ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I am the Angel of Death 'S' ฉันคือยมทูตS

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 ตอนนี้ฉันไม่ใช่มนุษย์แล้วสินะ? (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 3 ธ.ค. 56


    บทที่ 2

    เช้าวันใหม่เคลื่อนเข้ามา เพราะไม่ใช่มนุษย์แผลของฉันจึงดูหายเร็วผิดปกติ แผลที่ถูกเย็บของฉันมันปิดสนิท คุณหมอถึงกับตะลึง จากที่ต้องตัดไหมสัปดาห์สัปดาห์หน้าจึงถูกเลื่อนมาเป็นวันนี้ ส่วนแผลไฟไหม้ที่แขนก็แห้งตกสะเก็ดแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงจะหายดีเป็นปลิดทิ้ง นอกจากต้องตัดไหมที่หัวและขา ฉันยังต้องให้ปากคำกับตำรวจกับฝูงนักข่าวที่มากันเต็มจนล้นห้องอัดกันซะยิ่งกว่าปลากระป๋อง

    “ช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังหน่อยค่ะ”

    “สาเหตุของไฟไหม้คืออะไรคะ”

    “ช่วยบอกหน่อยค่ะ”

    “ใจเย็นก่อนนะครับ ให้ตำรวจสอบปากคำก่อนนะครับ” ตำรวจพยายามห้าม

    หลังจากที่ตำรวจกันฝูงนักข่าวออกไปจากห้องสำเร็จ ในห้องจึงเหลือเพียงแค่ ฉัน แม่ และก็คุณตำรวจชายอีก 2 นาย

    “หนูจำไม่ได้ค่ะ” ฉันที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยทำเป็นก้มหน้าขอโทษพูดเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้

    “หนูจำอะไรไม่ได้เลยเหรอครับ” คุณตำรวจถามเสียงอ่อน ฉันส่ายหน้าแล้วทำท่าเหมือนจะร้องไห้

    “หนูจำได้แค่ว่า หนูวิ่งออกจากห้องแล็บจะไปเอาสมุดแล้วหนู.. หนูก็ไม่รู้ว่าตัวเองกลับเข้าไปในห้องแล็บได้ยังไง หนูไม่รู้ หนูไม่รู้จริงๆ” แล้วฉันก็ร้องไห้โฮออกมาตรงนั้นเลย

    “ไม่เป็นไรแล้วนะลูก ไม่เป็นไร จำไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องพยายามนึกถึงเหตุการณ์นั้นอีก นะลูกรักของแม่” แม่โอบกอดฉันไว้พลางลูบหัวไปมาให้คลายอาการหวาดกลัวแล้วหันไปจ้องหน้าพวกคุณตำรวจที่ทำหน้าจ๋อยๆ

    “เอ่อ.. เข้าใจแล้วครับ งั้นผมจะเขียนรายงานว่าน้องเค้าสมองได้รับการกระทบกระเทือนทำให้จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ละกันนะครับ” คุณตำรวจพูด

    “จะเขียนรายงานยังไงมันก็เรื่องของคุณ ฉันรู้แต่ว่าอย่ามาพูดถึงเรื่องนี้กับลูกสาวฉันอีก เข้าใจไหม” แม่ตะคอกใส่พวกตำรวจ

    “ครับ” พวกตำรวจตอบเสียงอ่อยแล้วเดินคอตกออกนอกห้องไป

    จะว่าไปก็สงสารพวกเขาเหมือนกันนะ ถูกใช้ให้มาสอบปากคำ กว่าจะฝ่าวงล้อมนักข่าวเข้ามา แต่กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรกลับไปเลยแถมยังโดนแม่ตะคอกใส่อีก นี่กว่าจะฝ่าวงล้อมนักข่าวกลับไปก็คงลำบากอีกตามเคย

    ทันทีที่พวกคุณตำรวจกลับออกไปแทนที่ฝูงนักข่าวจะกรูกันเข้ามากลับมีคนใหญ่คนโตเดินเข้ามาแทนพร้อมกับบอดี้การ์ดน่าเหี้ยมอีก 2 คน

