ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีคแห่งสายลม(อาริตา)

    ลำดับตอนที่ #25 : 25

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.72K
      9
      17 ส.ค. 52

    ชีคแห่งสายลม25
    ไม่ง่ายเลย...ชีคหนุ่มบอกตัวเองกับการร่ายมนต์เพื่อให้ตัวเองกลายร่างจากคนเป็นนกฮูก...และเมื่อเขาต่อรองว่าเขาอยากเป็นนกเหยี่ยว เธอก็มองค้อนแล้วบอกว่า

    “เป็นนกฮูกยังทำไม่ได้ บังอาจจะเป็นนกเหยี่ยว” เจ้าคนมอมแมมทั้งต่อว่าทั้งโวยวาย...เพราะท่องมนต์หลายหนเพื่อเป็นแค่นกฮูกตัวน้อยๆ เขาก็ทำไม่ได้ แล้วเขายังต้องการจะทำตัวยิ่งใหญ่อย่างนกเหยี่ยว...ต้องการแปลงร่างยิ่งใหญ่กว่านั้น มีคำร่ายมนต์หลายคำมากกว่าแค่เป็นนกฮูก

    “ทำไม ก็นกเหมือนกัน มีสองขา สองปีก”

    เขาเถียง และเรื่องแบบนี้มีหรือเขาจะยอม เพราะเหมือนยอมแพ้และอ่อนข้อง่ายไป เขาเคยเป็นเช่นนั้นเสียที่ไหน...อีกอย่าง...ประหลาดมาก...ปกติเวลาอยู่กับอิสตรี...เขาไม่เคยมานั่งทำเรื่องแบบนี้

    แบบไหนน่ะหรือ...มาต่อปากต่อคำ...มาหัดร่ายมนต์ มันเป็นเรื่องหลงใหล งมงายไปไหมสำหรับคนที่มั่นคงในศาสนาอย่างเขา

    เขาเริ่มสงสัยว่าเธอมาจากดินแดนที่ศาสนาเป็นแบบใด...ลัทธิใด...แต่ชีคหนุ่มรู้ว่าการพูดคุยเรื่องศาสนานั้นไม่สมควร เอาแค่ว่าปกติยามอยู่กับอิสตรี เขาไม่ทำตัวแบบนี้มาก่อน ไม่ได้มีการโอบกอด ไม่มีการทำเสน่หา...

    เขาเป็นผู้ชาย เรื่องเสน่หานี้เกิดได้ง่ายดายกับความงามความเย้ายวน...หรือมีบ้างไม่สวยเลิศเลอ แต่อิสตรีจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือกลิ่นอันรัญจวนใจ กลิ่นของอิสตรีไม่สาบเท่ากลิ่นบุรุษ มันเป็นกลิ่นหอมที่ทำให้หัวใจกระเจิดกระเจิง

    แม้เธอจะหน้าตามอมแมม แต่เขาเชื่อว่าเธอซ่อนความงามเอาไว้หลังความมอมแมม เขาเชื่อเกือบจะแน่นอนแล้ว เมื่อแรกไม่แน่ใจนัก แต่ยามนี้ได้แน่ใจแล้วว่าน่าจะเป็นไม่ว่าจะเจ้าเด็กมอมแมมหรือสาวสวยในชุดสีแดง ย่อมเป็นคนคนเดียวกัน

    “แปลงเป็นเหยี่ยวยากกว่า” เชคีซีรีนยืนยัน

    “สอนเราไม่ได้ก็บอกมาซะดีๆ ดีกว่า”

    โอย...โดนสบประมาท เธอเกือบจะทนไม่ได้ และคนอย่างเชคีซีรีนนั้นเมื่อถูกท้าทายขนาดนี้มีหรือจะยอมอยู่เฉย...เธอก็พยายามร่ายมนต์ประกอบให้ตัวเองแล้วสิ่งที่เขาได้เห็นคือกระต่ายหูยาวสีขาว...

    ชีคหนุ่มหัวเราะ “พวกตัวน้อยๆ อีกแล้ว...”

