ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    shadow-moonlight พันธะสัญญารักอาณาจักรแวมไพร์

    ลำดับตอนที่ #10 : ดวงตา....เลือด....ปีศาจ (แก้ไขคำผิด)

    • อัปเดตล่าสุด 21 ส.ค. 50


                "อย่าบอกนะว่าคุณคิดว่าฉันเป็น..."

                "ใช่...เธอคือธิดาของเทพีจันทราที่จุติมาเกิดใหม่"

                "อย่าล้อเล่นสิ  ถึงท่านพ่อจะเป็นผู้วิเศษก็ใช่ว่าฉันที่เป็นลูกจะเป็นผู้หญิงในตำนานนี่"

                "ตอนคุณเกิดน่ะ  ท่านพ่อของคุณพบว่าคุณมีบางสิ่งที่จะพาเรากลับไปยังโลกของฉันได้  เมื่อเธอใส่มันอีกครั้งวงล้อแห่งพันธะสัญญาจะเริ่มหมุน  ความทรงจำของเธอจะค่อยๆ กลับมา  และเมื่อเธอไปถึงโลกนั้น  เธอจะคืนร่างเดิม  ร่างของเธอจริงๆ ที่ฉันเองก็ยังไม่เคยเห็น"

               "คืนร่างหรือ?"

               "ใช่  เมื่อเธอถึงที่โน่นเธอจะรู้เอง"  ร่างสูงเอ่ยพร้อมกับส่งสร้อยศิลาคราเทียรคืนให้เจ้าของ

               "ใส่ซะ  แล้วเราจะไปกัน"  เขาเอ่ย

                ร่างบางก้มลงใส่สร้อยศิลาคราเทียที่ข้อเท้าซ้าย..........  

               ปรากฎรัศมีสีแดงอาบไปทั่วร่างกาย  แสงนั้นส่งผ่านปลายนิ้วเธอไปจนถึงเขาที่จับมือเธออยู่ก่อนแล้ว  ความอบอุ่น

    แผ่ไปทั่วร่างกาย  พร้อมกับแสงสีแดงที่สว่างจ้าขึ้น  ก่อนจะอ่อนแสงลงหายไปพร้อมกับร่างของสองคนที่ไร้ตัวตนราวกับล่องหนไปในอากาศ
                    "ล่าก่อนโลกมนุษย์"

                                  *********************************

                "คีย์ว่า...ลูกพ่อ"

                "ท่านพ่อ...ท่านอยู่ไหน"  คีย์ว่าร้องเรียกหาผู้เป็นพ่อที่เธอสัมผัสได้เพียงเสียงเรียกหา  

                ร่างบางลอยคว้าง  สรรพสิ่งรอบตัวตกอยู่ใต้ไอหมอก  จนมองไม่เห็นแม้เพียงมือของตัวเอง  

               เธอทอดสายตาไปทางใดก็พบเพียงควันจางๆ ที่ขยายตัวไปทั่วราวกับจะแกล้งให้เธอตกอยู่ในความมืดตลอดกาล

               ร่างบางทรุดลงนั่งอย่างอ่อนแรง  เธออยู่ที่ไหนไม่อาจรู้ได้แม้เธอจะวิ่งไปทาใดก็พบแต่เพียงม่านหมอกหนาทึบจนความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่  

              ฉันไม่เหลือใครแล้วจริงๆ.......

              ทำไมชีวิตของฉันถึงเป็นแบบนี้.......

               ร่างบางก้มหน้ามองพื้น  ไหล่ลู่ห่ออย่างหมดแรง

               "ทำไมมานั่งหมดแรงอยู่อย่างนี้ล่ะลูกพ่อ"  กระแสเสียงอ่อนโยนปลอบประโลมเธออยู่เบื้องหน้า  

               เมื่อเงยหน้าขึ้นมองพบเพียงเงารางๆ ของใครคนหนึ่ง  แม้เธอไม่เห็นหน้าแต่ความรู้สึกเช่นนี้มันทำให้คิดถึงพ่อ

               "ท่านพ่อหรือคะ?"

               "ใช่...พ่อเอง  ไหนเด็กดียังไม่ตอบพ่อเลยว่าทำไมมานั่งหมดแรงอยู่อย่างนี้"  ผู้เป็นพ่อถามย้ำ

               "คีย์ว่าเหนื่อยค่ะท่าพ่อ  ลูกไม่เหลือใครอีกแล้ว"

               "ลูกแน่ใจหรือว่าไม่เหลือใครแล้วจริงๆ? แล้วเขาล่ะ?  ลูกยังมีเขาอยู่มิใช่หรือ?"