    “ท่านเจ้าเมือง” แม่ผละจากฉันลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัวแล้วยกมือไหว้ ชายหน้าเหลี่ยมตัวสูงใหญ่ ผมดำที่อยู่บนหัวบางจนเห็นหนังหัวสะท้องแสงวิบวับ หนังตาตกขอบตาดำคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้า ขนาดทารองพื้นหนาขนาดนั้นยังเอาไม่อยู่ คงต้องมีงานเยอะจนไม่ได้ไม่นอนมาหลายคืนแน่ๆ รอยย่นที่หน้าผาก รอยตีนกาบ่งบอกอายุจวนเข้าโลงได้แล้วมั้งแบบนี้ ดูดีได้เพราะเสื้อสูทที่ใส่อย่างเดียวเชียว

    “หนูคือเด็กที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์ไฟไหม้ห้องทดลองสินะ” ริมฝีปากแห้งๆ ของเขาเผยอขึ้นพูด

    “ค่ะ” ฉันพยักหน้า คราบน้ำตายังแห้งติดแก้ม

    “ฉันขอเป็นตัวแทนของหน่วยงานทุกหน่วยมาขอโทษ และนำของมาเยี่ยมน่ะ” ชายชราหันไปหยิบกระเช้าของขวัญที่เต็มด้วยผลไม้กับของกิน เครื่องเขียน หนังสือตำราเรียน แล้วก็ดอกไม้ยื่นให้ฉัน

    ฉันรับมอบด้วยสีหน้างงๆ

    “อาการเป็นยังไงบ้าง” เขาถาม

    “ก็ดีค่ะ” ฉันตอบเรียบๆ ไม่แสดงสีหน้า

    “งั้นเหรอ งั้นก็ดีแล้ว” เขาพูดเรียบๆ เช่นกัน

    “งั้นผมขอตัวก่อนนะ ช่วงนี้มีธุระเยอะมาก” เขาพูดหันไปยิ้มกับแม่แล้วเดินจากไป ก่อนออกจากห้องฉันเห็นเขากระซิบกระซาบกับบอดี้การ์ดคนหนึ่งเหล่มองมาทางฉันแล้วแสยะยิ้มเหี้ยมจนน่ากลัว ฉันคิดไปเองรึเปล่านะ จะว่าไปตอนอยู่ในห้องก็จ้องฉันแปลกๆ คงคิดไปเองมั้ง ช่างมันเถอะ

    ครู่ถัดมาหลังจากท่านเจ้าเมืองจากไป ฝูงนักข่าวก็กรูกันเข้ามาในห้อง เป็นชั่วโมงกว่าพวกเขาจะยอมกลับไป

    ความจริงฉันก็พูดแค่ด้วยประโยคๆ เดียวเอง

    "หนูจำไม่ได้ค่ะ" ตามที่เทวทูต Dream บอกไว้ พวกเขาก็น่าจะรีบๆ กลับไปเร็วๆ ได้แล้วนี่นาต้องรอฉันร้องไห้ไม่หยุดจนแม่ต้องมาปลอบมาไล่ก่อนถึงจะไป

    แต่เพราะแบบแหละนี้ทำให้ฉันรู้ว่าฉันก็มีฝีมือด้านการแสดงอยู่เหมือนกันนะเนี่ย

    วันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จบกลางคืนเช้าวันใหม่ก็เข้ามาแทนที่ คุณหมอเมื่อเห็นฉันที่ไร้รอยแผลก็ อนุญาตให้ฉันกลับบ้านได้ ครอบครัวฉันดีใจมาก ทุกคนยิ้มแย้มอย่างมีความสุขเป็นพิเศษทำให้ฉันพลอยมีความสุขไปด้วย ทำให้ฉันพลอยมีกำลังใจในการใช้ชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์นี้ต่อ แม้จะต้องเจอกับอุปสรรคแบบไหน ปีศาจน่ากลัวขนาดไหน ฉันก็ต้องฟันฝ่าไปให้ได้

