ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I am the Angel of Death 'S' ฉันคือยมทูตS

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 นี่ฉันตายแล้วงั้นเหรอ? (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 3 ธ.ค. 56


    บทที่ 1

    วันนี้อาจารย์จะให้ทดลอง...

                “วาเนสซ่า โทษนะ ฉันลืมสมุดของเธอไว้ที่ห้องพักน่ะ ขอโทษนะ” เคต เพื่อนรูมเมทที่ฉันฝากให้ถือสมุดโน้ตของฉันมาที่นี่ด้วย

                “OK OK ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันวิ่งไปเอาเอง”

                ฉัน วาเนสซ่า คลาวด์ เด็กหญิงผมสีม่วงซอยสั้นประบ่า ดวงตาสีชมพูหวาน โครงหน้ารูปไข่รีมน ร่างผอมบางกระฉับกระเฉง วิ่งออกจากห้องทดลอง

    ไม่ถึงครึ่งทางที่จะไปห้องพัก ฉันก็ได้ยินเสียงเพื่อนๆ ในห้องทดลองกรีดร้องตะโกนเสียงดังอย่างหวาดกลัว

    “ช่วยด้วย!

    “ช่วยด้วย!

    “ช่วยฉันด้วย!

    “ใครก็ได้ช่วยที”

    ฉันรีบวิ่งกลับไปห้องนั้นสุดแรงเกิด สิ่งแรกที่เห็นคือ ไฟ ไฟกำลังลุกโชนกระหน่ำเผาห้องทดลองอยู่ เปลวเพลิงสีแดงสดราวกับสีเลือดกำลังย้อมห้องนี้ให้กลายเป็นกองเพลิงขนาดมหึมา ที่เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ แม้จะมีผู้คนรายล้อมมากเพียงไรแต่ไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปแม้แต่คนเดียว

    “ช่วยด้วย! อย่า อย่า อย่าฆ่าฉันนะ อย่าฆ่าฉันนะ”

    นั่นเสียงเคตนี่ ทั้งที่ไฟไหม้ขนาดนี้เธอไม่น่าจะพูดได้แล้วนี่นา หรือว่าไฟไหม้เฉพาะรอบนอก ข้างในห้องยังมีส่วนที่ยังไม่ไหม้อยู่  อีกอย่างนะเมื่อกี้เธอร้องว่า   อย่าฆ่าฉันนะ เธอร้องบอกใครใครจะฆ่าเธอ ไม่มีเวลาจะมาคิดแล้ว ฉันจะช่วยเพื่อน ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ฉันต้องช่วยเธอออกมาได้แน่ ฉันตัดสินใจวิ่งฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปในห้องที่อยู่ตรงหน้าทันที อย่างที่คิดไฟยังไม่ไหม้ตรงกลางห้อง

    “เคต” ฉันเห็นเธอแล้ว

    “วาเนสซ่า” เธอร้องตอบ สภาพอิดโรยเสื้อผ้าขาดวิ่น รอยฟกช้ำเต็มไปทั้งตัว

    ฉันรีบวิ่งเข้าไปหา ไม่สนใจแผลที่ถูกไฟลวกแทบทั้งตัว เพียงแค่ก้าวขาก็ปวดแสบเข้าไปถึงกระดูกดำ ทันทีที่ถึงตัวเพื่อนฉันสังเกตเห็นตัวอะไรบางอย่างดำทะมืนอยู่ท้ายห้อง ปีศาจ! ตัวสูงใหญ่เฉียดเพดาน

    “กรร” มันคำราม ดวงตาสีแดงเพลิงทั้งสามกราดมองไปรอบห้อง ตวัดแขนขาจำนวนมากด้วยแรงมหาศาลกวาดทำลายโต๊ะเก้าอี้แหลกละเอียดกองกระจายเต็มพื้น หลังจากระบายอารมณ์จนสะใจมันตวัดแขนจับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งเหวี่ยงไปรอบๆ ห้อง แล้วฟาดร่างนั้นกระแทกลงกับซากโต๊ะ

    “โอ๊ย” เขาร้องออกมาเสียงดังลั่น ร่างอ่อนปวกเปียกแน่นิ่งไป ฉับพลันไฟก็ลุกพรึบเผาร่างนั้นมอดไหม้เป็นจุล ต่อหน้าต่อตาพวกเรา

