ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ดวงตา....เลือด....ปีศาจ (แก้ไขคำผิด)
"อย่าบอกนะว่าคุณคิดว่าฉันเป็น..."
"ใช่...เธอคือธิดาของเทพีจันทราที่จุติมาเกิดใหม่"
"อย่าล้อเล่นสิ ถึงท่านพ่อจะเป็นผู้วิเศษก็ใช่ว่าฉันที่เป็นลูกจะเป็นผู้หญิงในตำนานนี่"
"ตอนคุณเกิดน่ะ ท่านพ่อของคุณพบว่าคุณมีบางสิ่งที่จะพาเรากลับไปยังโลกของฉันได้ เมื่อเธอใส่มันอีกครั้งวงล้อแห่งพันธะสัญญาจะเริ่มหมุน ความทรงจำของเธอจะค่อยๆ กลับมา และเมื่อเธอไปถึงโลกนั้น เธอจะคืนร่างเดิม ร่างของเธอจริงๆ ที่ฉันเองก็ยังไม่เคยเห็น"
"คืนร่างหรือ?"
"ใช่ เมื่อเธอถึงที่โน่นเธอจะรู้เอง" ร่างสูงเอ่ยพร้อมกับส่งสร้อยศิลาคราเทียรคืนให้เจ้าของ
"ใส่ซะ แล้วเราจะไปกัน" เขาเอ่ย
ร่างบางก้มลงใส่สร้อยศิลาคราเทียที่ข้อเท้าซ้าย..........
ปรากฎรัศมีสีแดงอาบไปทั่วร่างกาย แสงนั้นส่งผ่านปลายนิ้วเธอไปจนถึงเขาที่จับมือเธออยู่ก่อนแล้ว ความอบอุ่น
แผ่ไปทั่วร่างกาย พร้อมกับแสงสีแดงที่สว่างจ้าขึ้น ก่อนจะอ่อนแสงลงหายไปพร้อมกับร่างของสองคนที่ไร้ตัวตนราวกับล่องหนไปในอากาศ
"ล่าก่อนโลกมนุษย์"
*********************************
"คีย์ว่า...ลูกพ่อ"
"ท่านพ่อ...ท่านอยู่ไหน" คีย์ว่าร้องเรียกหาผู้เป็นพ่อที่เธอสัมผัสได้เพียงเสียงเรียกหา
ร่างบางลอยคว้าง สรรพสิ่งรอบตัวตกอยู่ใต้ไอหมอก จนมองไม่เห็นแม้เพียงมือของตัวเอง
เธอทอดสายตาไปทางใดก็พบเพียงควันจางๆ ที่ขยายตัวไปทั่วราวกับจะแกล้งให้เธอตกอยู่ในความมืดตลอดกาล
ร่างบางทรุดลงนั่งอย่างอ่อนแรง เธออยู่ที่ไหนไม่อาจรู้ได้แม้เธอจะวิ่งไปทาใดก็พบแต่เพียงม่านหมอกหนาทึบจนความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่
ฉันไม่เหลือใครแล้วจริงๆ.......
ทำไมชีวิตของฉันถึงเป็นแบบนี้.......
ร่างบางก้มหน้ามองพื้น ไหล่ลู่ห่ออย่างหมดแรง
"ทำไมมานั่งหมดแรงอยู่อย่างนี้ล่ะลูกพ่อ" กระแสเสียงอ่อนโยนปลอบประโลมเธออยู่เบื้องหน้า
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองพบเพียงเงารางๆ ของใครคนหนึ่ง แม้เธอไม่เห็นหน้าแต่ความรู้สึกเช่นนี้มันทำให้คิดถึงพ่อ
"ท่านพ่อหรือคะ?"
"ใช่...พ่อเอง ไหนเด็กดียังไม่ตอบพ่อเลยว่าทำไมมานั่งหมดแรงอยู่อย่างนี้" ผู้เป็นพ่อถามย้ำ
"คีย์ว่าเหนื่อยค่ะท่าพ่อ ลูกไม่เหลือใครอีกแล้ว"
"ลูกแน่ใจหรือว่าไม่เหลือใครแล้วจริงๆ? แล้วเขาล่ะ? ลูกยังมีเขาอยู่มิใช่หรือ?"
"แต่เขาเป็นแวมไพร์นะคะท่านพ่อ เราต่างกัน"
"ต่างหรือไม่ มันอยู่ที่ใจของลูกต่างหาก ถ้าคิดว่าต่าง...มันก็ต่าง แต่ถ้าคิดว่าเหมือนต่อให้ต่างแค่ไหนก็เหมือนกันเพราะใจลูกกล้าพอที่จะยอมรับ"
"ยอมรับ?"
"ใช่ ทุกคนต้องการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น เขาก็เช่นกัน"
"พันธะสัญญาเริ่มต้นขึ้นแล้วนะลูกรัก เพราะความกลัวที่จะตัดสินใจของลูกเอง เมื่อลูกตื่นขึ้นมาลูกของพ่อจะเป็นคนใหม่...เป็นตัวตนของลูกที่แท้จริง"
ร่างของผู้เป็นพ่อเริ่มจางหายไปตามหมอกควันที่จางลง แม้เธอจะพยายามไขวคว้ามือท่าไว้แต่กลับสัมผัสได้เพียงไอหมอกที่ไร้ตัวตน แล้วเธอจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร ในเมื่อมองไม่เห็นทางอยู่อย่างนี้
ร่างบางยังคงนั่งนิ่งด้วยไม่รู้จะทำยังไงต่อไป......