    กระต่ายหายไปกับตา กลับเป็นตัวของเธอตามเดิม “เอาเป็นนกฮูกหรือกระต่ายล่ะ”

    “เราเลือกได้แค่สองเองหรือ นกเหยี่ยวล่ะ”

    “เอ๊ะ...ทำไมอยากเป็นแต่เหยี่ยว...หรือว่าเวลาไปปล้น จะได้ดูดุร้ายน่าเกรงขาม”

    เธอเหน็บกลับ แต่เขาไม่ได้ถือโกรธ นอกจากขำ

    “ยังจะมาหัวเราะ รู้ไหมเป็นโจรไม่ดี”

    “รู้” ตอบสั้นๆ

    “อย่าทำอีกนะ”

    “อือ...”

    “หากทำเราจะตีท่าน”

    “ตีเรา?”

    “ใช่”

    “กล้าหรือ”

    “กล้า”

    “ไม่กลัวโดนตีเสียเองหรือ ที่จริงไม่ต้องตีเจ้าก็ได้ เราแค่ผลักเจ้าเบาๆ เจ้าก็ไปกับลมแล้ว”

    “ลองสิ...ลองมาผลักข้า...ทำไมท่านต้องเป็นโจร”

    “เราจะไม่พูดกันเรื่องนี้ ดีไหม”

    “ทำไม”

    เขาสบตากับเธอก่อนจะเอ่ยว่า “เพราะเราจะไม่ไปปล้นใครอีก ตอนนี้เราโดนแอบอ้างชื่อด้วย มีคนอื่นใช้ชื่อเราไปปล้น เราต้องเร่งจัดการยุติเรื่องนั้นให้ได้ ก่อนที่เราจะมีอันตราย ที่ผ่านมา...เราอาจจะแก้ตัวด้วยการทำตัวให้ดีกว่าเดิม”

    “ก็ดี ท่านว่าง่ายเหมือนกัน ถ้านั้นเรามาร่ายคาถากันต่อ ตกลงเลือกอยากเป็นอะไร ระหว่างกระต่ายกับนกฮูก”

    “นกฮูกดีกว่า นกบินได้ แต่ตอนนี้เราหิว เรามาหาอะไรกินกันก่อนดีไหม”

    เขาพาเจ้าเด็กมอมแมมเข้าไปในห้องอาหาร ทุกอย่างที่นี่ดูงดงาม อลังการ...เธอคิดถึงบ้านอีกแล้ว ห้องอาหารที่บ้านเธอไม่ได้หรูหราอลังการเฉกเช่นนี้..และอาหารก็ล้วนแล้วแต่หน้าตาน่ากิน นางสาวใช้เข้ามานำอาหารเข้ามาเงียบๆ
    โดยมีนางริฟฟาห์คอยเฝ้าเพียงคนเดียว เขานั่งตรงกันข้ามกับเธอที่โต๊ะใหญ่ยาว...

    “ทำไมต้องมีโต๊ะตัวใหญ่ด้วย”

    “เพราะเรามีเพื่อนมากินข้าวด้วยบ่อยๆ”

    “เพื่อนกินหรือ”

    “ใช่”

    “มีเพื่อนกี่คน”

    “มาก นับไม่ถ้วน...เรานับทุกคนเป็นเพื่อนหมดนะ...ปกติ เราเรียกพวกหนุ่มๆ มากินกับเราด้วย...”

    “เขาเป็นคนของท่าน เป็นองครักษ์ เป็นทหาร และเป็นคนทำงานให้ไม่ใช่หรือ ทำไมท่านกินอาหารกับพวกเขา” ซีรีนเอ่ยถามเสียงนุ่มนวลนัก

    “เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้นะ เราต้องพึ่งพาคนอื่น แล้วเมื่อเราขึ้นมานั่งอยู่เหนือคนอื่นด้วยแล้ว เราจะทำตัวให้เขารัก...ไม่ใช่ห่างเหิน พวกเขาเป็นมือเท้าแขนขา...ที่ช่วยพยุงเราเอาไว้ให้อยู่ได้”

    เธอมองเขา...มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เธอคิดถึงพ่อ...พ่อผู้แสนยิ่งใหญ่ของเธอ