    เหวอ นี่มันอะไรกันเนี่ย น่ากลัว ฉันกลัวไปหมดแล้ว ขาชาจนขยับตัวไปไหนไม่ได้เลย ยังไม่ทันจะคิดวิธีการรับมือ มันก็ตวัดเพื่อนอีกคนขึ้นไปบนอากาศปล่อยให้ร่างตกลงมากระแทกกับพื้น

    “ตึง”  แล้วเปลวไฟก็ลุกท่วมร่างไหม้ดำเป็นตอตะโกสยดสยอง ไปอีกราย

    ดวงตาของฉันเบิกกว้างด้วยความตกใจและหวาดกลัว เรื่องแบบนี้มีอยู่บนโลกนี้ด้วยเหรอ

    ตั้งสติสิ ตั้งสติหน่อยวาเนสซ่า ฉันพยายามเตือนสติตัวเอง เรามาเพื่อช่วยเพื่อนนะ จะมาตายตอนนี้ไม่ได้ ต้องรีบหนีก่อน ฉันฉุดมือเคตและวิ่งนำเพื่อนอีกสามคนที่ยังมีชีวิตไปที่ประตู อีกแค่ไม่กี่ก้าวขอแค่ผ่านประตูเพลิงออกไปข้างนอกได้ก็จะรอดแล้ว

    “โอ๊ย!” เสียงพวกเราทั้งกลุ่มร้องอวดครวญ หลังถูกมันตวัดร่างไปกระแทกกับกำแพงเพลิงข้างหลังห้อง ร่างของพวกเราทรุดลงไปนอนกองกับพื้น

    ไฟค่อยๆ ไหม้ร่างของฉันตั้งแต่ปลายเท้าลามขึ้นมาหัวเข่าลามขึ้นมาเรื่อยๆ มันร้อนจนชาด้านไร้ความรู้สึก ฉันหันไปมองเพื่อนของฉัน เคต ไฟลามขึ้นมาถึงคอเธอแล้ว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเถ้าเขม่าควัน ริมฝีปากซีดๆ ของเธอเผยอขึ้น

    “...ขอบคุณนะ” คำพูดเบาๆ ราวกับกระซิบหลุดออกมาจากปากของเธอก่อนที่ไฟจะปกคลุมใบหน้าเพื่อนของฉัน เผาร่างและชีวิตของเธอให้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

    ทำไมต้องขอบคุณคนที่ไม่ได้เรื่องอย่างฉันด้วย แค่ช่วยเพื่อนแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

    น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของฉันอย่างไม่รู้ตัว ควันไฟฟุ้งตลบบดบังสายตา เปลวเพลิงที่ฉันเห็นเริ่มหายไป เปลือกตาหนักขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ปิดสนิทลง ความมืดมิดเริ่มมาเยือน เขม่าควันถูกดูดเข้าไปเต็มๆ ปอด แน่นหน้าอก ฉันอึดอัดหายใจไม่ออก ใบหน้าซีดเขียวเพราะขาดอากาศ ทรมานมาก ฉันสัมผัสได้ว่าไฟมันไหม้ลามขึ้นมากลืนกินร่างฉันจนมิด เสียงไฟประทุที่ฉันได้ยินค่อยๆ เงียบลงในที่สุดฉันก็ไม่ได้ยินอะไรอีก นี่ฉันกำลังจะตายแล้วงั้น เหรอ

    ใบหน้าของหญิงสาวผมสีม่วงดัดเป็นลอนยาว ดวงตาสีเทามองฉันอย่างเอ็นดู แก้มสีแดงระเรื่อ ส่งยิ้มให้

    แม่รักลูกนะคำพูดของเธอดังสะท้อนขึ้นในหัว ดวงใจของฉันพองโต ความรู้สึกเหงา เศร้า เสียใจถาโถมเข้าใส่ ฉันอยากจะร้องไห้

    แม่ หนูคิดถึงแม่ หนูขอโทษ หนูแค่อยากจะช่วยเพื่อน หนูยังไม่อยากตาย หนูอยากอยู่กับแม่ อยากอยู่กับทุกๆ คน หนูขอโทษ หนูรักแม่นะ รักที่สุดในโลกเลย..

                ...หนูไม่อยากบอกจริงๆ ว่า...

                ...ลาก่อน...