จู่ๆ แก้มซ้ายก็รู้สึกเย็นวาบจนเธอต้องเงยหน้ามอง เขานั่งมองเธออยู่ตรงหน้า แล้วเอานิ้วชี้มาจิ้มแก้มเธอเล่น ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้เธออย่างมีความสุข
"ไปได้แล้ว กระต่ายน้อย" ร่างสูงยื่นมือหนามาฉุดเธอให้ยืนขึ้นตามแรงดึง
"ไปไหนคะ อัสรัน"
"กลับบ้านเราไงล่ะ" คำพูดสั้นๆ ของเขาทำให้เธออบอุ่นเหลือเกิน 'บ้านเรา' หรือ?
สาวน้อยจินตนาการถึงบ้านของเราพร้อมกับปล่อยร่างกายให้เดินตาเขาไป
****************************
เสียงน้ำหยดลงกระทบหินเป็นจังหวะ...ชั้นแล้วชั้นเล่า ก่อนจะไหลลัดลเาะไปตามซอกหินจนรวมตัวกันเป็นลำธารเล็กๆ ด้วยมีน้ำไหลผ่านถ้ำนี้ตลอดปีจึงทำให้ถ้ำมีสภาพอากาศที่เย็นชื้น แสงสว่างส่องเล็ดลอดหลังคาถ้ำได้เพียงเบาบางทำให้ถ้ำแลดูมืดครึ้มจนน่ากลัว
ร่างบางของหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนโขดหินเริ่มขยับเพราะเจ้าตัวเริ่มได้สติแล้ว เปลือกตาบางกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะลืมขื้นเต็มที่
แสงสลัวๆ จนเลือนลางทำให้เธอต้องกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืด ภาพแรกที่ปรากฎคือ ผนังถ้ำมืดๆ ที่มีน้ำหยดลงตามซอกหิน
"นี่เราอยู่ไหนกันนะ?" ริมผีปากที่แห้งผากเอ่ยเบาราวกับเสียงกระซิบ
ร่างบางพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง
ปวดหัว!...เป็นความคิดแรกที่แวบเข้ามา มือเรียวเอื้อมมากุมศีรษะอย่างอัตโนมัติ
ที่นี่ที่ไหนนะ? เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?
ร่างบางที่เพิ่งจะลุกขึ้นนั่งเริ่มสอดส่ายสายตาสำรวจไปทั่ว เธออยู่ในถ้ำมืดๆ ชื้นแฉะเพราะมีความชื้นสูง
มือเรียวเริ่มคว้ายึดหินที่โผล่ออกมาจากผนังถ้ำเพื่อช่วยพยุงตัว เธอเดินสำรวจทั่วถ้ำจนสุดทางก็พบทางออก เธอค่อยๆ เดินไปตามทางออกแคบๆ ที่มีเพียงแสงสลัวๆ นำทาง เป็นเวลากว่าสิบห้านาที เธอจึงพบปากทางออกที่มีหินก้อนใหญ่บังอยู่ ดีที่เธอไม่ใช่คนอ้วน เธอจึงพยายามแทรกตัวออกไปได้พอดิบพอดี แต่สิ่งที่เธอเผชิญอยู่เบื้องหน้าทำให้เธอต้องตะลึง
ต้นไม้สูงหนาทึบโอบล้อมถ้ำที่เธอเพิ่งออกมา ลำต้นสูงใหญ่มีขนาดหลายคนโอบ แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึงคงเป็นใบไม้ของต้นไม่เหล่านี้ที่ควรจะเป็นสีเขียวตามธรรมชาติ กลับกลายเป็นสีดำ ร่วงหล่นสู่พื้นยามต้องลมแรงๆ ทั้วทั้งบริเวณจึงถูกปกคลุมไปด้วยสีดำสร้างความน่าสยดสยองกับเธออยู่ไม่น้อย
เธอมาถึงแล้วหรือ? นี่น่ะหรือที่พ่อเคยอยู่? ทำไมดูน่ากลัวจัง?
เอ๊ะ! แล้วเขาล่ะ หายไปไหนนะ ทำไมถึงทิ้งเธอไว้ที่ถ้ำมืดๆ นั่นคนเดียว
ร่างระหงสาวเท้าเดินเพื่อตามหาแวมไพร์หนุ่ม สาวน้อยเดินลัดเลาะไปตามราวป่า ทุกสรรพสิ่งแสนจะเงียบสงัดจนเธอได้ยินเสียงฝีเท้าของตนเอง เท้าเล็กๆ เหยียบย้ำลงบนเศษใบไม้สีดำส่งเสียงสวบๆ ดังก้องป่า สายลมเย็นๆ พัดไปทั่วป่ายิ่งทำให้ใบไม้สีดำรัตติกาลร่วงหล่นมากขึ้น ทำให้บรรยากาศวังเวงจนเธอสัมผัสได้
ร่างระหงทรุดกายลงนั่งบนรากไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่เมื่อเธอเดินมาได้พักใหญ่แล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบเขา เธอนั่งห่อตัวกอดเข่าเพื่อป้องกันตัวเองจากลมหนาวสายตายังคงจับจ้องไปที่สร้อยข้อเท้าสีรัตติกาล เธอเองเพิ่งสังเกตุได้เมื่อไม่นานมานี้ว่า ยามเธอย่างเท้าก้าวเดินหินศิลาคราเทียจะกระทบกันจนเกิดเสียงกรุ้งกริ๊งเป็นจังหวะๆ คล้ายเสียงดนตรี
ทำไมก่อนหน้านี้เธอไม่สังเกตุนะ?
