ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปิดรับสมัครตัวละคร{Melts the cold heart}

    ลำดับตอนที่ #1 : เนื้อเรื่องตอนที่1 ลองอ่านดูนะ

    • อัปเดตล่าสุด 27 เม.ย. 54


     

    ตอนที่1

     การพบกัน(อีกครั้ง!?!)

     

                กึก กึก กึก กึก....

                เสียง ควบม้าดังลอยมาตามสายลมที่พัดผ่าน ภาพธรรมชาติอันประกอบไปด้วยภูเขาสูงและต้นไม้ที่กำลังผลัดใบสีส้มแดงของมัน ทำให้ละแวกนี้ดูมีสีสันขึ้นหลังจากที่ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไป

    ท่าม กลางสนามหญ้าแห้งสีเขียวอ่อนที่ถูกล้อมรอบด้วยรั้วไม้เป็นอาณาเขต ภาพของเด็กสองคนที่ต่างกำลังควบม้าคนแข่งกัน เป็นภาพที่ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นมักจะพบเห็นเป็นประจำ คนหนึ่งคือเด็กชายผมสีน้ำตาลเข้มดุจเปลือกไม้ซึ่งกำลังขี่ม้าสีขาวสะอาด อย่างจริงจังโดยหวังจะให้เลยผ่านม้าขนสีดำที่กำลังวิ่งอย่างสูสีไปให้ได้ ส่วนอีกคนนั้นคือเด็กสาวที่มีผมสีดำดุจสีนิลเจ้าของม้าขนสีดำมันละเลื่อม คู่ใจก็มุ่งมั่นจะเอาชนะไม่แพ้เด็กชายเช่นกัน

    คราวนี้ฉันจะต้องชนะเธอได้แน่ๆ ฮ่าๆเด็กชายประกาศก้องอย่างมั่นใจพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง

    เธอแน่ใจแล้วรึเด็กสาวเลิกคิ้วแล้วหันเมินไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ

    หนอย...แล้วเธอจะต้องยอมรับว่าฉันเป็นผู้ชนะ!!!” เด็กชายควบม้าเร่งความเร็วอย่างสุดกำลังจนแซงเลยเด็กสาว เธอจึงออกแรงควบตามไปแต่เมื่อทั้งสองกำลังจะเข้าทางช่วงโค้งม้าสีขาวของเด็ก ชายก็เกิดพยศขึ้นจนเด็กชายไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป

    และในที่สุด

    ฮี่....

    โครม!!!ปึก!!!



    ปึก!

    ชาย หนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นเนื่องจากเผลอนั่งหลับจนหัวไปชนกับเสาเหล็กที่ตั้งอยู่ บนรถเมล์ ขณะที่รถประจำทางกำลังเคลื่อนไป ชายหนุ่มทำท่าเลิกลักเล็กน้อยพลางหันซ้ายหันขวาด้วยเกรงว่าจะมีคนเห็นแต่โชค ดีที่ไม่ค่อยมีคนหันมาใส่ใจนักเลยไม่ค่อยรู้สึกขายหน้าสักเท่าไร ไม่นานเขาจึงหันมาจัดผมสีน้ำตาลเข้มให้เข้าทรงก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่น ใหม่ล่าสุดในตอนนี้ขึ้นมาดูข้อความ

    2 miss call

    พ่อโทรฯมาเหรอเนี่ย

    ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองแต่ก็ไม่ได้โทรฯกลับ

    ก็ทำไงได้ล่ะในเมื่อตังค์ในโทรศัพท์ดันหมดซะงั้น เขาคิดพร้อมกับกดปิดข้อความและเมื่อภาพพื้นหลังขึ้นมาแทนที่ ภาพนั่นทำให้เรื่องบางอย่างปรากฏขึ้นมาซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสถานที่ แบบเดียวกับในความฝันที่เขาพึ่งจะสะดุ้งตื่นมาเมื่อครู่  เขา ใช้เวลานั่งคิดอยู่นานเกี่ยวกับเนื้อหาในความฝันนั่น แต่ซักพักเมื่อถึงที่หมายชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันอีก ชายหนุ่มจึงเดินลงจากรถประจำทางแล้วเดินเลี้ยวเข้าไปยังซอยที่อยู่ด้านหลัง ป้ายรถประจำทาง





