ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic : Baramos : L x L

    ลำดับตอนที่ #2 : Voice of Bloody Black Sheep 2

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 51


    ชื่อเรื่อง : Voice of Bloody Black Sheep
    ผู้แต่ง : มัดหมี่ (ob_ars@hotmail.com)
    ประเภท : ชีวิต
    ช่วงเวลา : ก่อนภาค 1

    เรื่องย่อ : เมื่อซาตาน 'ตื่น' ขึ้นมาอีกครั้ง (ตอนต่อของ U R my Light (Version 1) และ Satan's Diary)



    “นายไม่มีอะไรจะทำมากกว่ายืนตะลึงรึไง โรเวน” เสียงทักจากทางด้านหลัง เรียกให้สติของเจ้าชายหนุ่มหวนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการรับรู้ถึงสายตาเย้ยหยันที่มองตรงมา เพียงแต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาโต้เถียง สถานการณ์เบื้องหน้าจำต้องแก้ไขอย่างด่วนที่สุด เจ้าชายแห่งเจมิไนจึงก้าวลงสู่สนามเพื่อเคลียร์วิกฤติที่เกิดขึ้น หากในใจยังหวนประหวัดไปถึงคนที่มาปลุกให้เขาตื่นจากอาการตกตะลึง คน…ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีจิตใจที่มั่นคงไม่เคยหวั่นเกรงสิ่งใด

    ชื่นชมนัก… กับความสามารถที่คนๆนั้นมี

    ขุ่นขวางนัก… กับฐานะที่คนๆนั้นเป็น

    อย่างไรเสียก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเป็นศัตรูกัน… อาเธอร์ บริสตั้น เดอะ ปรินซ์ ออฟ ซาเรส

    ------------------------------

    บรรยากาศในห้องพักนักกีฬาฝ่ายป้อมอัศวินยามนี้อึมครึมเป็นที่สุด เหล่าตัวเอ้ของชั้นปี 1 กำลังยืนประชุมกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียดที่มุมหนึ่งของห้อง ขณะที่อีกมุม…ต้นเหตุของเรื่อง ลูคัส ซาโดเรีย กำลังนั่งเงียบอยู่บนม้านั่งยาว สายตาเหม่อลอยไร้ชีวิตหลุบต่ำทอดนิ่งอยู่ที่มือสองข้างที่ประสานวางอยู่บนหน้าตัก เวลานี้เจ้าตัวไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น ไม่เห็น ไม่พูด ไม่ได้ยิน ราวกับทุกส่วนในร่างกายได้หยุดทำงานไปตั้งแต่เริ่มรับรู้ถึงสิ่งที่ตนเองกระทำ

    “สรุปคือ นายจะให้อธิบายว่าพลังประหลาดทั้งหมดนั่นของลูคัสเป็นแค่มายาภาพแหกตาที่เจ้าตัวถนัดใช้ ส่วนการบาดเจ็บของลอเรนซ์ก็เป็นเพียงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพราะหมอนั่นตื่นตูมพรวดพราดเข้าไปขวางเอง เฮ้อ…คนเค้าจะยอมเชื่อกันมั้ยเนี่ย” โซมาเนียเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงแวววิตกอย่างชัดเจน

    “ที่สำคัญลอเรนซ์จะรับได้เหรอ” ชิวาสกล่าวเสริม สีหน้าติดจะแหยงๆ

    “ลอเรนซ์…นิสัยอย่างหมอนั่นคงไม่แคร์หรอกว่าใครจะคิดยังไง ส่วนคนอื่นๆจะเชื่อไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการโน้มน้าวใจของพวกเราแล้วล่ะ เพราะงั้น…โม้ได้โม้ แหลได้แหล ทำยังไงก็ได้ให้คนอื่นเชื่อให้ได้ เอาล่ะ…เดี๋ยวฉันกับโรเวนจะไปอธิบายให้พวกอาจารย์ฟัง แล้วจะได้แถลงให้ผู้ชมในสนามเข้าใจ ส่วนเธอกับชิวาสก็อยู่ช่วยกันอธิบายให้เพื่อนคนอื่นๆรับรู้ด้วยก็แล้วกัน” ไธนอสตอบคำพร้อมกับวางแผนให้เสร็จสรรพ

    “แต่ถ้าเอาอย่างนั้นจริง พวกเราก็จะถูกปรับแพ้เพราะทำผิดกติกาน่ะสิ” โซมาเนียขัดอย่างไม่ชอบใจ แต่ก่อนที่ใครจะตอบคำ หญิงสาวก็ใช้สองมือตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ “ไม่ใช่สิ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ที่สำคัญคือพวกปราสาทขุนนางจะยอมคล้อยตามเราเหรอ พวกนั้นต้องพยายามใส่ความลูคัสให้ถูกไล่ออกแน่”