สร้อยเส้นนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเธอเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงเธอและท่านพ่อเอาไว้ด้วยกัน....ของขวัญชิ้นแรกและอาจเป็นชิ้นสุดท้ายที่เธอจะได้รับจากท่าน
หนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเธอไม่อาจรู้ได้แต่สาวน้อยยังคงเชื่อเสมอว่า ท่านพ่อจะไม่มีวันทิ้งเธอแน่นอน
ในป่าแสนน่ากลัวแบบนี้เขาไปไหนนะ? หรือว่าเขาทิ้งเธอไปเสียแล้ว...!?
หัวสมองน้อยๆ ยังคงครุ่นคิด
หรือว่าเขาหาเราไม่เจอนะ? บางทีเราควรจะเดินกลับไปที่นั่น เขาอาจจะรอเราอยู่ที่นั่นก็ได้
ไวเท่าความคิดร่างระหงยืดกายขึ้น ก้าวเท้าเดินมุ่งสู่จุดหมายที่ตั้งใจ ทว่าเดินมาได้เพียงไม่นานสาวน้อยก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ เสียงใบไม้ดังอยู่เบื้องหลังไปเผชิญหน้ากลับผู้ที่ตามมา
หัวใจน้อยๆ แอบหวังว่าจะเป็นเขา....เจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นกับดวงตาสีน้ำทะเลลึกผู้นั้น แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อพบเพียงผู้หญิงคนหนึ่งยืนบังกายใต้ร่มเงาไม้ ความร่มจนเกือบมืดทำให้ร่างระหงไม่อาจเห็นถึงใบหน้าของหญิงผู้นั้นได้มีเพียงผ้าสีเขียวพันกายแบบอิสตรีที่โผล่พ้นเงามืดมา
ร่างระหงเดินเข้าไปใกล้หวังเพียงได้ซักถามว่าเธอคนนั้นเป็นใคร แล้วทำไมจึงมาอยู่กลางป่าที่น่ากลัวแห่งนี้เพียงลำพัง ยิ่งใกล้ขึ้นเธอจึงสามารถมองเห็นร่างนั้นได้ชัดขึ้น
**************************
เส้นผมยาวจรดข้อเท้ามีสีเขียวเข้มคล้ายสาหร่าย ใบหน้าแหลมเรียวจนเกินมนุษย์ ดวงตาลึกโหลจนคล้ายกับบุ๋มลงไปในใบหน้า ริมฝีปากสีแดงสดราวกับสีเลือดแสยะยิ้ม ร่างกายเป็นเมือกสีเขียวปกคลุมตั้งแต่ใบหน้าจนถึงปลายเท้ายิ่งทำให้ร่างนี้ดูน่าขยะแขยงมากขึ้น
ปีศาจ! ร่างระหงเอ่ยอย่างแผ่วเบาด้วยความตกใจ เธอค่อยๆ ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนการหนีจะไม่เป็นผลในเมื่อปีศาจสีเขียวนั่นยังคงตามมา
"อย่าเข้ามานะ พวกปีศาจ" สาวน้อยกัดฟันพูด
"ฮ่ะๆ! ใช่ ข้าคือปีศาจ แล้วเจ้าก็เป็นปีศาจเหมือนข้ามิใช่หรือ!" เสียงแหลมกรีดเสียงถามแต่ยังคงย่างสามขุมมาที่ร่างระหง
"ฉันไม่ใช่ปีศาจ แกนั่นแหละปีศาจ ออกไปนะ อย่าเข้ามาใกล้ฉัน" ร่างบางเอ่ย
แผ่นหลังของเธอปะทะชนกับต้นไม้เข้า
เราถอยดีกว่า....ร่างบางคิด
แต่จังหวะนั้นเองร่างสีเขียวก็เคลือนกายเข้ามาใกล้จนใบหน้าแทบจะชิดกัน ดวงตาลึกโหลนั้นมองสำรวจใบหน้าของเธอก่อนจะแสยะยิ้มมากกว่าเดิม
"เจ้านี่มันโง่จนไม่รู้เชียวหรือ ตาที่เจ้าใช้มองอย่างหวาดกลัวอยู่นี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับดวงตาของปีศาจ ฮ่ะ!ๆ"
"ดูสารรูปตัวเองซะ แม่เด็กน้อยแล้วบอกข้าสิสิ่งที่เจ้าเห็นในน้ำนั่น ไม่ใชปีศาจ" ร่างสีเขียวพูดพร้อมกับผลักร่างระหงจนล้มไปบนพื้นดิน
เบื้องหน้าคือน้ำใสสะอาดมากจนมองเห็นว่าภาพใต้น้ำนั้นคืออะไร แม้จะตกใจแต่สาวน้อยก็มองลงไปในน้ำอย่างบังเอิญ น้ำใสราวแผ่นกระจกสะท้อนภาพใบไม้สีเขียวเบื้องบน แต่สิ่งที่อยู่ใต้ต้นไม้นั้นกับเป็นร่างของหญิงสาวนางหนึ่ง โครงร่างเพียวบางดูอรชรอ้อนแอ้น ผิวขาวราวกับสีของหิมะ มีแพรผมยาวจรดเอวเป็นสีทองเงางามประดุจเส้นไหม ดวงหน้าเรียวคมรับกับจมูกโด่งได้อย่าลงตัว ขนตางอนงามหลุบลงทาบผิวแก้มขาว ทำให้เธอดูราวกับภาพวาดในจินตนาการ หากจะไม่มีสิ่งนั้น ดวงตาเรียวคมที่มีนัยตาเป็นสีแดงสดไม่ต่างอะไรกับสีเลือด
หัวใจของเธอกระตุกวูบ! ด้วยความรู้สึกหลายอย่างประเดประดังเข้ามา
ดวงตาปีศาจสีโลหิตแดงฉาน!!!