                โลกทั้งใบของฉันมืดสนิท ไม่มีแสง ไม่เสียง ไม่มีความรู้สึก ไม่มีแม้กระทั่งความคิดใดๆ อีกต่อไป

     

    “ถ้าสามารถมีคนรอดจากเหตุการณ์นี้ได้เพียงคนเดียว เธอจะเลือกใครระหว่างเพื่อนหรือตัวเธอเอง” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาในโสตประสาทของฉัน

    ถามอะไรเนี่ย คำตอบมันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง

    “ต้องเป็นเพื่อนอยู่แล้วสิ” ฉันได้ยินเสียงตัวเองพูดออกมา น่าแปลกนะทั้งๆ ที่ฉันมองไม่เห็น ไม่รู้สึกตัว ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศรอบข้างเลยแม้แต่น้อย และฉันก็ไม่มีเวทมนตร์สื่อสารทางกระแสจิตอะไรนั่นด้วย แต่ฉันกลับได้ยินเสียงผู้หญิงคนนี้ดังขึ้นมาอีก

    “ทำไมล่ะ”

    ฉันเข้ามาในเหตุการณ์นี้เพื่อมาช่วยเพื่อน ถ้าฉันอยากรอดคนเดียว ก็คงไม่เข้ามาในเหตุการณ์นี้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ

    ความจริงฉันอยากตอบออกไปอย่างนี้ แต่ว่าอะไรบางอย่างทำให้ฉันไม่พูดอย่างนี้ออกไป

    “เพื่อนเรียนเก่งกว่าแล้วก็เป็นคนดีกว่าฉันตั้งเยอะ ถ้าเพื่อนรอดไปได้ล่ะก็ต้องทำประโยชน์ให้แก่สังคมให้แก่เมืองนี้ได้มากกว่าฉันแน่นอน” หลังจากที่ฉันพูดจบก็ได้ยินเสียงเธอคนเดิมหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า

    “เข้าใจแล้ว”

    ทันใดนั้นโลกของฉันก็สว่างขึ้นมา  ฉันลืมตาขึ้นพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางห้องเล็กๆ มีเตียงสีดำ ฟูกหมอนและผ้าห่มสีแดง ตู้เสื้อผ้า ชั้นหนังสือ โต๊ะทำงานและเก้าอี้ก็ล้วนเป็นสีดำสนิทถูกจัดไว้อย่างลงตัวตัดกับสีพื้นและผนังของห้องที่เป็นแดงเพลิงจนเหมือนสีเลือด

    “แอ้ด!” ผู้หญิงวัยรุ่นเปิดประตูห้องเดินเข้ามาหาฉัน เธอใส่ชุดเดรสสายเดี่ยวสีดำสนิท ผมสีเงินตรงยาวสลวยจรดเอว ดวงหน้ารีมนสุกสว่างเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ร่างสูงโปร่งเรียวบาง ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อยิ้มน้อยๆ ที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีแดงเพลิงสองข้างที่เหมือนดวงตาของปีศาจ

    “นั่งก่อนสิ” เธอบอกพลางผายมือไปทีเตียง ฉันเดินไปนั่งอย่างว่าง่าย ตอนนี้เองที่ฉันสังเกตว่า  ฉันก็กำลังใส่ชุดเดรสสีดำเหมือนกับเธอ เธอที่กำลังเยื้องกายมานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานตรงหน้าฉัน

    “ฉันคือ Death Empress หรือ DETA เจ้าแห่งนรก” เธอแนะนำตัว

    “ปีศาจที่เธอเจอเมื่อครู่เป็นปีศาจจากนรกของเราเอง วิญญาณของมนุษย์ที่ทำชั่วทุกคนเมื่อตายแล้วจะมาอยู่ที่นี่ จะกลายเป็นปีศาจที่มีรูปร่างแตกต่างกันไป ยิ่งทำชั่วมากยิ่งเลวมากเท่าไหร่รูปร่างก็จะผิดเพี้ยนไปจากร่างมนุษย์มากเท่านั้น

    ตอนนี้มีปีศาจบางส่วนหายไปจากนรกโดยไม่ทราบสาเหตุ ปีศาจพวกนั้นไปปรากฏตัวบนโลกมนุษย์ แล้ววิญญาณคนตายบนโลกมนุษย์ก็หายไปเป็นจำนวนมากโดยไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน ฉันจึงออกสำรวจพบว่าปีศาจไม่สามารถอยู่บนโลกมนุษย์ได้เหมือนในนรก พวกมันจะตายลงเหมือนขาดสารอาหาร พวกมันจึงคอยดูดเอาวิญญาณมนุษย์ที่ตายแล้วมาฟื้นฟูและเพิ่มพลังให้กับร่างกายตนเองให้อยู่รอดบนโลกมนุษย์