    โรเวนยิ้มเย็นทันทีเมื่อโซมาเนียกล่าวจบ “ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงปราสาทขุนนางก็เห็นผลประโยชน์ของตัวเองมาก่อนเสมอ งานนี้เจ้าพวกนั้นไม่กล้าพูดมากแน่ เพราะหากมีการสอบสวนเกิดขึ้น เรื่องที่ไอ้บิชอปนั่นแอบตุกติกใช้เวทกับกองเลือดที่พื้นก่อนคำสั่งบุกของฉันจะดังขึ้นก็ต้องถูกเปิดโปง ถึงลูคัสจะถูกไล่ออกสมใจ แต่พวกมันก็ต้องถูกปรับแพ้แทน ไม่น่าปลื้มนักหรอก ปราสาทขุนนางคงยอมปล่อยเรื่องครั้งนี้ให้ผ่านไป แล้วรอโอกาสจับผิดลูคัสครั้งหน้ามากกว่า” คำอธิบายจากโรเวน ทำให้ทุกคนมั่นใจกับคำแก้ตัวที่คิดไว้มากขึ้

    แต่ก่อนที่แยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ ชิวาสก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจ “แล้วลูคัสล่ะ จะปล่อยให้นั่งอยู่แบบนี้น่ะเหรอ”

    นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่สวยเหลือบมองไปยังคนที่ถูกกล่าวถึง…เจ้าของพลังประหลาดที่หลังจากได้สติกลับมาและเห็นสภาพของลอเรนซ์เต็มตาก็เอาแต่นิ่งเงียบ ทั้งๆที่วินาทีนั้นเขาเองยังคิดว่าหมอนี่จะต้องคลุ้มคลั่งอาละวาด หรือไม่ก็เสียใจหนักกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เปล่าเลย มันไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงกรีดร้องโวยวายอย่างเจ็บปวด อาการงุนงงไม่เข้าใจ หรือแม้กระทั่งน้ำตา บิชอปหนุ่มที่เพิ่งได้สติไร้ปฏิกิริยาใดๆทั้งสิ้น มีเพียงสายตาว่างเปล่าจับจ้องอยู่กับร่างที่หายใจรวยรินในอ้อมแขน แม้แต่ตอนที่พวกเขาเอาตัวลอเรนซ์ไปรักษา หรือตอนที่ลากเจ้าตัวมานั่งหลบอยู่ในห้องนี้ หมอนั่นก็ยังคงไร้การตอบสนอง ไม่สนใจคำพูดที่พวกเขาพยายามพูดด้วย ไม่สนใจเรื่องราวที่พวกเขาปรึกษาหารือกัน ไม่สนใจ…แม้กระทั่งว่ามือและเสื้อผ้าของตนยังอาบไปด้วยเลือดของนักบวชผมทองคนนั้น

    โรเวนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหนัก ดวงหน้ารูปสลักติดจะเครียดอย่างไม่เคยเป็น “ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เพราะถึงพวกเราจะเรียกเท่าไหร่ เจ้าตัวก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย คงต้องรอให้เจ้าของมาจัดการเอง ดังนั้นตอนนี้การปล่อยให้อยู่คนเดียวเงียบๆน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ไปเถอะ นี่สายมากแล้ว ทุกคนกำลังรอคำตอบอยู่นะ” เจ้าชายหนุ่มตัดบทพร้อมกับก้าวฉับไปเปิดประตูห้องพัก

    “ลอเรนซ์” โรเวนอุทานขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือใคร พรีสท์แห่งแอเรียสยังคงอยู่ในชุดบิชอปแห่งป้อมอัศวิน ดวงหน้าขาวแม้จะดูเซียวไปมากหากก็ยังรักษาความบึ้งตึงอันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ การปรากฏตัวของเพื่อนตรงหน้าทำให้โรเวนขยับรอยยิ้ม “นายมาก็ดีแล้ว เรื่องข้างนอกยกให้เป็นหน้าที่ของพวกฉัน ส่วนนายช่วยจัดการไอ้เพื่อนเจ้าปัญหาของพวกเราด้วยแล้วกัน”

    “ได้ เดี๋ยวฉันจะสั่งสอนให้มันหูตาสว่างเอง” ลอเรนซ์รับคำเสียงขุ่น

    เจ้าชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ อารมณ์ดูเหมือนจะผ่อนคลายไปมาก “อย่าเทศนาให้ยาวนักล่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าหมอนั่นได้หลับสบาย ขณะที่พวกเราเหนื่อยแทบตาย”

