คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Mom&Dad 9 : เจ้าสาววัย 16 โซเคนโย เลนยะ (Rewrited)
Chapter 9 : เจ้าสาววัย 16 โซเคนโย เลนยะ
กริ๊งงงงงงง
เสียงสวรรค์ของใครหลายๆคนรอคอยดังขึ้นทั่วทั้งโรงเรียนเป็นสัญญาณพักเที่ยง มือขาวที่เขียนโจทย์การบ้านบรรทัดสุดท้ายเสร็จพอดีวางชอล์กลงในกล่อง ก่อนจะหันใบหน้าที่ยังสาวยังสวยแต่ทว่าเจ้าตัวไม่สนใจดูแลตกแต่งให้ดูดีสมวัยมาทางนักเรียนที่เฝ้ารอประโยคเลิกชั้นจากปากเธออย่างใจจดใจจ่อ
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ ขอให้ทุกคนส่งงานให้ครบด้วยเพราะครูจะกรอกลงแฟ้มคะแนนเก็บ สวัสดีค่ะ”
“นักเรียน เคารพ”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ คุณครู”
นักเรียนทั้งหญิงและชายยืนขึ้นจากเก้าอี้พร้อมก้มลงเคารพครูสาวผู้สวมใส่แว่นหนาเตอะซึ่งหยิบแฟ้มเอกสารของตนขึ้นมาจัดเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆแล้วเดินออกไปจากห้องเรียน นักเรียนทั้งหมดในห้องทยอยเดินตามกันไปพักทานข้าวใช้ชีวิตเด็กม.ปลายอย่างมีความสุข มีเพียงเด็กหนุ่มผมดำผู้เคร่งขึมที่นั่งอ่านหนังสือติวเข้มไม่สนใจใคร และเด็กสาวเรือนผมสีน้ำตาลซึ่งนั่งมองหิมะที่โปรยปรายลงจากฟ้าสีเทาอย่างช้าๆ กระจกใสอาบไปด้วยไอเย็นอุณหภูมิติดลบหลายองศา
“หิมะหลงฤดูอย่างงั้นหรือ”
ท่านหญิงผู้ทรงสง่าเปรยขึ้นพลางลอยเข้ามาใกล้ๆหน้าต่างที่มัวไปหมดแล้วด้วยอำนาจของเกล็ดหิมะ ก่อนหญิงสาวจะวาดนัยน์ตาสีงาช้างไปทางเด็กสาวที่เงียบไม่พูดไม่จามาตั้งแต่เจอมุกตลกร้ายของผอ.โยโค มิโนวะเข้าไป
เมื่อลมหนาวโพยพัดยามฤดูร้อน..เหล่าผู้ที่พรากจากไกลจะกลับมาเยี่ยมเยือนเพื่อนพ้อง
ยามใดที่หิมะหลงฤดูโปรยปรายลงจากฟากฟ้า..เหล่าผู้ล่วงลับจะกลับมาหาเจ้า
ถ้าเจ้าเงียบเหงา ขาดคนที่รัก จากคนที่ห่วงใย
เหล่าผู้จากไกลจะมาตามหิมะคิมหันตฤดู
“แต่นี่มันฤดูร้อนไม่ใช่เหรอฮะ”
ผีน้อยกล่าวขึ้น ทั้งๆที่เมื่อวานไม่มีวี่แววว่าจะเกิดเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้ขึ้น เลนยะมองมาทางทาโร่พลางว่า “เมื่อคืนหนาวจะตายชัก เป็นผีเลยไม่รู้สึกไงล่ะ”
วิญญาณเด็กชายยิ้มเจ้าเล่ห์ลอกแบบหมอผีสาวไม่มีผิดเพี้ยน พลางมองเด็กสาวตาไม่กระพริบ “แต่เธอคงไม่หนาวหรอกมั้ง ก็มีเจ้าปีศาจให้นอนกอดทั้งคืนน่ะ”
หวืดดด
ยันต์แผ่นสีแดงถูกชักขึ้นในท่าเตรียมพร้อม ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างจนใหญ่เท่าไข่นกกระจอกเทศ เหงื่อใสๆผุดขึ้นเต็มใบหน้าโปร่งใส “ฮ..เฮ้ย!!..ใจเย็นน่ะเลนยะ ล้อเล่นเองน่า!!”
“นี่เธอสองคนก้าวไปไกลขนาดนั้นแล้วเหรอ คิดจะมีคนที่สองเลยรึไง”
คราวนี้คนที่จะโดนยันต์สังหารเป็นคนที่สองคือญาติหนุ่มซึ่งเก๊กท่าอ่านหนังสือเรียนอยู่นานสองนาน ซึ่งไม่ได้รู้เลยว่าลูกผู้น้องสาวกำลังจะขย้ำเขาให้ตายคามือแล้ว
“ยัดหนังสือแทนข้าวไปเหอะไอ้ท่ามาก ไม่ต้องสนใจเรื่องชาวบ้านเค้านักหรอก”
หมอผีสาวสวนอย่างเนิบๆเพราะตอนที่ห้างฮาราชิ เธอถูกสายตาแปลกๆจ้องจนพรุนไปหมดแล้ว และไม่อยากเจอสายตาแบบนั้นซ้ำสองที่นี่ด้วย
“ไม่ให้สนได้เหรอ..ถ้าเด็กเกิดมาก็หลานฉัน”
เคล้งงงง
ไม้บรรทัดฟุตเหล็กบนโต๊ะของนักเรียนผู้โชคร้ายถูกหักคามือปีศาจในคราบเด็กสาว เศษผงเหล็กป่นละเอียดถูกปล่อยให้หล่นร่วงกราวบนโต๊ะไม้ของเจ้าของไม้บรรทัดอีกนั่นแหละ ก่อนที่หมอผีสาวจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ขี้เกียจจะสนใจอะไรอีกแล้ว
ได้ทีก็ล้อกันเข้าไป
ฟิวส์ขาดเมื่อไหร่
คนก็จะเป็นผี ผีก็จะได้ไปเกิดทันทีเดลิเวอรี่ชนิดไม่ต้องสั่ง
ครืดดด..
