คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 ; ความลับ & ผู้ชายเย็นชา
“เรื่องไม่เป็นเรื่องของนายหมายถึงความฝันของพี่ชายฉันนะ กระดาษพวกนั้นต้องเปื้อนเลือดกี่ครั้งกว่าพี่จะวาดมันได้สำเร็จ นายมันไอ้หัวขโมยที่น่ารังเกียจ ขโมยได้แม้กระทั่งความคิดของคนอื่น สมองของนายคงจะตื้อตันเต็มไปด้วยหนอน พยาธิตัวกลม ตัวแบนกำลังผลัดกันชอนไชจนไม่มีชิ้นดี”
*+-_-+*+-_1_-+*+-_-+*
ความลับ & ผู้ชายเย็นชา
ท่าอากาศยานคยองซังกำลังพลุกพล่านไปด้วยผู้คน หลังจากที่เงียบสงบมาเป็นเวลานาน นี่เป็นเทศกาลที่ส่วนใหญ่จะนึกถึงหิมะ การเล่นสกีน้ำแข็ง สโนว์บอร์ด และตุ๊กตาหิมะตัวอ้วนๆกลมๆ ลีเยจินหญิงสาวที่หน้าตาน่าเอ็นดูกำลังลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ด้วยท่าทางทุลักทุเลอยู่ในห้องโถงใหญ่ภายในสนามบิน เธอเดินวนไปวนมาอย่างนั้นหลายรอบอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี พลางกดโทรศัพท์และชะเง้อคอมองซ้ายทีขวาทีอย่างลุกลี้ลุกลน
“ฮัลโหลยัยตัวดี ฉันมาถึงนานแล้วนะ ไหนว่าจะมารอรับที่สนามบิน นี่มันก็เกือบชั่วโมงแล้ว จะรอให้ครบ 3 ชม.ก่อนหรือไงถึงจะมาได้”
“ใครว่าล่ะ 5 ชม. ต่างหาก” ยัยตัวดีที่เธอเรียกพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน
“คิมโนรี! เธอบ้าไปแล้วเหรอ ถ้ามาไม่ได้ก็น่าจะบอกกันก่อน ปล่อยให้ฉันกระวนกระวายอย่างนี้มันถูกแล้วเหรอ” เยจินเริ่มเดือดดาล
“ฮ่าฮ่าฮ่า เธอนี่มันตลกเป็นบ้าเลย ฉันอยากจะรอดูเธอต่างหากว่าจะเดินวนไปวนมาได้กี่รอบในเวลา 5 ชม. ดูเธอเดินแล้วน่าเวียนหัวดีเหมือนกันนะ ถามจริงเหอะ ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างเลยหรือไง”
เยจินรู้สึกแปลกๆต่อคำพูดของโนรี นี่หมายความว่ายัยตัวดีต้องแอบอยู่แถวๆนี้แน่นอน หนอย! นี่คิดจะแกล้งให้ฉันเดินจนขาลากหรือไงย่ะ !!!
“ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะก่อนที่ฉันจะโกรธ” เธอยื่นคำขาด
“นี่เธอคิดว่าฉันแอบเธอหรือยังไง ฉันนั่งอยู่ที่โซฟาข้างหลังเธอตั้งนานแล้ว เธอน่ะเดินผ่านฉันเป็นร้อยรอบแล้วนะยัยงั่ง”
เป็นอย่างนั้นจริงๆเหรอ นี่หมายความว่าเธอจำเพื่อนของตัวเองไม่ได้เหรอเนี่ย ลีเยจินหน้าซีดเผือดรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที ไม่ทราบว่าหยักสมองของเธอถูกอุดตันด้วยขี้เลื่อยไปหมดแล้วหรือยังไง
เธอหันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟาสีเขียวด้านหลัง แทบไม่น่าเชื่อ จะเป็นไปได้ยังไงที่ผู้หญิงคนที่ใส่กางเกงและรองเท้าสีชมพูหวานแหววคนนั้นจะเป็นยัยตัวดีเพื่อนเธอ
“ฉันเห็นแต่คนเสียสตินั่งอยู่ ไม่เห็นเธอเลย” เยจินพูดใส่หูโทรศัพท์
“จะบ้าเหรอ! นี่ ! แล้วทำไมจะต้องมองฉันอย่างนั้นด้วย เธอคงไม่ได้มองว่าฉันเป็นคนเสียสติคนนั้นหรอกใช่ไหม กล้ามากไปแล้วลีเยจิน!”