    “ท่านเหมือนพ่อข้า”

    “ไม่...” เขาปฏิเสธแล้วหัวเราะลั่น

    เชคีซีรีนทำหน้าเหรอหรา รู้สึกเสียหน้า

    “เราไม่อยากเป็นพ่อเจ้า...” เสียงอธิบายต่อ

    และเธอเริ่มเข้าใจ เธอแกล้งทำหน้าขึงตาดุใส่ “เราแค่ว่าบางส่วนท่านเหมือนพ่อข้า”

    “แล้วไป”

    และหลังจากมื้ออาหารแสนอร่อยนั้น...เธอก็เพียรพยายามสอนเขาท่องมนต์ แต่ดูเหมือนจะยากเย็นเอาการเพราะชีคหนุ่มทำได้แค่ตีปีกกระพือพึ่บๆ มีหน้าเป็นนกฮูก และตัวเป็นคนไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ก็ได้แค่นั้น

    เชคีซีรีนหัวเราะจนตัวไหวโยนเพราะที่เห็นเบื้องหน้า “หมดกันเลย ชีครูปงามกลายเป็นหน้านกฮูก แถมมีปีกอีก”

    เขากลับมาเป็นตัวเองอีกหน “คนสอนไม่เก่ง” เขาโทษคนสอน ไม่ยอมโทษตัวเอง

    “คนเรียนไม่ดี” มีหรือเธอจะยอมให้เขาต่อว่า ที่จริงไม่อยากบอกว่าหลังจากรู้มนต์นี้จากแม่เฒ่ามายอห์แล้ว...

    “สอนดีก็ต้องทำได้” ชีคหนุ่มเถียงกลับ

    “ไม่มีทาง ท่านคงทำไม่ได้ ไม่มีทางแล้ว”

    เธอท่าทางอ่อนใจ และเธอก็รู้ว่าจะมัวหลงกลอยู่ที่นี่ไม่ได้ เธอควรจะกลับไปนอนพักได้แล้ว เพราะรู้สึกได้ว่าชีคหนุ่มพยายามหลอกล่อเธอเอาไว้ที่นี่ด้วยเล่ห์อันร้ายกาจที่ซุกซ่อนอยู่ เธอเชื่อเขามีอะไรในใจและพยายามดักต้อนเธอเอาไว้ที่นี่ อยู่กับเธอนานๆ...เหมือนไว้วางใจไม่ได้ เธอมีความระแวงอยู่มากมายในเวลานี้ ก็เธอเห็นดวงตาคมแพรวพราวของท่านชีคเจ้าของตำหนักนาดา

    บ้านเขา...ตำหนักนาดาเป็นบ้านเขา

    แม่เคยบอกว่าเสือมีรังหรือถ้ำของตัวเอง...ท่านชีคก็เหมือนเสือ หากเขาอยู่ในถ้ำของเขาเอง เธอจะลำบาก...เสือจะเลือกขย้ำสัตว์เล็กกว่า อ่อนแอกว่าเสมอ เธอควรจะไปจากตำหนักนาดา ไปอยู่ที่ตำหนักในรอยาฮิม น่าจะปลอดกว่าและเธอไม่ได้เจอกับอาบิสและซินาสมาข้ามวันแล้ว สองคนนั้นคงจะห่วงเธอ และเมื่อเธอขอกลับไปตำหนักใน ชีคหนุ่มก็ถามว่า

    “กลัวเราหรือ”

    “กลัวสิ”

    “กลัวอะไร”

    “กลัวท่านปล้ำข้า”

    เขาหัวเราะ...ขำ....นึกอยากแกล้ง “ปล้ำไม่ลง เราบอกเจ้าหลายหนแล้ว มอมแมมอย่างนี้เราไม่ปรารถนา”
    แล้วเขาก็ได้เห็นหน้าตาง้ำงอของเธอ ยิ่งนึกสนุกมากกว่าเดิมหลายเท่า

    “เจ้าก็เห็น ขนาดนางกำนัล นางสาวใช้ที่นาดาก็งามกว่าเจ้ากันมากนัก...หรือแม้แต่พี่อาบิสของเจ้า แม้ไม่ใช่สตรีแท้ก็งามกว่าเจ้า...ผู้หญิงอะไรไม่รู้จักทำหน้าตาให้สะอาด”

    “หน้าข้าเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่เห็นใจข้า”

    “เป็นเช่นไร”

    “ท่านคิดว่าหน้าข้ามอมแมมเพราะอะไร”

    “อือ...”