เราเป็นปีศาจที่น่ากลัว น่ารังเกลียดไม่ต่างจากปีศาจตรงหน้า ปีศาจที่กินเลือดและร่างกายสิ่งมีชีวิตเป็นอาหาร
มือเรียวที่สองข้ายกขึ้นปิดบังดวงตาอันน่ากลัวจากสายตาของปีศาจตรงหน้า ไม่มีน้ำตาแห่งความเสียใจใดๆ รินไหลมีเพียงความสลดหดหู่ในรูปลักษณ์ปานปีศาจของตนเอง
"ฮ่ะๆ ทำไมไม่เถียงข้าเล่าว่าเจ้าไม่ใช่ปีศาจ หรือว่าเถียงไม่ออกเพราะว่ามันเป็นความจริง ฮ่ะๆ!!" ร่างสีเขียวกรีดเสียงหัวเราะแสบแก้วหูดังไปทั่วป่า
คำพูดเหล่านั้นราวกับมีดกรีดใจร่างบางซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอพยุงตัวขึ้นแล้ววิ่งกรีดร้องไปในทางตรงกันข้ามกับที่อยู่ของถ้ำ
ในหัวสมองคิดเพียงว่า เธอเป็นปีศาจที่ชั่วร้าย ตอกย้ำเตือนใจตนเองราวกับลิ่มที่ตอกย้ำหัวใจให้เจ็บปวด
แม่คะ ลูกเป็นปีศาจ ลูกของแม่เป็นปีศาจ......
ร่างบางยังคงวิ่งไม่หยุดจนชนกับบางสิ่งจนเกือบล้มเพราะแรงปะทะ
อัสรันรีบคว้าร่างบางอย่างรวดเร็วด้วยกลัวว่า สาวน้อยจะบาดเจ็บ
ใบหน้างามเงยขึ้นมองแวมไพร์หนุ่มอย่างตกใจ
หัวใจของแวมไพร์หนุ่มดูจะสั่นรัวเมื่อได้พบใบหน้าที่แท้จริงของสาวน้อย ลมหายใจขาดห้วง ดวงตาสีน้ำตาลทะเลลึกจับจ้องเพียงใบหน้าของคนในอ้อมแขน
"อัสรัน ฉันเป็นปีศาจ!" ร่างระหงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เรียกสติให้ชายหนุ่มที่ตะลึงอยู่นานกลับมา
"ไม่ต้องตกใจนะ..." ชายหนุ่มกอดร่างบางไว้ในอ้อมแขน หวังปลอบโยนคนที่เสียขวัญ "...เธอไม่ได้ดูน่ากลัวเลย เธอสวยมากต่างหาก" ร่างสูงเอ่ยเบาๆ ให้คนในอ้อมกอดได้ยิน
"สวยแต่มีดวงตาปีศาจนี่น่ะหรือ" ร่างบางเอ่ยอย่างประชด
"ปีศาจที่เจ้าวิ่งหนีมามีชื่อว่า 'เซล่า' เป็นภูตผีที่คอยกินดวงจิตของผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอเป็นอาหาร มันจะหลอกล่อทุกวิถีทางให้เหยื่อสิ้นหวังในชีวิต จากนั้นมันก็จะดูดกลืนดวงจิตที่อ่อนแอเป็นอาหาร"
"ฉันเองคงไม่ต่างกันใช่ไหมคะ?" ร่างระหงเอ่ยเสียงสั่น
"เธอไม่ใช่ปีศาจคีย์ว่า" ร่างสูงปลอบ
"แต่ทำไมฉันถึงมีดวงตาสีเลือดแบบนี้ล่ะ? ปีศาจเท่านั้นที่จะมีดวงตาแบบนี้" ร่างระหงเอ่ยพร้อมกับขยับออกจากอ้อมแขนเพื่อมองคนตรงหน้าให้ชัดขึ้นเพื่อรอรับคำตอบด้วยใจระทึก
"ใช่...เธอคือธิดาของเทพีจันทราที่จุติมาเกิดใหม่"
"อย่าล้อเล่นสิ ถึงท่านพ่อจะเป็นผู้วิเศษก็ใช่ว่าฉันที่เป็นลูกจะเป็นผู้หญิงในตำนานนี่"
"ตอนคุณเกิดน่ะ ท่านพ่อของคุณพบว่าคุณมีบางสิ่งที่จะพาเรากลับไปยังโลกของฉันได้ เมื่อเธอใส่มันอีกครั้งวงล้อแห่งพันธะสัญญาจะเริ่มหมุน ความทรงจำของเธอจะค่อยๆ กลับมา และเมื่อเธอไปถึงโลกนั้น เธอจะคืนร่างเดิม ร่างของเธอจริงๆ ที่ฉันเองก็ยังไม่เคยเห็น"
"คืนร่างหรือ?"
