ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ~๐Oo>>ร้านกาแฟถ้วยเดียว
บรรยากาศของร้านกาแฟเก่า ๆ เล็ก ๆ แห่งหนึ่งในยามหัวค่ำอันแสนอบอุ่นจากแสงจันทร์สีเหลืองนวลที่ทอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ร้าน กาแฟถ้วยเดียว ตั้งอยู่หัวมุมถนนในย่านที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านนักเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ ในลอสแองเจลลิส ร้านนี้ถูกตกแต่งด้วยไฟนีออนสีเหลืองส้มที่เสริมบรรยากาศของค่ำคืนให้ดูโรแมนติกยิ่งขึ้น
ภายในร้านอบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟคั่วหอมกรุ่น และเสียงดนตรีเบา ๆ เปิดคลอให้ได้อารมณ์ที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น แม้ตามปกติร้านนี้จะไม่ค่อยเป็นร้านที่ดูแออัดยัดเยียดไปด้วยฝูงคน แต่ลูกค้าที่มาใช้บริการก็ผลัดเวียนกันเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งขาประจำและขาจรมักจะมานั่งจิบกาแฟเพื่อเสพย์ความสุขเพียงเวลาไม่นาน แล้วซักพักพวกเค้าก็จะจากไปและนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าของร้านต้องตั้งชื่อร้านกาแฟของเค้าอย่างนี้
ในร้านมีเพียงลูกค้าสามรายที่ต่างนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองที่ได้จับจองไว้ ส่วนเจ้าของร้านกำลังวุ่นอยู่หลังบาร์กาแฟกลางร้านกับการเตรียมน้ำตาลและครีมเทียม เมื่อตอนบ่ายแก่ๆเขาต้องปิดร้านไปพักใหญ่ทีเดียว เนื่องจากเมื่อวานก่อนปิดร้านเค้าลืมตรวจดูปริมาณของน้ำตาลและครีมเทียม วันนี้เค้าจึงต้องเสียเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อไปซื้อของสำคัญทั้งสองอย่างนี้
ขณะที่เจ้าของร้าน กาแฟถ้วยเดียว กำลังสบถขึ้นเบา ๆ ใส่น้ำตาลถุงใหญ่ที่เค้าเพิ่งเทหกเกลื่อนพื้นหลังบาร์ เสียงกระดิ่งรูปกาต้มกาแฟที่แขวนไว้กับประตูหน้าร้านก็ดังขึ้น
ลูกค้าชายสูงวัยที่กำลังคลี่หนังสือพิมพ์ในมือเหลือบขึ้นมองต้นเหตุแห่งเสียงผ่านแว่นขอบหนาที่เขาใช้อำนวยความสะดวกในการอ่านเพียงแว่บเดียว จากนั้นเขาก็ก้มลงสนใจกับข่าวสารเกี่ยวกับการปรับนโยบายของคณะเทศมนตรีประจำท้องถิ่นต่อ หญิงวัยทำงานที่ดูเหมือนจะนั่งที่โต๊ะกลางร้านพอดียังคงคุยกับคนในโทรศัพท์มือถือของเธอต่อไปโดยไม่แม้แต่จะขยับตัวไปทางลูกค้ารายใหม่ ต่างจากเด็กหนุ่มวัยรุ่นในโต๊ะริมประตูที่มองตามการเคลื่อนไหวของหญิงสาวที่เพิ่งก้าวเข้ามาในร้านอย่างไม่ละสายตา
"เชิญเลือกที่นั่งตามสบายนะครับ แต่ถ้าไม่รังเกียจจะมานั่งคุยเป็นเพื่อนกันที่บาร์นี่ก็ได้ ถ้าคุณปล่อยให้ลุงบ่นไอ้น้ำตาลถุงนี้ไปตลอดคืนมีหวังคุณคงต้องตามไปกินกาแฟร้านลุงในโรงพยาบาลบ้าที่ไหนซักแห่งแน่" ชายสูงวัยเจ้าของร้านกล่าวอย่างอารมณ์ดีขณะที่เค้ากำลังโกยน้ำตาลใส่ถังขยะสีเขียวที่เพิ่งดึงมาไว้ข้าง ๆ ตัว
"ยังขี้บ่นไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะครีแกน" หญิงสาวหยอกกลับมาอย่างคุ้นเคยกับชายแก่ พร้อมกับเลือกที่นั่งตรงกลางบาร์
เธอเป็นหญิงสาวสวยร่างเล็กที่สามารถทำให้หนุ่ม ๆ สะดุดตาได้ไม่ยาก เธอมีผิวขาวนวลราวกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน ผมส้มซีด ๆยาวประบ่าสีซอยไล่สั้นขึ้นมาเล็กน้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลเฮเซิลที่ทาขอบตาบาง ๆ ด้วยสีเบจ จมูกเข้ารูปรับกับใบหน้าเรียวรูปไข่ และริมฝีปากอันเรียวบางของเธอแต่งแต้มด้วยสีส้มอ่อน