    “ท่านคิดว่าข้าอยากมอมแมมหรือ” เสียงถามอ้อยอิ่ง หน้าตาสลด...เขาหรี่ตามอง

    นั่นสาวน้อยแกล้งเย้าเขาเล่นหรือไม่...เขาแน่ใจแล้วว่าคือคนเดียวกัน...หน้านั้นทาด้วยคราบสีให้เปื้อนให้มอม เสื้อผ้าก็สวมใส่ชุดเก่า...มีกลิ่นสาบของผ้า...นี่หากจับไปเดินข้างถนน ก็คงกลมกลืนไปกับผู้คนที่เดินอยู่ คนข้างถนน...มอมแมม...ไร้สีสัน...ดูเรียบกลมกลืน นอกจากจะจับมาพิศดูใกล้ถึงจะเห็นว่าความมอมแมมโดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นงามนัก
    ยังจะริมฝีปาก...เขากำลังจะผิดวาจาตัวเอง...

    จะเป็นไรไหม หากเขาจะเอ่ยเสียใหม่...

    เขาอยากจูบปากนั้น…อยากเอาริมฝีปากหนาๆ ของเขาเองไปทาบกับริมฝีปากของเธอ

    “ข้าอาบน้ำแล้ว ล้างหน้าแล้ว ก็ยังมอมแมม“

    “หรือจะให้เราอาบน้ำให้เจ้าเอง”

    “ได้อย่างไรกัน ท่านเป็นบุรุษ จะมาอาบน้ำให้สตรีได้ไยกัน”

    “เราอาบให้มาเยอะแล้ว”

    เธอก็หน้าบึ้ง “ต้องคุยอวดกันด้วยหรือ เราเห็นนะ...วันงานมีสองสาวเกาะซ้ายเกาะขวา...จนแทบจะเอาตัวไม่รอดหากข้าไม่ไปช่วยเอาไว้ก็จะโดนทึ้งกินไม่เหลือซาก”

    ชีคหนุ่มหัวเราะ มองดูกิริยาเชิ่ดๆ นั่นบ่งบอกว่าหึงหวงเขาด้วยหรือเปล่า

    “ข้าจะกลับบ้าน”

    “บ้านเจ้าอยู่ที่ใด”

    “ตอนนี้บ้านข้าอยู่ตำหนักใน...ข้าอาจจะกลับไปหาคนของข้าด้วย ป่านนี้พวกเขาคงรอข้าอยู่...”

    “เราจะไปส่ง”

    “ข้าไปเองได้”

    “ไปอย่างไร บินไปหรือ นั่งรถดีกว่า...”

    เขาจะไปพบท่านแม่และท่านป้าด้วย อีกทั้งยังคาดคั้นถามมาตลอดทางว่าเธอหายไปไหนมาหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่เธอปิดปากเงียบไม่ยอมตอบ จนเขาถอนใจ

    “รู้ไหม เราห่วง”

    เธอไม่ยอมตอบว่ารู้สึกหรือคิดอย่างไรกับคำนั้น คำว่า “เราห่วง” เน้นหนัก...บอกชัดว่าห่วงจริงๆ...

    แต่เธอก็ทำตาโต...มองเห็นประกายในความสลัว “ห่วงทำไม”

    “กลัวเจ้าหายไป”

    “แล้วอย่างไรอีก”

    “เราก็หมดสนุกสิ”

    “หมดสนุกอย่างไร”

    “หมดโอกาสแกล้งเด็กมอมแมม”

    “นั่นคือความห่วงเหรอ”

    “ใช่”

    “ไม่ใช่มั้ง...” เธอบอกปัด เสียงสะบัด “ท่านอยากแกล้งข้าเล่น เสียแรง...เสียแรงจริงๆ” เสียงอดจะสั่นสะท้านไม่ได้ แล้วเธอก็เบือนหน้าหนี...ไม่อาจจะเอ่ยต่อ แต่ที่กลับมา...เพราะเสียงหัวใจบอก แม้น้าสาวจะพยายามทดแทน
    แล้ว เธอดิ้นรนกลับมาเอง... “ไม่เป็นไร...เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าไปก็ได้”

    “ไปไหน”

    “ไปตามทางของข้า หรือท่านคิดว่าข้าไม่มีที่ไป”

    “อือ...”