"ใช่ เมื่อเธอถึงที่โน่นเธอจะรู้เอง" ร่างสูงเอ่ยพร้อมกับส่งสร้อยศิลาคราเทียรคืนให้เจ้าของ
"ใส่ซะ แล้วเราจะไปกัน" เขาเอ่ย
ร่างบางก้มลงใส่สร้อยศิลาคราเทียที่ข้อเท้าซ้าย..........
ปรากฎรัศมีสีแดงอาบไปทั่วร่างกาย แสงนั้นส่งผ่านปลายนิ้วเธอไปจนถึงเขาที่จับมือเธออยู่ก่อนแล้ว ความอบอุ่น
แผ่ไปทั่วร่างกาย พร้อมกับแสงสีแดงที่สว่างจ้าขึ้น ก่อนจะอ่อนแสงลงหายไปพร้อมกับร่างของสองคนที่ไร้ตัวตนราวกับล่องหนไปในอากาศ
"ล่าก่อนโลกมนุษย์"
*********************************
"คีย์ว่า...ลูกพ่อ"
"ท่านพ่อ...ท่านอยู่ไหน" คีย์ว่าร้องเรียกหาผู้เป็นพ่อที่เธอสัมผัสได้เพียงเสียงเรียกหา
ร่างบางลอยคว้าง สรรพสิ่งรอบตัวตกอยู่ใต้ไอหมอก จนมองไม่เห็นแม้เพียงมือของตัวเอง
เธอทอดสายตาไปทางใดก็พบเพียงควันจางๆ ที่ขยายตัวไปทั่วราวกับจะแกล้งให้เธอตกอยู่ในความมืดตลอดกาล
ร่างบางทรุดลงนั่งอย่างอ่อนแรง เธออยู่ที่ไหนไม่อาจรู้ได้แม้เธอจะวิ่งไปทาใดก็พบแต่เพียงม่านหมอกหนาทึบจนความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่
ฉันไม่เหลือใครแล้วจริงๆ.......
ทำไมชีวิตของฉันถึงเป็นแบบนี้.......
ร่างบางก้มหน้ามองพื้น ไหล่ลู่ห่ออย่างหมดแรง
"ทำไมมานั่งหมดแรงอยู่อย่างนี้ล่ะลูกพ่อ" กระแสเสียงอ่อนโยนปลอบประโลมเธออยู่เบื้องหน้า
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองพบเพียงเงารางๆ ของใครคนหนึ่ง แม้เธอไม่เห็นหน้าแต่ความรู้สึกเช่นนี้มันทำให้คิดถึงพ่อ
"ท่านพ่อหรือคะ?"
"ใช่...พ่อเอง ไหนเด็กดียังไม่ตอบพ่อเลยว่าทำไมมานั่งหมดแรงอยู่อย่างนี้" ผู้เป็นพ่อถามย้ำ
"คีย์ว่าเหนื่อยค่ะท่าพ่อ ลูกไม่เหลือใครอีกแล้ว"
"ลูกแน่ใจหรือว่าไม่เหลือใครแล้วจริงๆ? แล้วเขาล่ะ? ลูกยังมีเขาอยู่มิใช่หรือ?"
"แต่เขาเป็นแวมไพร์นะคะท่านพ่อ เราต่างกัน"
"ต่างหรือไม่ มันอยู่ที่ใจของลูกต่างหาก ถ้าคิดว่าต่าง...มันก็ต่าง แต่ถ้าคิดว่าเหมือนต่อให้ต่างแค่ไหนก็เหมือนกันเพราะใจลูกกล้าพอที่จะยอมรับ"
"ยอมรับ?"
"ใช่ ทุกคนต้องการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น เขาก็เช่นกัน"
"พันธะสัญญาเริ่มต้นขึ้นแล้วนะลูกรัก เพราะความกลัวที่จะตัดสินใจของลูกเอง เมื่อลูกตื่นขึ้นมาลูกของพ่อจะเป็นคนใหม่...เป็นตัวตนของลูกที่แท้จริง"
ร่างของผู้เป็นพ่อเริ่มจางหายไปตามหมอกควันที่จางลง แม้เธอจะพยายามไขวคว้ามือท่าไว้แต่กลับสัมผัสได้เพียงไอหมอกที่ไร้ตัวตน แล้วเธอจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร ในเมื่อมองไม่เห็นทางอยู่อย่างนี้
ร่างบางยังคงนั่งนิ่งด้วยไม่รู้จะทำยังไงต่อไป......