เสื้อโค้ทตัวยาวเข้ารูปสีครีมเพิ่งถูกถอดออกวางลงข้าง ๆ ตัว เผยให้เห็นเสื้อสายเดี่ยวสีครีมเข้มที่เข้าชุดกับผ้าพันคอลายสก๊อตสีน้ำตาลและกางเกงสแลคยาวสีน้ำตาลอ่อน เมื่อรวมกับรองเท้าส้นสูงสีทองและกระเป๋าเดินทางสีดำที่เธอลากติดตัวมาด้วย ทำให้ใคร ๆ ก็ต้องพอเดาออกว่าเธอเพิ่งออกมาจากสนามบินกลางเมือง
ชายแก่เจ้าของร้านตกใจกับน้ำเสียงอันคุ้นเคยของผู้มาเยือนจนต้องชะโงกจากหลังบาร์ขึ้นมาพลางขยับแว่นสายตาเพื่อเพ่งหน้าตาเธอให้ชัด หลังจากนั้นครีแกนก็ทักทายพลางหัวเราะเบา ๆ ใส่หญิงสาวรุ่นหลานเบื้องหน้าซึ่งตอนนี้กำลังส่งยิ้มหวานมาให้
"อ้าว นังหนูไคน่า!!! เธอสวยขึ้นเป็นกองเลยนะเนี่ย ตาแก่อย่างชั้นจำแทบไม่ได้แน่ะ ถ้าชั้นยังไม่แก่นะเธอจะต้องเจอลูกตื้อของชั้นซักชุดสองชุดแน่"
เขาว่าพลางก้มลงไปเก็บน้ำตาลที่หกบนพื้นต่อ จากนั้นจึงรินกาแฟดำใส่ถ้วยเล็ก ๆ มาวางตรงหน้าเธอ
"เอ้ากินซะจะได้หายเหนื่อย ท่าทางจะเดินมาไกลนะเด็กน้อยของชั้น"
"ขอครีมเทียมกับน้ำตาลด้วยค่ะ หนูไม่กินกาแฟดำ เอ...แต่หนูว่าเปลี่ยนเป็นช็อกโกแลตเลยดีกว่าเพราะหนูไม่ค่อยชอบกาแฟน่ะ ใส่น้ำแข็งด้วยนะคะ อืมม...เอาเข้าเบลนเดอร์เลยดีกว่าค่ะเย็นดี แล้วถ้าจะดีมาก ๆ ก็ใส่วิปครีมมาเยอะ ๆ นะจ๊ะครีแกนที่แสนดี" ไคน่าพูดพลางทำหน้าตาอ้อนวอนสุดฤทธิ์ใส่ครีแกน
"ยัยตัวดี เรื่องมากแล้วก็ขี้อ้อนเป็นที่หนึ่ง ไม่มีใครเกินไคน่าที่รักของชั้นได้เลยนะเนี่ย งั้นยกกาแฟถ้วยนั้นให้เพื่อนเธอเลยละกัน" ครีแกนเบ้ปากไปทางประตูในขณะที่หนุ่มผมทองรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังเปิดประตูเข้ามา
เขาสวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีดำที่ไม่ได้รูดซิบทำให้เห็นเสื้อยืดสีส้มข้างใน กางเกงยีนส์ตัวใหญ่ ๆ สีดำกับรองเท้าผ้าใบเหยียบส้นคู่ใหญ่ทำให้เขาดูเท่ไม่ใช่เล่น เมื่อรวมกับดวงตาสีฟ้าบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาอีกทั้งร่างกายที่ไม่หนาและบอบบางจนเกินไป มันยิ่งไม่น่าสงสัยถ้าจะมีผู้หญิงหลาย ๆ คนมาคลั่งไคล้ตัวในตัวเขา
เพียงแต่ว่าในตอนนี้สีหน้าของเขาแสดงออกมาว่าเขากำลังไม่สบอารมณ์กับอะไรบางอย่าง เขาทำเสียงฮึดฮัด ๆ พร้อมทั้งสบถขึ้นมาอย่างเบา ๆ (...ในความคิดของเค้าเอง แต่ถ้าสังเกตได้คนในร้านทุกคนก็หันมามองทางเขาเป็นสายตาเดียวหลังจากเค้าระบายบางคำบางคำออกมา)
จากนั้นเขาก็วางกระเป๋าอย่างแรงข้าง ๆ กระเป๋าของไคน่าพร้อมทั้งเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนบาร์ข้าง ๆ เธออย่างรวดเร็ว (นั่นทำให้ชายที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์มองเขาด้วยสายตาที่ดูถูกอย่างรุนแรง เขารีบพับหนังสือพิมพ์ในมือและควักเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะจำนวนหนึ่ง ก่อนที่จะเดินออกไปจากร้านอย่างไม่สบอารมณ์)
"มาถึงก็เริ่มไล่ลูกค้าชั้นเลยนะลีโอดีน เฮ้อ...เด็กหนุ่มสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยชั้นเล้ย" ครีแกนว่าพลางหัวเราะใส่เขา
"ท่าทางนายเหมือนเพิ่งกินนมอุ่น ๆ จนอิ่มมานะเนี่ย ทำตัวน่ารักเชียว" ไคน่าแกล้งแหย่ให้อารมณ์ของลีโอดีนพลุ่งพล่านขึ้นมาอีก
"จะไปนอนเลยมั๊ยล่ะจ๊ะหนูน้อย"
"เธอเลิกยั่วประสาทชั้นอีกคนได้มั๊ยไคน่า เมื่อตะกี๊ชั้นเพิ่งจัดการสั่งสอนไอ้เวรสองคนนั่นที่มากวนประสาทชั้นไปแหม่บ ๆ ลงเครื่องมาก็กะว่าจะรีบมาอาบน้ำให้สบายซะหน่อย ต้องมาอารมณ์เสียอีกแล้ว วันนี้มันเป็นวันอะไรของชั้นเนี่ย เซ็งอิ๊บอ๋ายเลยว่ะ"