    ตอนนี้พวกมันคงเบื่อการรอให้มีคนตายจึงออกอาละวาดฆ่าคนเพื่อเอาวิญญาณ ปีศาจที่เธอเจอก็ฆ่าเธอเพื่อเอาวิญญาณเหมือนกัน แต่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ฉันจัดการกับปีศาจตนนั้นเรียบร้อยแล้ว ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถช่วยชีวิตของเธอกับเพื่อนไว้ได้ทัน”

    หมายความว่าฉันตายแล้วจริงๆ งั้นเหรอ

    “ทีนี้มาเข้าเรื่องของเธอกัน ฉันพึ่งได้รับอนุญาตให้สร้างยมทูตจากวิญญาณที่ตายก่อนกำหนดเพราะถูกปีศาจฆ่า วาเนสซ่า คลาวด์ ฉันเลือกให้เธอเป็นยมทูต เธอเป็นคนแรกที่ฉันเลือกนะสาวน้อย”

    “คะ? ยมทูต? หมายความว่า... ยังไงคะ” ฉันสับสนงงไปหมดแล้ว สมองของฉันตอนนี้คงเหมือนยำรวมมิตรทะเลใส่หมึกกุ้งหอยปูปลา คลุกๆ กันมั่วๆ จนดูไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อครู่บอกว่าฉันกับเพื่อนถูกปีศาจนรกฆ่าตาย ตอนนี้บอกว่าจะให้ฉันเป็นยมทูต นี่มันอะไรกันอีกล่ะเนี่ย

    แล้วเพื่อนๆ ของฉันล่ะ เพื่อนของฉันอยู่ที่ไหน

    สุดท้ายความคิดของฉันทั้งหมดทั้งมวลก็ถูกหยุดลงด้วยเสียงของเธอ

    “หมายความว่าเธอจะได้ขึ้นไปอาศัยบนโลกมนุษย์ต่อ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติพร้อมกับทำหน้าที่ของยมทูตไปด้วย ยมทูตปกติที่อยู่ในนรกจะมีหน้าที่เพียงคอยคุมพวกปีศาจในนรกและคอยคัดส่งดวงวิญญาณที่เข้ามาใหม่ให้ไปอยู่ให้ถูกที่ แต่เธอเป็นยมทูตที่อยู่บนโลกมนุษย์เธอจึงมีหน้าที่พิเศษ นั่นคือการนำส่ง  คุ้มครองวิญญาณ และคอยจัดการปีศาจที่พยายามฆ่าและแย่งชิงวิญญาณ

    เมื่อเธอฟื้นขึ้นมาบนโลกมนุษย์ จะไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเธอตายไปแล้ว และกลายเป็นยมทูต เธอห้ามบอกมนุษย์ปกติคนอื่นเรื่องนี้เป็นอันขาด ยกเว้น Partner ซึ่งฉันจะเล่าให้ฟังภายหลัง ฉันจะให้เวทย์ลบความทรงจำกับเธอ เอาไว้ลบความทรงจำมนุษย์ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ เข้าใจนะ”

    “ค... ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับเหตุการณ์เข้าใจยากที่พึ่งจะเกิดขึ้นอย่างงงๆ

    เธอคนนั้นดูเหมือนจะรู้ว่าฉันไม่เข้าใจถึงได้พูดดัก

    “ถ้าไม่เข้าใจตรงไหน ยังไม่ต้องถามนะ เดี๋ยวเธอก็จะเข้าใจเรื่องทั้งหมดเอง”

    อ่าว... แล้วกัน

    “แล้วก็เนื่องจากเธอไม่ใช่มนุษย์ ร่างกายของเธอจะไม่มีการเจริญเติบโตอีก และจะแข็งแรงทนทานกว่าปกติ ส่วนอาหารมนุษย์นั้นไม่ได้ช่วยให้เธออิ่มท้องได้อีกต่อไป แต่เธอจะต้องทานเพื่อให้เหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ ถ้าเธอหิวหรือเหนื่อยให้ลงมาที่นี่ที่นรกนี้ ห้องนี้เป็นห้องของเธอ เธอสามารถสร้างประตูมิติไปมาระหว่างโลกมนุษย์กับนรกได้ทุกที่ทุกเวลาที่เธอต้องการ ที่นี่จะช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายของเธอ แต่ถ้าอยู่บนโลกมนุษย์เลือดมนุษย์เป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายเหมือนกับพวกปีศาจที่ต้องใช้วิญญาณมนุษย์นั่นแหละ จบ

    อ๋อ แล้วก็ ต่อไปนี้ฉันเป็นเจ้านายของเธอ เรียกฉันว่านายหญิงก็แล้วกันนะ” เธอพูดพลางยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี

    เอิ่ม...

