คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Mom&Dad 7 : เลนยะ&คิเอ็นจิ เข้าเรือนหอ!! (Rewrited)
Chapter 7 : เลนยะ&คิเอ็นจิ เข้าเรือนหอ!!
ฟิ้ววววววววววว
สายลมหนาวที่โบกพัดพาทุกอย่างที่สงบนิ่งยามราตรีให้เคลื่อนไหว เสี้ยงจันทร์บางที่เกี่ยวท้องฟ้าสีนิลส่องประกายแสงนวลลงมาต้องผืนดินชุ่มฉ่ำน้ำค้าง ใบไม้แห้งที่ผลัดลงจากต้นไม้ใหญ่ทิ้งตัวกลางอากาศลงมานอนนิ่งบนหลังคาสีอิฐ แต่ทว่าภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมของเด็กสาวนามโซเคนโย เลนยะยังคงมีเสียงรบกวานความเงียบงันยามรัตติกาลอยู่เรื่อยๆเป็นระยะ
“เขยิบไปหน่อยสิวะ แกจะเบียดฉันให้ตายไปเลยรึไงห๊า ไอ้ลูกหมา!”
หมอผีสาวแหวขึ้นท่ามกลางความมืดสลัวซึ่งมีเพียงเทียนเล่มเล็กๆให้แสงสว่างริบหรี่แก่สามชีวิตบนเตียงหนาที่ดูคับแคบไปแล้ว
“เจ้าก็เลิกนอนดิ้นสักทีสิเลนยะ” คิเอ็นจิกล่าวเสียงดุ ก่อนจะนอนลงบนเตียงช้าๆเมื่อลูกชายจอมป่วนของเขาและเลนยะไม่ยอมให้ทั้งพ่อทั้งแม่นอนไกลตัวเองเลย ทั้งสองสามีภรรยาชั่วคราวจึงต้องมาเบียดกันเป็นซูชิคน-ปีศาจ-ครึ่งปีศาจ แบบนี้
“โอ๊ยยย เจ็บนะเฟ้ยไอ้หมาบ้า ทำเบาๆไม่เป็นรึไงวะ”
“ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าเจ็บนะ เจ็บมากรึเปล่า”
“แค่นี้ไกลหัวใจ นอนไปได้แล้ว แกไม่รู้รึไงว่าตัวหนักแค่ไหนน่ะ”
“แล้วใครใช้ให้เจ้ามาคร่อมข้าล่ะ”
ผีน้อยที่ลอยอยู่ข้างนอกฟังบทสนทนาของทั้งสองด้วยความระทึกใจ เพราะถึงแม้จะคิดในแง่ดีเท่าไหร่ก็ไม่ได้ช่วยให้อาการคิดลึกหายไปได้เลย โยชิฮาระพยายามเบนความสนใจไปที่อื่นเพราะเขารู้แก่ใจว่าถ้าไปฟังสถานการณ์แบบทาโร่เขาคงไม่เลิกไปถึงเช้าแน่ๆ
เด็กสาวช้อนนัยน์ตาสีน้ำเงินไปมองใบหน้าของเจ้าปีศาจที่พยายามข่มตาหลับ ใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสง่าและหล่อเหลากว่าชายใดในโลก เส้นผมสีดำสนิทเงางามทอประกายราวกับอัญมณี เปลือกตาที่หลับลงทำให้ชายหนุ่มดูน่าครอบครองไม่แพ้ยามตื่น
“เจ้าจะจ้องหน้าข้าอีกนานไหม” เสียงทุ้มต่ำถามขึ้นทั้งๆที่ดวงตายังปิดสนิท แต่เพราะประสาทสัมผัสระดับเจ้าปีศาจทำให้รู้ได้ง่ายๆว่าหมอผีสาวกำลังมองเขาอยู่ เลนยะบุ้ยปากเล็กน้อย “ก็มันไม่มีอะไรทำ แถมไอ้ไฟบ้าดันมาดับซะตอนนี้”
คิเอ็นจิลืมตาสีเทาขึ้นมองเลนยะที่นอนตะแคงข้างเข้ามาหาเขา จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเลนยะ ซึ่งก็มีเพียงลูกชายตัวน้อยที่หลับตาพริ้มสนิทกั้นกลางเอาไว้เท่านั้นใบหน้าน่ารักน่าชังดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดเพราะมีพ่อและแม่นอนอยู่ข้างๆ มือใหญ่ลูบแก้มแดงๆของเด็กชายอย่างเบามือ
