คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ศิลาคราเทีย (แก้ไขคำผิด)
"อัสรัน" เสียงใสๆ เรียกความสนใจจาคนข้างตัว
"หือ?"
"ฉันยังไม่ได้ถามคุณเลย ว่าเราจะไปกันยังไง?"
"ไปไหน?" ร่างสูงเอ่ย แต่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมองกลับหันไปอีกทางอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
"เอ้า! ก็ไปที่โลกของคุณไง ไม่งั้นจะไปไหนเล่า!" สาวน้อยตอบอย่างแปลกใจในคำถามที่เขาเองก็น่าจะรู้คำตอบดี
"นึกว่า..." ร่างสูงหยุดประโยคต่อไปเสียดื้อๆ หน้าที่หันไปอีกทางหันกลับมามองสบกับแววตาสีน้ำตาลปนดำเหมือนจะถามบางอย่างออกไป แต่คำพูดกลับหยุดไว้เพียงเท่านั้น ยังความสงสัยให้กับร่างเพรียวตรงหน้าจนอดรนทนไม่ได้ต้องเอ่ยถาม
"นึกว่าอะไรล่ะ ทำไมไม่พูดต่อ"
ในใจคิดไปว่า
'เขาเป็นอะไรไปนะ เหมือนมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ ปกติเขาไม่เป็นอย่างนั้น หรือไม่พอใจอะไรก็ไม่พูด ชอบทำให้เรา...'
ความคิดยังไม่จบดี ร่างสูงก็ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงจนเธอตกใจ มือหนาคว้าแขนบางฉุดให้ยืนตาม ยังไม่ทันทีที่ร่างเพรียวจะยืนเต็มตัวก็โดนลากให้เดินตามเสียแล้ว
เธอจะถามอะไรก็ไม่ได้ถาม ต้องเอาแต่รีบก้าวตาม คนบ้าผีเข้าผีออก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จะเอายังไงกันเนี๊ย! เกือบ 15 นาที ที่เขาลากเธอเดินไปอย่างไม่รู้ทิศ รู้แต่ว่าเขาพาเธอเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ชั้นแล้วชั้นเล่าจนมาหยุดอยู่หน้าประตูบานเล็กบานหนึ่ง มือหนาเอื้อมไปผลักเปิดพอให้สามารถลอดผ่านได้ ร่างสูงลอดผ่านประตูบานเล็กไปก่อน แล้วยื่นกลับมายึดร่างบางประคองให้ผ่านตามมาจนพ้น
แสงอาทิตย์ใกล้ตกดิน สาดแสงสีแดงอาบไปทั่วห้องฟ้าจนเป็นสีเลือดแลดูน่ากลัว ร่างบางรู้สึกสะท้านไม่น้อยยามสายลมพัดผ่านผิวกาย จนร่างสูงต้องไปยืนบังให้
"คุณพาฉันขึ้นมาที่นี่ทำไม?"
".........."
"แล้วทำไมต้องเดินเร็วแบบนี้ด้วย ไม่รู้จะรีบไปไหน!"
".........."
"คุณเป็นอะไรหรือเปล่า
"..........."
"นี่ทำไมไม่พูดเล่า หรือเป็นใบ้ฮะ"
"..........."