ประตูห้องเรียนถูกเปิดออกเรียกให้ความสนใจของทุกชีวิต(และไม่มีชีวิตแล้ว)ในห้องให้หันไปมอง เว้นเฉพาะเลนยะที่จ้องหิมะที่ตนเองเกลียดเสียเต็มประดาราวกับใคร่ครวญบางอย่าง
ใบหน้าอ่อนวัยของผีน้อยถึงกับซีดไปบัดดล ปากของเด็กชายอ้าค้างกล่าวเสียงออกมาตะกุกตะกัก ดวงตาเพ่งดูผู้เข้ามาในห้องเรียนไม่วางตา
เมื่อทุกคนเงียบผิดปกติ เลนยะจึงละความสนใจจากหิมะฤดูร้อนซึ่งคงไม่แปลกมากนักถ้าที่นี่เป็นฮอกไกโด นัยน์ตาสีน้ำเงินแม่สีตะลึงค้าง ก่อนจะแผดเสียงลั่นอย่างลืมตัว
“แกจะมาที่นี่หาพระแสงอะไรวะไอ้ลูกหมา!!!”
คิเอ็นจิในร่างมนุษย์ยังเงียบนิ่ง ในอกคือไคคุงที่ทำตาแป๋วมองหม่าม้า เลนยะรีบวิ่งไปปิดประตูใส่กลอนและล๊อคอย่างแน่นหนาชนิดที่ไม่สามารถเปิดออกได้อีกแล้ว ซานาดะมองญาติสาวแบบอยากถีบอัดฝาพนังสักเปรี้ยง
แล้วจะออกไปยังไง
“ไคอยากมาหาเจ้า”
“ถ้าใครเห็นจะว่ายังไงหาไอ้หมาไอคิวไส้เดือน!!”
เจ้าปีศาจถอนหายใจเบาๆก่อนจะวางลูกชายลงบนเก้าอี้ เด็กน้อยเอานิ้วมือเล็กๆจิ้มผงฟุตเหล็กที่ทอดกายรอฌาปนกิจอย่างเบาๆ
“ข้าเจอกับแม่เจ้า โซเคนโย มาซาโกะ”
เลนยะชะงักค้างเมื่อได้ยินนาม มาซาโกะ หญิงสาวผู้ให้กำเนิดเธอและจากเธอไปในวันเดียวกันนั้น
“นางมาหาข้า และ...” หมาป่าหนุ่มกลืนคำพูดที่ว่า ‘แล้วนางบอกให้ข้าขอเจ้าแต่งงาน’ ลงท้องไปเสีย ก่อนจะต่อประโยคใหม่เสริมเข้าไป “นางกลับไปแล้ว”
พรืดดดดดดดด
หมอผีสาวปล่อยเสียงฮาออกจนลั่นทั้งห้องเรียน ทั้งๆที่ซานาดะ ท่านหญิงอาเคเดะ ทาโร่ แม้แต่ไคก็ยังตั้งใจฟังอย่างใจจดจ่อ เจ้าปีศาจหนุ่มมองเด็กสาวตรงหน้าแบบไม่เข้าใจ
“โทษทีว่ะไอ้ลูกหมา เผอิญเดือนนี้ไม่ใช่เดือนเมษา ฉันไม่เชื่อแกหรอก”
นัยน์ตาสีเทาหรี่ลงมองทายาทโซเคนโยสาวซึ่งหัวเราะกับความจริงที่เขาเพิ่งเจอแม่(ยาย)มาหยกๆ ใบหน้ารูปสลักขมวดคิ้วเข้มจนดูดุยิ่งขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าโกหกเจ้ารึไง”
“แล้วจะให้ฉันเชื่อรึไงว่าแม่ของฉันมาแลบลิ้นปลิ้นตาแหวะอกใส่แกกลางวันแสกๆน่ะ” เลนยะเอ่ยน้ำเสียงติดตลก แสงสว่างวาววาบกันไม่ให้คิเอ็นจิเห็นนัยน์ตาใต้กรอบแว่นนั่นได้ หมอผีสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักขึ้น “โซเคนโย มาซาโกะ ตายไปตั้งแต่คลอดฉันแล้ว ก็เพราะฉันนี่แหละที่ฆ่า ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ”
ประโยคหลังทำให้ทั้งผีทั้งคน(ปีศาจในร่างคนด้วย)เงียบกริบ เด็กสาวเหยียดยิ้มมุมปาก “คนที่ตายไปตั้ง 16 ปีแล้วจะกลับมาได้ไง”
“เจ้าโกหกตัวเองเพื่ออะไรโซเคนโย เลนยะ ข้ารู้ว่าเจ้าก็รู้สึกได้ว่านางกลับมา ไม่ใช่แค่นาง พ่อของเจ้า โซเคนโย ชิมิสึนั่นก็ด้วย”
หมอผีสาวเงียบกริบผิดปกติเมื่อถูกสวนด้วยบรรพบุรุษสาว อาเคเดะมองท้องฟ้าสีเทาที่มีหิมะตกโปรยปราย ริมฝีปากสีชมพูสวยอ้าออกช้าๆ
“กงล้อโซเคนโยหมุนวนเรื่อยไป ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ จะคงอยู่หรือสูญสิ้น”
หญิงสาวเอ่ยกลอนขึ้นเบาๆ ดวงตาสีงาช้างค้างนิ่งในท่วงท่าสง่างามราวนางพญา “เมื่อสิ้นกายจึงวนเวียนเรื่อยไปราวกงล้อแห่งโชคชะตา เฝ้าดูรุ่นใหม่เกิดมา แล้วลาลับดับไป”
“เมื่อลมหนาวโพยพัดยามฤดูร้อน..เหล่าผู้ที่พรากจากไกลจะกลับมาเยี่ยมเยือนเพื่อนพ้อง ยามใดที่หิมะหลงฤดูโปรยปรายลงจากฟากฟ้า..เหล่าผู้ล่วงลับจะกลับมาหาเจ้า ถ้าเจ้าเงียบเหงา ขาดคนที่รัก จากคนที่ห่วงใย เหล่าผู้จากไกลจะมาตามหิมะคิมหันตฤดู”