    “ตอนนี้เธอพักที่นี่ไปก่อนสัก 2-3 วันนะ ฉันจะตบตาพวกคนในโลกมนุษย์ เมื่อได้เวลาฉันจะส่งเธอขึ้นไปเอง ถ้าเบื่ออยากได้อะไรก็นึกถึงสิ่งนั้นเดี๋ยวมันก็ปรากฏออกมาให้เธอเอง ถ้าเธออยากเยี่ยมชมนรกล่ะก็ออกไปได้ตามสบายเลยนะ ตอนนี้เธอเป็นยมทูตแล้วสั่งปีศาจได้ตามใจชอบ ฉันไปก่อนล่ะไว้ค่อยเจอกันใหม่นะ บาย” DETA ไม่สิตอนนี้ต้องเรียกว่า นายหญิงเยื้องกายออกจากห้องไป ทิ้งให้ฉันพยายามลำดับเหตุการณ์ความสัมพันธ์ที่ดูเข้าใจยากกว่าอะไรที่ฉันเคยเจอมาทั้งหมดอีก

    ฉันใช้เวลาอยู่ในนรกนี่เกือบ 3 วัน ที่นี่สะดวกสบายดีจริงๆ ไม่รู้สึกเหนื่อยไม่รู้สึกหิว อยากอ่านหนังสืออะไรก็แค่นึกมันก็ปรากฏขึ้นในชั้นหนังสือทันที ขนาดหนังสือโป๊ที่ฉันลองนึกดูเล่นๆ มันก็ยังมีปรากฏบนชั้นหนังสือให้ด้วย

    ฉันออกไปเดินสำรวจนอกห้อง ในนรกนี่ถูกแบ่งเป็นโซนๆ วิญญาณที่เลวน้อยอยู่ใกล้ห้องของฉัน แต่ถ้าเลวสุดๆ จะอยู่ลึกเข้าไปในความมืดที่ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา แต่ละโซนถูกกั้นด้วยแม่น้ำนรกสีแดงดุจสนิมเหล็กเดือดฟองขึ้นปุดๆ อยู่ตลอดเวลา ปีศาจตนใดพลาดตกลงไปล่ะก็  ไหม้หมดทั้งร่างและวิญญาณไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีก แต่กับฉันที่เป็นยมทูตที่มีร่างกายแข็งแรงทนทานกว่าปกติสามารถเปลี่ยนแม่น้ำมรณะให้กลายเป็นที่ว่ายน้ำชั้นเยี่ยม

    จะว่าไปฉันยังคาใจอยู่เรื่องหนึ่ง ทำไมถึงเลือกให้ฉันเป็นยมทูต แล้วเพื่อนๆ ของฉันล่ะไปอยู่ที่ไหนกัน อยู่คนเดียวแบบนี้ชักเหงาขึ้นมาแล้วสิ คิดถึงแม่จัง

    ก่อนที่จะขึ้นไปใช้ชีวิตต่อบนโลกมนุษย์ นายหญิงได้มอบอาวุธประจำตัวให้ เป็นปืนสารพัดปืนหลากหลายรูปแบบแล้วแต่จะเลือกใช้  และให้โค้ดเนมในฐานะยมทูตนามว่า S ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมต้องเป็นชื่อนี้ด้วย ชื่ออื่นมีตั้งเยอะแยะไม่ตั้ง

    เมื่อนายหญิงวาดมือขึ้นบนอากาศ พริบตานั้นโลกของฉันก็สว่างจ้าจนมองไม่เห็นอะไร

    “โชคดีนะ” ฉันได้ยินเสียงนายหญิงพูดส่งท้าย

     

    ที่นี่ที่ไหนกันนะ?

    สติของฉันกลับขึ้นมาอย่างช้าๆ ฉันขยับเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีชมพูพยายามปรับโฟกัส สิ่งที่ฉันมองเห็นในตอนนี้มีเพียงเพดานสีขาวๆ ขุ่นๆ เท่านั้น

    “พี่ฟื้นแล้ว พี่วาเนสซ่าฟื้นแล้ว” เสียงเด็กผู้หญิงที่กุมมือฉันร้องตะโกนขึ้นอย่างดีใจสุดชีวิต

    ฉันหันมองไปทางต้นเสียง น้องสาวของฉัน เด็กหญิงผมสีชมพูตรงยาวเลยไหล่มานิดหน่อย โครงหน้ารูปไข่รีมน แก้มสีแดงระเรื่อ ดวงตาสีชมพูเป็นประกาย ริมฝีปากอมชมพูยิ้มร่าด้วยความดีใจ เธอกุมมือข้างซ้ายของฉันไว้แน่น