    “ใช่ไหม ท่านคิดว่าข้าจะมาพักพิงชวนรำคาญหรือไม่”

    “ทำไมใจน้อยนัก...” เขาไม่ได้ตอบ แต่กลับมีคำถาม

    “ข้าไม่ได้ใจน้อย”

    “เจ้าแสดงออกมายังจะมาปฏิเสธอีก”

    “ข้าจะไปจากบูราไบแล้วไม่หวนกลับมาอีก”

    รถจอดหน้าตำหนักรอยาฮิมตรงปีกตึกของท่านหญิงมะยาห์ดี ที่เธอพำนัก...และก่อนที่เชคีซีรีนจะสะบัดลงจากรถไป
    เขาก็คว้าแขนเธอเอาไว้

    “ปล่อยข้า” เสียงแข็งกระด้างหู

    “เด็กน้อยเอย ไยแง่งอน”

    เธอเม้มปากนิ่งอยู่

    “เราเริ่มรู้สึกแล้วนะว่าเราอาจจะต้องทำตามที่เจ้าปรารถนา”

    “ทำสิ่งใด...”

    “คุกเข่า”

    โอย...แย่แล้ว อันตรายอย่างยิ่งแล้ว หากเขาจะคุกเข่าลงแล้ว...ขอ....สิ่งนั้น...ขอให้เขาได้จูบเธอ น่าจะเป็นเช่นนั้น...
    ทั้งที่เป็นคนลั่นวาจาเอง แต่ทำไมตอนนี้เธอนึกกลัว...

    กลัวเขาจะจูบเธอ เชคีซีรีนคนกล้ากลายเป็นคนขลาดไปแล้วหรือไร

    เธอสะบัดแขนอย่างแรงและเขาได้ตระหนักอีกหนว่าร่างเล็กบอบบางก็จริงแต่เรี่ยวแรงช่างมากมายเสียนี่กระไร ดูเธอทรงพลัง เหมือนมีเวทมนต์วิเศษมากกว่าการแปลงกายได้...และมีอะไรอีกหลายอย่างที่ชวนสงสัยถึงที่มาของเธอ....เขาไม่ได้รุกเร้าตามติดแต่ยอมให้เธอจากไป....ตอนสบตาก่อนจะหันหลังให้กันนั้น....ชีคหนุ่มหยอดแววตาอ่อนโยนและรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ เชคีซีรีนก็รีบก้าวถอยหนี

    ไม่นะ ซีรีน ไม่นะ...

    แต่เป็นเธอไม่ใช่หรือที่ดึงดันบอกกับอัสมาว่าจะกลับบูราไบ กลับมาเพื่อเขา...และยังบอกอย่างบ้าระห่ำอีกด้วยว่าหากเขาไม่จูบเธอ ก็ไม่เป็นไร แต่เธอจะจูบเขาเอง

    ตอนนี้เธอยังกล้าจะพูดเช่นนั้นอีกหรือไม่หนอ


    รอม์ฮิมเป็นคนรินน้ำชาให้กับท่านแม่และท่านป้า....น้ำชายามดึก....อากาศค่อนข้างเย็น...และไม่เคร่งเครียดกับการสนทนา เขาทูลถวายเรื่องโจรสายลมตัวปลอม สองหญิงผู้สูงศักดิ์พากันตกพระทัยเป็นอันมาก...