“แสดงว่าเป็นเธอจริงๆเหรอเนี่ย พระเจ้า! ฉันอยากจะบ้าตาย”
ผู้หญิงคนนั้นไม่ต่างไปจากคนบ้าในความคิดของเยจิน คิดแล้วก็อยากจะเป็นลมให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
“อะไรเข้าสิงถึงได้แต่งตัวแบบนี้น่ะ” เป็นคำพูดแรกที่เยจินใช้ทักเพื่อนสาวเมื่อเดินไปถึง
โนรีค้อนตาเขียว “เธอนี่มันรสนิยมต่ำไม่เลิก”
“คนรสนิยมสูงเค้าแต่งตัวกันแบบนี้เหรอ ไม่เอาด้วยหรอก ฉันยอมให้เธอดูถูกดีกว่า”
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดได้แต่คำพูดพวกนี้เหรอ” โนรีแสดงอาการน้อยใจ เยจินจึงยอมสงบปากสงบคำลง
“รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ คนเขามองกันใหญ่แล้ว”
ทั้งคู่นั่งอยู่ในรถสปอร์ตสุดหรูสีดำเงาวับบาดตาบาดใจ โนรีเป็นคนขับ เธอขับรถได้โฉบเฉี่ยวเสียวสะท้านไปถึงทรวงใน เยจินต้องคอยห้ามเธออยู่เนืองๆ เพราะนั่งแทบไปติดเบาะ ช่างเป็นสาวเปรี้ยวที่มั่นใจเกินร้อยเสียจริงๆ เยจินคิดในใจและส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ
เมื่อหมดเรื่องคุยกัน เยจินก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“เยจิน ลีเยจิน!”
เสียงหนึ่งปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมา เธอลืมตาอย่างช้าๆด้วยความงัวเงีย เมื่อสายตาที่พร่ามัวเริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิด เธอก็เห็นภาพบ้านหลังหนึ่งตรงหน้า เป็นบ้านที่สวยงามหาที่ติไม่ได้ และที่สำคัญคือไม่เหมือนกับบ้านทั่วๆไป
“เธอดูสิ สวยไหม”
เธอหันไปมองหน้าคนพูด และยิ้มด้วยดวงตาที่ใสซื่อ
“สวยมากค่ะพี่ชาย นี่พี่วาดเองเหรอคะ” เธอถามพลางเหลือบไปมองดูนาฬิกาซึ่งบอกเวลาตีสามครึ่งพอดี พร้อมกับอุทาน
“โห! นี่มันดึกมากแล้วนะพี่ชาย ทำไมหักโหมจังคะ”
“ไม่มีเวลาแล้ว เวลากำลังของพี่จะหมดไปช้าๆแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความเศร้าในแววตา
“หมายความว่าไงคะ?” เยจินไม่เข้าใจ
“เธอเก็บภาพนี้ไว้นะ พี่ก็เก็บไว้เหมือนกัน” เขาโชว์แผ่นกระดาษอีกแผ่นหนึ่งที่อยู่ในมือให้เธอดู เยจินรับมาแล้วกรอกตามองดูทั้งสองภาพพร้อมๆกัน
“เหมือนกันเปี๊ยบเลย” เธอพูดโดยไม่ละสายตาจากภาพ
“บ้านหลังนี้จะต้องมีจริงๆใช่ไหมคะ”
“ไม่รู้สิ อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้” เขาพูดอย่างคนหมดหวัง พร้อมทั้งถอนหายใจยาว แล้วพูดต่อ
“แต่พี่หวังว่าจะได้นอนหลับอย่างสงบในบ้านหลังนี้”
ลีเยจินใจไม่ดีที่ได้ยินเช่นนั้น พักหลังมานี้โทฮุนมักพูดอะไรไม่เข้าท่าอยู่เสมอ เหมือนกับอยากจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ ซึ่งคงเป็นสิ่งที่ไม่ปรารถนานัก
เธอกุมมือพี่ชายไว้แล้วพูดอย่างหนักแน่น “ฉันจะสร้างบ้านให้พี่เองค่ะ”
พลันร่างของโทฮุนก็ค่อยๆจางหายไปต่อหน้า เหลือไว้แต่ความมืดมิดรอบๆกายเธอ เยจินตกใจมากแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา
เธอฝันไป...แต่เรื่องนี้คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆเมื่อ 10 ปีก่อน
โนรีที่ขับรถอยู่เห็นเพื่อนสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างคนควบคุมสติไม่อยู่ก็ตกใจเช่นกัน เธอจอดรถทันที
“เธอเป็นอะไรไปน่ะ ปวดฉี่เหรอ” โนรีถาม ช่างเป็นคำถามที่งี่เง่าเสียจริงๆ
“ฉัน...”เยจินอ้ำอึ้ง ยังงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น โนรียื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆจ้องมองเพื่อนเพื่อรอฟังคำตอบ
“ฉันเป็นน้องสาวที่แย่มากใช่ไหมที่ปล่อยให้พี่อยู่คนเดียว แม้แต่วันที่พี่ตายฉันกลับกำลังมีความสุขอยู่กับครอบครัวใหม่ ฉัน...คิดถึงพี่...คิดถึงพี่ชายที่อยู่ดูแลฉันมาตลอด ฉัน...” เยจินละล่ำละลัก
“พอเถอะ ฝันถึงพี่ชายอีกแล้วใช่ไหม เรื่องมันนานมาแล้ว ลืมมันไปบ้างเถอะ เธอไม่ใช่น้องสาวที่แย่หรอกนะ มันไม่ใช่ความผิดของเธอซักนิด ทำใจให้สบายนะ แล้วมองดูรอบๆสิ ตอนนี้หิมะกำลังตก อากาศกำลังหนาวสุดขั้วหัวใจ” โนรีพูดและทำท่าตัวสั่นให้สมจริง
เยจินกวาดตาไปรอบๆ ภายนอกหิมะตกไม่หนักนัก ทำให้มองเห็นต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวขจี ซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมด้วยสีขาวของหิมะไปบางส่วน ให้ความรู้สึกเหมือนน้ำแข็งใสถูกราดด้วยนมข้นยังไงยังงั้น
แต่แล้วสิ่งที่เธอไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เธอถึงกับชะงักเมื่อมองถัดจากต้นเมเปิล 3-4 ต้นไปทางซ้ายคือบ้านหลังหนึ่ง เยจินพยายามมองดูให้แน่ชัดว่าจะเป็นจริงอย่างที่เธอคิดหรือเปล่า และเมื่อรถเคลื่อนตัวอีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงเซี้ยววินาทีที่บ้านหลังนั้นแล่นสวนทางกับสายตาไป เธอก็แน่ใจว่านี่คือบ้านของพี่ชายเธอ ไม่ผิดไปจากภาพวาดภาพนั้นเลยซักนิด
“ยัยตัวดี หยุดรถก่อน!”
“อะไรอีกล่ะ เป็นอะไรของเธอ” โนรีเริ่มหงุดหงิดเมื่อรู้สึกว่าเยจินชักจะทำตัวแปลกๆ
“ฉันปวดฉี่”
เพียงเท่านั้นก็เหมือนจะหยุดความสงสัยของโนรีไปหมดสิ้น เธอคิดไว้แล้วไม่มีผิดว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้
“ฉันจะลงไปหาที่เงียบๆนะ เธอรออยู่ที่นี่แหละ” เยจินพูดด้วยสีหน้าเรียบสนิท
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกชะมัด เธอนี่มันตลกจริงๆ” โนรีขำแทบเป็นแทบตายที่เยจินคิดจะทำเช่นนั้น แต่เยจินไม่ขำด้วย เธอเปิดประตูรถและวิ่งไปยังบ้านหลังนั้นทันที
เมื่อมาถึงเยจินไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอเห็น นี่เป็นบ้านในฝันของโทฮุนจริงหรือเนี่ย ทุกอย่างข้างหน้าเธอในตอนนี้เหมือนกับภาพวาดในความฝันของเธอเมื่อสักครู่ไม่มีผิดเพี้ยน
ประตูไม่ได้ล็อคแฮะ...