เขาระบายอารมณ์ออกมาก่อนที่จะคว้าช็อกโกแลตปั่นของไคน่าที่ครีแกนเพิ่งยกมาให้ไปกินหน้าตาเฉย
"อะไรเนี่ย ของนายอ่ะถ้วยนี้ นั่นมันช็อกโกแลตของชั้นนะ"
"เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องเถียงกัน โต ๆ กันแล้วยังกัดกันเป็นเด็กเล็ก ๆ เชียว เดี๋ยวชั้นทำให้เธอใหม่ละกัน ใส่วิปครีมให้หมดกระป๋องเลย เอามะ" ครีแกนเก็บถ้วยกาแฟดำไปซดกินซะเองแล้วหันไปหยิบกระป๋องวิปครีมขึ้นมาเขย่าเป็นเชิงให้ไคน่าพร้อมกับรอยยิ้ม
"งั้นก็ได้ ชั้นเห็นแก่ครีแกนนะเนี่ย" เธอพูดพลางส่งสายตาขุ่น ๆ ให้ชายหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ ก่อนจะหันไปจ้องที่กระป๋องวิปครีมอย่างไม่วางตา
"บาทหลวงโดมินิกคิดยังไงให้คู่กัดสองคนนี้มาทำหน้าที่พร้อมกันเนี่ย ท่านจะแปลกใจมั๊ยนะถ้าเที่ยวบินของปีนี้ต้องร่วงกลางทาง เพราะผู้คุมกฎของลูเนียเรนาริสทั้งสองขึ้นไปกัดกันเองจนทำให้แผงควบคุมของตัวยานโดนลูกหลง" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเชิงสนุกพลางส่ายหน้าไปมา
"เกินไปน่าครีแกน เวลาไหนเป็นการเป็นงานชั้นก็รู้น่า" ลีโอดีนเงยหน้าขึ้นมาจากแก้ว พร้อมกับสีหน้าไม่พอใจใส่ที่มุ่งตรงไปยังเจ้าของร้าน
"ครั้งนี้ชั้นอยู่ข้างนาย" ไคน่าก็เช่นกันส่งสายตาขุ่นเคืองไปทางชายแก่ใจดีที่กำลังอดกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว
"ว่าแต่ว่าครีแกน เราอยากคุยอะไรบางอย่างกับคุณ" ไคน่าพูดขึ้นอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าที่เป็นจริงเป็นจังต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
ชายแก่เจ้าของร้านรู้ดีด้วยสีหน้าและท่าทางในตอนนี้ของทั้งสอง เขาชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่จะทำสีหน้าปกติ และหันไปกล่าวกับลูกค้าของเขาทั้งสองคนที่ยังเหลืออยู่ในร้าน
"ขอโทษนะครับคุณลูกค้าที่แสนดี ผมเกรงว่าผมจะต้องปิดร้านในตอนนี้แล้วล่ะครับ คงเข้าใจคนแก่ ๆ อย่างผมนะ นาน ๆ ทีหลาน ๆ มันจะมาเยี่ยมซักครั้งนึง ถือว่ากาแฟของพวกคุณผมเลี้ยงในโอกาสที่หลานผมมาเยี่ยมนะครับ โอกาสหน้าค่อยมาเสียตังค์ให้ผมละกัน"
"โธ่ลุง ผมนัดกะเพื่อนไว้ที่นี่ ถ้าผมไม่เจอมันแล้วผมจะไปเที่ยวกับใครล่ะคร้าบบบ ไปที่นั่นก็ไม่ถูกด้วย... รึว่าหลานสาวลุงจะสงสารยอมไปส่งผม" หนุ่มวัยรุ่นหน้าร้านพูดกลับมาพร้อมส่งสายตาหวานเยิ้มให้กับไคน่าที่ตอนนี้ดูเหมือนจะระอากับคำพูดเชย ๆ นั่นซะเต็มประดา
"อยากไปนรกหรือสวรรค์ดีล่ะคะ จะไปเร็วหรือไปช้าบอกด้วยนะคะจะได้ไปส่งให้ถูกใจคุณ"
"ชั้นว่าโรงพยาบาลแถวนี้ดีกว่า ท่าทางจะมีพยาบาลสวย ๆ รอเดทกะนายเยอะด้วยนะ" ลีโอดีนเสริมไคน่า
ไอ้หนุ่มคนนั้นโกรธจนหน้าแดง แต่ที่เขาทำได้ก็แค่รีบเดินออกจากร้านไป
"หึ หลาน ๆ ของชั้นนี่ขี้เล่นจริงจริ๊ง" ครีแกนพูดแล้วทั้งสามก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
"เอ้า ว่ามา พวกเธอมีอะไรจะพูดกับชั้น" น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าของทุกคนตอนนี้ไม่หลงเหลือว่าเมื่อซักครู่พวกเค้าเพิ่งจะหยอกล้อกันเล็ก ๆน้อย ๆ
"คือท่านบาทหลวงโดมิกนิก ท่านบอกว่าคำทำนายที่ยิ่งใหญ่จะมีจุดเริ่มต้นในเวลาอันสั้นที่กำลังจะถึงนี้ ท่านย้ำว่าให้มาบอกให้คุณรู้ แล้วเรื่องอื่น ๆ คุณจะรู้เองว่าควรทำอย่างไรต่อไป" ลีโอดีนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