สิ้นคำกลอน เนตรสีเทาจึงจับจ้องไปยังร่างสูงของเลนยะซึ่งไม่เอ่ยอะไร ทว่าดวงตาสีน้ำเงินที่มักสบตาเขาอย่างไม่หวาดเกรงกลับค้างนิ่งบนพื้นดิน ดูสับสนและอ่านยาก
“มนุษย์ปกติทุกคนจะมีร่างอยู่สองร่างคือร่างเนื้อและร่างวิญญาณ ซึ่งเมื่อสิ้นลมหายใจ ร่างวิญญาณเท่านั้นที่จะยังคงอยู่ คิดค้นด้วยจิต ขับเคลื่อนด้วยเจต” ซานาดะเปรยขึ้น ดวงตาสีดำชำเลืองไปทางหิมะที่ยังล่องลอยกลางอากาศ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากให้คนที่มาเยี่ยมเยือนเป็นพ่อแม่ของเขาบ้าง “แต่คนที่มีพลังวิญญาณมีหลายอย่างที่แตกต่างจากปุถุชน โดยเฉพาะร่างที่สามหรือที่เรียกว่า ร่างทิพย์ คือร่างที่ขับเคลื่อนตนเองไปไหนก็ได้ตามใจปรารถนาคล้ายร่างวิญญาณโดยที่ไม่ต้องสูญเสียร่างเนื้อไป และถึงแม้จะไม่มีร่างเนื้อและวิญญาณแล้ว ก็ยังสามารถคงอยู่ได้”
ขนนกสวรรค์ที่ขาวทิ้งกายลงเกาะบนระเบียงนอกหน้าต่างห้องเรียน ราวกับยืนยันสิ่งที่ซานาดะกล่าวมา กรอบแว่นหนาถูกขยับขึ้นเบาๆด้วยนิ้วชี้ “อันที่จริงแล้วก็ควรที่จะมีเฉพาะคนที่มีพลังวิญญาณตั้งแต่เกิดอย่างโซเคนโย องเมียวจิ และสิบตระกูลพิเศษ แต่ทว่าในโซเคนโยมีข้อยกเว้น เพราะเชื้อสายโซเคนโยเป็นเชื้อสายที่บริสุทธิ์เสมอ แม้ว่าพ่อหรือแม่จะเป็นแค่คนธรรมดาลูกที่จะเกิดมาก็คงเป็นโซเคนโยแท้ 100% ดังนั้นผู้ที่ให้กำเนิดสายเลือดโซเคนโยก็จะมีอภิสิทธิ์ในร่างทิพย์นี้ไปด้วยโดยปริยาย ถึงจะไม่เคยมีพลังวิญญาณมาก่อนเลยก็ตาม พุดง่ายๆก็คือ แม้โซเคนโย มาซาโกะเป็นแค่คนธรรมดา แต่เพราะเธอเป็นผู้ให้กำเนิดสายเลือดของตระกูลโซเคนโย เธอจึงมีร่างทิพย์ได้ และมันคือข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งสำหรับโซเคนโย”
ทาโร่ถึงกับอึ้งกับความสามารถของโซเคนโย สามารถคงอยู่ได้โดยไร้ทั้งร่างเนื้อและวิญญาณอย่างนั้นหรือ
แสดงว่าทั้งพ่อและแม่ของเลนยะ..ก็ยังคอยเฝ้ามองดูเลนยะอยู่เสมอเลยน่ะสิ
“แต่ที่ข้าเลือกเดินสายวิญญาณนี้ เพราะร่างทิพย์เป็นอิสระจากพันธะทั้งมวล ไม่สามารถต่อสู้หรือช่วยเหลือมนุษย์ได้ และทำได้แค่ปรากฏตัวเป็นบางครั้งบางคราว ไม่สามารถพบเจอได้เสมอแบบอยู่ในร่างวิญญาณนี้ ข้าจึงเลือกที่จะอยู่ในสภาพนี้เอง”
“ไม่ใช่หรอกน่า”
เสียงจากร่างสูงที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นมานานดังขึ้น ทุกสายตาก็จ้องไปที่เธอเป็นจุดศุนย์กลาง เด็กสาวขยับกรอบแว่นหนาของตนเบาๆ “ที่โซเคนโย มาซาโกะไม่มาหาฉัน ไม่ใช่เพราะมาไม่ได้ แต่เพราะไม่อยากมาต่างหาก”
คิเอ็นจิยืนมองเด็กสาวเรือนผมสีน้ำตาลที่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความคับแค้นใจ ใบหน้าของเลนยะแสยะยิ้มร้าย แต่ไม่ใช่มอบให้กับใคร
คือยิ้มปีศาจ ที่อยากมอบให้กับตัวเอง
“ทำไมเจ้าคิดอย่างนั้น” หมาป่าหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบแต่แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน หมอผีสาวก้าวเดินผ่านร่างชายหนุ่มและทารกชายผู้เป็นครอบครัวของตนออกไปทางประตูปิดตาย
“ถ้าฉันตายไป ฉันก็คงไม่อยากมาเจอหน้าคนที่’ฆ่า’ตัวเองนักหรอก”
โครมมมม
ประตูที่พังยับลงไปกองกับพื้นโรงเรียน ร่างสูงเดินออกจากห้องเรียนไปช้าๆ ผ่านท่านหญิงและซานาดะที่ถอนใจเพราะรู้แล้วว่าเด็กสาวคงจะแก้ปัญหาไปไม่ได้ดีกว่านี้อีกแล้ว งานนี้ผอ.โยโคต้องจ่ายเละแน่ค่าประตูห้องเรียน หมอผีสาวยืนนิ่งที่ประตูสักครู่ แต่ไม่หันกลับมามองเจ้าปีศาจและไค “กลับบ้านไปซะ”
