ยงตัวของเจิดลงไปกระแทกกับพื้นถนนลูกรัง เมื่อเจิดเห็นว่าสู้พละกำลังของผู้กองหนุ่ม บวกกับความโกรธจัด ที่ทำให้ผู้กองหนุ่มมีแรงมากขึ้น ทำให้เขาทำได้เพียงแต่วิ่งหนี

                    “ไอ้สารเลว มึงจะหนีไปไหน !?

                    เจิดวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปตามเนิน และวิ่งหนีไปที่ริมคลอง เขาวิ่งสะดุดก้อนหินหน้าคะมำไปกับพื้น แต่ก็ต้องลุกและวิ่งต่อเพื่อเอาให้ชีวิตให้รอดจากแรงแค้นของผู้กองหนุ่มที่กำลังวิ่งไล่ตามมาติดๆ

                    “หยุดก่อนผู้กอง อย่าทำ อย่าทำพ่อเลย” เจิดพยายามตั้งสติและหันมาชูมือหมายถึงให้ไกรหยุดวิ่งเข้ามาทำร้าย ซึ่งเมื่อไกรเห็นแบบนั้น เขาจึงหยุดวิ่ง และยืนลองเชิงกับเจิด ขณะที่ชมพู่นั้นก็วิ่งตามมาด้านหลัง เธอพยายามแอบอยู่ด้านหลังของไกร ซึ่งเธอยังรู้สึกหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นกับเธอเมื่อครู่ หากไกรไม่ตามมา เอก็คงต้องเสียความบริสุทธิ์ให้กับชายขี้เมาผู้นี้ไปแล้ว

                    “มึงอย่ามาพูดว่ามึงเป็นพ่อกู คนอย่างมึง กูไม่นับเป็นพ่อ !!

                    “ถึงยังไง ถ้าไม่มีกู มึงก็ไม่ได้เกิดมา ไม่ได้มาทำงานที่มีเกียรติแบบที่มึงเป็นอยู่ แล้วดูกู กูเป็นได้แค่คนขี้เมา มึงเคยมาแยแสกูมั้ย ไอ้ลูกทรพี” เจิดที่เริ่มมีสติคืนมา เขาเริ่มสร่างเมา หลังจากโดนไกรทั้งเตะทั้งต่อย

                    “ที่กูเกิดมา เพราะมึงดักฉุดลูกสาวยายกุลไปข่มขืน ทำให้ลูกสาวยายกุลท้อง จนเกิดมาเป็นกู ถึงแม้ว่ากูจะไม่เคยได้เห็นหน้าแม่ หรือได้ยินเสียง แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนผิดที่ทำให้กูเกิดมา  จริงอยู่ว่าตอนเด็ก กูอาจจะคิดว่าอยากเจอพ่อแม่ แต่พอกูมารู้ว่า คนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแท้ๆของกู เป็นพวกเดนนรกแบบนี้ ไม่ได้ตั้งใจให้กูเกิดมาอย่างมึง ที่มึงทำไปเพราะความมากตัณหาของมึง กูไม่ถือว่าคนอย่างมึงเป็นพ่อ ผู้มีพระคุณของกูคือ ตากับยายและแม่กูเท่านั้น แต่มึงไม่เกี่ยว คนอย่างมึงไม่มีค่าพอจะให้กูไปกราบเท้ามึง แล้วเรียกมึงว่าพ่อหรอก !!” ไกรตะโกนลั่น

                    ด้วยคำพูดประโยคนี้ของไกร ทำให้เจิดถึงกับหัวเราะลั่น แววตาของเจิดเปลี่ยนไป เขาเริ่มเล็งเป้าหมายจากไกรไปที่ชมพู่ที่อยู่ข้างหลัง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แห้งเหือดเหมือนคนเริ่มเสียสติว่า

                    “ดี ผู้กอง ในเมื่อผู้กองไม่คิดว่ากูเป็นพ่อ งั้นกู ก็จะทำอะไรก็ได้กับผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังของผู้กองซะ ไม่มีลูกชาย ไม่มีลูกสะใภ้ แต่เป็นเมียกูแทน !!