     

     

                ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนคล้อยลงลับขอบฟ้า แสงอัสดงในยามสนธยาสาดส่องมายังแผ่นหลังของชายหนุ่มที่กำลังเดินอยู่ในซอยเล็กๆแห่งหนึ่งพลางใช้ดวงตาสีดำคู่เก่งกวาดมองไปยังสองข้างทางตามตรอกซอกซอยราวกับกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่

                “ไอ้ร้านนั่นมันอยู่ที่ไหนกันฟะเหนื่อยก็เหนื่อยแถมไอ้ซอยบ้านี่ก็มีทางทะลุไปซอยอื่นอีก - - เขาบ่นอย่างหัวเสียแล้วจึงเดินเลี้ยวไปยังตรงหัวมุมที่ข้างหน้ามีป้ายสีเหลืองขนาดใหญ่ที่เขียนว่า “ระวังตกท่อ”ตั้งอยู่

                หลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมา เข้าซอยนี้ออกซอยนู้นอยู่หลายชายหนุ่มก็พบว่าตัวเองได้เดินวนกลับมาที่เดิมตอนแรกซะแล้ว แต่คราวนี้ยังรู้สึกเหนื่อยใจอีกด้วยเมื่อรู้ว่าตัวเองวนกลับมาที่เดิม

                “เฮ่ยจะบ้าตาย!! แค่ร้านอาหารร้านเล็กๆร้านเดียวทำไมถึงได้หายากหาเย็นอย่างนี้ฟะ!!!” ว่าแล้วร่างสูงก็ใช้เท้าข้างขวาเตะเข้าไปที่ข้างกำแพงอิฐอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์ แต่แล้วอยู่ๆก็มีเสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้นเขาจึงหันไปหยิบโทรศัพท์และด้วยความที่ยังอารมณ์บูดหน้าเป็นตูดอยู่จึงไม่ทันได้ดูว่าเป็นเบอร์ใคร

    “โทรมามีอะไร!!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงดุปนรำคาญ

    [ยังมีหน้ามาพูดอีกฟินิกส์  ไอ้ลูกบ้า!!!] เสียงจากปลายสายที่ดุยิ่งกว่าสวนกลับมาทันควันจนเขาต้องรีบเอาโทรศัพท์ออกห่างหู

    อะจึ๋ยนี่มันพ่อตูนี่หว่า เสียงน่ากลัวๆแบบนี้ใช่เลย เขาพึ่งรู้ตัวแถมเสียงนั่นก็ฟังดูเหมือนว่าปลายสายกำลังโกรธอยู่ด้วย

    [ทำไมแกยังไม่โผล่หัวมาอีกห่ะ!! ฉันกับแม่แกรอแกกันจนหิวท้องกิ่วหมดแล้ว!!]

    “ก็ไอ้ร้านบ้านี่น่ะสิ อยู่ไหนก็ไม่รู้หาไม่เห็นจะเจอเลย!” ชายหนุ่มรีบแก้ตัว

    [แล้วทำไมแกไม่โทรหาพ่อแกวะ!!]

    “ก็ตังค์มันดันหมดพอดี เลยไม่รู้ว่าจะโทรยังไง โทรศัพท์สาธารณะก็ไม่มีแถมไอ้ซอยบ้านี่ก็ทะลุไปทะลุมาอยู่ได้” เขาอธิบายอย่างยืดยาวขณะตาก็สังเกตว่าท้องฟ้าสีส้มนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำมืดลงแล้ว

    [งั้นเอาอย่างงี้ แกเห็นป้ายที่เขียนว่าระวังตกท่อตรงหัวมุมมั้ย]

    “เห็นทำไมหรอพ่อ” เขาถามพร้อมกับหันมองไปยังที่ปลายสายบอก

    [ก็แกน่ะแค่เดินตรงมาอีกนิดเดียวแกก็ถึงร้านนี้แล้ว ไอ้ไง่!!]