ทุกอย่างถูกดึงจนดิ่งลึกลงในห้วงแห่งความเงียบงัน คิเอ็นจิในร่างชายหนุ่มที่รูปงามเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงหลุบดวงตาสีเทาลง แหวนฮิรุ-โยรุในมือส่องแสงสว่างสีทองอยู่ในมือใหญ่ของเจ้าหมาป่า
ถ้ามาซาโกะเกลียดเลนยะจริง
เธอจะให้สิ่งสำคัญแบบนี้มาเพื่ออะไร
หิมะหลงฤดูลอยคว้างกลางอากาศที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก่อนจะปลิวตามสายลมหนาวลึกถึงจิตใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงต่อต้านได้ ดุจดังขนปีกของเทพธิดาผู้กำลังเสียน้ำตาแห่งความเดียวดาย ผู้สูญเสียสิ่งที่รักไป
ด้วยน้ำมือของตนเอง
โซเคนโย เลนยะ ผู้ชิงชังสิ่งที่เรียกว่า ’หิมะ’ ยิ่งนักกำลังยืนนิ่งบนดาดฟ้าซึ่งถูกย้อมด้วยสีขาวของสิ่งที่เรียกว่า’หิมะ’นั่นเช่นกัน เด็กสาวดูราวกับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นของบรรยากาศโดยรอบนั่นเลย แม้ว่าลมเย็นยังคงลูบไล้ผิวกายบางของเธอเองไม่เลิกรา
แม่....กลับมา...อย่างนั้นเหรอ
“เหมือนลูกทรพีเลยนะ”
“ใช่สิ ท่านมาซาโกะน่ะสุขภาพแข็งแรงดีออกจะตาย เพราะเป็นดวงล้างผลาญแน่ๆ เด็กอะไรไม่น่ารักเอาซะเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลูกสาวของท่านมาซาโกะ”
เสียงติฉินนินทามากมายดังระงมไปทั่วปราสาทหลังงามแห่งโซเคนโย แม้ว่าวันเวลาที่หญิงสาวผู้เป็นนายหญิงแห่งบ้านโซเคนโยหลังที่หนึ่งจากไปผ่านมานานถึง 8 ปีแต่มันไม่อาจทำให้โซเคนโยทุกคนเลิกกดดันทายาทสาวของผู้นำตระกูลอันเกรียงไกรคนนี้ได้
ใบหน้าที่มีรอยเลือดและรอยขีดข่วนสกปรกมอมแมมดูเฉยเมยไร้ความรู้สึกต่อคำครหาเหล่านั้น ดวงตาสีน้ำเงินกล้ายังคงจับจ้องท้องฟ้าสีคราม แม้จะเป็นหน้าร้อนแต่บรรยากาศยังคงหนาวเย็นสมเป็นเกาะฮอกไกโด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แรงกดดันมากมายถาโถมเข้าสู่ขาคู่เล็กๆ เด็กหญิงล้าจนชินชาที่จะแบกรักคำพูดมากมาย ลูกทรพีมั่งล่ะ ดวงล้างผลาญมั่งแหละ เด็กไม่ดีมั่งล่ะ ผิดกับพี่ชาย ที่ดูดี ฉลาดปราดเปรียว หน้าตาก็ดี ดูมีอนาคต
ทั้งที่เจ้านั่น......
เลนยะสะบัดหัวไล่ความคิดออกไป ร่างเล็กลุกขึ้นยืนรับสงแดดอ่อนๆเพื่อปลุกความมีชีวิตชีวามาให้กับตัวเอง นัยน์ตาสีน้ำเงินเปิดออกช้าๆก่อนที่เด็กหญิงจะตัดสินใจเดินออกจากที่ที่เธอนั่งอยู่เมื่อหลายชั่วโมงมาแล้ว
ครืดดดด
ประตูโชยิไม้ขัดมันวาวเคลื่อนเปิดออกด้วยกำลังจากท่อนแขนพันผ้าพันแผล ห้องญี่ปุ่นหรูหราอบอุ่นบ่งบอกได้ถึงความทรงจำอันมีมากมายของเจ้าของห้อง ดวงตาสีน้ำเงินสบเข้ากับรูปวาดเหมือนจริงขนาดใหญ่ที่ตระหง่านกลางห้อง แสงสว่างเรืองรองส่องให้รูปภาพดูยิ่งเปล่งประกายงดงามมากขึ้น
หญิงสาวรูปร่างงามราวเทพธิดากำลังคลี่ยิ้มบางให้แก่ผู้คนที่พบเห็น ผิวสีขาวนวลละเอียดซึ่งถูกวาดขึ้นอย่างบรรจงเปล่งประกายน่าหลงใหล นัยน์ตาสีนิลดุจดั่งท้องฟ้ายามราตรีที่ประดับประดาด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ จมูกโด่งรับกับริมฝีปากสีชมพูกุหลาบ แม้จะเป็นแค่ภาพวาดแต่หญิงสาวในรูปวาดก็มีเสน่ห์ตราตรึงจนไม่อาจละสายตา
มือเล็กๆสัมผัสบนรูปเหมือนอย่างเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านมาทางนิ้วมือ ราวกับเหมือนถูกอ้อมกอดของแม่กำลังโอบอยู่ นัยน์ตาคมพิจารณาไปจนสุดภาพ มีข้อความเล็กๆเขียนเอาไว้
“..ด้วยรักนิรันดร์..มาซาโกะ...วันที่.....”