                    เจิดวิ่งถลาเข้าหาชมพู่ แต่แล้ว ไกรก็ใช้กำปั้นข้างซ้าย ต่อยสวนเข้าที่ท้องของเจิดอย่างแรงจนเจิดเอามือกุมท้อง และค่อยๆทรุดลงกับพื้น ไกรไม่รอช้า ใช้เท้าขวาบ้างซ้ายบ้าง ทั้งเตะทั้งถีบเจิดอย่างรุนแรงจนเจิดต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปที่ริมน้ำอีกครั้ง และเมื่อไม่มีทางไหนจะหนี เจิดจึงตะโกนถามไกรอีกว่า

                    “ไกร อย่าฆ่าพ่อ พ่อขอร้อง

                    “มึง ไม่ใช่ พ่อกู !!

                    เจิดเริ่มทำหน้าเสียอกเสียใจ เขาเริ่มร้องไห้ออกมา ไกรกับชมพู่มองหน้าเจิดด้วยความสมเพช ในระหว่างที่ไกรกำลังคิดอยู่ว่า เขาควรจะทำอย่างไรกับเจิดต่อไปนั้น ที่ด้านหลังของเจิด วัตถุขนาดใหญ่ที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำ ได้พุ่งเข้ามาที่ริมตลิ่งอย่างรวดเร็ว  และไม่ทันที่เจิดจะขยับตัว ผิวน้ำที่ริมตลิ่งก็ระเบิดกระจาย และปรากฏเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ผิวน้ำพุ่งกระจายราวกับมีภูเขาไฟที่อยู่ข้างใต้ปะทุ มันเป็นส่วนหัวของจระเข้ขนาดมหึมาที่โผล่ขึ้นมา โดยมันเปิดปากกว้าง เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมที่ฝังอยู่เต็มปาก มันใช้ปากอันใหญ่โตของมัน งับเข้าที่ร่างของเจิดอย่างรวดเร็ว ลักษณะของมัน ไกรจำได้ดี โดยเฉพาะส่วนของตาซ้ายที่มีรอยแผลฉกรรจ์ เพราะถูกคมกระสุนเจาะเข้าให้อย่างจัง จระเข้ยักษ์แห่งลุ่มน้ำบางมุดกลับมาแล้ว !!

                    “อ๊าก !! ช่วยด้วย !!

                    ไกรกับชมพู่ตกตะลึงเมื่อเห็นภาพอันน่าสยดสยองนี้อีกครั้ง จระเข้ยักษ์ที่หลบหนีไปซ่อนตัว ไม่ยอมปรากฏตัวให้เหล่านาวิกโยธินเห็นเลยในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ได้กลับมาอีกครั้ง ตามเนื้อตัวของมันมีแต่รอยแผล แต่คราวนี้มันได้รักษาตัวมันจนมันเริ่มหิวกระหายเหยื่อ และกลับมาอาละวาดอีกครั้งหนึ่งแล้ว ปากของมันมีร่างของเจิดที่ดิ้นพรวดพราดอยู่ ดิ้นคาปากของมัน

                    “ไกร ช่วยพ่อด้วย ไกร”

                    ถึงแม้ว่าผู้กองหนุ่มจะได้ยินเสียงร้องขอให้ช่วยมาจากเฒ่าขี้เมาประจำบางมุด และเรียกแทนตัวว่าพ่อ ท้ายสุดแล้ว ผู้กองหนุ่มก็ได้แต่ยืนหลับตานิ่งๆทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ชมพู่ที่เห็นไกรยืนสงบนิ่ง ไม่ยอมสนใจ ไม่ยอมเข้าไปช่วย เธอก็พอจะเข้าใจดีว่าความรู้สึกของไกรนั้น เป็นอย่างไรในตอนนี้

                    “ให้ธรรมชาติเป็นคนตัดสินชะตากรรม กับความผิดของมึงละกัน ไอ้เศษเดนนรก !!