    “ซาเนีย” ฉันเรียกชื่อน้องสาว

    “ที่นี่ที่ไหน” ฉันถามพร้อมกับมองไปรอบๆ ฉันกำลังนอนอยู่บนเตียงสีขาวในห้องแห่งหนึ่งที่ดูไม่คุ้นตา

    “โรงพยาบาลค่ะ เดี๋ยวหนูไปโทรบอกแม่ก่อนนะว่าพี่ฟื้นแล้ว” เด็กสาวตอบ

    “อืม” ฉันพยักหน้า น้องสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดโทรหาแม่

    โรงพยาบาลงั้นเหรอ ฉันอมยิ้มในใจ

    เรากลับมาแล้วสินะ

    “แม่บอกว่าจะรีบมาให้เร็วที่สุด” น้องสาวบอกหลังจากวางสายจากผู้เป็นแม่

    “เหรอ” ฉันตอบพลางพยายามพยุงตัวขึ้นนั่งแต่ไม่สำเร็จ

    “อูย” ฉันเจ็บแขนข้างซ้ายที่ถูกพันผ้าพันแผลไปทั้งแขน ระบมเหมือนกับโดนเข็มนับร้อยแทงไปทั่ว

    “พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม เจ็บมากรึเปล่า เดี๋ยวหนูไปตามหมอให้” น้องสาวทำท่าจะวิ่งออกไปจากห้อง

    “ไม่เป็นไร ไม่ต้อง พี่แค่อยากลุกขึ้นนั่งน่ะ” ฉันรีบบอก

    “งั้นเดี๋ยวหนูปรับเตียงให้นะ”

    “อืม ขอบใจ” ฉันอมยิ้มให้กับน้องสาวสุดที่รัก

    “ปึง!” เสียงประตูห้องเปิดผางพร้อมกับเสียงตะโกนเรียก

    “วาเนสซ่า วาเนสซ่า”

    “แม่!” ฉันร้องเรียกผู้หญิงที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้าห้องมาด้วยความดีใจ แม่กอดฉันไว้ทันทีที่ถึงตัว

    นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม แม่อยู่ตรงนี้ตรงหน้าฉัน ฉันได้อยู่กับแม่แล้ว อ้อมกอดแม่ช่างอบอุ่นเหลือเกิน ฉันรักความอบอุ่นนี้เป็นที่สุด เป็นสิ่งสำคัญที่ฉันไม่อยากเสียไป ฉันโชคดีจริงๆ ที่ได้กลับมา น้ำตารื้นขึ้นในดวงตา เอ่อล้นออกมาเป็นสายอาบแก้มระเรื่อ ไหล่แม่ที่โอบฉันสั่น แม่ร้องไห้อยู่นี่นา

    “แม่” ฉันเรียกเสียงสั่นเครือ

    “วาเนสซ่า ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่ต้องกลัว แม่อยู่ตรงนี้แล้ว” แม่ลูบหัวฉันที่มีผ้าพันแผลพันรอบเสียงสั่น

    “ค่ะแม่” ฉันตอบยิ้มทั้งน้ำตา

    “ซาเนีย นี่ลูกเรียกหมอรึยังเนี่ย” เมื่อน้ำตาเริ่มหยุดไหล แม่คลายอ้อมกอดแล้วหันไปถามน้อง

    “ยังค่ะ” น้องตอบพลางปาดน้ำตาแห่งความปีติ

    “งั้นเดี๋ยวแม่เรียกหมอให้เดี๋ยวนี้แหละ” แม่กดปุ่มเรียกพยาบาล

    ไม่กี่นาทีถัดมา ทั้งหมอและพยาบาลก็เข้ามาเช็คอาการของฉัน ล้างแผลหัวแตก แขนซ้ายถูกไฟลวก และรอยบาดเป็นทางยาวบนขาขวาตั้งแต่หัวเข่าถึงข้อเท้า รวมๆ ทั้งตัวโดนเย็บเกือบ 30 เข็มได้

    หลังจากที่หมอกลับไป แม่เล่าว่า 3 วันก่อนตอนที่คุณครูโทรมาบอกว่าฉันโดนไฟไหม้ แม่ตกใจมากรีบมาที่โรงพยาบาลนี้ทันที สภาพฉันสะบัดสะบอมมากจนคุณหมอต้องพาเข้าห้องไอซียู ตอนนั้นแม่เสียใจมากกลัวฉันจะจากไปเหมือนกับเพื่อนๆ