เธอตัดสินใจเดินเข้าไป พี่ชายของเธอก็ตายจากไปนานแล้ว แล้วทำไมถึงได้มีบ้านหลังนี้ขึ้นมาได้ ในเมื่อคนที่มีภาพวาดบ้านคือเธอและเขาเท่านั้น เยจินพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ก็เห็นจะมีแต่ทางตัน เรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
“มาหาใครครับ” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น เยจินสะดุ้งสุดตัวรีบหันไปทางเสียงนั้น
“ฉัน...ฉะ ฉัน...” เวลาตกใจทีไร เธอมักจะพูดไม่ออกทุกที ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วยนะ
ผู้ชายคนนี้หน้าตาดูดีเข้าขั้นพระเอกหนังเลยทีเดียว รูปร่างก็สูงโปร่งเทือกๆนายแบบชั้นนำ โอ้ เยจินเห็นแล้วแทบจะกระอักเลือด เสียอยู่อย่างเดียวคือภาพลักษณ์ของเขาที่ดูแล้วไม่ต่างจากอันธพาลเลยสักนิด
เธอมองเขาตาไม่กกระพริบ ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดที่ถูกจ้องมองอย่างไม่เกรงใจ
“ฉันถามว่าเธอมาหาใคร”
“เอ่อ...เปล่า...ค่ะ ฉะ...ฉันเข้าบ้านผิด”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะผายมือไปทางประตู เยจินเข้าใจทันทีว่าเขากำลังไล่เธอ แม้จะไม่พอใจนักแต่ก็ยอมเดินออกไปแต่โดยดี จริงๆแล้วเธอบ่นในใจไปตลอดทางต่างหาก
เป็นอะไรไปนะลีเยจิน นี่มันไม่ใช่นิสัยของเธอเลยสักนิด รวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไปตรงๆเลยต่างหากที่เป็นตัวเธอ จะปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้นะ
พลันเยจินก็ตัดสินใจแน่วแน่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วหยุดเดิน ชายหนุ่มมองอย่างแปลกใจ
เธอหันมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง
“เอ่อ...”
“...?”
“บ้าน...หลัง...นี้”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สงสัยว่าเธอกำลังพูดอะไร
“บ้านหลังนี้เหมือนกับบ้านที่พี่ชายฉันออกแบบไว้ก่อนตาย เขาเป็นคนออกแบบเองเพราะงั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีคนสร้างมันขึ้นมาได้เหมือนขนาดนี้ นอกเสียจากว่า...” เธอหยุดเพื่อตั้งสมมติฐาน แต่พยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก นอกเสียจากว่าอะไรล่ะ มันดูไม่สมเหตุสมผลสักนิด เยจินคิดแล้วก็เอามือเขกหัวตัวเองไปทีนึง
ชายหนุ่มไม่เข้าใจในท่าทางของเธอ หน้าตาก็สวยดีอยู่หรอก แต่ทำตัวแปลกๆพิกล ทว่าเรื่องที่เธอพูดก็น่าสนใจไม่น้อย จะเป็นไปได้หรือที่เธอคือน้องสาวของลีโทฮุน บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วที่ความจริงจะถูกเปิดเผยออกมาเสียที
เขายังคงนิ่งขรึม รอคอยให้หญิงสาวเป็นฝ่ายพูด
“อ๋อใช่แล้ว! นายต้องเป็นขโมยแน่ๆ บอกมานะว่าไปเอาภาพวาดภาพนั้นมาจากไหน”
“จะมีหัวขโมยปัญญาอ่อนที่ไหน ที่ขโมยแบบบ้านเพื่อมาสร้างเป็นบ้านของตัวเอง”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็บอกมาสิ ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”
“ฉันจำเป็นต้องบอกเธอด้วยเหรอ” เขาพูดด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วยังกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนไปจากเดิมว่า