                    ไกรรีบคว้าข้อมือชมพู่พาเธอวิ่งหนี ในขณะที่จระเข้ยักษ์เริ่มบดขยี้ร่างอันบอบบางของเจิดด้วยเขี้ยวแหลมคมที่เต็มปาก เมื่อมันอ้าปากขึ้น ปล่อยให้เจิดได้มีโอกาสดิ้นและตะโกนขอให้คนช่วยเป็นครั้งสุดท้าย มันก็ปิดปากลงอย่างแรง เขี้ยวของมันแทงทะลุขั้วหัวใจของเจิดพอดี แขนขาของเจิด หลุดออกจากส่วนลำตัวร่วงลงสู่น้ำ ในคลองบางมุดเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด  และเมื่อมันแน่ใจว่าเหยื่อสิ้นใจเป็นที่แน่นอนแล้ว มันก็ค่อยๆกลืนร่างของเจิดลงคอ ก่อนจะค่อยๆกลับตัวคลานลงสู่ผิวน้ำแล้วดำหายไป

     

                                                                    …………………………………….

     

                    ข่าวคราวที่ไกรนำมาประกาศให้หน่วยนาวิกโยธินที่เตรียมจะปฏิบัติการในเที่ยงวันนี้ ทำให้พวกเขาต้องรีบวางแผนการออกล่าใหม่ เพราะจระเข้ยักษ์ได้กลับมาอีกครั้ง และโหดร้ายยิ่งกว่าเดิม ที่สำคัญคือ มันหิวโหยและกระหายเลือด อาจจะเป็นอันตรายมากยิ่งไปกว่าเดิม

                    “ไอ้เจิดตายแล้วเหรอไกร ?” เลิศเดินเข้ามาถามเพื่อความแน่ใจ

                    “แน่ซะยิ่งกว่าแน่ โดนเคี้ยวจนละเอียดขนาดนั้น แต่ก็ต้องขอบคุณไอ้เข้ยักษ์นี่ ที่กินไอ้เศษเดนมนุษย์อย่างเจิดมัน” ไกรพูดด้วยความสะใจก่อนที่จะหันไปมองชมพู่ที่กำลังตระเตรียมอุปกรณ์สำหรับช่วยค้นหาจระเข้ยักษ์

                    “แค่นี้เอ็งก็ได้ใจด็อกเตอร์ชมพู่มาครองแล้วว่ะไกร มึงไปช่วยเธอจากไอ้เจิดมาได้แบบนี้”

                    ไกรไม่ตอบ แต่เขาเดินเข้าไปหาชมพู่ที่กำลังตระเตรียมทั้งแลปทอป และเครื่องโซนาร์ที่เธอใช้วิธีหุ้มสายเคเบิลด้วยเส้นลวดดัดงอที่แข็งเป็นพิเศษ เพื่อกันสัตว์ร้ายอย่างจระเข้ที่อาจจะกัดสายจนขาดได้

                    “คุณโอเคไหมครับ ?

                    เมื่อชมพู่เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง เธอก็ยิ้มเมื่อเห็นว่าไกรเดินเข้ามาถามไถ่สภาพจิตใจหลังจากที่โดนเจิดพยายามจะทำมิดีมิร้าย หากไม่ได้ผู้กองไกรมาช่วยไว้ เธอก็คงจะเสร็จน้ำมือของพวกเดนสังคมอย่างเจิดไปแล้ว

                    “ไม่เป็นไรแล้วค่ะผู้กอง แต่เมื่อกี๊ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันไว้”

                    “ไม่เป็นไรครับ ผมแค่มีเรื่องอยากจะบอกด็อกเตอร์ เลยวิ่งตามด็อกเตอร์ไปน่ะครับ” ไกรตอบแบบซื่อๆ ซึ่งเมื่อเขาดันเผลอหลุดปากถึงเป้าหายที่เขาต้องการจะพูด ก็ทำเขาเริ่มพูดตะกุกตะกัก เลิ่กลั่กๆมากขึ้น นชมพู่เริ่มสงสัยในพฤติกรรมของผู้กองหนุ่ม

                    “เอ๋ ? มีอะไรจะพูดกับฉันเหรอคะ”

                    “อ่า ไม่มีแล้วครับ”

                    “อ้าว !? ก็เมื่อกี๊ผู้กองบอกว่า ที่วิ่งตามฉันไป เพราะมีเรื่องอยากจะพูดด้วย”

                    “ก็ คือว่า แค่อยากบอกว่า ไอ้ผาเพื่อนผม เอาบะหมี่มาให้ ยังไงด็อกเตอร์มาเอาที่บ้านผมด้วยนะครับ”