    “กล้าหลับก็ลองดู” ลอเรนซ์แยกเขี้ยวกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

    ------------------------------

    นักบวชหนุ่มยืนมองคนที่นั่งอยู่ในห้องด้วยสีหน้า…บูดสนิท ขัดใจเป็นที่สุดที่ไอ้ตัวต้นเหตุของเรื่องบ้านี่ดันมานั่งเล่นบทโศก หมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงนี้ แทนที่จะบากหน้าไปขอโทษคนเจ็บ กลับต้องให้คนเจ็บถ่อสังขารมาดูใจ ความไม่สบอารมณ์บวกกับอาการปวดหัวหนึบๆน่ารำคาญที่เป็นผลมาจากร่างกายเสียเลือดมากไป เรียกให้ความหงุดหงิดพุ่งริ้ว

    ลอเรนซ์กระแทกหมัดเข้ากับผนังห้องดัง ปึง! ก่อนจะตวาดเสียงลั่น “นายจะนั่งทำหน้าจะเป็นจะตายแบบนี้อีกนานมั้ย ลูคัส!!”

    คนถูกเรียกไหวตัวเล็กน้อยแต่มันก็มากพอให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น หากเจ้าตัวก็ยังนั่งก้มหน้าอยู่ท่าเดิม… และนั่นก็ส่งผลให้เส้นอารมณ์ของลอเรนซ์ขาดผึง นักบวชหนุ่มก้าวตรงไปกระชากคอเสื้อของลูคัสให้หันมาเผชิญหน้า นัยน์ตาคู่คมเข้มสบประสานกับนัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ชั่วแวบ ก่อนจะเบือนหนี ท่าทางของคนตรงหน้าทำให้ลอเรนซ์อ่อนใจ สรุปกับตัวเองว่าอีกฝ่าย…อาการหนัก เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาอัญมณีสีนิลคู่นั้นจะทอประกายกล้าจ้องสบกับสายตาทุกคู่ที่มองมาเสมอ แล้วความคิดของลอเรนซ์ก็ต้องชะงักลง เมื่อเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้น

    “ขอโทษ…” น้ำเสียงที่เอ่ยฟังแหบพร่าแผ่วเบาราวกับคนพูดต้องใช้พลังใจทั้งหมดในการเค้นคำพูดออกมา “ขอโทษนะ… ขอโทษ”

    ลอเรนซ์ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญ “นายจะคิดมากทำไม ฉันก็ไม่ได้เจ็บหนักอะไร”

    ลูคัสแค่นหัวเราะ ปัดมือของพรีสท์หนุ่มที่ยังจับอยู่ที่คอเสื้อของตนทิ้ง คำกล่าวต่อมาเสียงดังขึ้นด้วยอารมณ์ที่สับสน “คิดมากทำไม? ไม่ได้เจ็บหนักอะไรงั้นเหรอ? นายมันจะไปเข้าใจอะไร ยังไงมันก็เป็นความผิดของฉันอยู่ดี ฉันเป็นคนทำร้ายนาย คราวนี้ยังโชคดีที่นายแค่บาดเจ็บ ถ้านายตายไป…ฉันไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงดี ฉันกลัว…ลอเรนซ์…ฉันกลัว ทั้งๆที่คิดว่าควบคุมมันได้แล้ว แต่มันก็เหมือนเดิมไม่ต่างจากคราวนั้น ฉันกลัว…คราวหน้าฉันอาจจะฆ่านายไปจริงๆก็ได้”

    “นายคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ” ลอเรนซ์เอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงหน้าของนักบวชหนุ่มยามนี้ดูนิ่งจนอ่านอะไรไม่ออก “ฟังให้ดีนะ ลูคัส ฉันจะพูดครั้งเดียวเท่านั้น นายคิดจริงๆเหรอว่าเพราะความโชคดีอะไรนั่นฉันถึงรอดมาได้ ถ้านายคิดงั้นจริงก็งี่เง่ามาก จะบอกให้ว่าตอนที่ฉันเข้าไปขวางไม่ให้นายฆ่าไอ้บิชอปนั่น ที่ๆนายเล็งจะแทงคือนี่…ตรงนี้..หัวใจฉัน ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามันถูกนายแทงทะลุ ต่อให้กี่เลโมธีก็ช่วยไม่ได้ แต่ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย นายกลับลดมือต่ำลง ฉันถึงได้ไม่ตาย ตาสว่างรึยังว่าที่ฉันแค่บาดเจ็บเป็นเพราะนายไม่ได้ตั้งใจจะฆ่า ไม่ใช่เพราะความโชคดีไร้สาระ ที่สำคัญระหว่างคนตายทั้งหมู่บ้านกับฉันบาดเจ็บแค่คนเดียว นายยังพูดได้อีกเหรอว่ามันไม่ต่างจากคราวนั้นน่ะ” นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ของคนพูดยามนี้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่เข้มที่ยอมหันมามองสบแล้ว ก่อนที่นักบวชหนุ่มจะกล่าวขึ้นอีกราวกับจะย้ำให้อีกฝ่ายแน่ใจ “นายทำได้ดีแล้ว ลูคัส”