“ถ้าที่เธอทะเล่อทะล่าเข้ามาในบ้านนี้เพียงเพราะต้องการพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ล่ะก็ ฉันว่าเธอเข้ามาทางไหนก็เชิญกลับออกไปทางนั้นเลยดีกว่า”
ความโมโหโทโสของเยจินเดือดปุดๆทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น อะไรนะ เรื่องไม่เป็นเรื่องงั้นเหรอ
“เรื่องไม่เป็นเรื่องของนายหมายถึงความฝันของพี่ชายฉันนะ กระดาษพวกนั้นต้องเปื้อนเลือดกี่ครั้งกว่าพี่จะวาดมันได้สำเร็จ นายมันไอ้หัวขโมยที่น่ารังเกียจ ขโมยได้แม้กระทั่งความคิดของคนอื่น สมองของนายคงจะตื้อตันเต็มไปด้วยหนอน พยาธิตัวกลม ตัวแบนกำลังผลัดกันชอนไชจนไม่มีชิ้นดี”
เขาไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดไร้สาระของเธอ แต่กลับกำลังคิดว่าถ้าสิ่งที่เธอกำลังบอกเขาคือเรื่องจริง ก็ยังไม่มีความจำเป็นที่เขาจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ จนกว่ามันจะกระจ่างชัดออกมาเอง
“พูดจบแล้วใช่ไหม”
เขามองเธอ สีหน้าเรียบสนิท ไม่มีความรู้สึกใดๆปรากฏบนใบหน้าเฉยชานั้นเลย แต่สิ่งที่เธอได้ยินจากคำพูดประโยคเมื่อครู่กลับเป็นประโยคที่ว่า ‘ออกไปได้แล้ว’
“ถ้าเธอคิดว่าฉันเป็นหัวขโมยจริงๆก็ไปแจ้งตำรวจสิ” เขาแนะนำได้แค่นั้น
หญิงสาวจำใจต้องออกมาก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปมากกว่านี้ นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เธอไม่อยากจะกล่าวหาเขารุนแรงเกินไป แต่ถ้าหากเขายังไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาบ้าง ก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตอย่างสงบสุขเลย
เธอจะทำอะไรเขาได้นะ _ _”
หลายวันต่อมา...
เยจินวิ่งลงบันไดมายังชั้นล่าง โนรีกำลังรอรับประทานอาหารอยู่พอดี
“เฮ้ นั่นเธอจะไปไหนน่ะ” โนรีตะโกนถามเมื่อเห็นเยจินสวมรองเท้าและเสื้อโค้ท แล้ววิ่งออกไป ไม่สนใจคนที่หิ้วท้องรอ
“ไปเดินเล่น”
“จะบ้าเหรอ หิมะตกหนักขนาดนี้ยังจะมีอารมณ์ไปเดินเล่นอีกเหรอ” โนรีห้ามปรามแต่ไม่ทันเสียแล้ว
ความจริงเยจินกำลังจะไปบ้านหลังนั้นต่างหาก เมื่อคืนเธอค้นหาภาพวาดอยู่นานกว่าจะเจอ โชคดีที่เธอพกมันติดตัวมาด้วย นี่แหละจะเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดที่จะยืนยันได้ว่าเรื่องที่เธอพูดไม่ใช่เรื่องที่ถูกปั้นขึ้นมา
หิมะตกหนักจริงอย่างที่โนรีเตือน แต่นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้ออกมาเดินเล่นอยู่ท่ามกลางหิมะตกเช่นนี้ มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจริงๆ ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปสมัยเด็กๆอีกครั้ง
เธอเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ในสมองกำลังเรียบเรียงคำพูดที่จะพูดกับหมอนั่น พลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
“เธออยู่ที่ไหนยัยงั่ง” โนรีพูดเสียงดัง
“ก็บอกแล้วไงว่าออกมาเดินเล่น ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“ไม่ห่วงได้ไง วันนี้จะมีพายุหิมะนะ บางทีอาจจะรุนแรงถึงขั้นหิมะถล่มก็ได้”
“เอาอะไรมาพูด หิมะไม่ได้ตกหนักมากสักหน่อย” เยจินเบื่อหน่ายที่เพื่อนคนนี้เป็นห่วงเกินเหตุ คงจะหาเรื่องมาขู่ให้เธอกลับ เธอรีบวางสายทันทีที่พูดจบเพื่อตัดรำคาญ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน...