    “แล้วจะลงเอยแบบไหน”

    “หม่อมฉันจะฉวยโอกาสนี้” เสียงทูลตอบหนักแน่นบอกว่าผ่านการใคร่ครวญมาอย่างดีแล้ว “ที่จะปิดฉากชีวิตโจรสายลม...ที่จริงหม่อมฉันก็ไปปล้นแค่สามครั้งเท่านั้น...ได้เงินมากพอทำตามที่หวังเอาไว้...โรงทานก็เป็นรูปร่าง มีเงินหมุนเวียนต่อและตอนนี้ เท่าที่ได้รับรายงานจากเจ้ากระทรวงมาว่าลูกค้าชื้อน้ำดิบมากกว่าที่คาดเอาไว้ ไม่รวมถึงน้ำที่พร้อมดื่มบรรจุใส่ขวดหรือแกลลอนขาย...เราคงจะมีรายได้ไม่น้อยจากการนี้

    “ขอบคุณอะไรดี นอกจากพระเจ้าละ รอม์ฮิม” ท่านหญิงมะยาห์ดีเอ่ยถาม

    “ขอบคุณน้ำที่ท่วมทะเลสาบฮาวา”

    “แล้วลูกเชื่อไหมว่าน้ำนั้นมีที่มา”

    ชึคหนุ่มขยับตัวท่วงท่ากระตือรือร้นเป็นอันมาก “หม่อมฉันอยากมาทูลถามเรื่องนิทานที่เล่ากันมาเกี่ยวกับอดีตกาลของ อัล นาจาห์” เขาจำชื่อนี้จได้แม่นยำนัก

    “จะเริ่มเชื่อแล้วหรือ” ท่านหญิงมะยาห์ดีเอ่ยถาม มองค้อนๆ “แต่ก่อนละหัวเราะเยาะป้า”

    “ผมเริ่มสงสัยท่านป้า.. อยู่ ๆน้ำก็มา...ผมเก็บกระบอกตะกั่วได้จากน้ำ ในนั้นมีภาพเขียนสาวสวยและมีนกฮูกตัวน้อย...พร้อมกันนั้นผมก็เจอเจ้าเด็กมอมแมม...ที่แปลงกายเป็นนกฮูกได้”

    เขาเล่าไป มองดูท่าทางของหญิงสูงศักดิ์ทั้งสองด้วยว่ามีเรื่องเป็นพิรุธหรือไม่ และนั่นไง...เขาได้เห็น ท่านแม่กับท่านป้าสบตากันเอง..เขากระแอมในคอ

    “มีอะไรอยากสารภาพกันไหมพะยะค่ะ”

    “ไม่มี...” ท่านหญิงมะยาห์ดีเอ่ย

    “แต่ว่า เล่าไปดีกว่าไหม ท่านพี่”

    “ผมยินดีรับฟังถึงเช้านะ ท่านป้า” ชีคหนุ่มบอกย้ำ แกมหัวเราะนุ่มๆ จิบน้ำชาไปพลางๆ ทำท่าเหมือนว่าสำราญใจ “ผมพร้อมจะฟังนิทานเรื่องนั้นแล้ว ท่านป้า”

    เจ้าหญิงฟะรีฮาทรงพระสรวล “หรือเพราะว่าสาวสวยคนนั้นจับใจเจ้า รอม์ฮิม ว่าแต่เจ้ารู้จักหัวใจตัวเองหรือยัง”

    “ท่านแม่หมายความถึงอะไรพะยะค่ะ”

    “เจ้ารู้ ว่าแม่หมายถึงอะไร...แต่แม่ต้องถามเจ้าก่อนว่าหัวใจเจ้ามีไหม”

    “อ้าว...ไม่มีได้ยังไงกันพะยะค่ะ” เขาแกล้งทำหน้าขึงขังเป็นอย่างยิ่ง “ต้องมีสิพะยะค่ะ หัวใจของหม่อมฉันมีอยู่
    กับตัวและเป็นหัวใจที่ได้รู้แน่แล้วว่าใครเป็นใคร จะเด็กมอมแมมใหรือสาวสวยเฉิดฉายที่ท่านแม่พาไปงานค่ำคืนวันนั้นก็หาใช่คนอื่น..คนเดียวกัน จริงไหมพะยะค่ะ” พูดแล้วชายตาไปทางท่านหญิงมะยาห์ดี