จู่ๆ แก้มซ้ายก็รู้สึกเย็นวาบจนเธอต้องเงยหน้ามอง เขานั่งมองเธออยู่ตรงหน้า แล้วเอานิ้วชี้มาจิ้มแก้มเธอเล่น ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้เธออย่างมีความสุข
"ไปได้แล้ว กระต่ายน้อย" ร่างสูงยื่นมือหนามาฉุดเธอให้ยืนขึ้นตามแรงดึง
"ไปไหนคะ อัสรัน"
"กลับบ้านเราไงล่ะ" คำพูดสั้นๆ ของเขาทำให้เธออบอุ่นเหลือเกิน 'บ้านเรา' หรือ?
สาวน้อยจินตนาการถึงบ้านของเราพร้อมกับปล่อยร่างกายให้เดินตาเขาไป
****************************
เสียงน้ำหยดลงกระทบหินเป็นจังหวะ...ชั้นแล้วชั้นเล่า ก่อนจะไหลลัดลเาะไปตามซอกหินจนรวมตัวกันเป็นลำธารเล็กๆ ด้วยมีน้ำไหลผ่านถ้ำนี้ตลอดปีจึงทำให้ถ้ำมีสภาพอากาศที่เย็นชื้น แสงสว่างส่องเล็ดลอดหลังคาถ้ำได้เพียงเบาบางทำให้ถ้ำแลดูมืดครึ้มจนน่ากลัว
ร่างบางของหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนโขดหินเริ่มขยับเพราะเจ้าตัวเริ่มได้สติแล้ว เปลือกตาบางกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะลืมขื้นเต็มที่
แสงสลัวๆ จนเลือนลางทำให้เธอต้องกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืด ภาพแรกที่ปรากฎคือ ผนังถ้ำมืดๆ ที่มีน้ำหยดลงตามซอกหิน
"นี่เราอยู่ไหนกันนะ?" ริมผีปากที่แห้งผากเอ่ยเบาราวกับเสียงกระซิบ
ร่างบางพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง
ปวดหัว!...เป็นความคิดแรกที่แวบเข้ามา มือเรียวเอื้อมมากุมศีรษะอย่างอัตโนมัติ
ที่นี่ที่ไหนนะ? เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?
ร่างบางที่เพิ่งจะลุกขึ้นนั่งเริ่มสอดส่ายสายตาสำรวจไปทั่ว เธออยู่ในถ้ำมืดๆ ชื้นแฉะเพราะมีความชื้นสูง
มือเรียวเริ่มคว้ายึดหินที่โผล่ออกมาจากผนังถ้ำเพื่อช่วยพยุงตัว เธอเดินสำรวจทั่วถ้ำจนสุดทางก็พบทางออก เธอค่อยๆ เดินไปตามทางออกแคบๆ ที่มีเพียงแสงสลัวๆ นำทาง เป็นเวลากว่าสิบห้านาที เธอจึงพบปากทางออกที่มีหินก้อนใหญ่บังอยู่ ดีที่เธอไม่ใช่คนอ้วน เธอจึงพยายามแทรกตัวออกไปได้พอดิบพอดี แต่สิ่งที่เธอเผชิญอยู่เบื้องหน้าทำให้เธอต้องตะลึง
ต้นไม้สูงหนาทึบโอบล้อมถ้ำที่เธอเพิ่งออกมา ลำต้นสูงใหญ่มีขนาดหลายคนโอบ แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึงคงเป็นใบไม้ของต้นไม่เหล่านี้ที่ควรจะเป็นสีเขียวตามธรรมชาติ กลับกลายเป็นสีดำ ร่วงหล่นสู่พื้นยามต้องลมแรงๆ ทั้วทั้งบริเวณจึงถูกปกคลุมไปด้วยสีดำสร้างความน่าสยดสยองกับเธออยู่ไม่น้อย
เธอมาถึงแล้วหรือ? นี่น่ะหรือที่พ่อเคยอยู่? ทำไมดูน่ากลัวจัง?
เอ๊ะ! แล้วเขาล่ะ หายไปไหนนะ ทำไมถึงทิ้งเธอไว้ที่ถ้ำมืดๆ นั่นคนเดียว
ร่างระหงสาวเท้าเดินเพื่อตามหาแวมไพร์หนุ่ม สาวน้อยเดินลัดเลาะไปตามราวป่า ทุกสรรพสิ่งแสนจะเงียบสงัดจนเธอได้ยินเสียงฝีเท้าของตนเอง เท้าเล็กๆ เหยียบย้ำลงบนเศษใบไม้สีดำส่งเสียงสวบๆ ดังก้องป่า สายลมเย็นๆ พัดไปทั่วป่ายิ่งทำให้ใบไม้สีดำรัตติกาลร่วงหล่นมากขึ้น ทำให้บรรยากาศวังเวงจนเธอสัมผัสได้
ร่างระหงทรุดกายลงนั่งบนรากไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่เมื่อเธอเดินมาได้พักใหญ่แล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบเขา เธอนั่งห่อตัวกอดเข่าเพื่อป้องกันตัวเองจากลมหนาวสายตายังคงจับจ้องไปที่สร้อยข้อเท้าสีรัตติกาล เธอเองเพิ่งสังเกตุได้เมื่อไม่นานมานี้ว่า ยามเธอย่างเท้าก้าวเดินหินศิลาคราเทียจะกระทบกันจนเกิดเสียงกรุ้งกริ๊งเป็นจังหวะๆ คล้ายเสียงดนตรี
ทำไมก่อนหน้านี้เธอไม่สังเกตุนะ?