"แล้วท่านยังบอกอีกว่าคำทำนายที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง ก็คือคำทำนายที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองทาง จะมีการทำลายล้างเผ่าพันธุ์บนโลกครั้งยิ่งใหญ่ และจะมีการพิทักษ์รักษาจากบุคคลที่มีอำนาจอันแสนเกรียงไกรด้วยเช่นกัน" ไคน่าถ่ายทอดข้อความที่บาทหลวงโดมินิกได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน
บทสนทนาหายไปพักใหญ่ ครีแกนดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ส่วนไคน่าและลีโอดีนยังคงความสงสัยอยู่ไม่น้อยกับข้อความที่บาทหลวงโดมินิกได้มอบหมายให้มาถ่ายทอดแก่ครีแกน ความเงียบได้เข้าปกคลุมร้านซึ่งครีแกนเพิ่งปิดเพลงที่เปิดไปก่อนการสนทนาบทสุดท้ายจะเริ่มขึ้น ความตึงเครียดเข้ามาแทนที่กลิ่นหอมหวลของกาแฟคั่วและบรรยากาศอันแสนอบอุ่นของร้าน กาแฟถ้วยเดียว จนทำให้ผู้ที่นั่งอยู่หน้าบาร์ทั้งสองรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกถึงกับต้องมองหน้ากันเพื่อพยายามหาคำตอบจากอีกฝ่ายผ่านทางสายตา
"แล้วพวกเธอต้องไปรับเด็ก ๆ กันวันไหนล่ะ"
ครีแกนทำลายบรรยากาศตรึงเครียดลงด้วยน้ำเสียงของชายแก่ใจดีที่เป็นปกติของเขา เขาพยายามกลบเกลื่อนบรรยากาศเมื่อครู่ไปด้วยการทำสีหน้าให้สดใสแล้วฮัมเพลงขึ้นเบา ๆ พร้อมกับเดินออกมาจากหลังบาร์เพื่อไปเก็บถ้วยกาแฟที่ค้างอยู่บนโต๊ะทั้งสามของลูกค้า ซึ่งเขาพบว่ามีเงินวางอยู่สิบห้าเซนต์บนโต๊ะของชายที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วย
"มะรืนนี้แล้วล่ะครีแกน" ไคน่าตอบเขากลับมา
ฟังจากน้ำเสียงแล้วความเคลือบแคลงใจของไคน่ายังคงไม่ลดหายไปแม้แต่น้อย เธอหันมามองหน้ากับชายหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ เธอคิดว่าบางทีเธอจะได้รับรู้บางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เธอสบายใจมากขึ้น
"เรื่องที่ท่านบาทหลวงให้มาบอกมันคืออะไรเหรอครีแกน อธิบายให้ชั้นกับไคน่าฟังได้ไหม...ถ้าคุณไม่ลำบากใจ" ลีโอดีนกล่าวขึ้นหลังจากที่นั่งสบตากับไคน่าอยู่นาน
ครีแกนซึ่งตอนนี้กำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะทั้งสามยังคงฮัมเพลงต่อไปเรื่อย ๆ แล้วเดินไปพลิกป้ายหน้าร้านเพื่อแสดงต่อผู้คนภายนอกว่าขณะนี้จะไม่มีการบริการใด ๆ ทั้งสิ้นภายในร้าน กาแฟถ้วยเดียว แห่งนี้ ทั้งสองยังรอคำตอบจากชายแก่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ ครีแกนเงยหน้าขึ้นมามองยังทั้งสองเล็กน้อยก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา
"มันก็แค่คำทำนายธรรมดาที่เกิดขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน พวกเธอต้องเคยได้ยินมันผ่าน ๆ มาบ้างแล้วล่ะ อีกไม่นานพวกเธอก็คงจะเข้าใจมันเองนั่นแหละ" ครีแกนทำน้ำเสียงให้ดูราบเรียบปกติที่สุด
เขาเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้ยินเสียงโต้ตอบใด ๆ กลับมาเลยจากคนรุ่นหลานทั้งสองที่ตอนนี้กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาที่กระหายใคร่รู้ เขาถอนหายใจเบา ๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะเอาผ้าเช็ดโต๊ะพาดบ่าแล้วหยิบถ้วยกาแฟทั้งสามเดินกลับเข้าไปทางหลังบาร์
"ยังไงนักสู้อย่างพวกเธอก็ต้องรู้อยู่แล้วนี่นา เอาล่ะถ้าพวกเธออยากรู้ก็ตามชั้นเข้ามาละกัน หยิบสัมภาระเข้ามาด้วยแล้วช่วยปิดไฟในร้านให้ชั้นที"