    “ลูกรู้แล้วใช่ไหม” คำถามอ่อนโยน “ลูกได้รู้ว่าไม่ว่าจะถูกกลบด้วยความมอมแมม แต่ตัวตนแท้จริงเป็นอย่างไร”

    “รู้แล้วพะยะค่ะ”

    “ทีนี้ลูกรู้อีกหรือไม่ว่าสวยความสวยงามไม่ใช่เนื้อแท้ หรือลูกจะพอใจสาวสวยมากกว่าเด็กมอมแมม”

    “เด็กมอมแมมคนนั้นได้ช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้....หนี้ชีวิตใหญ่หลวง อีกทั้งหม่อมฉันได้รู้ว่าเข้าใกล้เจ้าเด็กมอมแมมคนนั้นแล้วหม่อมฉันมีความสุข”

    “เป็นความสุขแบบใด”

    “ความสุขแบบที่หัวใจอบอุ่น ถูกเติมเต็ม หม่อมฉันมีเรื่องพูดคุย ต่อล้อต่อเถียงไม่จบสิ้น ไม่อยากให้อยู่ห่าง”

    “แล้วสาวสวยเล่า รอม์ฮิม” คนเป็นป้าเอ่ยถาม

    ชีคหนุ่มอมยิ้ม “ผมชอบคนสวยนะ ท่านป้า ไม่มีผู้ชายคนไหนปฏิเสธคนสวยได้ แต่ผมรู้ว่า นั่นเหมือนผมถูกมนต์สะกด....คำสี่คำหลังภาพเขียนที่ถูกส่งมาถึงมือผม เพียง-พบ-ผูก-พัน เหมือนทำให้ผมหลงใหล แต่กับเจ้ามอมแมมคนนั้น ผมไม่ได้ถูกมนตราใดนอกจากมนตราแห่งรัก”

    “เอาละ รอม์ฮิม ลูกก็เคยพบพานสาวสวยหรืองาม มากเสน่ห์มาไม่น้อย หากคราวนี้ลูกจะจริงจังแม่ก็อยากสนับสนุน แม่โทรไปหาอัล และเขาให้แม่คุยกับอัสมา...”

    “อัสมา...เอ๊ะ... ชื่อคุ้นมาก”

    “อัสมาตามอับดุลลามาจากอัล นาจาห์ และอัสมามีพี่สาวอีกคนที่ทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง เชคีมารีอาห์....ที่เคยถูกสาปเป็นครึ่งคนครึ่งนก”

    พระเทวีแห่งบูราไบนำเอาหนังสือเก่าที่มีทั้งเนื้อหาและภาพวาดประกอบออกมา พระนางวางหนังสือมาตรงหน้าเขา...

    “อยากเห็นพ่อของซีรีนหรือไม่”

    เขาลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดดู ก่อนจะผงะ

    “นั่นคืออสูรร้ายแห่งอัล นาจาห์”

    ดวงหน้านั้นดุดันน่ากลัวยิ่ง...

    “เรารู้จักกันในนามอควา ทุกคนเชื่อว่าเป็นเรื่องเล่ามาตลอด ตราบจนเจ้าหญิงอะมีร่าห์ พระธิดาบุญธรรมของเจ้าชายโมฮาผิดหวังและขมขื่นเคียดแค้นต้องการจะแก้แค้น ถึงกับบุกผ่านเวลาไปพาอความาไว้ที่บ้านของเธอ และให้เขาสอนเวทมนต์ให้เพื่อจะมให้เรย์มอนด์ พระสวามีของเจ้าหญิงโซยาหลงรัก และเพื่อตัวเองจะได้กลับมาเป็นคนสำคัยอีกครั้งหลังจากเจ้าขายโมฮาถูกเนรเทศจนจามิลไปสร้างเมืองใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน”

    นั่นคือเรื่องราวที่เขาเคยรู้ แต่ไม่เคยลงไปใส่ใจ

    อควาคนนี้เองหรือ อสูรร้าย...