    “หา!!!+_+ อะไรกันนี่ถ้าเราไม่ตัดสินใจเลี้ยวตรงหัวมุมนั่นป่านนี้เราก็ถึงร้านอาหารนั่นแล้ว!!

    [รู้แล้วก็รีบมาด่วนเลย!!!] คนที่ปลายสายพูดเสร็จแล้วก็กดตัดสายไปทันที เมื่อได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็รีบพาร่างสูงโปร่งของตนวิ่งตรงมายังทางที่อยู่ข้างหน้าโดยไม่เลี้ยวตรงหัวมุมที่เขียนว่า”ระวังตกท่อ” อีกเป็นครั้งที่สอง

     

    ประตูไม้สีชาบานใหญ่ถูกผลักออกอันเผยให้เห็นห้องอาหารซึ่งประกอบไปด้วยโต๊ะอาหารจำนวน6ถึง7โต๊ะ หากจะเทียบกับร้านอาหารทั่วไปนั้นนับว่าร้านนี้เป็นร้านอาหารขนาดกลางแต่ด้วยผนังห้องที่ถูกทาด้วยสีครีมส้มดูสบายตาและประดับไปด้วยภาพวาดอันสูงค่าหลากหลายภาพชวนให้หันไปมอง อีกทั้งพรมแดงที่ถูกปูทั่วทั้งบริเวณทำให้ร้านอาหารร้านนี้ถูกยกระดับขึ้นมาทันทีทันใด

                ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปอย่างลังเลพลางหันมองซ้ายมองขวา ไม่นานชายใส่ชุดบริกรประจำร้านก็เดินเข้ามาพร้อมกับถามอย่างสุภาพ

                “กี่ท่านครับ”

                “อ๋อ มีโต๊ะแล้วครับแต่ว่าหาไม่เจอน่ะครับ” ชายหนุ่มว่าแล้วชะเง้อมองอยู่เช่นเดิม ทำไมไอ้ร้านเล็กๆอย่างนี้ถึงได้หาตัวคนยากจริงๆเลยนะ - -

                “แล้วชื่อที่ใช้จองล่ะครับ” บริกรถามพร้อมกับหยิบเครื่องจดรายการอาหารขึ้นมา

                ถึงขนาดต้องจองกันด้วยหรอเนี่ย ชายหนุ่มคิดอย่างแปลกใจแต่พอมองไปรอบๆแล้วก็ถึงเข้าใจว่าลูกค้าของที่นี่ตั้งใจจะมาอาศัยบรรยากาศดีๆกินข้าวกันนี่เอง

                “ออฟิวโก้ เชร์ครับ” ชายหนุ่มเอ่ย

              “ครับ” บริกรหนุ่มรับคำแล้วหันไปกดเครื่องจดรายการอาหารหยิกๆจากนั้นจึงออกเดินเพื่อนำชายหนุ่มไปยังโต๊ะซึ่งอยู่บริเวณหลังสุดติดกับเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม

                “ถึงโต๊ะเบอร์8แล้วครับ ขอให้อร่อยกับอาหารนะครับ” บริกรหนุ่มโค้งให้อย่างสุภาพแล้วเดินจากไป ชายหนุ่มจึงหย่อนตัวลงนั่งบนเบาะเก้าอี้ที่แสนจะนุ่มสบายแล้วมองดูอาหารที่จัดวางเรียงอยู่บนโต๊ะ

                กุ้งลอบส์เตอร์ ไก่งวงอบ ขาหมูเยอรมัน ปลาแซลมอน ไวน์ฝรั่งเศสพ่อแม่เรานี่สั่งอาหารเก่งใช่ย่อยเลยแฮะ” ชายหนุ่มหยิบขวดไวน์สีหม่นขึ้นดูเล่นแต่แล้วเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