"นี่ถ้าไม่พูดอีกฉันจะลงไปข้างล่างแล้วนะ!" พูดจบร่างบางก็หมุนกลับไปที่ประตู แต่ร่างสูงก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเลย จนสาวน้อยที่ไม่ได้ตั้งใจจะลงไปจริงๆ ต้องหันมาถามด้วยเสียงอ่อยๆ เป็นเชิงง้อ
"นี่คุณเป็นอะไรหรือเปล่า อย่าเงียบแบบนี้สิ รู้ไหมคุณไม่พูดแบบนี้ ฉันรู้สึก...ไม่ดีเลย" ร่างบางเอ่ยเบาๆ กลัวจะไปสะกิดใจคนฟังขึ้นมา
"ท้องฟ้าสวยนะ สีแดงถูกทาไปทั่วฟ้าแบบนี้ ทำให้มันน่าสนใจ จนดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ" ร่างสูงเอ่ยเบาๆ พอให้สาวน้อยข้างกายได้ยิน
"ฮะ...อะไรนะ?" ร่างเบาเอ่ยอย่างงงๆ เมื่อเขาพูดไปคนละเรื่องกับเธอเลย
มือหนาชี้ให้เธอมองท้องฟ้าแทนคำตอบ แม้สาวน้อยจะยังงงๆอยู่แต่ก็ยอมมองตาม
"สวยหรือเปล่า?" เขาถาม
"ฉันว่ามันคงดูน่ากลัว มากกว่าสวยนะ สีแดงเหมือนสีเลือดเลย ถ้าเป็นปีศาสคงชอบ แต่ฉันไม่ชอบเลย" ร่างบางพูดแบบไม่คิดเลย ดูเหมือนเธอจะลืมว่าคนข้างกายก็ไม่ใช่คนธรรมดา
สิ้นคำพูดร่างสูงหันกลับมามองเธอทันที กะทันหันจนสาวน้อยตกใจ เขาโกรธเธอแน่ ทำไมพูดไม่รู้จักคิดแบบนี้นะ สาวน้อยก้มหน้าก้มตา บ่นในใจไปเรื่อย เพราะไม่กล้าเงยขึ้นสบตาใครบางคน ถ้าเกิดเขาโกรธจนอยากกัดเธอขึ้นมา มีหวังเลือดหมดตัวแน่ ทำไงดี ฮือๆ
"เพราะเราต่างกัน ต่อให้มองดูฟ้าเดียวกัน ความรู้สึกก็ยังคงต่างกันงั้นหรือ" คำพูดเรียบๆ อย่างปลงๆ ของเขาทำให้เธอกล้าพอที่จะเงยหน้าขึ้นมอง
แต่! เมื่อเธอได้สบตาสีน้ำทะเลลึกคู่นั้นกลับทำให้ใจหาย แววตาที่เคยวาววับ สงบเละอบอุ่นเสมอยามทอดสายตามาที่เธอ เวลานี้กลับหม่นแสงลง ความหมองเศร้าในสายตาคู่นั้นกระทบความรู้สึกเธอจนรู้สึกผิดเหลือเกินในสิ่งที่พูดไป
"ฉัน...ขอโทษที่พูดกับคุณแบบนั้น"
ประโยคสั้นๆ นั้น ทำให้ตาที่หมองเศร้ากลับมาเป็นปกติ ใช่...เราไม่ควรทำให้เธอรู้สึกเสียใจ และเศร้าแบบนี้ ต่อให้เศร้าแค่ไหน เราเองก็ควรจะเก็บไว้ไม่ให้เธอรับรู้ อัสรันคิดในใจ
แล้วฝืนปรับสายตาให้เป็นปกติ มองเธออย่างอบอุ่นที่สุดเท่าที่เขาจะพยายามได้
สิ่งที่ฉายออกมาจึงกลายเป็นการฝืนสบตา ซึ่งเธอพอจะสัมผัสได้
"ฟ้ามันอาจจะสวยจริงๆ ก็ได้นะคะ ถ้าฉันมองนานกว่านี้ ไม่ใช่ด่วนตัดสินใจว่าไม่สวย ทั้งที่ในใจความรู้สึกมันตรงกันข้าม
"วันหนึ่งฉันจะทำให้เธอรู้สึกว่าฟ้าสีแดงสวยจริงๆ ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ หรือเพราะความสงสาร แต่เพราะว่าเธอสัมผัสมัน...ด้วยหัวใจ"
เขาก้มหน้าลงจ้องมองเธอเหมือนบังคับให้เธอจ้องตอบ แววตาคู่นั้นเหมือนจะสื่อบางอย่างให้เธอได้รับรู้ บางอย่างซึ่งอยู่ในใจเขาคนนี้
"ฉันถามอะไรกับเธอหน่อยได้ไหม? คีย์ว่า"
"อะไรเหรอ?"