สร้อยเส้นนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเธอเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงเธอและท่านพ่อเอาไว้ด้วยกัน....ของขวัญชิ้นแรกและอาจเป็นชิ้นสุดท้ายที่เธอจะได้รับจากท่าน
หนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเธอไม่อาจรู้ได้แต่สาวน้อยยังคงเชื่อเสมอว่า ท่านพ่อจะไม่มีวันทิ้งเธอแน่นอน
ในป่าแสนน่ากลัวแบบนี้เขาไปไหนนะ? หรือว่าเขาทิ้งเธอไปเสียแล้ว...!?
หัวสมองน้อยๆ ยังคงครุ่นคิด
หรือว่าเขาหาเราไม่เจอนะ? บางทีเราควรจะเดินกลับไปที่นั่น เขาอาจจะรอเราอยู่ที่นั่นก็ได้
ไวเท่าความคิดร่างระหงยืดกายขึ้น ก้าวเท้าเดินมุ่งสู่จุดหมายที่ตั้งใจ ทว่าเดินมาได้เพียงไม่นานสาวน้อยก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ เสียงใบไม้ดังอยู่เบื้องหลังไปเผชิญหน้ากลับผู้ที่ตามมา
หัวใจน้อยๆ แอบหวังว่าจะเป็นเขา....เจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นกับดวงตาสีน้ำทะเลลึกผู้นั้น แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อพบเพียงผู้หญิงคนหนึ่งยืนบังกายใต้ร่มเงาไม้ ความร่มจนเกือบมืดทำให้ร่างระหงไม่อาจเห็นถึงใบหน้าของหญิงผู้นั้นได้มีเพียงผ้าสีเขียวพันกายแบบอิสตรีที่โผล่พ้นเงามืดมา
ร่างระหงเดินเข้าไปใกล้หวังเพียงได้ซักถามว่าเธอคนนั้นเป็นใคร แล้วทำไมจึงมาอยู่กลางป่าที่น่ากลัวแห่งนี้เพียงลำพัง ยิ่งใกล้ขึ้นเธอจึงสามารถมองเห็นร่างนั้นได้ชัดขึ้น
**************************
เส้นผมยาวจรดข้อเท้ามีสีเขียวเข้มคล้ายสาหร่าย ใบหน้าแหลมเรียวจนเกินมนุษย์ ดวงตาลึกโหลจนคล้ายกับบุ๋มลงไปในใบหน้า ริมฝีปากสีแดงสดราวกับสีเลือดแสยะยิ้ม ร่างกายเป็นเมือกสีเขียวปกคลุมตั้งแต่ใบหน้าจนถึงปลายเท้ายิ่งทำให้ร่างนี้ดูน่าขยะแขยงมากขึ้น
ปีศาจ! ร่างระหงเอ่ยอย่างแผ่วเบาด้วยความตกใจ เธอค่อยๆ ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนการหนีจะไม่เป็นผลในเมื่อปีศาจสีเขียวนั่นยังคงตามมา
"อย่าเข้ามานะ พวกปีศาจ" สาวน้อยกัดฟันพูด
"ฮ่ะๆ! ใช่ ข้าคือปีศาจ แล้วเจ้าก็เป็นปีศาจเหมือนข้ามิใช่หรือ!" เสียงแหลมกรีดเสียงถามแต่ยังคงย่างสามขุมมาที่ร่างระหง
"ฉันไม่ใช่ปีศาจ แกนั่นแหละปีศาจ ออกไปนะ อย่าเข้ามาใกล้ฉัน" ร่างบางเอ่ย
แผ่นหลังของเธอปะทะชนกับต้นไม้เข้า
เราถอยดีกว่า....ร่างบางคิด
แต่จังหวะนั้นเองร่างสีเขียวก็เคลือนกายเข้ามาใกล้จนใบหน้าแทบจะชิดกัน ดวงตาลึกโหลนั้นมองสำรวจใบหน้าของเธอก่อนจะแสยะยิ้มมากกว่าเดิม
"เจ้านี่มันโง่จนไม่รู้เชียวหรือ ตาที่เจ้าใช้มองอย่างหวาดกลัวอยู่นี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับดวงตาของปีศาจ ฮ่ะ!ๆ"
"ดูสารรูปตัวเองซะ แม่เด็กน้อยแล้วบอกข้าสิสิ่งที่เจ้าเห็นในน้ำนั่น ไม่ใชปีศาจ" ร่างสีเขียวพูดพร้อมกับผลักร่างระหงจนล้มไปบนพื้นดิน
เบื้องหน้าคือน้ำใสสะอาดมากจนมองเห็นว่าภาพใต้น้ำนั้นคืออะไร แม้จะตกใจแต่สาวน้อยก็มองลงไปในน้ำอย่างบังเอิญ น้ำใสราวแผ่นกระจกสะท้อนภาพใบไม้สีเขียวเบื้องบน แต่สิ่งที่อยู่ใต้ต้นไม้นั้นกับเป็นร่างของหญิงสาวนางหนึ่ง โครงร่างเพียวบางดูอรชรอ้อนแอ้น ผิวขาวราวกับสีของหิมะ มีแพรผมยาวจรดเอวเป็นสีทองเงางามประดุจเส้นไหม ดวงหน้าเรียวคมรับกับจมูกโด่งได้อย่าลงตัว ขนตางอนงามหลุบลงทาบผิวแก้มขาว ทำให้เธอดูราวกับภาพวาดในจินตนาการ หากจะไม่มีสิ่งนั้น ดวงตาเรียวคมที่มีนัยตาเป็นสีแดงสดไม่ต่างอะไรกับสีเลือด
หัวใจของเธอกระตุกวูบ! ด้วยความรู้สึกหลายอย่างประเดประดังเข้ามา
ดวงตาปีศาจสีโลหิตแดงฉาน!!!