                    ไกรพูดจบก็รีบเดินหนีออกไปทันที หน้าตาของไกรตอนนี้ แดงกล่ำเหมือนลูกแอปเปิ้ล ชมพู่แอบอมยิ้มในความเปิ่นของไกร เธอไม่อยากจะเชื่อว่า คนที่จริงจังกับหน้าที่อย่างไกร จะสามารถเขินจนพูดไม่ออกแบบนี้ได้ เธอหันไปมองที่โต๊ะเหล็กที่วางอยู่ที่กลางเต๊นท์กรมประมง ซึ่งบนโต๊ะเหล็ก มีบะหมี่ 20 ถุงแบบแยกน้ำไว้ใส่ในถุงใหญ่ โดยที่เลิศเป็นคนเอามาให้ทีมงานของชมพู่ ในช่วงที่เธอเดินไปตามถนนลูกรังริมคลองในตอนเช้านั่นเอง

                    “เพื่อนเอามาให้ตั้งนานแล้วค่ะผู้กองจอมเปิ่น ” ชมพู่พูดลอยๆ ก่อนจะเริ่มนึกถึงตั้งแต่วันแรกที่เธอได้รู้จักกับไกรที่ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ จนกระทั่งมาพบกันที่คลองบางมุดแห่งนี้ ในฐานะเพื่อร่วมงานในภารกิจล่าจระเข้ยักษ์ ทำให้เธอได้เห็นด้านต่างๆ และอุปนิสัยของผู้กองไกร ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยกับเขามากขึ้น ยิ่งเห็นไกรมาช่วยเธอให้รอดพ้นน้ำมือของพวกเดนมนุษย์ และเมื่อเห็นถึงด้านที่เป็นคนทำอะไรเปิ่นๆ ตลกๆ เวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้หญิงยามนอกเวลางาน ก็ทำให้เธออดคิดถึงผู้กองไกรไม่ได้ว่า

                    “แต่ก็น่ารักดีนะ ” ชมพู่นึกไปอมยิ้มไป และแอบหน้าแดงนิดๆ

     

                    ช่วงสิบโมงเช้า ศาลาว่าการจังหวัดชุมพร ไกร เลิศ ด็อกเตอร์ชมพู่ เจ้าหน้าที่กรมประมงจากกรุงเทพ ตำรวจที่มีส่วนร่วมในภารกิจทุกนาย รวมทั้งหน่วยนาวิกโยธินทุกนาย ได้เข้าประชุมที่ห้องประชุมของศาลาว่าการจังหวัดชุมพร เพื่อรายงานขั้นตอนของแผนการที่จะใช้ในการล่าจระเข้ยักษ์ในครั้งนี้ ด้านนอกของห้องประชุม เต็มไปด้วยนักข่าวจากทุกสารทิศ ที่มารอทำข่าวการล่าจระเข้ยักษ์

                    “ที่ผู้กองบอกว่า มันปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว และได้ชาวบ้านไปกินอีกหนึ่งคนนี่ เป็นที่แน่ชัดว่ามันหายจากอาการบาดเจ็บที่ถูกระเบิดและระดมยิงเมื่อหลายวันก่อนแล้วใช่ไหม ?” ผู้ว่าฯเอ่ยปากถามไกรในห้องประชุม

                    “ครับท่าน ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่า มันต้องการที่จะประกาศสงครามกับเรา ผมขออนุญาตทุกท่าน อธิบายแผนการที่จะใช้ในการล่าจระเข้ยักษ์ตัวนี้”

                    ไกรขอให้ลูกน้อง เข็นกระดานไวท์บอร์ดเข้ามาที่ห้องประชุม ซึ่งบนกระดานไวท์บอร์ด มีภาพที่ใช้ปากกาเมจิกสีน้ำเงินเขียนเป็นภาพลักษณะของแผนที่ของลำคลองบางมุด โดยจุดเด่นที่เห็นก็คือจุดที่เป็นเวิ้งน้ำที่ขยายตัวเป็นวงกลมกว้าง ผู้กองหนุ่มใช้ไม้ยาวชี้ไปที่ตำแหน่งของเวิ้งน้ำทรงกลม เขาเขียนระบุว่าเป็น รังของเป้าหมาย