"แต่เธอต้องตอบความจริงนะ ห้ามโกหก ต่อให้คำตอบต้องทำให้ฉันเสียใจก็ตาม ได้ไหม?"
"อือ...ได้ก็ได้ มีอะไรก็ถามมาสิ"
"เธอยังอยากจะไปกับฉันอยู่หรือเปล่า?"
"..........."
"ถ้าเธอไม่อยากไปก็บอกฉันตามตรง ฉันไม่ชอบบังคับจิตใจใคร"
"เออ...ฉัน"
"อะไร?"
"ฉัน...อยากไป"
"ทำไมล่ะ ที่ที่เธอไม่รู้จักแต่กลับต้องไปอยู่ที่นั้นมันคงอันตรายไม่น้อย ยังแน่ใจว่าจะไปอยู่อีกหรือ?"
"อื้อ! ฉันแน่ใจ ถ้าถามว่าเพราะอะไร คงตอบได้ว่า เพราะฉันไม่เหลือใครแล้วที่นี่ แล้วไม่รู้จะอยู่ไปทำไม รู้ไหมอัสรัน ในคืนที่แม่จากฉันไป...วินาทีนั้นฉันอยากจะหยุดหายใจ แล้วนอนหลับฝันไปว่าฉันยังมีแม่อยู่...หลับไปตลอดกาล แต่สิ่งหนึ่งที่ยังดึงรั้งฉันไว้คือคำพูดของพ่อ ฉันมักจะยังได้ยินเสียงพ่ออยู่เสมอ ยามที่ฉันหลับตาและคิดถึงท่าน คำพูดที่พ่อจะกล่าวซ้ำไปซ้ำมาเสมอ..."
"พ่อเธอพูดว่าอะไร?"
"พ่อบอกว่า 'คีย์ว่าลูกรัก ลูกเป็นเงาแห่งแสงจันทราที่ให้แต่ความอบอุ่น แม้ลูกจะดูสูงส่งสักเพียงใด แต่เงานี้มิอาจอยู่ได้หากขาดแสง จันทราของพ่อก็ควรจะตามหาแสงที่มั่นคงต่อลูก แสงที่จะเป็นที่พักพิงแห่งเงาตลอดกาล' "
"ท่านพ่ออยากให้ฉันตามหาแสงนั้นให้พบ และฉันมั่นใจว่าฉันจะพบมันในที่ที่พ่ออยากให้ฉันไป ฉันจึงแน่ใจว่าจะไปที่นั่น"
"งั้นเราก็เตรียมตัวไปได้แล้ว ไปหาสิ่งนั้นของเธอ"
"ยังไง"
เขาก้มลงล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหาอะไรบางอย่าแต่ไม่นานเขาก็ยื่นมันให้เธอดู พร้อมกับถามเธอว่า
"เธอจำของสิ่งนี้ได้ไหม?" เขาขยับสิ่งนั้นไปมาตรงหน้าเธอ มันเป็นสร้อยข้อเท้าหินสีดำรัตติกาล ลักษณะหินถูกแกะสลักเป็นรูปดวงดาวติดตัวสร้อย นับได้ 3 ดวง
"นั่นมันสร้อยที่พ่อให้ฉันนี่ ไปอยู่กับคุณได้ไง?" สาวน้อยพูดจบก็รีบเอื้อมมือไปหมายจะเอาของคืน
ของสำคัญที่ฉันใส่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ทำไมถึงอยู่กับเขาได้ แต่เธอดูจะช้าไป เมื่อเขายกมันชูไว้เหนือหัว มันทำให้เธอคว้าพลาด