“มันหน้าตาเหมือนแกเปี๊ยบเลยนะ ไอ้เด็กนี่”
เลนยะพูดพลางชื่นชมหน้าตาลูกชายใกล้ๆเป็นคราวแรก(ก็ตอนแรกเล่นเกาะหัวแน่น เลยมองไม่ชัด) ก่อนนำมาเทียบกับพ่อของเด็กซึ่งกำลังมองเธออย่างอ่อนโยน นิ้วมือเรียวลูบเส้นผมฟูๆของทารกน้อยช้าๆ ดวงตาสีน้ำเงินฉายประกายบางอย่างจนแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังแปลกใจ
หมาป่าหนุ่มลุกขึ้นจากเตียง ชุดประจำที่ใส่ทุกวันเหลือเพียงแค่กิโมโนสีขาวบางๆแนบเนื้อสำหรับนอนหลับ ดวงตาสีเทามองขึ้นไปบนฟากฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาวเล็กใญ่ดารดาษไปทั่ว “ทำไม ทุกชีวิตถึงอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้”
หมอผีสาวเลื่อนสายตาจากลูกชายไปยังคิเอ็นจิที่ยังค้างนัยน์ตานิ่งบนดวงจันทร์เสี้ยวที่มีหมู่ดาวประดับประดาอยู่เคียงข้าง
คิเอ็นจิเอ่ยถาม พลางมองเลนยะในชุดนอน ดวงตาสีน้ำเงินสบเข้ากับดวงตาสีเทา “ฉันจะไปรู้ไหม ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดานะเว้ย ไม่ใช่พระเจ้า ตาแก่ที่วันๆเอาแต่สร้างสรรค์ทุกอย่างน่ะ” หมอผีสาวกล่าวตอบเจ้าปีศาจที่อยากรู้สิ่งที่ต้องใช้หัวใจคิด ซึ่งไม่ใช่ความถนัดของเลนยะเลยแม้แต่น้อย
ปีศาจหนุ่มลูบหน้าผากของลูกชายอย่างเบาๆ มือเล็กๆดึงนิ้วใหญ่เอาไว้กับตัวเองราวกับเป็นของมีค่ายิ่ง ทำให้ใบหน้าคมคายปรากฏรอยยิ้มบางด้วยความรักและเอ็นดู
“ก็เพราะทุกชีวิต ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะอยู่เพียงลำพัง”
คำตอบจากเลนยะทำให้หมาป่าหนุ่มเงียบไป สายลมที่พานพัดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้บรรยากาศเริ่มเงียบงัน เสียงหรีดหริ่งเรไรและหิงห้อยส่งประสานกันขับกล่อมเป็นดนตรีแห่งชั่วโมงอันเงียบเหงา กลิ่นดอกไม้ที่ผลิบานเองตามธรรมชาตินอกบ้านส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้องนอน
“คนบางคนคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอที่จะก้าวเดินคนเดียวโดยไม่มีใครอยู่รอบข้าง สามารถเลือกที่จะอยู่เพียงลำพัง แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้หรอกว่าที่ๆจิตใจเรียกร้องอยากกลับไปที่สุดคือบ้าน” เด็กสาวกล่าวขึ้นท่ามกลางห้องที่มีแสงสว่างสลัว ดวงตาสีน้ำเงินมองไปบนฟากฟ้าที่สว่างด้วยแสงดาว ก่อนว่าต่อ ”ที่ที่มีคนต้อนรับเราเสมอ ที่ที่มีคนที่เรารักและรักเรา จุดศูนย์รวมจิตใจของมนุษย์ทุกคน”
คิเอ็นจิสัมผัสปลอกคออาคมบนต้นคอของตนเมื่อพูดถึงบ้าน คำพูดของเลนยะทำให้เขาหวนย้อนนึกถึงตนเอง
...เขาเคยคิดว่าตนเองแข็งแกร่ง...