เด็กหญิงหยุดไปโดยอัตโนมัติเมื่อวันที่เขียนไว้คือวันที่ยมทูตได้พรากร่างกายของหญิงสาวไปจากบุคคลที่รักเธอ และตรงกับวันที่เลนยะเองลืมตาขึ้นดูโลกใบนี้
ความเจ็บแน่นจุกอยู่ในอกเมื่อรอยยิ้มที่มาซาโกะส่งมาถูกทำลายลงโดยเธอเอง แม้จะรู้สึกอบอุ่นเช่นไร แต่หญิงสาวตรงหน้าก็ไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว
“เข้ามาในห้องพ่อ มีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ”
เสียงของชิมิสึทำให้ลูกสาวคนเดียวหันไปมอง ก่อนจะกลับมาสนใจอยู่กับรูปวาดของมารดาอีกครั้ง “ฉันคงเลวมากเลยใช่มั้ยพ่อ ที่เกิดมาบนโลกนี้น่ะ”
“พูดอะไร” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหนัก พลางตวัดนัยน์ตาแกร่งกร้าวไปยังร่างของเด็กหญิงที่ยังคงนิ่งรอฟังคำรับว่า’ใช่’ “ทำไมถึงพูดอะไรสิ้นคิดแบบนั้น”
“ถ้าฉันไม่เกิดมา พ่อกับเลนโยก็ยังคงมีแม่อยู่ด้วย เป็นครอบครัวมีความสุขดีไม่ใช่หรือยังไง”
ชิมิสึเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงภาพสุดท้ายก่อนที่หญิงสาวจะเข้าห้องคลอด ใบหน้านั้นแสนทรมาน
ทว่า เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขใจ
“เพราะมาซาโกะอยากคลอดเลนยะออกมายังไงล่ะ”
ดวงตาสีน้ำเงินเบิกค้าง มือที่จับเนื้อภาพอยู่เกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ
“ไม่ว่าจะต้องทำอะไร แลกด้วยชีวิต เธอก็ยังอยากให้ลูกเกิดมา”
จบประโยค ภาพความทรงจำเลือนรางในสมองก็ผุดขึ้นของชายหนุ่ม หญิงสาวเรือนผมน้ำตาลบนเตียงพยาบาลถูกเข็นอย่างเร่งด่วนเพื่อเข้าห้องคลอด เหงื่อเม็ดโตไหลเลียใบหน้าขาวงดงาม
“มาซาโกะ เธอเป็นยังไงบ้าง!”
เสียงตระหนกดังลั่นด้วยความเป็นห่วงสุดหัวใจ มือใหญ่กุมมือเรียวบางแน่น ดวงตาสีน้ำเงินจับจ้องมาซาโกะผู้เป็นภรรยา
“ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่นี้สบายมาก”
มาซาโกะฝืนยิ้มให้กำลังใจชายหนุ่ม ทั้งๆที่ภายในรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ไปในทุกอณูร่างกาย ลมหายใจหญิงสาวเริ่มติดขัด
ชิมิสีขมวดคิ้วแน่นอย่างวิตกกังวลเพราะหญิงสาวมาโรงพยาบาลช้าไป น้ำเดินมานานมากแล้ว ตอนนี้อาการน่าเป็นห่วง และเด็กในท้องก็นิ่งมานานมากแล้วด้วย
“ลูกน่ะ...ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย...ใช่รึเปล่า...ชิมิสึ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ ทำให้ใบหน้าหญิงสาวขาวซีดของหญิงดูสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
“จำไว้ชิมิสึ..ไม่ว่าจะยังไง..ขอให้นายปกป้องลูกของเราให้ดีที่สุด ต้องเลี้ยงดูเขาให้ดี ให้เขาโตขึ้นมาอย่างมีความสุข จะได้มั้ย”
ร่างสูงพยักหน้าอย่างยึดมั่น แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าคำพูดเมื่อครู่เหมือนการสั่งเสียมากเกินไป รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นก่อนร่างบางจะถูกเข็นเข้าไปในห้องคลอด ประตูใหญ่ปิดลง
และนั่น...เป็นรอยยิ้มครั้งสุดท้ายของเธอ
“กงล้อโซเคนโยหมุนวนเรื่อยไป ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ จะคงอยู่หรือสูญสิ้น”
เลนยะหันมาทางบิดาบังเกิดเกล้าช้าๆเมื่อได้ยินกลอนไม่คุ้นหู แต่เด็กสาวกลับจดจำมันได้ดีแม้จะได้ยินเพียงครั้งแรก
“เมื่อสิ้นกายจึงวนเวียนเรื่อยไปราวกงล้อแห่งโชคชะตา เฝ้าดูรุ่นใหม่เกิดมา แล้วลาลับดับไป”
“เมื่อลมหนาวโพยพัดยามฤดูร้อน..เหล่าผู้ที่พรากจากไกลจะกลับมาเยี่ยมเยือนเพื่อนพ้อง ยามใดที่หิมะหลงฤดูโปรยปรายลงจากฟากฟ้า..เหล่าผู้ล่วงลับจะกลับมาหาเจ้า ถ้าเจ้าเงียบเหงา ขาดคนที่รัก จากคนที่ห่วงใย เหล่าผู้จากไกลจะมาตามหิมะคิมหันตฤดู”
“เกิดอารมณ์อะไรขึ้นมาอีกล่ะพ่อ ถึงได้มาท่องกลอนสบายใจแบบนี้น่ะ”
เด็กหญิงกลับมายียวนชิมิสึเหมือนเดิม ทำให้ดวงตาสีน้ำเงินของผู้เป็นบิดามองลูกสาวอย่างสบายใจที่เลนยะสามารถกลับมาเหมือนเดิมได้แล้ว
“จำเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน..บางทีกลอนนี่อาจมีประโยชน์ในอนาคตก็ได้”
ร่างใหญ่เดินเข้ามาใกล้ๆร่างเล็กกว่า มือใหญ่ลูบบนเส้นผมละเอียดเหมือนมาซาโกะอย่างเบาๆ “และจำเอาไว้ให้ดี มาซาโกะไม่เคยเสียใจที่คลอดลูกออกมา สักวันเมื่อลูกเป็นแม่ ลูกก็จะรู้เองว่าตอนนั้นมาซาโกะรู้สึกยังไง”
ฟ้าสีเทาครึ้มเริ่มถูกแสงแดดแหวกออกจากกัน สายลมหนาวที่เคยพานพัดมาค่อยๆหายไป และมีสายลมอบอุ่นแห่งฤดูร้อนมาแทนที่ หิมะที่โปรยปรายลงมาหยุดลงอย่างช้าๆ เหลือไว้แค่พื้นหิมะที่จับตัวหนาหลายสิบเซนติเมตร
นัยน์ตาสีน้ำเงินใต้กรอบแว่นมองตามเกล็ดหิมะ ก่อนใช้มือรับหิมะที่ลอยลงมากำเอาไว้
“ยินดีต้อนรับกลับมาแล้วกัน..พ่อ...แม่”
รอยยิ้มบางขยับขึ้นบนมุมปากของเลนยะ ครั้งนี้หาใช่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เคยใช้ประจำไม่ แต่เป็นรอยยิ้มจริงใจ ที่คนธรรมดาสามัญมีให้กัน
กึก
เลนยะที่กำลังหมุนตัวกลับชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นร่างใหญ่ซึ่งยืนอยู่กลางดาดฟ้าของตึกเรียน บนเส้นผมสีดำขลับงดงามมีหิมะจับตัวหนาบนเส้นผมยาว แสดงถึงระยะเวลาที่หมาป่าหนุ่มมายืนค้างนิ่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เวลาน้อยๆเลยทีเดียว
บางทีอาจตั้งแต่เด็กสาวออกมายืนที่นี่เลยก็ได้
“ทำไมไม่กลับบ้าน ป่านนี้โจรมันไม่ยกเค้าฉันไปหมดบ้านแล้วเรอะไอ้ลูกหมา”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าปีศาจ ดวงตาสีเทาจับจ้องที่เลนยะเพียงอย่างเดียว
“สบายใจขึ้นหรือยัง” คิเอ็นจิกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความห่วงใย แต่ไม่อยากเข้าไปรบกวนจึงได้เฝ้ามองดูเด็กสาวไกลๆ
หมอผีสาวขยับแว่นขึ้นบนดั้งจมูก “ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
เลนยะค่อยๆก้าวผ่านชายหนุ่มไปทางประตูลงจากดาดฟ้า แต่อยู่ๆดวงตาสีน้ำเงินก็เบิกโพลง ก่อนจะปราดเข้ามาประชิดตัวคิเอ็นจิแทบจะในทันที เรียกให้หมาป่าหนุ่มสะดุ้งโหยงด้วยอารามตกใจ
“จ...เจ้าจะทำอะไรข้า!!” นัยน์ตาสีอัญมณีส่งแววสงสัยไปทางเด็กสาวคนสำคัญคนสำคัญซึ่งเกิดอาการพิศวาสเขาขึ้นมากะทันหัน มือเรียวจับไปทั่วร่างกายสูงกว่า
“เจ้าไคอยู่ที่ไหน”
เจ้าปีศาจอึ้งไปสักครู่ ก่อนจะลดอุณหภูมิบนใบหน้า “อยู่กับญาติเจ้า”
เด็กสาวถอนหายใจ แต่ก็อดสงสารลูกพี่ลูกน้องไม่ได้ซึ่งตอนนี้สงสัยว่าหัวคงยุ่งเป็นรังนกไปหมดแล้วแน่ๆ นัยน์ตาทั้งสองคู่สบกัน ก่อนเลนยะจะเอามือออกจากร่างกายของคิเอ็นจิเมื่อรู้สึกตัว ดวงตาสีน้ำเงินเบนไปทางอื่นเมื่อตัวเองทำเหมือนไปลวนลามชายหนุ่มอย่างนั้น
กริ๊งงงงงงงงง
เสียงออดบ่งบอกเวลาหมดพักเที่ยง เหล่านักเรียนโรงเรียนโยโคต่างพากันเดินเข้าห้องเรียนเพื่อเรียนในวิชาต่อไป เลนยะสาวเท้าไปยังประตูอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้สามีภรรยาเกิดอาการชักกระตุกพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
อยู่กับซานาดะ
ก็แปลว่าอยู่ในห้องเรียนน่ะสิ
เอี๊ยดดดดดดดดดดด
เสียงเบรกอย่างแรงระหว่างรองเท้าของเลนยะและพื้นไม้หนาส่งเสียงดังไปทั่วทั้งชั้น ควันโขมงลอยขึ้นจากเท้าของเด็กสาวแสดงถึงความเร็วเหนือแสงที่คุณแม่รุ่นสาวตะเกียกตะกายมาถึงที่นี่
“โซเคนโย เลนยะ ทำไมเธอถึงมาช้าล่ะ”
อ.นิจิซาคิแห่งวิชาสังคมศึกษากล่าวพลางมองหมอผีสาวด้วยหางตา ในมือขวาของชายแก่มีนาฬิกาเรือนทองยี่ห้อจากนอกซึ่งนักเรียนทุกคนจงเกลียดจงชังมันยิ่งนัก เพราะถ้ามันดีดเข็มวินาทีเกินเวลาเร็วกว่าพวกเขาเข้ามาในห้องเมื่อไหร่ เรื่องบรรลัยเกิดเมื่อนั้น
“..เรื่องของฉัน”
หึก...หึก...หึก
เสียงกั้นหัวเราะของคนทั้งห้องดังระงมเหมือนเสียงผึ้งแตกรัง ชายแก่ในสูทสีเขียวอ่อนจ้องเลนยะตาถลึง เพราะไม่เคยมีใครลองดีเขามาก่อน