                "แต่เขาเป็นแวมไพร์นะคะท่านพ่อ  เราต่างกัน"

                "ต่างหรือไม่  มันอยู่ที่ใจของลูกต่างหาก  ถ้าคิดว่าต่าง...มันก็ต่าง  แต่ถ้าคิดว่าเหมือนต่อให้ต่างแค่ไหนก็เหมือนกันเพราะใจลูกกล้าพอที่จะยอมรับ"

                "ยอมรับ?"

                "ใช่  ทุกคนต้องการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น  เขาก็เช่นกัน"

                "พันธะสัญญาเริ่มต้นขึ้นแล้วนะลูกรัก  เพราะความกลัวที่จะตัดสินใจของลูกเอง  เมื่อลูกตื่นขึ้นมาลูกของพ่อจะเป็นคนใหม่...เป็นตัวตนของลูกที่แท้จริง"

                ร่างของผู้เป็นพ่อเริ่มจางหายไปตามหมอกควันที่จางลง  แม้เธอจะพยายามไขวคว้ามือท่าไว้แต่กลับสัมผัสได้เพียงไอหมอกที่ไร้ตัวตน  แล้วเธอจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร  ในเมื่อมองไม่เห็นทางอยู่อย่างนี้  

                ร่างบางยังคงนั่งนิ่งด้วยไม่รู้จะทำยังไงต่อไป......

                จู่ๆ แก้มซ้ายก็รู้สึกเย็นวาบจนเธอต้องเงยหน้ามอง  เขานั่งมองเธออยู่ตรงหน้า  แล้วเอานิ้วชี้มาจิ้มแก้มเธอเล่น  ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้เธออย่างมีความสุข

                "ไปได้แล้ว  กระต่ายน้อย"  ร่างสูงยื่นมือหนามาฉุดเธอให้ยืนขึ้นตามแรงดึง

                "ไปไหนคะ  อัสรัน"

                "กลับบ้านเราไงล่ะ"  คำพูดสั้นๆ ของเขาทำให้เธออบอุ่นเหลือเกิน  'บ้านเรา' หรือ?  

                สาวน้อยจินตนาการถึงบ้านของเราพร้อมกับปล่อยร่างกายให้เดินตาเขาไป
                 
                                            ****************************

               เสียงน้ำหยดลงกระทบหินเป็นจังหวะ...ชั้นแล้วชั้นเล่า  ก่อนจะไหลลัดลเาะไปตามซอกหินจนรวมตัวกันเป็นลำธารเล็กๆ ด้วยมีน้ำไหลผ่านถ้ำนี้ตลอดปีจึงทำให้ถ้ำมีสภาพอากาศที่เย็นชื้น  แสงสว่างส่องเล็ดลอดหลังคาถ้ำได้เพียงเบาบางทำให้ถ้ำแลดูมืดครึ้มจนน่ากลัว 

              ร่างบางของหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนโขดหินเริ่มขยับเพราะเจ้าตัวเริ่มได้สติแล้ว  เปลือกตาบางกระตุกเล็กน้อย  ก่อนจะลืมขื้นเต็มที่

               แสงสลัวๆ จนเลือนลางทำให้เธอต้องกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืด  ภาพแรกที่ปรากฎคือ  ผนังถ้ำมืดๆ ที่มีน้ำหยดลงตามซอกหิน

              "นี่เราอยู่ไหนกันนะ?"  ริมผีปากที่แห้งผากเอ่ยเบาราวกับเสียงกระซิบ  

              ร่างบางพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง

              ปวดหัว!...เป็นความคิดแรกที่แวบเข้ามา  มือเรียวเอื้อมมากุมศีรษะอย่างอัตโนมัติ  

              ที่นี่ที่ไหนนะ?  เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?