...เคยคิดว่าสามารถอยู่ได้เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้....
....ทั้งที่เขาก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นจริง...
....มันทำให้จิตใจของเขาว่างเปล่า...
.เงียบเหงา...ไม่มีใคร
..เขาจึงต้องทนอยู่กับความโดดเดี่ยวเย็นชาเรื่อยมา..
...สร้างกำแพงป้องกันตัวเองจากคนอื่น...และสิ่งรอบข้าง...
...ถึงมีที่อยู่...มันก็ไม่เหมือนบ้าน..
...จนกระทั่ง...ได้มาพบกับ...โซเคนโย...เลนยะ
...มนุษย์ที่ไม่เหมือนมนุษย์คนใดที่เขารู้จัก...
...ความโกรธเกลียดมากมายที่สุมกองจิตใจ..
บัดนี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นความเข้าใจ...
...ที่ใดที่มีเด็กสาวนามโซเคนโย เลนยะผู้นี้อยู่...ที่นั่นก็คือบ้านสำหรับเขา..
...ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่...ที่ที่เขายืนอยู่..มักจะมีเธออยู่เคียงข้างเสมอ..
...ผู้ทลายกำแพงหัวใจที่ด้านชาเข้ามาอย่างง่ายๆ
..มนุษย์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆเขาในตอนนี้..
...โซเคนโย....เลนยะ
“แล้วแกจะจ้องหน้าฉันอีกนานมั้ย ไอ้ลูกหมา” เสียงยียวนของเด็กสาวแขวะเจ้าปีศาจเล่นในความมืดมิด ทำให้เรียกรอยยิ้มจากใบหน้าคมคายได้อย่างง่ายๆ คิเอ็นจิลุกขึ้นจากเตียงฝั่งของตัวเองและเดินไปนั่งลงใกล้ๆเลนยะ
“แกยังเจ็บแผลอยู่อีกรึเปล่า” หมอผีสาวถามหมาป่าหนุ่มที่มานั่งใกล้ๆตัวเอง ดวงตาสีน้ำเงินสอดส่องดูรอยแผลภายใต้ปลอกคออาคม คิเอ็นเบิกตาขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ “เจ้า...รู้ งั้นเหรอ”
ร่างสูงในชุดนอนแขนยาวถูมือตัวเองเพื่อเพิ่มความอบอุ่นของร่างกาย “เกือบตายขนาดนั้น ถ้าไม่ได้พลังอสูรแกมาช่วยฉันคงม่องเท่งไปนานแล้ว” เลนยะว่า ก่อนจะหันไปดึงผ้าห่มหนาอุ่นคลุมร่างเล็กที่ยังคงนอนนิ่งไม่รู้ประสีประสา “คืนนี้หนาวชะมัดยาดเลยแฮะ”
เด็กสาวหันไปทางคิเอ็นจิที่เงียบไป ก่อนจะตัดสินใจแตะเบาๆเข้าที่ปลอกคอราคาแพงอย่างเบามือ ร่างสูงสะดุ้งเล็กๆพลางตวัดดวงตาสีเทาที่มีกระแสความอ่อนโยนไปทางเลนยะ
นิ้วมือเรียวของหมอผีสาวดึงปลอกคอลงมาช้าๆ ภาพที่เห็นคือรอยแดงเข้มที่รักษาตัวเองไปบ้างแล้วเหตุเพราะชายหนุ่มเป็นปีศาจ แต่ท่าทางก่อนนี้คงสาหัสพอดู ดวงตาสีน้ำเงินแข็งกร้าวที่แฝงเร้นด้วยความเป็นห่วงชายตรงหน้าเลื่อนขึ้นมองเจ้าตัวที่ตอนนี้เผยยิ้มราวจะละลายใจให้กับเธอ
“แกรู้มั้ยว่าปลอกคอนี่ได้มาจากไหน”
เลนยะเอ่ยขึ้นเบาๆ นิ้วมือเรียวยังคงสัมผัสบนปลอกคอนิ่ง คิเอ็นจิมองเลนยะในเชิงต้องการคำตอบ ยิ้มปีศาจใต้แสงสลัวจึงแยกขึ้นบนใบหน้าของเด็กสาว “ก็แค่ไอ้หมาจรจัดอวดเก่งตัวหนึ่ง”