ครีแกนกล่าวขึ้นลอย ๆ พร้อมทั้งวางถ้วยกาแฟลงในอ่างข้าง ๆ บาร์ ก่อนที่จะผลักประตูไม้แกะสลักบานเก่า ๆ สีน้ำตาลไหม้เข้าไปข้างใน โดยมีทั้งสองเดินตามเขาเข้าไปพร้อมกับสัมภาระของตนเองขณะที่ร้าน กาแฟถ้วยเดียว ในตอนนี้ไม่มีแสงใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย
ภายในร้านอบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟคั่วหอมกรุ่น และเสียงดนตรีเบา ๆ เปิดคลอให้ได้อารมณ์ที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น แม้ตามปกติร้านนี้จะไม่ค่อยเป็นร้านที่ดูแออัดยัดเยียดไปด้วยฝูงคน แต่ลูกค้าที่มาใช้บริการก็ผลัดเวียนกันเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งขาประจำและขาจรมักจะมานั่งจิบกาแฟเพื่อเสพย์ความสุขเพียงเวลาไม่นาน แล้วซักพักพวกเค้าก็จะจากไปและนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าของร้านต้องตั้งชื่อร้านกาแฟของเค้าอย่างนี้
ในร้านมีเพียงลูกค้าสามรายที่ต่างนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองที่ได้จับจองไว้ ส่วนเจ้าของร้านกำลังวุ่นอยู่หลังบาร์กาแฟกลางร้านกับการเตรียมน้ำตาลและครีมเทียม เมื่อตอนบ่ายแก่ๆเขาต้องปิดร้านไปพักใหญ่ทีเดียว เนื่องจากเมื่อวานก่อนปิดร้านเค้าลืมตรวจดูปริมาณของน้ำตาลและครีมเทียม วันนี้เค้าจึงต้องเสียเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อไปซื้อของสำคัญทั้งสองอย่างนี้
ขณะที่เจ้าของร้าน กาแฟถ้วยเดียว กำลังสบถขึ้นเบา ๆ ใส่น้ำตาลถุงใหญ่ที่เค้าเพิ่งเทหกเกลื่อนพื้นหลังบาร์ เสียงกระดิ่งรูปกาต้มกาแฟที่แขวนไว้กับประตูหน้าร้านก็ดังขึ้น
ลูกค้าชายสูงวัยที่กำลังคลี่หนังสือพิมพ์ในมือเหลือบขึ้นมองต้นเหตุแห่งเสียงผ่านแว่นขอบหนาที่เขาใช้อำนวยความสะดวกในการอ่านเพียงแว่บเดียว จากนั้นเขาก็ก้มลงสนใจกับข่าวสารเกี่ยวกับการปรับนโยบายของคณะเทศมนตรีประจำท้องถิ่นต่อ หญิงวัยทำงานที่ดูเหมือนจะนั่งที่โต๊ะกลางร้านพอดียังคงคุยกับคนในโทรศัพท์มือถือของเธอต่อไปโดยไม่แม้แต่จะขยับตัวไปทางลูกค้ารายใหม่ ต่างจากเด็กหนุ่มวัยรุ่นในโต๊ะริมประตูที่มองตามการเคลื่อนไหวของหญิงสาวที่เพิ่งก้าวเข้ามาในร้านอย่างไม่ละสายตา
"เชิญเลือกที่นั่งตามสบายนะครับ แต่ถ้าไม่รังเกียจจะมานั่งคุยเป็นเพื่อนกันที่บาร์นี่ก็ได้ ถ้าคุณปล่อยให้ลุงบ่นไอ้น้ำตาลถุงนี้ไปตลอดคืนมีหวังคุณคงต้องตามไปกินกาแฟร้านลุงในโรงพยาบาลบ้าที่ไหนซักแห่งแน่" ชายสูงวัยเจ้าของร้านกล่าวอย่างอารมณ์ดีขณะที่เค้ากำลังโกยน้ำตาลใส่ถังขยะสีเขียวที่เพิ่งดึงมาไว้ข้าง ๆ ตัว
"ยังขี้บ่นไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะครีแกน" หญิงสาวหยอกกลับมาอย่างคุ้นเคยกับชายแก่ พร้อมกับเลือกที่นั่งตรงกลางบาร์
เธอเป็นหญิงสาวสวยร่างเล็กที่สามารถทำให้หนุ่ม ๆ สะดุดตาได้ไม่ยาก เธอมีผิวขาวนวลราวกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน ผมส้มซีด ๆยาวประบ่าสีซอยไล่สั้นขึ้นมาเล็กน้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลเฮเซิลที่ทาขอบตาบาง ๆ ด้วยสีเบจ จมูกเข้ารูปรับกับใบหน้าเรียวรูปไข่ และริมฝีปากอันเรียวบางของเธอแต่งแต้มด้วยสีส้มอ่อน
เสื้อโค้ทตัวยาวเข้ารูปสีครีมเพิ่งถูกถอดออกวางลงข้าง ๆ ตัว เผยให้เห็นเสื้อสายเดี่ยวสีครีมเข้มที่เข้าชุดกับผ้าพันคอลายสก๊อตสีน้ำตาลและกางเกงสแลคยาวสีน้ำตาลอ่อน เมื่อรวมกับรองเท้าส้นสูงสีทองและกระเป๋าเดินทางสีดำที่เธอลากติดตัวมาด้วย ทำให้ใคร ๆ ก็ต้องพอเดาออกว่าเธอเพิ่งออกมาจากสนามบินกลางเมือง