               ร่างบางที่เพิ่งจะลุกขึ้นนั่งเริ่มสอดส่ายสายตาสำรวจไปทั่ว  เธออยู่ในถ้ำมืดๆ ชื้นแฉะเพราะมีความชื้นสูง

               มือเรียวเริ่มคว้ายึดหินที่โผล่ออกมาจากผนังถ้ำเพื่อช่วยพยุงตัว  เธอเดินสำรวจทั่วถ้ำจนสุดทางก็พบทางออก  เธอค่อยๆ เดินไปตามทางออกแคบๆ ที่มีเพียงแสงสลัวๆ นำทาง  เป็นเวลากว่าสิบห้านาที  เธอจึงพบปากทางออกที่มีหินก้อนใหญ่บังอยู่  ดีที่เธอไม่ใช่คนอ้วน  เธอจึงพยายามแทรกตัวออกไปได้พอดิบพอดี  แต่สิ่งที่เธอเผชิญอยู่เบื้องหน้าทำให้เธอต้องตะลึง

                ต้นไม้สูงหนาทึบโอบล้อมถ้ำที่เธอเพิ่งออกมา  ลำต้นสูงใหญ่มีขนาดหลายคนโอบ  แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึงคงเป็นใบไม้ของต้นไม่เหล่านี้ที่ควรจะเป็นสีเขียวตามธรรมชาติ  กลับกลายเป็นสีดำ  ร่วงหล่นสู่พื้นยามต้องลมแรงๆ  ทั้วทั้งบริเวณจึงถูกปกคลุมไปด้วยสีดำสร้างความน่าสยดสยองกับเธออยู่ไม่น้อย  

                เธอมาถึงแล้วหรือ?  นี่น่ะหรือที่พ่อเคยอยู่?  ทำไมดูน่ากลัวจัง?

                เอ๊ะ! แล้วเขาล่ะ  หายไปไหนนะ  ทำไมถึงทิ้งเธอไว้ที่ถ้ำมืดๆ นั่นคนเดียว

                ร่างระหงสาวเท้าเดินเพื่อตามหาแวมไพร์หนุ่ม  สาวน้อยเดินลัดเลาะไปตามราวป่า  ทุกสรรพสิ่งแสนจะเงียบสงัดจนเธอได้ยินเสียงฝีเท้าของตนเอง  เท้าเล็กๆ เหยียบย้ำลงบนเศษใบไม้สีดำส่งเสียงสวบๆ ดังก้องป่า  สายลมเย็นๆ พัดไปทั่วป่ายิ่งทำให้ใบไม้สีดำรัตติกาลร่วงหล่นมากขึ้น  ทำให้บรรยากาศวังเวงจนเธอสัมผัสได้

                 ร่างระหงทรุดกายลงนั่งบนรากไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่เมื่อเธอเดินมาได้พักใหญ่แล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบเขา  เธอนั่งห่อตัวกอดเข่าเพื่อป้องกันตัวเองจากลมหนาวสายตายังคงจับจ้องไปที่สร้อยข้อเท้าสีรัตติกาล  เธอเองเพิ่งสังเกตุได้เมื่อไม่นานมานี้ว่า  ยามเธอย่างเท้าก้าวเดินหินศิลาคราเทียจะกระทบกันจนเกิดเสียงกรุ้งกริ๊งเป็นจังหวะๆ คล้ายเสียงดนตรี

               ทำไมก่อนหน้านี้เธอไม่สังเกตุนะ?   

                สร้อยเส้นนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเธอเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงเธอและท่านพ่อเอาไว้ด้วยกัน....ของขวัญชิ้นแรกและอาจเป็นชิ้นสุดท้ายที่เธอจะได้รับจากท่าน

                หนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเธอไม่อาจรู้ได้แต่สาวน้อยยังคงเชื่อเสมอว่า  ท่านพ่อจะไม่มีวันทิ้งเธอแน่นอน

                ในป่าแสนน่ากลัวแบบนี้เขาไปไหนนะ? หรือว่าเขาทิ้งเธอไปเสียแล้ว...!?

                หัวสมองน้อยๆ ยังคงครุ่นคิด

                หรือว่าเขาหาเราไม่เจอนะ?  บางทีเราควรจะเดินกลับไปที่นั่น  เขาอาจจะรอเราอยู่ที่นั่นก็ได้  

                 ไวเท่าความคิดร่างระหงยืดกายขึ้น  ก้าวเท้าเดินมุ่งสู่จุดหมายที่ตั้งใจ  ทว่าเดินมาได้เพียงไม่นานสาวน้อยก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ  เสียงใบไม้ดังอยู่เบื้องหลังไปเผชิญหน้ากลับผู้ที่ตามมา  