    ช่วงนี้ฉันยังใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องทำหน้าที่ยมทูต ไม่ต้องจัดการปีศาจ ไม่ต้องเก็บวิญญาณ

    Dream บอกว่านายหญิงจะช่วยทำตอนปิดเทอมให้ ฉันจะได้ใช้เวลาช่วงนี้ปรับตัวให้คุ้นกับร่างกายนี้ก่อน ร่างกายนี้ก็สุดยอด แข็งแกร่งจริงๆ อย่างที่นายหญิงบอก

    วันนึงฉันทำมีดตกใส่เท้า ถ้าเป็นมนุษย์ล่ะก็ป่านนี้คงต้องส่งโรงพยาบาล โดนคุณหมอเย็บหลายเข็มไปแล้ว แต่ว่านี่กลับไม่มีแผล เลือดก็ไม่ออกสักหยด ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด รู้เหมือนทำยางลบตกใส่เท้ามากกว่า

    โชคดีนะไม่มีใครเห็น ถ้ามีใครเห็นเข้าล่ะก็เป็นเรื่องแน่

    ส่วนเรื่องอาหาร ฉันเริ่มจะชินแล้วล่ะ ในการแกล้งกินให้อร่อย จะว่าไปตั้งแต่ใช้ร่างใหม่นี้ฉันยังไม่เคยหิวจริงๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าชีวิตมันสงบสุขตลอดไปแบบนี้ก็ดีสิ

    ในที่สุดวันเปิดเทอมก็มาถึง ฉันตื่นเต้นที่สุด ฉันจะได้ใช้ชีวิตม.2 พร้อมกับทำหน้าที่ยมทูตไปด้วยสินะ แล้วก็ช่วยดูแลน้องซาเนียที่เข้าชั้นม.1 โรงเรียนเดียวกัน

    พยายามเข้า สู้ๆ วาเนสซ่า

    ทันทีที่มาถึงโรงเรียน

    "วาเนสซ่า เราได้อยู่ห้องเดียวกันแหละ" เด็กสาวผมสีฟ้าสว่างเหมือนท้องฟ้ายามเช้าถักเปียรวบไว้ด้านหลังยาวจรดเอว ดวงตาสีเทาเป็นประกาย แก้มสีแดงระเรื่อ บ่งบอกความตื่นเต้นดีใจ เธอคือเพื่อนสนิทของฉันเอง

     เอมิลี่ ฟาทินสัน

    "จริงอะ" ฉันดีใจมาก

    "ไปที่ห้องกัน" เอมิลี่พาฉันไปที่ห้องทันที

    ชีวิตม.2 ของฉันเริ่มต้นขึ้นแล้ว เรียนหนังสือ กินข้าวกลางวัน เม้าท์กับเพื่อน ให้เพื่อนลอกงาน ลอกการบ้าน ชีวิตประจำวันของฉันทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว เป็นแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์ปกติเหมือนกับเพื่อนๆ อยู่ ฉันอยากเก็บเกี่ยวความสุขในช่วงเวลานี้ให้มากที่สุด ก่อนที่ฉันจะต้องไปทำหน้าที่ของยมทูต

    หลังเลิกเรียน ขณะที่ฉัน ซาเนียและเพื่อนๆ ของเธอเดินกลับบ้าน ฉันได้กลิ่นแปลกๆ ฉุนกึกขึ้นจมูกยิ่งกว่าแอมโมเนียซะอีกหรือว่าจะเป็น... ปีศาจ

    "ซาเนีย เธอกลับบ้านไปก่อนเลยนะ พอดีพี่มีธุระนิดหน่อยเดี๋ยวพี่ตามไป" ฉันสั่งน้องแล้วรีบวิ่งไปทางต้นกลิ่นทันที