เราเป็นปีศาจที่น่ากลัว น่ารังเกลียดไม่ต่างจากปีศาจตรงหน้า ปีศาจที่กินเลือดและร่างกายสิ่งมีชีวิตเป็นอาหาร
มือเรียวที่สองข้ายกขึ้นปิดบังดวงตาอันน่ากลัวจากสายตาของปีศาจตรงหน้า ไม่มีน้ำตาแห่งความเสียใจใดๆ รินไหลมีเพียงความสลดหดหู่ในรูปลักษณ์ปานปีศาจของตนเอง
"ฮ่ะๆ ทำไมไม่เถียงข้าเล่าว่าเจ้าไม่ใช่ปีศาจ หรือว่าเถียงไม่ออกเพราะว่ามันเป็นความจริง ฮ่ะๆ!!" ร่างสีเขียวกรีดเสียงหัวเราะแสบแก้วหูดังไปทั่วป่า
คำพูดเหล่านั้นราวกับมีดกรีดใจร่างบางซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอพยุงตัวขึ้นแล้ววิ่งกรีดร้องไปในทางตรงกันข้ามกับที่อยู่ของถ้ำ
ในหัวสมองคิดเพียงว่า เธอเป็นปีศาจที่ชั่วร้าย ตอกย้ำเตือนใจตนเองราวกับลิ่มที่ตอกย้ำหัวใจให้เจ็บปวด
แม่คะ ลูกเป็นปีศาจ ลูกของแม่เป็นปีศาจ......
ร่างบางยังคงวิ่งไม่หยุดจนชนกับบางสิ่งจนเกือบล้มเพราะแรงปะทะ
อัสรันรีบคว้าร่างบางอย่างรวดเร็วด้วยกลัวว่า สาวน้อยจะบาดเจ็บ
ใบหน้างามเงยขึ้นมองแวมไพร์หนุ่มอย่างตกใจ
หัวใจของแวมไพร์หนุ่มดูจะสั่นรัวเมื่อได้พบใบหน้าที่แท้จริงของสาวน้อย ลมหายใจขาดห้วง ดวงตาสีน้ำตาลทะเลลึกจับจ้องเพียงใบหน้าของคนในอ้อมแขน
"อัสรัน ฉันเป็นปีศาจ!" ร่างระหงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เรียกสติให้ชายหนุ่มที่ตะลึงอยู่นานกลับมา
"ไม่ต้องตกใจนะ..." ชายหนุ่มกอดร่างบางไว้ในอ้อมแขน หวังปลอบโยนคนที่เสียขวัญ "...เธอไม่ได้ดูน่ากลัวเลย เธอสวยมากต่างหาก" ร่างสูงเอ่ยเบาๆ ให้คนในอ้อมกอดได้ยิน
"สวยแต่มีดวงตาปีศาจนี่น่ะหรือ" ร่างบางเอ่ยอย่างประชด
"ปีศาจที่เจ้าวิ่งหนีมามีชื่อว่า 'เซล่า' เป็นภูตผีที่คอยกินดวงจิตของผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอเป็นอาหาร มันจะหลอกล่อทุกวิถีทางให้เหยื่อสิ้นหวังในชีวิต จากนั้นมันก็จะดูดกลืนดวงจิตที่อ่อนแอเป็นอาหาร"
"ฉันเองคงไม่ต่างกันใช่ไหมคะ?" ร่างระหงเอ่ยเสียงสั่น
"เธอไม่ใช่ปีศาจคีย์ว่า" ร่างสูงปลอบ
"แต่ทำไมฉันถึงมีดวงตาสีเลือดแบบนี้ล่ะ? ปีศาจเท่านั้นที่จะมีดวงตาแบบนี้" ร่างระหงเอ่ยพร้อมกับขยับออกจากอ้อมแขนเพื่อมองคนตรงหน้าให้ชัดขึ้นเพื่อรอรับคำตอบด้วยใจระทึก
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น