                 หัวใจน้อยๆ แอบหวังว่าจะเป็นเขา....เจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นกับดวงตาสีน้ำทะเลลึกผู้นั้น  แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อพบเพียงผู้หญิงคนหนึ่งยืนบังกายใต้ร่มเงาไม้  ความร่มจนเกือบมืดทำให้ร่างระหงไม่อาจเห็นถึงใบหน้าของหญิงผู้นั้นได้มีเพียงผ้าสีเขียวพันกายแบบอิสตรีที่โผล่พ้นเงามืดมา 

                 ร่างระหงเดินเข้าไปใกล้หวังเพียงได้ซักถามว่าเธอคนนั้นเป็นใคร  แล้วทำไมจึงมาอยู่กลางป่าที่น่ากลัวแห่งนี้เพียงลำพัง  ยิ่งใกล้ขึ้นเธอจึงสามารถมองเห็นร่างนั้นได้ชัดขึ้น

                                      **************************

                 เส้นผมยาวจรดข้อเท้ามีสีเขียวเข้มคล้ายสาหร่าย  ใบหน้าแหลมเรียวจนเกินมนุษย์  ดวงตาลึกโหลจนคล้ายกับบุ๋มลงไปในใบหน้า  ริมฝีปากสีแดงสดราวกับสีเลือดแสยะยิ้ม  ร่างกายเป็นเมือกสีเขียวปกคลุมตั้งแต่ใบหน้าจนถึงปลายเท้ายิ่งทำให้ร่างนี้ดูน่าขยะแขยงมากขึ้น

                ปีศาจ! ร่างระหงเอ่ยอย่างแผ่วเบาด้วยความตกใจ  เธอค่อยๆ ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนการหนีจะไม่เป็นผลในเมื่อปีศาจสีเขียวนั่นยังคงตามมา

                "อย่าเข้ามานะ  พวกปีศาจ"  สาวน้อยกัดฟันพูด

                "ฮ่ะๆ!  ใช่  ข้าคือปีศาจ  แล้วเจ้าก็เป็นปีศาจเหมือนข้ามิใช่หรือ!"  เสียงแหลมกรีดเสียงถามแต่ยังคงย่างสามขุมมาที่ร่างระหง

                "ฉันไม่ใช่ปีศาจ  แกนั่นแหละปีศาจ  ออกไปนะ  อย่าเข้ามาใกล้ฉัน"  ร่างบางเอ่ย  

                แผ่นหลังของเธอปะทะชนกับต้นไม้เข้า

                เราถอยดีกว่า....ร่างบางคิด

                แต่จังหวะนั้นเองร่างสีเขียวก็เคลือนกายเข้ามาใกล้จนใบหน้าแทบจะชิดกัน  ดวงตาลึกโหลนั้นมองสำรวจใบหน้าของเธอก่อนจะแสยะยิ้มมากกว่าเดิม

                 "เจ้านี่มันโง่จนไม่รู้เชียวหรือ  ตาที่เจ้าใช้มองอย่างหวาดกลัวอยู่นี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับดวงตาของปีศาจ  ฮ่ะ!ๆ"

                 "ดูสารรูปตัวเองซะ  แม่เด็กน้อยแล้วบอกข้าสิสิ่งที่เจ้าเห็นในน้ำนั่น  ไม่ใชปีศาจ"  ร่างสีเขียวพูดพร้อมกับผลักร่างระหงจนล้มไปบนพื้นดิน  

                 เบื้องหน้าคือน้ำใสสะอาดมากจนมองเห็นว่าภาพใต้น้ำนั้นคืออะไร  แม้จะตกใจแต่สาวน้อยก็มองลงไปในน้ำอย่างบังเอิญ  น้ำใสราวแผ่นกระจกสะท้อนภาพใบไม้สีเขียวเบื้องบน  แต่สิ่งที่อยู่ใต้ต้นไม้นั้นกับเป็นร่างของหญิงสาวนางหนึ่ง  โครงร่างเพียวบางดูอรชรอ้อนแอ้น  ผิวขาวราวกับสีของหิมะ  มีแพรผมยาวจรดเอวเป็นสีทองเงางามประดุจเส้นไหม  ดวงหน้าเรียวคมรับกับจมูกโด่งได้อย่าลงตัว  ขนตางอนงามหลุบลงทาบผิวแก้มขาว  ทำให้เธอดูราวกับภาพวาดในจินตนาการ  หากจะไม่มีสิ่งนั้น  ดวงตาเรียวคมที่มีนัยตาเป็นสีแดงสดไม่ต่างอะไรกับสีเลือด  

                หัวใจของเธอกระตุกวูบ! ด้วยความรู้สึกหลายอย่างประเดประดังเข้ามา

                ดวงตาปีศาจสีโลหิตแดงฉาน!!!