    2 วันถัดมาคุณหมอพาฉันออกจากห้องไอซียู เพราะอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ว่าฉันก็ยังไม่ฟื้นจนมาถึงวันที่ 3 ซึ่งก็คือวันนี้

    นี่ฉันสลบไป 3 วันเต็มๆ เลยเหรอเนี่ย

    แม่ยังเล่าถึงข้อสันนิษฐานสาเหตุของบาดแผลบนตัวฉันของพวกตำรวจให้ฟังด้วย ฟังแล้วฉันทั้งขำทั้งอึ้งแล้วก็ทึ่งไม่ใช่ความสามารถในการสันนิษฐานของพวกตำรวจหรอกนะแต่เป็นความสามารถในการเนียนของนายหญิงต่างหาก

    ขณะที่ฉันพยายามจะออกนอกห้อง เกิดสะดุดล้มขาขวาไปขัดกับโต๊ะ เลยถูกเศษไม้จากโต๊ะที่หักบาด แล้วโต๊ะก็ล้มมาทับ ฉันหลบหัวไปกระแทกกับมุมโต๊ะอีกตัวสลบไป ส่วนแผลที่แขนซ้ายเกิดจากไฟเริ่มลามมาไหม้ โชคดีโต๊ะที่ทับหัก เลยทำให้มีช่องว่างระหว่างโต๊ะกับตัวฉันที่นอนอยู่ในช่องนั้น ไฟจึงไหม้มาไม่ถึง ฉันจึงไม่ถูกเผาดำเป็นตอตะโกเพื่อนๆ คนอื่นๆ

    แต่ก็นะใครจะไปล่วงรู้ความจริงได้ล่ะ เจ้าแห่งนรกขึ้นมาจัดการเองเลยนี่ คงมีแต่เทพเจ้าเท่านั้นล่ะนะ

    โชคดีที่แม่ไม่ถามความจริงของเหตุการณ์ตอนนั้น ท่านได้แต่บอกว่าตอนนี้ฉันปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอีก ให้พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้จะมีตำรวจจะมาสอบปากคำ

    วันนี้คุณพ่อจอมบ้างานของฉันก็ขอเลิกงานเร็วเป็นกรณีพิเศษเพื่อไปซื้อบรรดาอาหารโปรดมาให้  ซื้อเค้กมาด้วย พ่อบอกว่าเอามาฉลองที่ฉันฟื้น ฉันดีใจยิ้มแก้มปริมีความสุขมากๆเลย แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้มยำปลาหมึกกับขนมเค้กถึงมีรสชาติเหมือนกันได้ ไม่มีความรู้สึกอร่อย ไม่มีความรู้สึกหิวหรืออยากกินมันขึ้นมา และก่อนกินกับหลังกินก็ไม่แตกต่างไม่อิ่มขึ้นเลย

    อาหารมนุษย์น่ะไม่ได้ช่วยให้เธออิ่มท้องได้อีกต่อไป

    ที่นายหญิงพูดไว้หมายถึงอย่างนี้เองหรอกเหรอ ฉันเริ่มรู้สึกเศร้าขึ้นมา ยิ่งตอนคุณพ่อถามว่าอร่อยไหม ฉันก็ต้องปั้นหน้ายิ้มตอบว่าอร่อยมากโดยที่ไม่รู้รสอะไรเลย

    เฮ้อ! เศร้าจัง

    ตกดึกฉันมองออกไปนอกหน้าต่างบรรยากาศยามค่ำคืนมืดมิดมีเพียงแสงหลอดไฟนีออนตามตึกรามบ้านช่อง พ่อแม่ ซาเนียกลับบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือแค่ฉันคนเดียว เพราะเป็นยมทูตเลยไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด ตาสว่างยิ่งกว่านกฮูกซะอีก

    แต่ว่าอยู่ดีๆ ทำไม...