เจ้าปีศาจแทบจะล้มโครมลงไปกับพื้นเดี๋ยวนั้นเมื่อรู้ว่าปลอกคอที่เขาหลงใส่มาตั้งนานมาจากใคร นี่คุณเธอไม่คิดจะลงแรงซื้ออะไรอย่างเขาเองบ้างเลยหรือ
“แต่มันเป็นหมาที่เหมือน...เหมือนแกมากจริงๆ”
คิเอ็นจิสะดุดกับคำพูดนั้น นัยน์ตาสีเทากลับมาจดจ่ออยู่ที่เด็กสาวคนสำคัญ เลนยะมองขึ้นบนฟากฟ้าเมื่อยามนึกถึงความหลัง “มันเกลียดและไม่เชื่อใจมนุษย์หน้าไหน ต่อให้ตาย มันก็ไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากมนุษย์ หึ ไอ้หมาหยิ่ง” เลนยะกล่าวด้วยน้ำเสียงตรงกันข้ามกับคำพูดที่ดูราวกับเหยียดหยามนั้นอย่างสิ้นเชิง มันเป็นน้ำเสียงที่เข้าใจ ยอมรับในการกระทำ จะว่าชื่นชมก็ได้
เพราะมันยึดมั่นในสิ่งที่มันเชื่อถือ ไม่เหมือนกับมนุษย์บางคน
แม้จะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก แต่จิตใจของสัตว์เดรัจฉานนี้ก็มีสิ่งที่สำคัญต่อการเดินทางบนเส้นทางสายมนุษย์อยู่
ความมั่นคง...เชื่อมั่น....ความหวัง...ความรักและทะนงในศักดิ์ศรี
“สาเหตุที่มันเป็นแบบนั้น ก็คงเพราะมันถูกทรยศหักหลังจากคนที่มันเชื่อมั่นมากที่สุด การสูญเสียของที่รักและหวงแหนแบบไม่มีทางหวนกลับ” ดวงตาสีน้ำเงินช้อนขึ้นมองที่ปลอกคอหนาและใบหน้าของเจ้าปีศาจซึ่งกำลังคิดถึงอดีตที่ผ่านพ้นมาของตนเช่นกัน “มันเลยไม่เชื่อใจใครอีก เพราะมัน ไม่อยากจะเจ็บปวดอีก...”
“ใช่ไหม ไอ้ลูกหมา”
ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับจากหมาป่าหนุ่ม ในดวงตาสีเงินแวววาบด้วยความรู้สึกที่ผ่านล่วงเลยมานานนับพันปีสะสมตนจนเต็มก้นบึ้งจิตใจ ตะกอนที่เคยถูกปล่อยไว้รอการแหลกสลายได้ลอยขึ้นหล่อเลี้ยงจิตใจที่ด้านชา สติของเจ้าปีศาจคิดใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆเงียบๆ
ชีวิต....ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสิ่งเดียว
หน้าที่...ที่หนักหนาสาหัส...จำต้องแบกรับอย่าไม่อาจต่อต้าน
บางที จิตใจที่ไร้ความรู้สึกนี้ ก็อยากได้ทำตามที่ต้องการและปรารถนาบ้าง
ต้องการ...และปรารถนา
หมับ
มือใหญ่ที่เคยทอดกายบนฟูกสีขาวยกขึ้นจับมือเล็กของเด็กสาวเบาๆ ใบหน้ารูปสลักที่เคยดูนิ่งเฉยเย็นชาอย่างที่เคยพบคราวแรก บัดนี้มันคือใบหน้าของคนที่มีชีวิตและจิตใจเป็นของตัวเอง ดวงตาสีเทาแผ่ความรู้สึกมากมายในใจมายังร่างของเลนยะ คิเอ็นจิยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เลนยะมากเรื่อยๆ ร่างบางถูกโอบกอดเข้าชิดอกแกร่งด้วยสัมผัสนุ่มนวล