ชายแก่เจ้าของร้านตกใจกับน้ำเสียงอันคุ้นเคยของผู้มาเยือนจนต้องชะโงกจากหลังบาร์ขึ้นมาพลางขยับแว่นสายตาเพื่อเพ่งหน้าตาเธอให้ชัด หลังจากนั้นครีแกนก็ทักทายพลางหัวเราะเบา ๆ ใส่หญิงสาวรุ่นหลานเบื้องหน้าซึ่งตอนนี้กำลังส่งยิ้มหวานมาให้
"อ้าว นังหนูไคน่า!!! เธอสวยขึ้นเป็นกองเลยนะเนี่ย ตาแก่อย่างชั้นจำแทบไม่ได้แน่ะ ถ้าชั้นยังไม่แก่นะเธอจะต้องเจอลูกตื้อของชั้นซักชุดสองชุดแน่"
เขาว่าพลางก้มลงไปเก็บน้ำตาลที่หกบนพื้นต่อ จากนั้นจึงรินกาแฟดำใส่ถ้วยเล็ก ๆ มาวางตรงหน้าเธอ
"เอ้ากินซะจะได้หายเหนื่อย ท่าทางจะเดินมาไกลนะเด็กน้อยของชั้น"
"ขอครีมเทียมกับน้ำตาลด้วยค่ะ หนูไม่กินกาแฟดำ เอ...แต่หนูว่าเปลี่ยนเป็นช็อกโกแลตเลยดีกว่าเพราะหนูไม่ค่อยชอบกาแฟน่ะ ใส่น้ำแข็งด้วยนะคะ อืมม...เอาเข้าเบลนเดอร์เลยดีกว่าค่ะเย็นดี แล้วถ้าจะดีมาก ๆ ก็ใส่วิปครีมมาเยอะ ๆ นะจ๊ะครีแกนที่แสนดี" ไคน่าพูดพลางทำหน้าตาอ้อนวอนสุดฤทธิ์ใส่ครีแกน
"ยัยตัวดี เรื่องมากแล้วก็ขี้อ้อนเป็นที่หนึ่ง ไม่มีใครเกินไคน่าที่รักของชั้นได้เลยนะเนี่ย งั้นยกกาแฟถ้วยนั้นให้เพื่อนเธอเลยละกัน" ครีแกนเบ้ปากไปทางประตูในขณะที่หนุ่มผมทองรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังเปิดประตูเข้ามา
เขาสวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีดำที่ไม่ได้รูดซิบทำให้เห็นเสื้อยืดสีส้มข้างใน กางเกงยีนส์ตัวใหญ่ ๆ สีดำกับรองเท้าผ้าใบเหยียบส้นคู่ใหญ่ทำให้เขาดูเท่ไม่ใช่เล่น เมื่อรวมกับดวงตาสีฟ้าบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาอีกทั้งร่างกายที่ไม่หนาและบอบบางจนเกินไป มันยิ่งไม่น่าสงสัยถ้าจะมีผู้หญิงหลาย ๆ คนมาคลั่งไคล้ตัวในตัวเขา
เพียงแต่ว่าในตอนนี้สีหน้าของเขาแสดงออกมาว่าเขากำลังไม่สบอารมณ์กับอะไรบางอย่าง เขาทำเสียงฮึดฮัด ๆ พร้อมทั้งสบถขึ้นมาอย่างเบา ๆ (...ในความคิดของเค้าเอง แต่ถ้าสังเกตได้คนในร้านทุกคนก็หันมามองทางเขาเป็นสายตาเดียวหลังจากเค้าระบายบางคำบางคำออกมา)
จากนั้นเขาก็วางกระเป๋าอย่างแรงข้าง ๆ กระเป๋าของไคน่าพร้อมทั้งเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนบาร์ข้าง ๆ เธออย่างรวดเร็ว (นั่นทำให้ชายที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์มองเขาด้วยสายตาที่ดูถูกอย่างรุนแรง เขารีบพับหนังสือพิมพ์ในมือและควักเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะจำนวนหนึ่ง ก่อนที่จะเดินออกไปจากร้านอย่างไม่สบอารมณ์)
"มาถึงก็เริ่มไล่ลูกค้าชั้นเลยนะลีโอดีน เฮ้อ...เด็กหนุ่มสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยชั้นเล้ย" ครีแกนว่าพลางหัวเราะใส่เขา
"ท่าทางนายเหมือนเพิ่งกินนมอุ่น ๆ จนอิ่มมานะเนี่ย ทำตัวน่ารักเชียว" ไคน่าแกล้งแหย่ให้อารมณ์ของลีโอดีนพลุ่งพล่านขึ้นมาอีก
"จะไปนอนเลยมั๊ยล่ะจ๊ะหนูน้อย"
"เธอเลิกยั่วประสาทชั้นอีกคนได้มั๊ยไคน่า เมื่อตะกี๊ชั้นเพิ่งจัดการสั่งสอนไอ้เวรสองคนนั่นที่มากวนประสาทชั้นไปแหม่บ ๆ ลงเครื่องมาก็กะว่าจะรีบมาอาบน้ำให้สบายซะหน่อย ต้องมาอารมณ์เสียอีกแล้ว วันนี้มันเป็นวันอะไรของชั้นเนี่ย เซ็งอิ๊บอ๋ายเลยว่ะ"
เขาระบายอารมณ์ออกมาก่อนที่จะคว้าช็อกโกแลตปั่นของไคน่าที่ครีแกนเพิ่งยกมาให้ไปกินหน้าตาเฉย
"อะไรเนี่ย ของนายอ่ะถ้วยนี้ นั่นมันช็อกโกแลตของชั้นนะ"
"เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องเถียงกัน โต ๆ กันแล้วยังกัดกันเป็นเด็กเล็ก ๆ เชียว เดี๋ยวชั้นทำให้เธอใหม่ละกัน ใส่วิปครีมให้หมดกระป๋องเลย เอามะ" ครีแกนเก็บถ้วยกาแฟดำไปซดกินซะเองแล้วหันไปหยิบกระป๋องวิปครีมขึ้นมาเขย่าเป็นเชิงให้ไคน่าพร้อมกับรอยยิ้ม
"งั้นก็ได้ ชั้นเห็นแก่ครีแกนนะเนี่ย" เธอพูดพลางส่งสายตาขุ่น ๆ ให้ชายหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ ก่อนจะหันไปจ้องที่กระป๋องวิปครีมอย่างไม่วางตา
"บาทหลวงโดมินิกคิดยังไงให้คู่กัดสองคนนี้มาทำหน้าที่พร้อมกันเนี่ย ท่านจะแปลกใจมั๊ยนะถ้าเที่ยวบินของปีนี้ต้องร่วงกลางทาง เพราะผู้คุมกฎของลูเนียเรนาริสทั้งสองขึ้นไปกัดกันเองจนทำให้แผงควบคุมของตัวยานโดนลูกหลง" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเชิงสนุกพลางส่ายหน้าไปมา
"เกินไปน่าครีแกน เวลาไหนเป็นการเป็นงานชั้นก็รู้น่า" ลีโอดีนเงยหน้าขึ้นมาจากแก้ว พร้อมกับสีหน้าไม่พอใจใส่ที่มุ่งตรงไปยังเจ้าของร้าน
"ครั้งนี้ชั้นอยู่ข้างนาย" ไคน่าก็เช่นกันส่งสายตาขุ่นเคืองไปทางชายแก่ใจดีที่กำลังอดกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว
"ว่าแต่ว่าครีแกน เราอยากคุยอะไรบางอย่างกับคุณ" ไคน่าพูดขึ้นอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าที่เป็นจริงเป็นจังต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
ชายแก่เจ้าของร้านรู้ดีด้วยสีหน้าและท่าทางในตอนนี้ของทั้งสอง เขาชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่จะทำสีหน้าปกติ และหันไปกล่าวกับลูกค้าของเขาทั้งสองคนที่ยังเหลืออยู่ในร้าน
"ขอโทษนะครับคุณลูกค้าที่แสนดี ผมเกรงว่าผมจะต้องปิดร้านในตอนนี้แล้วล่ะครับ คงเข้าใจคนแก่ ๆ อย่างผมนะ นาน ๆ ทีหลาน ๆ มันจะมาเยี่ยมซักครั้งนึง ถือว่ากาแฟของพวกคุณผมเลี้ยงในโอกาสที่หลานผมมาเยี่ยมนะครับ โอกาสหน้าค่อยมาเสียตังค์ให้ผมละกัน"
"โธ่ลุง ผมนัดกะเพื่อนไว้ที่นี่ ถ้าผมไม่เจอมันแล้วผมจะไปเที่ยวกับใครล่ะคร้าบบบ ไปที่นั่นก็ไม่ถูกด้วย... รึว่าหลานสาวลุงจะสงสารยอมไปส่งผม" หนุ่มวัยรุ่นหน้าร้านพูดกลับมาพร้อมส่งสายตาหวานเยิ้มให้กับไคน่าที่ตอนนี้ดูเหมือนจะระอากับคำพูดเชย ๆ นั่นซะเต็มประดา
"อยากไปนรกหรือสวรรค์ดีล่ะคะ จะไปเร็วหรือไปช้าบอกด้วยนะคะจะได้ไปส่งให้ถูกใจคุณ"
"ชั้นว่าโรงพยาบาลแถวนี้ดีกว่า ท่าทางจะมีพยาบาลสวย ๆ รอเดทกะนายเยอะด้วยนะ" ลีโอดีนเสริมไคน่า
ไอ้หนุ่มคนนั้นโกรธจนหน้าแดง แต่ที่เขาทำได้ก็แค่รีบเดินออกจากร้านไป
"หึ หลาน ๆ ของชั้นนี่ขี้เล่นจริงจริ๊ง" ครีแกนพูดแล้วทั้งสามก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
"เอ้า ว่ามา พวกเธอมีอะไรจะพูดกับชั้น" น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าของทุกคนตอนนี้ไม่หลงเหลือว่าเมื่อซักครู่พวกเค้าเพิ่งจะหยอกล้อกันเล็ก ๆน้อย ๆ
"คือท่านบาทหลวงโดมิกนิก ท่านบอกว่าคำทำนายที่ยิ่งใหญ่จะมีจุดเริ่มต้นในเวลาอันสั้นที่กำลังจะถึงนี้ ท่านย้ำว่าให้มาบอกให้คุณรู้ แล้วเรื่องอื่น ๆ คุณจะรู้เองว่าควรทำอย่างไรต่อไป" ลีโอดีนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
"แล้วท่านยังบอกอีกว่าคำทำนายที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง ก็คือคำทำนายที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองทาง จะมีการทำลายล้างเผ่าพันธุ์บนโลกครั้งยิ่งใหญ่ และจะมีการพิทักษ์รักษาจากบุคคลที่มีอำนาจอันแสนเกรียงไกรด้วยเช่นกัน" ไคน่าถ่ายทอดข้อความที่บาทหลวงโดมินิกได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน
บทสนทนาหายไปพักใหญ่ ครีแกนดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ส่วนไคน่าและลีโอดีนยังคงความสงสัยอยู่ไม่น้อยกับข้อความที่บาทหลวงโดมินิกได้มอบหมายให้มาถ่ายทอดแก่ครีแกน ความเงียบได้เข้าปกคลุมร้านซึ่งครีแกนเพิ่งปิดเพลงที่เปิดไปก่อนการสนทนาบทสุดท้ายจะเริ่มขึ้น ความตึงเครียดเข้ามาแทนที่กลิ่นหอมหวลของกาแฟคั่วและบรรยากาศอันแสนอบอุ่นของร้าน กาแฟถ้วยเดียว จนทำให้ผู้ที่นั่งอยู่หน้าบาร์ทั้งสองรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกถึงกับต้องมองหน้ากันเพื่อพยายามหาคำตอบจากอีกฝ่ายผ่านทางสายตา
"แล้วพวกเธอต้องไปรับเด็ก ๆ กันวันไหนล่ะ"
ครีแกนทำลายบรรยากาศตรึงเครียดลงด้วยน้ำเสียงของชายแก่ใจดีที่เป็นปกติของเขา เขาพยายามกลบเกลื่อนบรรยากาศเมื่อครู่ไปด้วยการทำสีหน้าให้สดใสแล้วฮัมเพลงขึ้นเบา ๆ พร้อมกับเดินออกมาจากหลังบาร์เพื่อไปเก็บถ้วยกาแฟที่ค้างอยู่บนโต๊ะทั้งสามของลูกค้า ซึ่งเขาพบว่ามีเงินวางอยู่สิบห้าเซนต์บนโต๊ะของชายที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วย
"มะรืนนี้แล้วล่ะครีแกน" ไคน่าตอบเขากลับมา
ฟังจากน้ำเสียงแล้วความเคลือบแคลงใจของไคน่ายังคงไม่ลดหายไปแม้แต่น้อย เธอหันมามองหน้ากับชายหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ เธอคิดว่าบางทีเธอจะได้รับรู้บางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เธอสบายใจมากขึ้น
"เรื่องที่ท่านบาทหลวงให้มาบอกมันคืออะไรเหรอครีแกน อธิบายให้ชั้นกับไคน่าฟังได้ไหม...ถ้าคุณไม่ลำบากใจ" ลีโอดีนกล่าวขึ้นหลังจากที่นั่งสบตากับไคน่าอยู่นาน
ครีแกนซึ่งตอนนี้กำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะทั้งสามยังคงฮัมเพลงต่อไปเรื่อย ๆ แล้วเดินไปพลิกป้ายหน้าร้านเพื่อแสดงต่อผู้คนภายนอกว่าขณะนี้จะไม่มีการบริการใด ๆ ทั้งสิ้นภายในร้าน กาแฟถ้วยเดียว แห่งนี้ ทั้งสองยังรอคำตอบจากชายแก่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ ครีแกนเงยหน้าขึ้นมามองยังทั้งสองเล็กน้อยก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา
"มันก็แค่คำทำนายธรรมดาที่เกิดขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน พวกเธอต้องเคยได้ยินมันผ่าน ๆ มาบ้างแล้วล่ะ อีกไม่นานพวกเธอก็คงจะเข้าใจมันเองนั่นแหละ" ครีแกนทำน้ำเสียงให้ดูราบเรียบปกติที่สุด
เขาเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้ยินเสียงโต้ตอบใด ๆ กลับมาเลยจากคนรุ่นหลานทั้งสองที่ตอนนี้กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาที่กระหายใคร่รู้ เขาถอนหายใจเบา ๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะเอาผ้าเช็ดโต๊ะพาดบ่าแล้วหยิบถ้วยกาแฟทั้งสามเดินกลับเข้าไปทางหลังบาร์
"ยังไงนักสู้อย่างพวกเธอก็ต้องรู้อยู่แล้วนี่นา เอาล่ะถ้าพวกเธออยากรู้ก็ตามชั้นเข้ามาละกัน หยิบสัมภาระเข้ามาด้วยแล้วช่วยปิดไฟในร้านให้ชั้นที"
ครีแกนกล่าวขึ้นลอย ๆ พร้อมทั้งวางถ้วยกาแฟลงในอ่างข้าง ๆ บาร์ ก่อนที่จะผลักประตูไม้แกะสลักบานเก่า ๆ สีน้ำตาลไหม้เข้าไปข้างใน โดยมีทั้งสองเดินตามเขาเข้าไปพร้อมกับสัมภาระของตนเองขณะที่ร้าน กาแฟถ้วยเดียว ในตอนนี้ไม่มีแสงใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น