    ฉันวิ่งมาถึงหน้าแมนชั่นแห่งหนึ่งห่างจากจุดที่ฉันอยู่เมื่อกี้เกือบ 1 กิโลภายในไม่กี่นาที คนกำลังมุงดูศพชายปริศนาที่ตกลงมาจากดาดฟ้าแมนชั่น วิญญาณยังคงอยู่ในร่าง แต่ร่างเยินขนาดนี้ยังไงก็ไม่รอด กระดูกหักทั้งตัว กะโหลกศีรษะร้าว เลือดออกไหลนองพื้นยิ่งกว่าน้ำป่าไหลหลากซะอีก

    กลิ่นเลือดคาวเหม็นคลุ้งตลบอบอวลไปทั่ว แต่น่าแปลกตกจากแมนชั่นแค่ 5 ชั้น กระดูกไม่น่าจะหักทั้งตัวนี่นา เลือดก็ไม่น่าจะไหลเยอะได้ขนาดนี้ด้วย

    กลิ่นฉุนๆ นี่กลับมาอีกแล้ว มาจากทางไหนกัน?

     ข้างบน !!!

    ฉันเงยหน้าขึ้นผงะกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ปีศาจ เป็นปีศาจตนแรกที่ฉันเจอหลังจากที่เป็นยมทูต ตัวของมันคล้ายมนุษย์ เดิน 2 ขา มีแขน 2 แขน ไม่มีปาก ไม่มีหู มีตาสีแดงรอบหัว ถึงตัวของมันจะเล็กกว่าตัวที่ฆ่าฉันมากก็ตาม แต่มันก็ตัวใหญ่พอที่จะทำให้ฉันตะลึงไปได้หลายวิทีเดียว มันนั่งอยู่บนดาดฟ้าชะโงกหน้าลงมาดูผลงานที่ตนเองทำรอให้วิญญาณออกจากร่างผู้ตาย

    แต่ทำไมคนมุงถึงไม่เห็นปีศาจตนนี้ล่ะ มันพรางตัวได้งั้นเหรอ ถ้างั้นฉันก็พรางตัวบ้างเหมือนกัน

    ร่างยมทูตของฉัน ผมถูกเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีแดงเลือด ตาจากสีชมพูหวานเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงคมกริบเหมือนปีศาจ หูแหลมเหมือนเอลฟ์ ใบหน้าร่างกายซีดขาวจนเหมือนคนตาย กรงเล็บยาวคมกริบจนสามารถตัดเหล็กให้ขาดเป็น 2 ท่อนได้ภายในครั้งเดียว จึ้สร้อยคอหัวกะโหลกสีเงินเงาวับ เสื้อแขนกุดสีขาวแนบเนื้อ ทับด้วยเสื้อจัมเปอร์สีดำมืดสนิท กระโปรงสั้นจีบรอบสีแดงเลือดชายขลิบดำ เข็มขัดหนังสีดำหัวเข็มขัดรูปหัวกะโหลกสีเงินเหมือนกับสร้อย รองเท้าบู๊ตยาวสีดำเพิ่มทะมัดทะแมงขึ้นได้เยอะ

    ฉันสั่งให้ร่างนี้มองไม่เห็นในสายตามนุษย์ ชัก(เสก)ปืนพกขึ้นมาหนึ่งกระบอก บีบมันไว้ในกำมือแน่น

    หน้าที่ของยมทูตคือจัดการกับปีศาจ

    ฉันรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ปีศาจจะมี Core อยู่ตรงกลางหน้าอกซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจ เป็นแกนกลางเป็นจุดที่ดวงวิญญาณอยู่ให้จัดการตรงนั้น ฉันตั้งปืนขึ้นเล็ง

    นับ

    3

    2

    1

    ยิง!

    “ปัง!