                “มาแล้วเรอะไอ้ลูกชาย!!” เสียงทักของชายวัยกลางคนนั้นราวกับว่ารอมานาน

                “ก็กว่าจะหาไอ้ร้านนี้เจอก็ปาเข้าไปค่ำมืดแล้วนี่” ชายหนุ่มทำเสียงอ่อนลงเป็นเชิงให้เห็นใจแต่ดูเหมือนว่าพ่อของเขาจะสนใจกับไวน์สีแดงที่อยู่ในแก้วใบใสมากกว่า

                “ทำไมไม่กินๆเข้าไปเลยล่ะพ่อ เสียเวลาหมุนเสียเวลาดมอยู่ได้”

                “แกนี่มันไม่มีศิลปะในหัวใจเอาซะเลยไอ้ฟินิกส์ นี่แกไม่รู้เลยหรอว่าการดื่มไวน์น่ะเป็นการทดสอบคุณภาพของไวน์ได้อย่างชัดเจน โดยจะต้องมีการดื่มถึงสองครั้งเลยนะ” ว่าแล้วผู้เป็นพ่อก็ใช้น้ำเสียงจริงจังอธิบายอย่างยืดยาว

                - - อืมๆ ช่างมันเถอะ ว่าแต่พ่อแล้วแม่ล่ะ”

                “ไปเข้าห้องน้ำอยู่มั้ง” ฟิวโก้เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจซึ่งพอๆกับลูกชายของตนที่ตอนนี้ลงมือกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว

     

                 ขณะที่ฟินิกส์กำลังเอร็ดอร่อยอยู่กับอาหารที่แสนจะหรูหรากับพ่อของเขานั้น อยู่ๆเสียงทุ้มของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นจนทุกคนเงียบลง

                “ทุกคนเงียบและฟังทางนี้!!!” ชายวัยกลางคนใส่ชุดบริกรคนหนึ่งตะโกนทำให้แขกในร้านหยุดทำกิจกรรมของตนและหันมามองกันเป็นตาเดียวและที่สำคัญชายคนนั้นกำลังคุมตัวผู้หญิงคนหนึ่งไว้และใช้มีดพกจ่อไปที่คอของเธออยู่

                “พ่อนั่นแม่นี่! มันจับตัวแม่ไว้! ผมจะไปช่วยแม่” ฟินิกส์ทำท่าจะลุกออกไปแต่ก็ถูกมือของฟิวโก้รั้งไว้

                “ใจเย็นๆก่อนตอนนี้ฝ่ายเรากำลังเสียเปรียบเกิดพลาดพลั้งไปมันฆ่าแม่แกไปจะทำยังไงรอให้มันเผลอก่อนแล้วค่อยหาโอกาสเข้าไปช่วยแม่แก” เมื่อผู้เป็นพ่อพูดถึงเหตุผล ชายหนุ่มก็จำต้องยอมอดทนไว้แม้ว่าภายในใจนั้นอยากจะเข้าไปเสยหน้าของไอ้โจรที่จ่อมีดไว้ที่คอแม่ของเขาก็ตาม

                “นั่นแกคิดจะทำอะไรน่ะ!!!” เสียงหนึ่งตะโกนถามขึ้นทำลายความเงียบ ทุกคนจึงหันไปมองยังที่มาของเสียงและพบว่าเสียงนั้นเป็นของผู้จัดการร้านหรือเจ้าของร้านสาววัยกลางคนนั่นเอง ใบหน้าของเธอในยามนี้ดูโกรธอย่างเห็นได้ชัด

                “นี่คือการปล้น!!! พวกแกทุกคนอย่าขยับและห้ามแจ้งตำรวจไม่งั้น...ยัยตัวประกันสองคนนี่ตาย!!!” สิ้นเสียงประกาศ บริกรอีกคนก็เดินเข้ามาพร้อมกับจับตัวและใช้มีดจี้หญิงสาวอีกคนหนึ่งไว้

               

                เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีขึ้นแล้วลูกค้าในร้านคนหนึ่งจึงวิตกกังวล ตื่นกลัวและทำท่าจะวิ่งออกจากร้านไปให้ได้ จนทำให้พวกบริกรจอมปลอมเข้ามาช่วยกันรั้งตัวเอาไว้ แต่ลูกค้าชายรายนั้นไม่มีท่าว่าจะสงบสติอารมณ์ลงแต่กลับแผดเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายยิ่งกว่าเดิม ทำให้ฟินิกส์เห็นโอกาสกดส่งข้อความสายด่วนส่งหาตำรวจแต่แล้วยังไม่ทันที่จะได้กดเสร็จก็มีมือข้างหนึ่งมาฉวยเอาโทรศัพท์ของชายหนุ่มไป

                “จุ๊ๆๆๆ ไม่ดีเลยนะคะ คิดจะแจ้งตำรวจแบบนี้น่ะ” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นจากด้านหลังของชายหนุ่มเมื่อเขาหันไปก็พบกับร่างเล็กบอบบางของบริกรสาวหนึ่งในกลุ่มโจรที่กำลังถือโทรศัพท์แสนรักของเขาอยู่

                “หัวหน้าคะ เจ้าหมอนี่คิดจะส่งข้อความหาตำรวจค่ะ” เธอหันไปบอกหัวหน้ากลุ่มโจรพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ระบายอยู่บนหน้า

                “คิดจะลองดีสินะ ดีล่ะ...” ชายหัวหน้าโจรหยุดพูดแล้วหยิบมีดขึ้นกดไปที่คอของหญิงผู้ซึ่งถูกตนจับเป็นตัวประกัน ราวกับตั้งใจให้คอระหงของหญิงวัยกลางคนเปื้อนไปด้วยสีแดงฉานของเลือด

                “ฟินิกส์...ช่วยแม่ด้วย” หญิงผู้เป็นแม่เค้นเสียงพลางกลืนน้ำลายอย่างหวาดเสียวขณะที่ลูกค้าคนอื่นๆต่างพากันหวาดกลัวไปตามๆกัน

                “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!” ชายหนุ่มตะโกนอย่างเหลืออดด้วยความโมโหและในตอนนี้เขาเริ่มจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วแม้แต่ฟิวโก้ผู้เป็นพ่อก็ไม่สามารถห้ามฟินิกส์ผู้เลือดร้อนได้อีกแล้ว

                ทันใดนั้นขณะที่ทุกคนกำลังหันไปสนใจกับหัวหน้ากลุ่มโจร หญิงสาวอีกคนหนึ่งผู้ซึ่งถูกจับเป็นตัวประกันได้อาศัยช่วงเวลาที่คนที่จับเธอลดมีดลงจากระดับคอของเธอ จับมือข้างที่คนร้ายถือมีด บิดมาด้านหลังพร้อมกับก้าวท้าวลอดตัวใต้วงแขนของคนร้ายจนมีดหล่นจากมือคนร้าย แล้วจึงใช้สันเข่ากดมือข้างที่ถือมีดและตัวของคนร้ายไว้

                “โอ๊ย!!!” เสียงชายคนร้ายร้องอย่างเจ็บปวดและในตอนนี้ร่างของเขากำลังอยู่ในสภาพที่นอนราบอยู่ที่พื้นโดยมีหญิงสาวใช้เข่ากดไว้

                เห็นดังนั้นชายหัวหน้าก็ยิ่งจ่อมีดให้ติดคอหญิงตัวประกันมากขึ้น แต่แล้วเสียงรถตำรวจก็ดังขึ้นมาแต่ไกลจนทำให้เขาลนลานและแผดเสียงตะโกนขู่เสียงดัง

                “ใครหน้าไหนมันกล้าแจ้งตำรวจ!!!!