"กระต่ายน้อยที่ไหนทำตกไว้ที่สวนพฤกษศาสตร์ก็ไม่รู้ ฉันเก็บได้อุตส่าห์เอามาคืน ไม่ขอบคุณสักคำ ก็จะมาเอาไปดื้อๆ"
"ทำไมต้องขอบคุณด้วย ไม่ได้ขอให้เก็บได้นี่" ร่างบางเอ่ยอย่างแผลงฤทธิ์ ด้วยเริ่มอารมณ์ไม่ดีเพราะเขาชูของสำคัญไว้ซะสูงจนเธอเอื้อมไม่ถึง
ยัยตัวดี กลายเป็นกระต่ายขี้งอนไปซะแล้ว แวมไพร์อย่างเขาเลยเกิดอาการอยากแกล้งตามมาเป็นลำดับ
"ไม่ขอบคุณ ฉันก็ไม่ให้" เขาเน้นคำว่าไม่ให้ช้าๆ ชัดๆ อย่างจงใจให้เธอเจ็บใจเล่น
อีตาบ้า เมื่อกี้ฉันขอถอนความคิดว่านายดูเศร้าจนน่าสงสาร นายมันจอมขี้แกล้งชัดๆ ร่างบางบ่นอยู่ในใจ
"ว่าไง จะขอบคุณดีๆ หรือยัง ไม่งั้นฉันเอาไปให้มัมมี่ที่โลกฉันใส่เล่นแล้วกัน มันน่าสงสารออก ตัวมีแต่ผ้าพันแผล ถ้าได้เครื่องประดับสักชิ้นคงจะดีว่าไหม"
โธ่เอ้ย คนบ้าจะเอาสร้อยไปให้มัมมี่ใส่ไม่ยอมหรอก
"ก็ได้ๆ ขอบคุณ! ทีนี้คืนส้อยให้ฉันได้หรือยัง"
"แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง" เขาพูดแบบสะใจที่แกล้งเธอสำเร็จแต่ก็ยังไม่ยอมคืนสร้อยให้เธออยู่ดี
"เอาคืนมานะ ฉันพูดแล้วนี่จะขี้โกงหรือไง!" เธอเริ่มโวยวายจนเสียงสูงปรี๊ด
"เอาละฉันมีเหตุผลน่า ฟังเหตุผลฉันก่อนสิอย่าโวยวายอย่างนี้ หูฉันจะแตกแล้ว" แวมไพร์หนุ่มเอ่ยอย่างยอมแพ้ เขาไม่ชอบให้ใครมาทำเสียงสูงใส่ มันทำให้เขาปวดหัว
"ก็พูดมาเร็วๆ สิ"
"เธอรู้หรือเปล่าว่าสิ่งนี้คืออะไร?"
"สร้อยข้อเท้าที่ท่านพ่อให้ไว้"
"แค่นี้เหรอ?"
"ก็แค่นี้น่ะสิ ทำไมต้องซักให้มากเรื่องด้วย"
"เธอนี่มันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ นะกระต่ายน้อย" เขาพูดพร้อมกับวางมือหนาลงบนศีรษะของเธอ แล้วก็โยกไปมาอย่างเอ็นดูกับความไร้เดียงสา
มันทำให้เธอชะงักกึกไป...
ภาพของพ่อลอยเข้ามาในหัว...ภาพแล้วภาพเล่า
หยดน้ำตาใสๆ ใหลลงอาบแก้มเนียน แววตาเหม่อลอย
อาการนั้นทำให้เขาตกใจ...
มนตร์ลบความจำทำงาน...