“ก่อนนี้ข้าเคยคิดว่าข้าทำได้เพียงสิ่งเดียว คิดได้เพื่อสิ่งเดียว คือหน้าที่ ข้าเกิดมาเพื่อจะทำแค่หน้าที่เท่านั้น” เสียงทุ้มต่ำข้างหูเอ่ยน้ำเสียงที่เร้นแฝงด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจซ่อน คนที่ถูกกอดยังนิ่งรอฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายหนุ่มต้องการบอก
“ข้าไม่เคยให้ใครเข้าใกล้ เพราะข้าไม่อยากให้ใครมาทำลายสิ่งที่ข้าต้องการรักษามันเอาไว้ ...ความโดดเดี่ยวที่ข้าแสนเกลียดชัง” อ้อมกอดถูกกระชับแน่นขึ้น เลนยะหลับตาลงฟังเสียงหัวใจของหมาป่าหนุ่มที่เต้น ในทุกชั่วขณะลมหายใจ “แต่เมื่อเวลาได้เปลี่ยนไป ความคิดของข้าก็ได้เปลี่ยนไปด้วย หัวใจของข้าก็เป็นก้อนเนื้อธรรมดาๆที่มีความต้องการเหมือนกัน”
ดวงตาสีเทาเปล่งประกายแวววาวสะท้อนท่ามกลางความมืด มือใหญ่บรรจงจับที่ใบหน้าของเด็กสาวเจ้าของนัยน์ตาที่มองเขาอย่างไร้ความหวาดกลัว หมาป่าหนุ่มเอ่ยเบาๆข้างหูของหมอผีสาวเมื่อแน่แก่ใจจนไม่อาจหลบหนีความปรารถนาในใจของตัวเอง
“ข้า...”
“แง๊...งง......งงงงงงง...!!!”
เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งทั้งหมด ดวงตาทั้งสองคู่ที่สบกันตวัดฉับมาทางต้นเสียงร้องไห้อย่างหนักแทบจะในทันที ร่างเล็กแหกปากลั่นโดยไร้ที่มาของความไม่พึงพอใจ น้ำตาใสๆไหลพรูออกจากเปลือกตาที่ปิดสนิท เลนยะถอนหายใจเบาๆ
ฝันร้าย...
“ป่ะป๋า..~~~หม่าม้า!!!!”
เสียงร้องลั่นบ้านทำให้ทั้งสองต้องผละจากภวังค์ไปยังร่างเล็กเจ้าปัญหา คิเอ็นจิอุ้มลูกชายขึ้นอย่างเบาๆ มือเล็กกำเสื้อสีขาวสะอาดตาแน่นจนข้อขาว ดูท่าความฝันนี้จะรุนแรงมากทีเดียว
“ไหนลองให้ฉันอุ้มซิ”
เสียงจากเลนยะทำให้คิเอ็นจิต้องมองด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะส่งเด็กน้อยที่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัวแม้ในยามนิทราให้แก่เด็กสาวผู้รังเกียจเด็ก
“โอ่...โอ...หลับซะนะคนดี” ดนตรีที่เริ่มในลำคอดังขึ้นเรื่อยๆข้างหูเล็กๆ มือที่พันผ้าพันแผลของเด็กสาวลูบบนหลังของเด็กชาย “ต้นหญ้าเขียวยังอยู่ข้าง...รั้ว..รอเจ้าไป..เก็บ ดอกไม้หลากสี...ย...ยังเบ่งบานอยู่ในสวนเฝ้ารอ..เจ้าไปชม....” เพลงที่ติดๆขัดยังคงดังอยู่เรื่อยๆ เสียงร้องเริ่มเหลือแค่เสียงสะอึกสะอื้น นิ้วหัวแม่มือขวาที่พันมิดด้วยผ้าสีขาวถูกดูดในปากสีชมพูได้รูปนั้น
เจ้าปีศาจยังเฝ้ามองการกล่อมที่จัดได้ว่าแย่ของแม่มือใหม่ ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบไปมองข้างบนบ้าง ล่างบ้าง ซ้ายบ้างราวกับเนื้อร้องของเพลงกล่อมนี้เป็นตุ๊กแกที่ติดอยู่ตามข้างฝาผนัง “ดูนั่นเห็นไหม..ปุยเมฆขาวๆ..ล่องลอยบนฟ้าสีคราม ด...ดวงอาทิตย์ยิ้มแฉ่งแดงสดใส..เหมือนลูกกวาด..รสหอมหวาน”