                ไร้ซึ่งเสียงตอบรับลูกค้าคนอื่นๆต่างนิ่งสนิทเพราะกลัวจะถูกทำร้าย ยกเว้นสองพ่อลูกฟิวโก้และฟินิกส์ที่เตรียมพร้อมจะเข้าไปช่วยหญิงตัวประกัน

                “ดี~…แล้วพวกแกจะได้เห็นผู้หญิงนี่ตายตรงนี้แหละ!!!” สิ้นเสียงตะโกนอันแหบกร้าว ลูกค้าคนอื่นๆต่างพากันปิดตาไม่อยากเห็นภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้าแต่แล้วกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นขณะที่ฟิวโก้และฟินิกส์กำลังจะฝ่าเหล่าบริกรโจรที่เข้ามารุมจับสองพ่อลูกเอาไว้

                “กริ๊ก”

                ชายหัวหน้าโจรกลืนน้ำลายลงเอื๊อกเมื่อพบว่าเสียง “กริ๊ก” เมื่อครู่เป็นเสียงขึ้นนกของปืนซึ่งบัดนี้จ่ออยู่ที่หลังคอของเขาเรียบร้อยแล้ว

                “อย่าขยับ” เสียงของชายกลางคนคนหนึ่งพูดราวกับกระซิบข้างหูของชายหัวหน้าโจร ท่ามกลางความชุลมุนระหว่างสองพ่อลูกตระกูลเชร์และกลุ่มลูกน้องโจร

                “บอกให้พวกนั้นหยุดสู้กัน” ชายคนผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มยาวรวบไว้ด้านหลังคนนั้นสั่งหัวหน้าโจร

                “เฮ้ย!! พวกแกหยุด!!” เหล่าลูกน้องโจรทั้งหลายจึงหยุดแล้วหันมามองหัวหน้ากันเป็นตาเดียว

                “บอกให้ทุกคนทิ้งอาวุธ” น้ำเสียงเฉียบขาดถูกเปล่งออกมาอีกครั้ง หัวหน้าโจรจึงจำยอมสั่งลูกน้อง

                “ทุกคนทิ้งมีดไปซะ”

    “วี่ หว่อ วี่ หว่อ”

                เสียงหวอของรถตำรวจเริ่มดังขึ้นชัดเจน พวกกลุ่มโจรจึงมีท่าทีกระสับกระส่ายและลนลานมากขึ้น

                ชายบริกรในกลุ่มโจรบางคนมองหน้ากันอย่างลังเล หัวหน้าผู้กลัวตายจึงตะโกนไปอีกครั้ง

                “พวกแกจะมองหน้าหาอะไรกัน รีบทิ้งมีดซะเดี๋ยวฉันก็โดนยิงหรอก!!!

                แต่พวกลูกน้องกลับไม่ได้ห่วงลูกพี่อย่างที่คิด โดยเฉพาะบริกรหญิงที่รีบฉกกระเป๋าของหญิงตัวประกันแล้ววิ่งไปพร้อมกับโจรอีกสี่คนไปทางประตูหน้าร้านซึ่งเป็นทางออกเดียว ทิ้งให้หัวหน้าโจรถูกปืนจ่ออยู่หลังร้าน

    “ฮะฮ่า ได้กระเป๋าใบเดียว ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” หญิงคนนั้นพูดแล้วยิ้มขณะวิ่งนำไปยังประตูทางออกแต่แล้วกลับต้องหยุดกึกเมื่อเสียงรถตำรวจเมื่อครู่หยุดลงพร้อมกับตำรวจในชุดเครื่องแบบนับสิบนายกำลังถือปืนจ่อมาที่หน้าร้านทั้งสิ้น

    “หยุด!! นี่ตำรวจ” ตำรวจคนหนึ่งประกาศใส่โทรโข่ง เหล่าบริกรปลอมทั้งหลายจึงจนมุมและยอมให้จับแต่โดยดี

    ทางด้านหัวหน้าโจรที่ถูกปืนจ่ออยู่ขณะนี้ก็ปล่อยหญิงตัวประกันให้เป็นอิสระ จากนั้นจึงถูกชายผู้ถือปืนจับใส่กุญแจมือเรียบร้อย เมื่อตำรวจมาถึงก็เข้ามาโค้งให้กับชายผู้ถือปืนและรับตัวหัวหน้าโจรไปในฐานะผู้ต้องหา