เขาเอาปลายนิ้วชี้จิ้มไปที่แก้มเนียนจนบุ๋ม ปรากฎลำแสงสีดำใหลผ่านปลายนิ้วเข้าสู่ผิวแก้ม
"เอ๊ะ! นี่ฉันเป็นอะไรไป" สาวน้อยมองปลายนิ้วที่ยังคงแตะค้างอยู่ที่แก้มตัวเอง ดวงตากลับมามีแววตาเหมือนที่เคยเป็นไม่เหม่อลอยเหมือนเมื่อครู่
"มนตร์ลบความจำน่ะ พ่อเธอเสกมันใส่เธอ เมื่อกี้มันทำงาน ฉันก็เลยดึงเธอกลับมา"
"ทำไมท่านพ่อถึงทำแบบนั้น"
"ท่านคงมีเหตุผลซึ่งอาจจะเกี่ยวกับความปลอดภัยของเธอ"
"อืม...ฉันเขาใจ"
"แต่ถ้าเธอทำให้พันธสัญญาเริ่มเดิน มนตร์ลบความจำก็จะไม่มีผลอีก เธอจะค่อยๆ จำอะไรๆ ได้เอง"
"จริงเหรอ?"
"จริงสิ ฉันจะหลอกเธอไปทำไม"
เขาเอานิ้วชี้จิ้มแก้มเธอบุ๋มอีกครั้ง
"อยู่ดีๆ ทำไมเอานิ้วมาจิ้มแก้มฉันเนี๊ย"
"ก็แก้มเธอมันพองเหมือนกระต่ายเลย เห็นแล้วน่ารักดีเลยอดใจไม่ไหวเอานิ้วไปจิ้มดู สมแล้วที่ฉันเรียกว่า 'กระต่ายน้อย' "
ถึงเธอจะหมั่นไส้ในเหตุผลที่เขาอ้าง แต่เธอไม่ปฏิเสธสัมผัสนั้น เพราะมันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
"เอาล่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า หินสีดำเนี่ยมันคือ 'ศิลาคราเทีย' มันเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษของเธอ ซึ่งตกทอดมาถึงพ่อเธอจนถึงเธอไง"
"แล้วบรรพบุรุษฉันเป็นใครล่ะ แล้วไ.อ้นี่มันไว้ทำอะไร?"
"บรรพบุรุษเธอเป็นผู้วิเศษควบคุมมนตราแห่งธาตุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นมนตร์ที่ใช้ควบคุมโลกให้เป็นอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งพ่อเธอทำหน้าที่นี้อยู่ ส่วนที่ว่ามีไว้ทำอะไรนั้นตำนานเล่าว่า ศิลาคราเทีย ถูกสร้างจากโลหิตของสุริยะเทพเพื่อมอบแก่เทพีจันทราไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความรัก ก่อนที่เธอจะมาเกิดยังโลก"
"ดูสำคัญจังเลยนะ"
"ใช่...สำคัญมาก เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นสมบัติตกทอดมาของบรรพบุรุษเธอ แต่กลับยังคงไม่มีผู้หญิงคนใดใส่ได้ เธอเป็นคนแรกที่ใส่ได้รู้หรือเปล่า"
"ฉันไม่เห็นว่ามันจะใส่ยากใส่เย็นอะไรเลย ทำไมถึงบอกว่าใส่ไม่ได้"
"คงเพราะทุกคนที่ใส่มันแล้ว ร่างกายจะถูกเปลวอัคคีแผดเผาจนตายละมั้ง"
"อะ...อะไรนะ!"
"แต่เธอกลับใส่ได้โดยไม่เป็นอะไรเลย เช่นนั้นก็แสดงว่าเธอคือคนที่ตำนานกล่าวถึง"
"หมายความว่าไง?"
"ตำนานเล่าว่า ตอนที่เทพีจันทรามาจุติในโลกมนุษย์ พระนางทรงพระครรภ์อยู่ เมื่อเสด็จถึงโลกก็ได้ประสูติพระธิดา ทรงใส่ศิลาคราเทีย ให้พระธิดาก่อนสิ้นพระชนม์"
ความคิดเห็น