    สวัสดีค่ะ คุณยมทูต S” เสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้น

    ฉันรู้สึกตัวขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ในชุดเดรสสีดำสนิทกำลังยืนอยู่ในสนามหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา ลมโชยอ่อนๆ พัดผ่านตัวฉันไป ที่นี่มีเพียงฉันกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

    ผมของเธอสีน้ำตาลช็อคโกแลตสั้นประบ่าไว้หน้าม้าพลิ้วไปมาตามแรงลม ดวงตากลมโตดำสนิทใสบริสุทธิ์ราวกับไข่มุก ใบหน้าสุกสว่างกลมมนเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ แก้ม ริมฝีปากชมพูระเรื่อ ชุดเดรสสีขาวปักลูกไม้พลิ้วไปมาดูเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ เธอน่าจะอายุราวๆ 11-12 ปีเท่าๆ กับน้องสาวของฉัน

    “สวัสดีค่ะ คุณยมทูต S ยินดีที่ได้รู้จัก หนูชื่อ Dream เป็นเทวทูตแห่งความฝัน” เธอทักทายพร้อมส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร    

    “เทวทูต?” ฉันทวนอย่างไม่เชื่อหู

    ค่ะ หนูเป็นเทวทูตมีโค้ดเนมชื่อ Dream ค่ะ

    เทวทูตคืออะไร

    เทวทูตเป็นมนุษย์ที่มีพลังของเทพติดตัวมาค่ะ อย่างหนูเป็นเทวทูตแห่งความฝันก็จะสามารถใช้เวทย์ของเทพที่เกี่ยวกับการนอนและฝันได้ค่ะ

    “โห...” ฉันทึ่ง

    “งั้นที่นี่...” ฉันถามพลางมองไปรอบๆ

    ที่นี่คือโลกแห่งความฝันที่หนูสร้างขึ้นในหัวของคุณ เธอตอบ

    สุดยอด

    แล้วเธอรู้เรื่องที่ฉันตายแล้วกลายเป็นยมทูตได้ยังไง” ฉันนึกขึ้นได้

    “DETA บอกหนูมาค่ะ ท่านให้หนูเป็นสื่อกลางในการคุยระหว่างท่านกับคุณ

      “เหรอ

     “เป็นไงบ้างคะ วันแรกบนโลกมนุษย์หลังความตาย

     “ก็ดีนะ ฝากชมท่านหญิงด้วยนะว่าตบตาทุกคนได้เนียนมากฉันเน้นคำ

    ทุกคนคิดว่าฉันยังไม่ตายกันหมด

    ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือคะ

    อืม แต่ว่านะฉันไม่สามารถรับรู้รสชาติอาหารได้อีกแล้ว ท่านหญิงบอกว่าฉันจะไม่โตไปกว่านี้อีกแล้วด้วย เอาเถอะก็ฉันตายแล้วนี่นา ได้กลับมาอยู่กับทุกคนก็ดีแค่ไหนแล้ว ถึงฉันจะเป็นเด็กตลอดไปก็เถอะ แล้วก็นะมันดูขี้โกงยังไงไม่รู้ที่ได้กลับมาบนโลกมนุษย์แค่คนเดียว ทิ้งเพื่อนที่ไปอยู่ไหนกันแล้วก็ไม่รู้

    ไม่หรอกค่ะ เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็จะคิดว่าคุณเป็นผู้ใหญ่ที่ร่างกายไม่เจริญเติบโตเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่ขี้โกงหรอกค่ะ คุณเป็นผู้ถูกเลือกนะคะ คุณผ่านการทดสอบของ DETA ได้เป็นยมทูต คุณยังต้องเจออะไรอีกเยอะในวันต่อๆ ไป คุณต้องพยายามสินะคะ พยายามในส่วนเพื่อนๆ ของคุณที่ตายไปแล้วด้วย ตอนนี้คุณคิดถึงแต่วันพรุ่งนี้ก่อนเถอะค่ะ

    วันพรุ่งนี้ทำไมเหรอ

    คุณคิดวิธีรับมือกับพวกนักข่าวที่จะมารุมคุณเพราะคิดว่าคุณรอดตายจากเหตุการณ์นั้นเพียงคนเดียวอย่างปาฏิหาริย์ไงล่ะคะ

    เอิ่ม...ฉันพึ่งคิดได้

    ไม่ต้องห่วงค่ะ DETAคิดให้คุณแล้ว คุณแค่บอกพวกเขาไปว่าคุณจำไม่ได้แค่นั้นค่ะ

    ง่ายๆ แค่นั้นเลย

    ค่ะ พวกเขาก็จะเข้าได้เองว่าคุณได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองเลยจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้

    ค่ะ จบการสนทนาในคืนนี้เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ ไว้คราวหน้าหนูจะมาใหม่ บายค่ะ”

    “เดี๋ยว!” ฉันเรียกแต่ไม่ทัน เธอจบการสนทนาเอาดื้อๆ แล้วจากไปพร้อมกับโลกความฝันนั้นด้วย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×