    ไม่โดนงั้นเหรอ

    ปีศาจมันรู้สึกตัวก่อน จึงเบี่ยงตัวหลบทัน มันยืนขึ้น สายตาจับจ้องมาทางฉัน ตกใจ ไม่คาดคิดว่าจะมีคนมองเห็นตนเอง ฉันเองก็ตกใจไม่แพ้กัน

    จะทำยังไงต่อดีล่ะ

    พวกเรา ฉันกับเจ้าปีศาจจับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา

    ฝ่ายไหนจะลงมือก่อน ฉันกระชับปืนในมือแต่ก็ไม่กล้าลงมือ ถ้าหัวใจของฉันมันยังเต้นได้อยู่ล่ะก็มันคงคงเต้นรัวจนหลุดออกจากอกไปแล้ว

    เอาล่ะ เป็นไงเป็นกัน ฉันเล็งปืนไปที่ปีศาจอีกครั้งแล้วเหนี่ยวไก

    “ปัง!

    มันเบี่ยงตัวหลบได้อีกทีนี้มันไม่รอแล้วกระโจนเข้าหาฉันทันที ฉันยังเงอะงะทำตัวไม่ถูก ขาก็ก้าวไม่ออก มันจวนจะถึงตัวฉันอยู่แล้ว จะให้ฉันทำยังไงดี สัญชาติญาณการป้องกันตัวสั่งให้ฉันเหนี่ยวไกปืน

    “ปัง!

    "เพล้ง!" เสียงเหมือนอะไรแตก น่าจะเป็นผลึกที่ห่อหุ้มป้องกัน Core แล้วปีศาจก็สลายไปต่อหน้าต่อตาฉัน เหลือแค่วิญญาณที่เหมือนดวงไฟดวงเล็กลอยไปลอยมาในอากาศ

    ฉันทำได้แล้ว ฉันจัดการปีศาจได้แล้ว

    สมุดยมทูต! ฉันนึกขึ้นได้รีบคว้า(เสก)มันออกมา

    "ผนึก" ฉันพูดพร้อมกับกางสมุดที่ว่างเปล่ามีเพียงเส้นบรรทัดใส่ ดวงไฟหายไปส่วนสมุดมีชื่อปรากฏขึ้น นายตื่นสาย นอนดึก

    ชื่อที่ปรากฏในสมุดยมทูตคือดวงวิญญาณที่เก็บได้ เมื่อชื่อขึ้นแสดงว่าดวงวิญญาณดวงนั้นได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกเรียบร้อยแล้ว

    ในที่สุดฉันก็ทำสำเร็จ ถึงจะทุลักทุเลนิดหน่อยก็เถอะ ฉันยิ้มให้กับตัวเอง

    ดูๆ ไป ปีศาจตนนี้คงยังเลวไม่มากร่างกายถึงยังมีรูปร่างคล้ายมนุษย์อยู่ เอาเถอะงานของฉันวันนี้เอาแค่นี้ก่อนละกัน รีบกลับบ้านดีกว่า

    เดี๋ยวนะ เหมือนฉันจะลืมอะไรไปบางอย่าง?

    ใช่แล้ว! วิญญาณชายตกตึก ฉันนึกขึ้นได้

    เมื่อหันกลับไป ศพชายคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว

     รถเก็บศพเอาไปแล้วงั้นเหรอ ไปทางไหนกัน

    ฉันหันซ้ายหันขวามองหารถเก็บศพ ทางขวา ด้วยความสามารถของตายมทูตทำให้ฉันมองเห็นรถเก็บศพทีอยู่ไกลกว่า 2 กิโลเมตรได้อย่างชัดเจน แต่เพราะความชัดเจนนี่สิทำให้ฉันต้องเหนื่อยรอบสอง มีปีศาจติดปีกกำลังบินไปหารถเก็บศพด้วยความเร็วสูงเหมือนติดจรวดไอพ่นอย่างไรอย่างนั้น

    เวรแล้ว ดวงวิญญาณมนุษย์มันสำคัญขนาดนี้เลยหรือเนี่ย

    ฉันก็ไม่มีปีกซะด้วย จะบินก็บินไม่ได้ ต้องวิ่งอย่างเดียว แล้ววิ่งจะทันปีศาจบินไหมเนี่ย

    ฉันใส่สปีดเต็มที่วิ่งตามรถเก็บศพเร็วมากเร็วจนฉันรู้สึกเหมือนตัวเองหายตัวมาอย่างงั้นแหละ นี่น่ะเหรอพลังของยมทูต

    สุดยอดไปเลย แต่ก็เหนื่อยมากพอดู

    ปีศาจที่บินอยู่บนฟ้าถึงกับเปลี่ยนเส้นทางจากพุ่งไปหารถเป็นพุ่งมาหาฉันแทน

    “ปัง!