ทว่าจุดสนใจของเด็กสาวเรือนผมน้ำตาลมิได้อยู่กับอาจารย์สังคม แต่คือขนของตัวอะไรสักอย่างที่ดิ้นขลุกขลักใต้เก๊ะของซานาดะ ยิ่งดูทรงผมเละๆและหน้าตาเจื่อนๆของญาติหนุ่มไม่ต้องฟันธงก็รู้ว่าชายหนุ่มยัดใครไว้ใต้โต๊ะ
“ไปยืนหน้าชั้นเรียนเดี๋ยวนี้โซเคนโย เลนยะ ทั้งชั่วโมงนี้ห้ามเข้าห้องและไปไหนเด็ดขะ...” ชายชราตวาดใส่เลนยะอย่างเป็นผู้อยู่เหนือกว่าได้ไม่นานก็กลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่เมื่อไปสบกับดวงตาแม่สีคู่นั้นเข้า
“ขอโทษทีนะ ฉันไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งใคร”
เสียงเย็นเยียบเริ่มทำให้บรรยากาศห้องเรียนมาคุอีกครั้งอย่างที่เป็นทุกวัน รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างสูงซึ่งเดินผ่านหน้าอ.นิจิซาคิไปอย่างไม่สนอะไรทั้งสิ้น ราวกับคำประกาศิตเมื่อกี้ไม่ได้เข้ามาถึงโสตประสาทของเด็กสาวแม้แต่น้อย มือถือชอล์กกำแน่นจนชอล์กหัก ปากของชายแก่อ้าขึ้นเตรียมคาดโทษเลนยะอีกรอบ
“จะสอนมั้ยหนังสือน่ะ” คราวนี้เสียงเย็นชาเป็นของญาติหนุ่มโซเคนโย ซึ่งทำเอาอาจารย์แก่ถึงกับอึ้งใบ้กินไปชั่วขณะ เมื่อเจอเข้ากับการแทคทีมสายตามหาวิบัติโลกเข้าให้
อ.นิจิซาคิขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่พอใจก่อนจะหันหน้าเข้ากระดานเขียนบทเรียนไป ตอนนี้นักเรียนทุกคนในห้องต่างพากันสรรเสริญเลนยะซึ่งเป็นนักเรียนรายซึ่งรอดพ้นอุ้งมือมารของชายชรามหาตรงเป๊ะอย่างนิจิซาคิ จุนโซมาได้คนแรกในรอบยี่สิบห้าปี มีเพียงนักเรียนชายคนหนึ่งที่หันไปหันมาหาไม้บรรทัดฟุตเหล็กของตนเอง
“มีใครเห็นมันรึยัง” เลนยะกระซิบกับญาติหนุ่มพลางขยับเก้าอี้ชนกัน เพิ่งจะมารักใคร่ปรองดองกันจริงๆก็อีตอนนี้
“ตาแก่นิจิซาคินั่นน่ะ เกือบไปเหมือนกัน” เด็กหนุ่มกระซิบตอบก่อนจะก้มหัวลงไปใต้เก๊ะดูสภาพอาการหลานชายที่ถูกอัดก๊อปปี้ในเก๊ะอย่างสมบูรณ์แบบ “ยังไม่ตายแฮะ”
“ท่านคิเอ็นจิล่ะ อยู่ที่ไหน”
ท่านหญิงอาเคเดะลอยเข้ามาถาม พลางหรี่ตาอนิจจังให้กับไค เลนยะตวัดนัยน์ตาสีน้ำเงินไปนอกหน้าต่าง
หมาป่าหนุ่มในร่างมนุษย์นั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่ใบดกหนา นัยน์ตาสีเทามองเลนยะที่เหงื่อโชกเพราะการพุ่งด้วยความเร็วขนาดเครื่องบินเจ็ต และลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่อึดจัดแม้ถูกอัดเข้าใต้โต๊ะยังไม่โวยวายสักแอะ
ถึกเหมือนแม่จริงๆ
“แล้วอย่าบอกว่าให้เจ้าหนูนี่อยู่ในนี้อีกหนึ่งชั่วโมงน่ะ”
คำถามจากญาติหนุ่มทำให้เด็กสาวฉีกยิ้มหวานที่ใครเห็นแล้วอยากฆ่าตัวตายขึ้น “ไม่เสียแรงที่กินหนังสือแทนข้าวทุกวัน ฉลาดดีนี่คะคุณญาติที่รัก”
ฟิ้ววววววววว
ราวกับหิมะที่หยุดตกไปโปรยปรายลงมาระหว่างสองบุคคลและสองวิญญาณอีกระลอก ทาโร่ค้างสายตาไว้ที่คุณแม่นามโซเคนโย เลนยะอย่างไม่เชื่อตาตัวเอง
ยัยบ้านี่...
คิดจะฆาตกรรมลูกตัวเองจริงๆใช่มั้ย...
“จ...เจ้าจะบ้ารึไง..”
“แล้วจะให้ทำไง ให้ลุกผ่านหน้าตาแก่นั่นไปอีกรอบเรอะ คราวนี้มันคงไม่จบแค่นี้แน่ๆ” เลนยะพูดอย่างปัดความรับผิดชอบๆ ทั้งๆที่ถูกบีบจนตาแทบถลนนั่นลูกชายแท้ๆ
“เธอมีผอ.โยโคหนุนหลังอยู่จะกลัวอะไรอีกล่ะ..ฉันไม่อยากขึ้นชื่อว่าฆ่าหลานตัวเองตายตั้งแต่ยังแบะเบาะนะ”
หมอผีสาวจ้องซานาดะอย่างเบื่อๆ ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่คอ(คอจริงๆ)ของสิ่งมีชีวิต(ที่ใกล้จะไม่มีชีวิต)ใต้เก๊ะออกมาแล้วจัดยัดลงกระเป๋าราวกับเป็นแค่ตุ๊กตาที่ไม่เจ็บไม่ปวด ญาติหนุ่มเริ่มคิดว่าอยู่ใต้เก๊ะเขาจะปลอดภัยกว่านี้อีก
“จะไปไหนน่ะโซเคนโย เลนยะ”
เท้าที่กำลังจะออกนอกช่องประตูห้องเรียนหยุดกึก ก่อนจะหันมาทางชายชราผู้เคร่งครัดกับระเบียบวินัยของสถานศึกษายิ่งนัก ดวงตาสีน้ำเงินใต้กรอบแว่นดูทั้งรำคาญและแฝงด้วยความอำมหิตแรง จนขนแขนของอาจารย์แก่สแตนด์อัพพร้อมเพรียงกันเสียดื้อๆ
“..ก็บอกแล้วว่าเรื่องของฉัน..”