                    ผู้กองหนุ่มอธิบายว่า แผนการคราวนี้คือ เขาจะใช้ระเบิด C4 จากหน่วยนาวิกโยธิน โยนลงไปในเวิ้งน้ำ เพื่อต้อนมันให้ออกมาจากเวิ้งน้ำ และเมื่อมันออกจากเวิ้งน้ำ ตรงจุดที่ห่างจากพื้นที่ตั้งแคมป์ของหน่วยนาวิกฯ จะมีเหยื่อล่อเป็นหมูหนึ่งตัว นำไปลอยคออยู่ที่กลางคลอง อีกทั้ง  ถ้าจะรู้ว่ามันมาถึงหรือไม่ จะมีเครื่องโซนาร์ที่หุ้มลวดที่สายเคเบิลเรียบร้อย คอยจับสัญญาณ และหากว่ามันมาถึง ก่อนที่มันจะงับเหยื่อ ไกรจะแสดงสัญญาณให้ทุกคนที่ซุ่มอยู่ ระดมยิงด้วยปืนยาสลบใส่มันทันที แผนชุดแรกคือการจับเป็น

                    แต่หากว่าไม่ได้ผล ให้เปลี่ยนกระสุนยาสลบเป็นกระสุนปืนปกติ และระดมยิงต่อ สิ่งสำคัญที่คือ อย่าเข้าใกล้ริมน้ำหากไม่จำเป็น  และหากว่ายิงจนเป้าหมายแน่นิ่งแล้ว ให้ใช้อวนที่พ่วงเข้ากับรถลาก ยึดตัวจระเข้ยักษ์ไว้และลากตัวมันขึ้นบก ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจ

     

    ช่วงเที่ยง ชาวบ้านนับร้อย พากันมาที่เต็นท์ของหน่วยนาวิกโยธินเพื่อฟังคำชี้แจงของไกร ในการออกล่าจระเข้ยักษ์ในคราวนี้ โดยไกรได้พูดใส่ไมค์เพื่อให้ชาวบ้านที่ยังมาไม่ถึงจุดรวมพล หรือที่ยังอยู่ในบ้านใกล้ๆคลองได้รับทราบถึงข้อปฏิบัติในคราวนี้

                    “พ่อแม่พี่น้องชาวคลองบางมุดทุกคนครับ ผมในฐานะหัวหน้าทีมนาวิกโยธิน ขอประกาศไว้ ณ ที่ตรงนี้เลยว่า ผมจะไม่ยอมปล่อยให้จระเข้ร้ายตัวนี้มีชีวิตรอดต่อไปในคลองบางมุดสายนี้อีกต่อไป จากนี้ไปผมขอแนะนำทุกท่านถึงแผนการที่ผมจะใช้ในการล่าจระเข้ยักษ์ตัวนี้ ผมขอประกาศเลยว่า วันนี้จะต้องเป็นวันสุดท้ายของมัน !!

                    รถบรรทุกสำหรับพ่วงยึดอวนที่ซึ่ง เป็นอวนขนาดใหญ่ กว้างพอที่จะสามารถล้อมตัวจระเข้ยักษ์ได้ อาวุธปืน ปืนยาสลบ เหยื่อล่อ ตระเตรียมพร้อมไว้ที่ริมฝั่งคลองบางมุด โดยเลิศได้ใช้เรือตำรวจทั้งสิ้น 5 ลำในการที่จะออกล่า เรือยนต์ลำแรก นำทีมโดยเลิศเอง มุ่งหน้าไปยังเวิ้งน้ำใหญ่ โดยที่มีเครื่องโซนาร์ที่ชมพู่ให้ไว้อีก 1 เครื่องติดตัวไปด้วย

                    เมื่อมาถึง ร้อยตำรวจโทนายหนึ่งซึ่งเป็นลูกน้องของเลิศ ก็ได้หย่อนเครื่องโซนาร์ลงไป และเมื่อเปิดสวิตช์ที่หน้าจอ ก็พบว่า มีสัญญาณของวัตถุขนาดใหญ่ ทรงตัวนิ่งอยู่ที่ก้นคลอง วัดความห่างจากเรือได้ประมาณ 50 เมตร ซึ่งแน่นอนว่ามันคือจระเข้ เลิศดึงเกียร์ถอยเรือก่อนจะให้ จ่าสิงห์ จัดการโยนระเบิดลงไปในน้ำ แต่ให้ห่างจากเรือพอสมควร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×