    ฉันยิงปืนพกคู่ใจใส่ปีศาจ

    มันปัดกระสุนของฉันทิ้งสบายๆ แล้วพุ่งตัวเข้ามาหาฉันด้วยความเร็วสูงกว่าเดิมอีก

    “เหวอ” ปืนพกหายไปจากมือของฉัน กรงเล็บถูกกางขึ้น ฉันเบี่ยงตัวหลบแล้วฟาดกรงเล็บใส่คอมันเต็มแรงกระชากหัวหลุดออกมาจากบ่าคอขาดสะบั้น น้ำสีดำเหนียวหนืดหยาดเยิ้มไหลเปื้อนมือฉัน

    ดวงตาของฉันเบิกกว้างด้วยความตกใจปล่อยให้หัวกับตัวปีศาจหล่นไปกองกับพื้น แต่มันยังคงดิ้นไม่หยุด แขนขาปัดไปปัดมาเหมือนจะพยายามพยุงตัวขึ้นทั้งที่ไม่มีหัวแล้ว

    น่าขยะแขยงที่สุด

    ไหนมือก็เปื้อนแล้วก็จัดการให้มันจบๆ ไปเลยละกัน ว่าแล้วฉันก็ฟาดกรงเล็บเข้าไปกลางลำตัวมัน

    “เพล้ง! น้ำสีดำกระจายขึ้นเปรอะเปื้อนตามชุดบางจุดกระเด็นขึ้นมาบนหน้าด้วย แต่ไม่เป็นไรตอนนี้Core ของมันก็แตกแล้ว มันสลายไปแล้ว เหลือเพียงดวงวิญญาณของมันที่ต้องจัดการ

    “ผนึก”

    เฮ้อ เหนื่อยชะมัดเลย ฉันยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำสีดำบนหน้าแล้วหันไปหารถเก็บศพที่ขับหนีออกไปไกลแล้ว ฉันรีบวิ่งไปหากระโดดขึ้นรถไปนั่งข้างศพ พวกเจ้าหน้าที่คงงงที่รถสะเทือนเองได้เพราะพวกเขามองไม่เห็นฉันนี่นา

    วิญญาณมนุษย์จะไม่ออกจากร่างจนกว่าจะถึงกำหนดที่ตาย ดังนั้นมีทางเดียวคือต้องล้วงเอาวิญญาณออกมา

    ฉันเงื้อมือขวาขึ้นรวบรวมสมาธิไว้ที่จุดเดียวกางกรงเล็บ แสงสีแดงระเรื่อเปล่งออกมา ฉันล้วงเข้าไปที่ตำแหน่งหัวใจของศพดึงดวงวิญญาณของผู้ตายออกมา

    “ผนึก”

    ฟู่ ฉันถอนหายใจ คราวนี้จบวันนี้จริงๆ แล้วสินะ

     แย่ล่ะจะ 6 โมงเย็นแล้ว แม่ต้องโกรธแน่ๆ รีบกลับบ้านดีกว่า

    ฉันรีบวิ่งเต็มกำลังที่เหลือกลับบ้าน และไม่ลืมเปลี่ยนกลับร่างมนุษย์ เหนื่อยที่สุดเลย หิวมากด้วยแล้ว อาหารที่แม่ทำให้ทานไม่ได้ช่วยให้อิ่มได้เลย แบบนี้มีทางเดียวต้องกลับนรกงั้นสินะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×