                เราเป็นปีศาจที่น่ากลัว  น่ารังเกลียดไม่ต่างจากปีศาจตรงหน้า  ปีศาจที่กินเลือดและร่างกายสิ่งมีชีวิตเป็นอาหาร

                มือเรียวที่สองข้ายกขึ้นปิดบังดวงตาอันน่ากลัวจากสายตาของปีศาจตรงหน้า  ไม่มีน้ำตาแห่งความเสียใจใดๆ รินไหลมีเพียงความสลดหดหู่ในรูปลักษณ์ปานปีศาจของตนเอง

                "ฮ่ะๆ  ทำไมไม่เถียงข้าเล่าว่าเจ้าไม่ใช่ปีศาจ  หรือว่าเถียงไม่ออกเพราะว่ามันเป็นความจริง  ฮ่ะๆ!!"  ร่างสีเขียวกรีดเสียงหัวเราะแสบแก้วหูดังไปทั่วป่า

               คำพูดเหล่านั้นราวกับมีดกรีดใจร่างบางซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เธอพยุงตัวขึ้นแล้ววิ่งกรีดร้องไปในทางตรงกันข้ามกับที่อยู่ของถ้ำ  

               ในหัวสมองคิดเพียงว่า  เธอเป็นปีศาจที่ชั่วร้าย  ตอกย้ำเตือนใจตนเองราวกับลิ่มที่ตอกย้ำหัวใจให้เจ็บปวด

               แม่คะ  ลูกเป็นปีศาจ  ลูกของแม่เป็นปีศาจ......

               ร่างบางยังคงวิ่งไม่หยุดจนชนกับบางสิ่งจนเกือบล้มเพราะแรงปะทะ

               อัสรันรีบคว้าร่างบางอย่างรวดเร็วด้วยกลัวว่า  สาวน้อยจะบาดเจ็บ 
     
               ใบหน้างามเงยขึ้นมองแวมไพร์หนุ่มอย่างตกใจ  

               หัวใจของแวมไพร์หนุ่มดูจะสั่นรัวเมื่อได้พบใบหน้าที่แท้จริงของสาวน้อย  ลมหายใจขาดห้วง  ดวงตาสีน้ำตาลทะเลลึกจับจ้องเพียงใบหน้าของคนในอ้อมแขน

               "อัสรัน  ฉันเป็นปีศาจ!"  ร่างระหงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา  เรียกสติให้ชายหนุ่มที่ตะลึงอยู่นานกลับมา

               "ไม่ต้องตกใจนะ..."  ชายหนุ่มกอดร่างบางไว้ในอ้อมแขน  หวังปลอบโยนคนที่เสียขวัญ  "...เธอไม่ได้ดูน่ากลัวเลย  เธอสวยมากต่างหาก"  ร่างสูงเอ่ยเบาๆ ให้คนในอ้อมกอดได้ยิน

                "สวยแต่มีดวงตาปีศาจนี่น่ะหรือ"  ร่างบางเอ่ยอย่างประชด

                "ปีศาจที่เจ้าวิ่งหนีมามีชื่อว่า 'เซล่า'  เป็นภูตผีที่คอยกินดวงจิตของผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอเป็นอาหาร  มันจะหลอกล่อทุกวิถีทางให้เหยื่อสิ้นหวังในชีวิต  จากนั้นมันก็จะดูดกลืนดวงจิตที่อ่อนแอเป็นอาหาร"

                "ฉันเองคงไม่ต่างกันใช่ไหมคะ?"  ร่างระหงเอ่ยเสียงสั่น

                "เธอไม่ใช่ปีศาจคีย์ว่า"  ร่างสูงปลอบ

                "แต่ทำไมฉันถึงมีดวงตาสีเลือดแบบนี้ล่ะ?  ปีศาจเท่านั้นที่จะมีดวงตาแบบนี้"  ร่างระหงเอ่ยพร้อมกับขยับออกจากอ้อมแขนเพื่อมองคนตรงหน้าให้ชัดขึ้นเพื่อรอรับคำตอบด้วยใจระทึก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×