“จูงมือกันแล้วร้องเพลง..วิ่งวนกันท่ามกลางสายลม แสงแดดอบอุ่น..ยังสาดส่อง ยังรอเจ้าไปชื่นชม..หลับเสียนะคนดี...” เด็กสาวเริ่มตัดปัญหาจำเนื้อไม่ได้ด้วยการฮัมเพลงซ้ำไปซ้ำมา แต่ทว่าร่างน้อยเริ่มคลี่ยิ้มน่ารักออก เสียงสะอึกสะอื้นทั้งมวลหายไปแล้ว ใบหน้าของเด็กน้อยดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
ความมืดที่ปกคลุมนั้น...มันหายไปแล้ว...
มีแสงสว่างส่องขึ้นมา...มือหนึ่งยื่นเข้ามาจากแสงนั้น....
มือนั้น...แสนอบอุ่นอ่อนโยน...มือ....ของหม่าม้า...
..ไม่....ไม่เหงาอีกแล้ว...
หมาป่าหนุ่มรับร่างเล็กที่กรนฟี้ๆมาวางบนเตียงอีกรอบ ผ้านุ่มอุ่นถูกดึงขึ้นคลุมร่างทารกชาย ดวงตาคมยังคงจดจ่ออยู่ที่หมอผีสาวที่เหงื่อโชกโทรมกายราวกับไปวิ่งร้อยเมตรมาสามสิบรอบ “เพลงกล่อมเด็ก..งั้นเหรอ..”
“แล้วแกได้ยินเป็นเพลงงานศพใครล่ะ ไอ้ลูกหมา” เลนยะโต้อย่างหัวเสียเมื่อเจ้าปีศาจยังมีความสุขกับการมองเธออับสิ้นหนทาง ร่างสูงบางสูดหายใจเข้าอย่างลึกๆก่อนพูด “สมัยก่อนพ่อชอบร้องให้ฟัง โยชิฮาระก็ชอบร้องเวลาฉันนอนไม่หลับ เห็นบอกว่าเพลงนี้แต่งตอนที่แม่แต่งงานกับพ่อ จะเอาไว้ร้องเวลาได้ลูกสาว...เฮ้ออ..จริงๆมันยาวกว่านี้นะ แต่มันก็ตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว”
คิเอ็นจินึกอยากชื่นชมมาซาโกะแม่ของเลนยะจริงๆเพราะเธอทำทุกอย่างเตรียมไว้เพื่อเลนยะ แม้ว่าหญิงสาวไม่มีโอกาสแม้กระทั่งได้ยินคำว่า แม่ จากปากของเลนยะผู้เป็นลูกสาว แต่ทุกอย่างที่เธอทำก็เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าความรักที่เธอมีให้ไม่ได้น้อยกว่าแม่คนใดเลย
“แล้วเมื่อกี้...แกจะพูดอะไร ไอ้ลูกหมา”
คำถามจากหมอผีสาวทำให้ร่างสูงสง่าบนเตียงสะดุ้งเฮือก ใบหน้ารูปสลักรีบเบนออกไปจากระดับสายตาของเลนยะเมื่อมันเริ่มมีสีแดงเรื่อ “เอาไว้ถ้าข้าแน่ใจกว่านี้..ข้าจะบอกเจ้า” ดวงตาสีเทาเปลี่ยนจุดสนใจไปหาลูกชายทันที ทั้งที่เรื่องจะให้แน่ใจนั้น
เขาแน่ใจ...มาตั้งนานแล้ว
ความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้หมอผีสาว
“แต่ที่ข้าอยากรู้ คือความรู้สึกของเจ้าต่างหาก” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นช้าๆ มือใหญ่จับปลอกคอที่พันธนาการทุกสิ่งทุกอย่างของเขาไว้กับเธอ เขาทนไม่ได้จริงๆถ้ามันจะขาดออกไปจากเขา “เจ้าคิดยังไง...กับข้า...เลนยะ”
ไม่มีคำตอบจากเด็กสาวทายาทตระกูลต้องคำสาป หมาป่าหนุ่มก้มหน้านิ่งพยายามรอสิ่งที่เลนยะจะเอ่ยจากปากของเธอเอง แต่ทว่า..
