ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : (บทความ) ทิศทางของการ์ตูนไทย
ผมต้องขอบอกก่อนว่าหนังผู้ใหญ่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงหนังAV นะครับ ผมหมายถึงหนังที่มีฉากอย่างว่าหรือมีความรุนแรงสูง หรือบางเรื่องก็จิกเรื่องใต้สะดือ เช่นเรื่อง กลีบเขมือบ (Teeth) เหล่านี้ครับ
และในด้านของการ์ตูนญี่ปุ่นก็ได้รับผลจากการจัดเรตนี้ด้วย ทำให้บรรดาการ์ตูนสำหรับวัยรุ่นเรื่องต่างๆ ค่อยๆทยอยกันเข้ามามากขึ้น เจาะเข้าหากลุ่มที่ชืนชอบการ์ตูนญี่ปุ่น เช่นอย่างล่าสุดที่ผมไปบูมเมอร์แรง ก็เห็นเรื่อง To aru Majutsu no Index และ Railgun วางคู่กัน หรืออย่างการที่ค่าย Rose ซื้อลิขสิทธิ์ The world only god knows (พี่เทพจีบสาว)
ตรงนี้ผมว่าอาจจะทำให้คนมีแรงบันดาลใจ ลอกผลงาน เอ้ย สร้างผลงานการ์ตูนไทยออกมาให้คนต่างชาติดูได้ดีขึ้น อันนี้ละผมกลัวว่าจะมีการเฟี้ยวแหลกเหมือน"ไซโดมอน" หรือไม่
วงการการ์ตูนไทยก็มีการเติบโตขึ้น หลังจากที่ผ่านยุครุ่งเรืองเมื่อหลายสิบปีก่อน (ผมเกิดไม่ทันหรอก แต่เจอในรายการโทรทัศน์บ้าง นิตยสารบ้าง) แล้วก็ตกต่ำลง โดยในปัจจุบันความรุ่งเรืองก็อยู่ในกลุ่ม Cartoonthai studio เป็นหลัก ซึ่งถ้าจะท้าวความจริงๆแล้ว เรื่องทีจุดไฟให้วงการการ์ตูนไทยก็หนีไม่พ้นเรื่อง Exe หรือเอ็กซีคิวชั่นแนลนี่เอง
แต่แน่นอนครับ ว่าการ์ตูนที่ลงในCartoonthai Studio ตอนนี้นับว่าห่างไกลจากระดับ "วรรณกรรม" ของญี่ปุ่นพอสมควร เนื่องจากโดยมากมักจะเป็นการ์ตูนบู๊ (บังเอิญการ์ตูนสายหลักได้รับอิทธิพลในไทยมาก) แนวแฟนตาซีเสียเป็นหลัก ที่แตกต่างออกไปบ้างก็มีมากมายแต่ก็ยังคงอยู่ในวงเวียนของการ์ตูนต่อสู้อยู่ดี
อย่างไรก็ตาม การ์ตูนไทยก็นับว่าพร้อมที่จะก้าวเข้าหาวรรณกรรมอยู่บ้าง ในทัศนคติของผมนะ เพราะการที่เรายอมรับความรุนแรงบางส่วนในการ์ตูนได้มากขึ้น การที่หลายๆคนรู้ดีว่าการ์ตูนไม่ใช่ของสำหรับเด็ก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ยังต้องอดทนซักนิดกับเรื่องแบบ Graphic Novel ซึ่งพูดให้ง่ายก็คือหนังสือการ์ตูนแนวโหดนั่นเอง ทุกอย่างต้องการเวลาเพื่อปรับตัว
ผมเคยอ่านการ์ตูนไทยที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ Graphic novel อยู่เหมือนกัน ซึ่งก็คือเรื่อง "ไพรดิบ" ของ CKidS ตัวเรื่องไพรดิบใช้ภาพที่ดูมืด ตัวเอกที่มืดมนและลึกลับ รวมไปถึงเลือดที่สาดกระจาย โดยตัวเอกก็สู้กลางไพร ต่อสู้กับเหล่าเจ้าพ่อเจ้าที่ทั้งหลาย (เจ้าพ่อตามความเชื่อไทยนะ ไม่ใช่เจ้าพ่อมาเฟีย)
ในตอนนี้ ต้องยอมรับว่าทิศทางการ์ตูนไทยค่อนข้างจะไปทางด้านแนวบู๊ โดยเฉพาะแนวบู๊แฟนตาซีซึ่งเป็นอิทธิพลจาก Jump อีกแนวหนึ่งที่ค่อยข้างเด่นคือแนวสยองขวัญซึ่งมาจากหนังผีเมืองไทยที่มีดราดาษเหมือนร้านอาหารรถเข็น เพียงแต่เรื่องแนวดราม่านี่สิ ทีน่าคิด ในเมื่อนิยายหรือเรื่องสั่นฝีมือคนไทยก็ไม่เคยเป็นรองใครอยู่ด้วย
โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าอาจจะเป็นการดีไม่น้อยถ้าการ์ตูนไทยจะมีแนวชีวิตบ้าง เพราะแนวชีวิตนั่นก็เป็นเสมือนการสะท้อนวัฒนธรรมแห่งชาติอย่างหนึ่ง (ถึงแม้่มันจะเ่น่าเฟะก็ตาม) และมันก็คงจะเปิดโลกการ์ตูนไทยให้กว้างกว่านี้ได้
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ของการ์ตูนญี่ปุ่นส่อเค้าตกต่ำจากการที่เปิดกว้างมากเกินไป (อย่างกรณีแบนการ์ตูนญี่ปุ่นยกชั้นที่ผ่านมา) มันก็เป็นการดีกว่าที่การ์ตูนไทยจะหลบอยู่ในหลืบแบบนี้ เพราะถ้าใหญ่เกินไปมันก็จะสะดุดตาและกลายเป็นความไม่พอใจ จนหักพังลงได้ในพริบตาเหมือนกัน
ท้ายที่สุดแล้วมันก็ต้องอิงญี่ปุ่นอยู่เหมือนกัน (จะอิงชาติอื่นๆก็ได้) ผมตอบอะไรไม่ได้ว่าเราควรจะทำอย่างไร แต่พูดจากใจจริงคือ ผมอยากให้การ์ตูนไทยมีหลากหลายแนวกว่านี้ครับ
ทิ้งท้ายบทความ-ตอนต่อไปก็ถึงคิว ANo hana แล้วครับ
อย่างไรก็ตาม การ์ตูนไทยก็นับว่าพร้อมที่จะก้าวเข้าหาวรรณกรรมอยู่บ้าง ในทัศนคติของผมนะ เพราะการที่เรายอมรับความรุนแรงบางส่วนในการ์ตูนได้มากขึ้น การที่หลายๆคนรู้ดีว่าการ์ตูนไม่ใช่ของสำหรับเด็ก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ยังต้องอดทนซักนิดกับเรื่องแบบ Graphic Novel ซึ่งพูดให้ง่ายก็คือหนังสือการ์ตูนแนวโหดนั่นเอง ทุกอย่างต้องการเวลาเพื่อปรับตัว
ผมเคยอ่านการ์ตูนไทยที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ Graphic novel อยู่เหมือนกัน ซึ่งก็คือเรื่อง "ไพรดิบ" ของ CKidS ตัวเรื่องไพรดิบใช้ภาพที่ดูมืด ตัวเอกที่มืดมนและลึกลับ รวมไปถึงเลือดที่สาดกระจาย โดยตัวเอกก็สู้กลางไพร ต่อสู้กับเหล่าเจ้าพ่อเจ้าที่ทั้งหลาย (เจ้าพ่อตามความเชื่อไทยนะ ไม่ใช่เจ้าพ่อมาเฟีย)
ในตอนนี้ ต้องยอมรับว่าทิศทางการ์ตูนไทยค่อนข้างจะไปทางด้านแนวบู๊ โดยเฉพาะแนวบู๊แฟนตาซีซึ่งเป็นอิทธิพลจาก Jump อีกแนวหนึ่งที่ค่อยข้างเด่นคือแนวสยองขวัญซึ่งมาจากหนังผีเมืองไทยที่มีดราดาษเหมือนร้านอาหารรถเข็น เพียงแต่เรื่องแนวดราม่านี่สิ ทีน่าคิด ในเมื่อนิยายหรือเรื่องสั่นฝีมือคนไทยก็ไม่เคยเป็นรองใครอยู่ด้วย
โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าอาจจะเป็นการดีไม่น้อยถ้าการ์ตูนไทยจะมีแนวชีวิตบ้าง เพราะแนวชีวิตนั่นก็เป็นเสมือนการสะท้อนวัฒนธรรมแห่งชาติอย่างหนึ่ง (ถึงแม้่มันจะเ่น่าเฟะก็ตาม) และมันก็คงจะเปิดโลกการ์ตูนไทยให้กว้างกว่านี้ได้
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ของการ์ตูนญี่ปุ่นส่อเค้าตกต่ำจากการที่เปิดกว้างมากเกินไป (อย่างกรณีแบนการ์ตูนญี่ปุ่นยกชั้นที่ผ่านมา) มันก็เป็นการดีกว่าที่การ์ตูนไทยจะหลบอยู่ในหลืบแบบนี้ เพราะถ้าใหญ่เกินไปมันก็จะสะดุดตาและกลายเป็นความไม่พอใจ จนหักพังลงได้ในพริบตาเหมือนกัน
ท้ายที่สุดแล้วมันก็ต้องอิงญี่ปุ่นอยู่เหมือนกัน (จะอิงชาติอื่นๆก็ได้) ผมตอบอะไรไม่ได้ว่าเราควรจะทำอย่างไร แต่พูดจากใจจริงคือ ผมอยากให้การ์ตูนไทยมีหลากหลายแนวกว่านี้ครับ
ทิ้งท้ายบทความ-ตอนต่อไปก็ถึงคิว ANo hana แล้วครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น