    “เจ้าหญิงอะมีร่าห์จบชีวิต...อับดุลลามีรอยแผลเป็นที่หน้าและที่หัวใจ เขาเลยเดินทางตามอควาไป เป็นองครักษ์ตามที่อัสมาว่าจ้าง...ดูแลเชคีมารีอาห์ที่เป็นนกฮูกและถูกปองหมายชีวิต ครั้นอับดุลลาช่วยถอนคำสาป อัสมากลับมาสวยงามตามเดิมไม่ต้องหลบซ่อนในร่างบุรุษ และไม่ต้องมีหน้าตาที่อัปลักษณ์ อับดุลลาพาอัสมากลับมาอารูก้า เชคีมารีอาห์ก็อยู่อัล นาจาห์ แต่แม่เพิ่งรู้ว่าสเธอกับอควาแต่งานกันและมีลูกสาว”

    “ตกลงว่านั่นเป็นเรื่องจริงหาใช่แค่ตำนานตามที่เราเคยเชื่อ”

    “แต่แม่ว่ามีคนรู้ว่าจริงอยู่ไม่กี่คน”

    “ตอนนี้มีหม่อมฉันด้วย” ชีครอม์ฮิมรำพึง “ซีรีนจะเคยเห็นภาพนี้หรือไม่”

    “แม่คิดว่าไม่น่าจะเคยเห็น อควาคงไม่ทำให้ลูกหรือชาวเมืองตกใจ หากเขาจะแสดงตัว”

    “แล้วจะทำอย่างไรพะยะค่ะ” ชีครอม์ฮิมเริ่มเป็นกังวล “หากซีรีนมาจากที่นั่น เมืองในอดีต ลึกลับ เหลื่อมเวลากับเรา...แต่ซีรีนมีตัวตน...น้ำท่วมที่ฮาวา และซีรีนออกจากเมืองมา...หม่อมฉันมองเห็นอะไรหลายอย่าง และทูลสารภาพเลยว่ากลัว”

    “ลูกจะกลัวมากกว่าเดิมไหม อัสมาบอกแม่ว่าอัล นาจาห์เป็นเมืองล่มไปแล้ว พ่อแม่เลยส่งลูกสาวออกมาให้รอดชีวิต!”
    ชีครอมห์ฮิมไหวยะเยือก “หมายความว่าเธอจะไม่มีบ้านให้กลับไป”

    “ไม่มีทางจะกลับไปได้ด้วย น้ำท่วมแล้วทั้งเมือง”

    “โอ....”

    “เจ้าจะตัดสินใจอย่างไร รอม์ฮิม” พระเทวีตรัสถาม “อัสมาบอกแม่ด้วยว่าจะให้ซีรีนพักที่อารูก้า เอาตัวไว้แต่ซีรีนบอกว่าจะกลับมาหาลูก”

    เขายิ้ม...เหมือนชื่นใจ หัวใจเบิกบาน เธอตรงไปตรงมาและแสนซื่อ ไม่มีจริตกระบิดกระบวนแม้จะยังไม่ได้เอ่ยบอก
    กับเขา“ขอให้ผ่านพรุ่งนี้ไปก่อนได้ไหมพะยะค่ะ...ยังมีเรื่องรอสะสางอีก”

    “ทำไมหรือ รอม์ฮิม”

    “เรื่องใหญ่มากพะยะค่ะ” เขาบอกรายละเอียด ทั้งสองท่านพากันตกพระทัย...

    “ไม่จริงมั้ง...จัสฟาหรือ”

    “เขาร่วมมือกันหลายคน...”

    “และหลานเล่า รอม์ฮิม ที่จริงโจรสายลมตัวจริงมีนะ” คำพูดค้างแค่นั้น

    เขามองสบดวงเนตรของพระมารดา ดวงเนตรของท่านหญิงมะยาห์ดี และชีคหนุ่มเอ่ยชัดเจนนัก

    “หม่อมฉันจะลืมวันที่เคยทำตัวเลวร้ายเยี่ยงโจร... หม่อมฉันได้โอกาสนี้ทำตัวหายไปกับสายลมของทะเลทราย ไม่มีโจรคนนั้นอีกแล้วพะยะค่ะ หม่อมฉันขอสัญญา"
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×