    “คราวนี้ท่านคงเหนื่อยหน่อยนะครับ ท่านอีเกิ้ล” ตำรวจนายหนึ่งเอ่ยขณะคุมตัวคนร้ายที่เหลือ

    “ไม่หรอก...ฉันแทบไม่ได้ทำอะไรเลย”

    “แหม...ท่านก็อย่าถ่อมตัวเลยครับ” ตำรวจนายนั้นพูดอย่างชื่นชมแล้วเดินจากไป และเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเพื่อขอบคุณตำรวจนอกเครื่องแบบคนนี้

     

    ฝ่ายหญิงตัวประกันโผเข้าหาสามีและลูกชายพร้อมกับร่ำไห้อย่างหวาดกลัวและเสียขวัญเป็นอันมาก ฟินิกส์และฟิวโก้จึงช่วยปลอบกันอยู่นานแสนนานกว่าจะหยุดร้องไห้ จากนั้นทั้งสามคนจึงพากันไปหาชายผู้ใช้ปืนซึ่งเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบเพื่อกล่าวคำขอบคุณ แต่หาไม่เจอ พวกเขาเจอแต่หญิงสาวตัวประกันอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหน้าเคาน์เตอร์ของร้าน

    ฟินิกส์มองจ้องไปที่ใบหน้าและรูปร่างลักษณะภายนอกของหญิงสาวพร้อมกับครุ่นคิด

    ผมสีดำสนิท...ผิวสีขาว...ตาสีน้ำตาล...คุ้นๆแฮะ หรือว่าจะเป็นเด็กคนนั้น!’

    และแล้วภาพสมัยเด็กก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปทักเธอ

    เมื่อได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวตรงๆ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเรียวสีดำสนิทและได้สบตากับดวงตาคมของเธอ หัวใจของชายหนุ่มก็แทบจะละลายไปในทันที

    “มีอะไร” น้ำเสียงอันเรียบเฉยถูกเปล่งออกมา ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นขึ้นมาในทันใด

    “เธอ...เธอชื่อเอรีนใช่รึเปล่า! ฉันฟินิกส์ไง!! จำได้มั้ย”
                    รู้ชื่อแม่ฉัน...ได้ยังไงเธอถามเสียงเครียด พลางขมวดคิ้วเรียวเข้าหากันและจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง


                    “เพล้ง!!!                                                                                                       

    เสียงหน้าแตกหล่นลงกระจายแหลกละเอียดอยู่เต็มพื้นดังกลบทุกเสียงในร้าน ในตอนนี้ไม่มีอะไรที่ชายหนุ่มจะอายไปกว่านี้แล้ว
             ‘ทักชื่อเพื่อนเก่าผิดเนี่ยนะ!! ไอ้บ้าฟินิกส์ดันไปจำชื่อสลับกับแม่เขาได้!!!’ ฟินิกส์ตบหัวตัวเองไปมาในความคิด

    “ไอรีน กลับได้แล้ว” 

    “ค่ะ พ่อ” เมื่อมีเสียงเรียกจากชายผู้เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบหรือฮีโร่ของคนในร้านดังขึ้นขัดจังหวะ หญิงสาวจึงหันไปสนใจและเดินตามหลังผู้เป็นพ่อไปโดยไม่เอ่ยแม้แต่คำกล่าวลา


    "หึหึ...ใช่แล้วล่ะไอรีน..." ฟินิกส์เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์หลังจากที่เพิ่งจะจำชื่อของเธอคนนั้นได้(- -)

                ถึงเเม้จะไม่ได้ฟังคำตอบแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ฟินิกส์แน่ใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่เขารู้จักอย่างแน่นอน ผู้หญิงผู้ซึ่งเป็นเพื่อนในสมัยเด็กของเขาและผู้หญิงผู้ซึ่งเขาไม่เคยเอาชนะได้  บัดนี้ได้กลับมายังเมืองแห่งนี้อีกครั้ง และในตอนนี้เขาพร้อมแล้ว...พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะเธอคนนี้ให้ได้!

    ------------------100%-----------------



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×