เธอเดินออกมาไกลมากแล้ว เป็นเวลาใกล้ค่ำเต็มที เยจินเพิ่งจะรู้สึกว่าหนทางจากบ้านของโนรีถึงบ้านหลังนั้นไม่ใช่ใกล้ๆอย่างที่เธอคิดเลย ตอนที่นั่งรถไปนั้นใช้เวลาไม่นานก็ถึง แต่สำหรับการเดินเท้ากลับไม่ใช่อย่างนั้น รู้อย่างนี้เธอควรที่จะขับรถไปเสียตั้งแต่แรกจะดีกว่า คิดแล้วก็อยากจะร้องไห้ออกมา
หิมะยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก มิหนำซ้ำยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือว่าจะเกิดพายุหิมะขึ้นจริงๆอย่างที่โนรีพูด เยจินรีบสาวเท้าให้ยาวและเร็วที่สุด ความมืดเริ่มปกคลุมทำให้มองทางแทบไม่เห็น และทันใดนั้นเธอไม่ทันระวังจึงลื่นล้มลง ร่างกายกลิ้งไปบนพื้นหิมะที่ลาดชันตกลงไปข้างทาง หมดสติลงทันที
ฮานจีซคได้รับโทรศัพท์จากคิมโนรีเรื่องที่เพื่อนสาวของเธอหายตัวไป เธอรบกวนให้เขาช่วยหาอีกแรงหนึ่งเพราะเขาเป็นเพื่อนบ้านเพียงคนเดียวที่เธอจะพึ่งพาได้แม้ว่าบ้านจะไม่ได้อยู่ติดกันก็ตาม เนื่องจากในละแวกนั้นเต็มไปด้วยป่าเขา จะหาบ้านคนสักหลังหนึ่งนั้นยากเต็มที
จีซครับปากว่าจะช่วย เขาถือกระบอกไฟฉายไปอันหนึ่ง เดินออกจากบ้านไปอย่างไม่รอช้า
เวลาแบบนี้ถ้าจะมีใครสักคนหายตัวไป สันนิษฐานได้เลยว่าเธอจะต้องหลงทางหรือไม่ก็ถูกพายุหิมะเล่นงาน เขาฉายไฟไปมาเพื่อตรวจดูตลอดทางก็ไม่พบอะไร จนกระทั่งมาถึงจุดที่เยจินลื่นลงไป
หิมะที่ไม่เรียบสนิทในบริเวณนั้นทำให้จีซคพลัดตกลงไปด้วยอีกคน เขาพยายามตะเกียกตะกายแต่เคราะห์ร้ายที่หิมะข้างบนกำลังถล่มลงมา เขาไถลลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว เยจินที่นอนหมดสติอยู่ถูกแขนของเขาตวัดร่างเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดได้อย่างทันท่วงที โชคยังดีที่จีซคยังมีสติพอที่จะช่วยเหลือเธอ ทั้งคู่จึงกลิ้งลงไปพร้อมๆกัน
แสงแดดอบอุ่นสาดส่องเข้ามาที่ใบหน้าของคนทั้งคู่ จีซครู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ร่างกายของเขาระบมไปหมดทั้งตัว เขาพยายามจะขยับแขน แต่กลับพบว่าแขนของเขากลายเป็นหมอนของใครคนหนึ่งไปเสียแล้ว ความเงียบงันเข้าครอบงำในขณะที่ทุกอย่างรอบกายกำลังหยุดชะงักลง
ความคิดเห็น