คร่อกกกกกกกกกกกก....
เสียงกรนของเจ้าตัวเล็กรึ....ไม่ใช่
หรือว่า.........!!
ใบหน้าคมคายรีบหันไปทางคู่กรณีที่เงียบไร้สาเหตุเร็วเท่าความคิด ภาพที่นัยน์ตาสีเทาเห็นคือเด็กสาวในชุดนอนแขนยาวซึ่งหลับเหมือนตายอยู่บนฟูกหนาข้างๆลูกชายที่นอนไม่รู้สึกรู้สาอะไรพอๆกัน คิเอ็นจิอึ้งกับเหตุการณ์ตรงหน้าไปครู่หนึ่ง
ยัยนี่หลับไปตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย..
คิเอ็นจิทอดถอนใจอย่างปลงๆ ชายหนุ่มดึงผ้ามาคลุมทั้งแม่ทั้งลูกที่หนีเข้าเมืองนิทรา ทิ้งเขาเอาไว้กับค่ำคืนที่เหงาหงอยนี้เพียงลำพัง เจ้าปีศาจส่ายหัวให้กับพันธุกรรมไหลตายของหมอผีสาวที่ถ่ายทอดมายังลูกน้อยแบบไม่มีตกหล่นสักนิดเดียว
นิ้วเรียวสวยสีขาวสะอาดเกลี่ยเส้นผมยุ่งๆสีน้ำตาลที่บังใบหน้าที่ไม่จัดว่าสวยหรือขี้เหร่ออกไป หมาป่าหนุ่มยิ้มอบอุ่นให้กับภรรยาสาวซึ่งเขาก็รู้ดีว่าเธอคงไม่รับรู้อะไรหลังจากนี้อีกแล้ว “แล้วข้าจะมาทวงคำตอบนะ โซเคนโย เลนยะ”
คิเอ็นจิดับเทียนบนโต๊ะเล็กๆข้างเตียงลงจนทั้งห้องมืดมิดไร้แสงสว่าง แผ่นหลังกว้างเอนลงบนเตียงที่คับแคบก่อนจะพริ้มหลับ ปล่อยตัวเองให้ดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา โดยไม่รู้ถึงดวงตาสีน้ำเงินที่ยังคงลืมอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่กินพื้นที่ทั้งห้องนอน
“แกอยากรู้จริงๆรึไงวะ...ไอ้ลูกหมา” เสียงเบาหวิวราวขนนกถูกกลบด้วยเสียงบรรดาสรรพสัตว์ยามราตรีจนหมดสิ้น “ความรู้สึก...ของฉันน่ะ”
ดวงจันทร์เสี้ยวทอประกายแสงจันทร์อันริบหรี่เป็นเส้นไหมทองที่ถักประดับท้องฟ้าอันมืดมนให้มีมนต์ขลัง หมู่ดวงดาวแวววาวราวกับอยากบ่งบอกความนัยของมันให้ถ้วนทั่วทุกชีวิตได้รับรู้ หากแต่มันพูดได้
คืนนี้มันเพิ่งเริ่มต้นต่างหาก ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เจ้าต้องเผชิญในเช้าถัดไป
รุ่งเช้าแห่งการเลี้ยงลูกชายจอมจุ้นใกล้เข้ามาแล้ว
ความคิดเห็น