สิ้นเสียงเย็นเยียบที่ทำให้ห้องเกิดบรรยากาศดูหนาวยิ่งกว่าเรียนในขั้วโลกเหนือ เลนยะก็หมุนตัวกลับออกจากห้องเรียนที่ไม่เหมือนห้องเรียนแล้วไป นักเรียนเพื่อนร่วมห้องต่างทอดถอนใจไปตามๆกัน
เพิ่งรู้ว่าการมีชีวิตอยู่(แล้วเจอเลนยะ)มันน่าหดหู่ขนาดนี้
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
เสียงแสบแก้วหูของเด็กสาวมัธยมหลายสิบคนดังไปทั่วชั้นล่างของโรงเรียน จนเด็กสาวปีศาจอย่างเลนยะต้องใช้นิ้วมือปิดหูอย่างรำคาญใจ
“ทำไมวันนี้มันมีแต่เรื่องซวยๆวะ”
แต่ความคิดต้องหยุดลงแค่นั้นเมื่อร่างที่หยุดนิ่งมานานเริ่มดิ้นไปมาในกระเปาเรียนของเลนยะอีกครั้ง หมอผีสาวเปิดกระเป๋าขึ้นพร้อมดึงลูกชายที่มีหน้าตาเหมือนมวยใกล้น๊อคออกมาอุ้ม
“ขอโทษเว้ยเจ้าไค ก็มันไม่มีทางเลือกนี่หว่า”
เด็กสาวกล่าวหน้ามุ่ย ก่อนจะเดินไปทางเสียงกรี๊ดของสาวๆทั้งหลายเพราะมันดันเป็นทางเดียวที่จะออกจากโรงเรียน
ทั้งสาวน้อยและสาวใหญ่หลายสิบคนคนมุงแน่นราวกับว่ามีคนเอาเงินมาโปรยเป็นกองใหญ่แล้วให้รุมเก็บฟรีจนไม่อาจเห็นผู้ที่อยู่ในวงล้อมนั่นได้ เลนยะพยายามแทรกเข้าไปเรื่อยเพื่อหาทางออก ทำให้เด็กสาวเห็นร่างภายในได้ชัดขึ้น
ร่างสูงใหญ่ในชุดไปรเวทดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปศิลป์จากหัตถ์พระเจ้า นัยน์ตาสีเทาสว่างยามต้องกับแสงสว่าง ผิวสีขาวสะอาดตา เส้นผมยาวสีดำสนิทมีประกายวาววาบดังเงิน
ใครวะ...คุ้นๆ
“เฮ้ยยยย ไอ้ลูกหมา!!”
เสียงตะโกนก้องจากร่างสูงชะลูดทำให้สาวกคลับคิเอ็นจิหันมามองเด็กสาวเป็นตาเดียว ต่ายิ่งไปกว่านั้นในมือก็มีเด็กชายหน้าตาน่ารัก(ถึงจะหมดสภาพไปแล้วก็เหอะ)ที่ถอดแบบมาจากชายตรงหน้าไม่มีผิด
เจ้าปีศาจหนุ่มที่หน้าซีดเผือดเพราะหูอื้อเนื่องจากหูเขาได้ยินเสียงดีกว่ามนุษย์หลายเท่าแล้วดันมาอยู่กลางวงบูชายัญแบบนี้ค่อยๆเดินโงนเงนมาทางภรรยาและลูกชาย เลนยะจับใบหน้าหมาป่าหนุ่มให้เงยขึ้นเพราะชายหนุ่มมีท่าทางจะสลบเหมือดตรงนี้ซะแล้ว
“จะตายแล้วรึไงวะไอ้ลูกหมา อย่าเพิ่งตายนะว้อย มาช่วยกันทำมาหากินกันก่อน”
สิ้นคำยิ่งทำให้หมาป่าอยากล้มมันไปตรงนั้นเลย เนี่ยนะคือคำให้กำลังใจของเจ๊เนี่ย
แต่เลนยะต้องชะงักเมื่อเจอกับสายตาหลายสิบคู่ของแฟนคลับสามีตนเอง รังสีอำมหิตเริ่มพวยพุ่งออกจากกลุ่มคนมายังเลนยะเอง จนเด็กสาวเริ่มเข้าใจแล้วว่าถูกโจมตีด้วยสายตามันเป็นยังไง
“นั่นยัยแว่นโซเคนโยเลนยะไม่ใช่เหรอ”
“อะไรนะ..ยัยทึ่มนั่นน่ะเหรอ..แล้วไปเกี่ยวอะไรกับพี่คนนั้นได้ล่ะ”
“อย่าบอกนะว่าเป็นแฟนกัน ไม่นะชั้นไม่เชื่อ!!!”
“แล้วเด็กคนนั้นเป็นอะไรกับสองคนนั่นล่ะ”
“ห๊า...หรือว่า..”
“ลูก!!!!!”
เสียงแหลมเล็กประสานกันลั่นเมื่อความคิดเห็นทั้งหลายเริ่มมาตรงกัน เหงื่อกาฬเม็ดโตไหลออกจากใบหน้าของสองสามีภรรยาราวกับเขื่อนแตก มีเพียงไคที่เพิ่งจะตื่นเต็มตาไม่รู้เรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้น
จากกลุ่มสาวแท้สาวเทียมหลายสิบคนเริ่มมีพันธมิตรก๊กอื่นทยอยเข้ามาเรื่อยๆ และสายตาทุกคู่มองเลนยะราวกับตัวประหลาด ไม่น่าเชื่อ โดยไม่รู้ตัวเด็กสาว หมาป่าหนุ่มและไคคุงก็ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของคนเกือบทั้งโรงเรียนอีกครั้ง
“มีความคิดที่ดีๆรึยังเลนยะ”
น้ำเสียงราบเรียบที่แหบพร่าเล็กน้อยด้วยยังไม่หายอาการหูอื้อ เลนยะดันแว่นขึ้นบนดั้งจมูก “มันก็มีอยู่”
ขวับ!!
“กระโดดขึ้นไปไอ้ลูกหมา เผ่นโว้ยยย!!”
เลนยะว่าจบก็กระโดดขึ้นบนอ้อมแขนแกร่งของเจ้าปีศาจทันที คิเอ็นจิรีบพุ่งตัวขึ้นบนระเบียงโรงเรียนทันที ญี่ปุ่นมุงถึงกับอ้าปากค้างเมื่อชายหนุ่มทำกิริยาเหนือมนุษย์เช่นนั้น แต่ทว่าเลนยะต้องอึ้งเมื่อระเบียงที่คิเอ็นจิกระโดดขึ้นมา
ตรงกับห้องเรียน...ของเธอเอง
นักเรียนร่วมห้องทั้งชายหญิงมองอาคันตุกะนอกระเบียงด้วยอาการที่เรียกว่า ’ช๊อค’ และรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผมดำที่นั่งอยู่ชิดหน้าต่างจะช๊อคเป็นพิเศษกว่าคนอื่น
ความคิดเห็น