    ราวกับแสงสว่างถูกจุดขึ้นตรงหน้า ความรู้สึกกังวล สับสน ที่มีอยู่มลายหายไปหมดสิ้น แต่ก่อนที่ความโล่งใจจะเข้าครอบคลุมจิตใจ
    ทั้งหมด เศษเสี่ยวของความจริงอีกอย่างก็แวบเข้ามาตอกย้ำให้เจ็บลึก ให้ไม่ลืมถึง…สายตารังเกียจของเหล่ากองเชียร์และสีหน้าหวาดกลัวของคู่ต่อสู้ “ขอบใจนายมากนะ ลอเรนซ์ คำพูดของนายทำให้ฉันดีใจจริงๆ แต่ว่ายังไงฉันก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ ความจริงก็ตือความจริง ฉันเป็นคนทำร้ายนาย แล้วที่สำคัญ…ไอ้พลังน่ารังเกียจนี่ก็ไม่รู้จะตื่นขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ ฉันไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป”

    อารมณ์โกรธของลอเรนซ์กลับมาอีกครั้ง ตอนนี้นักบวชหนุ่มนึกอยากขย้ำคอคนตรงหน้าให้แหลกคามือ ไม่เข้าใจว่าไอ้โง่นี่จะโง่ไปถึงไหน ถ้อยต่อมาจึงห้วนสนิท “แล้วยังไง! นายมันหลงตัวเองมากเกินไปแล้ว ดูซะให้เต็มตาว่าฉันยังสบายดี ฝีมือนายมันก็แค่นั้น ฆ่าฉันไม่ได้ ทำร้ายใครก็ไม่ได้” ลอเรนซ์ส่งสายตาดูแคลนให้อีกฝ่าย ก่อนตะคอกต่อเสียงลั่น “แล้วถ้านายยังไม่รู้ ฉันจะบอกให้เอาบุญว่าตอนนี้ โรเวน ไธนอส ชิวาส และโซมาเนีย กำลังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยนาย แล้วนายจะหนีไปง่ายๆแบบนี้น่ะเหรอ!!”

    ลูคัสนิ่งไปอย่างจนด้วยคำพูด สีหน้าแสดงออกถึงความสับสน ทั้งอึ้ง หงุดหงิด ประหลาดใจ ตื้นตันใจ ปนเปกันไป และท่าทางนั้นก็ทำให้นักบวชหนุ่มเสียงอ่อนลง “ก็นะ ฉันว่านายไม่ควรกังวลเรื่องพลังนั่นให้มาก จะว่าไปมันก็เป็นความผิดของฉันเหมือนกันที่ไม่ได้เตือนนายเมื่อวาน ทั้งๆที่คิดอยู่แล้วว่าถ้านายตกอยู่ในสถานการณ์คับขันอาจเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

    นักบวชหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะมองไปทางลูคัสอย่างชั่งใจ แล้วของสิ่งหนึ่งก็ถูกยื่นส่งให้ “ฉันให้ เก็บไว้สิ”

    ลุคัสมองแว่นตาที่ถูกยื่นมาตรงหน้า แล้วก็หันไปมองคนให้อย่างไม่แน่ใจ “ให้… แต่นี่มันของดูต่างหน้าอาจารย์นายไม่ใช่เรอะ!? จะดีเหรอ”

    “ไม่เป็นไรหรอก ที่สำคัญฉันไม่เคยให้อะไรใครเลย โอกาสอย่างนี้น้อยมากนะ” ลอเรนซ์กล่าวพร้อมกับเสไปมองทางอื่น

    ท่าทีแบบนั้นทำให้ลูคัสอดรู้สึกไม่ได้ว่านักบวชเจ้าอารมณ์คนนี้กำลังเขินอยู่ รอยยิ้มบางปรากฏบนดวงหน้าคมเข้มอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี “ฉันใส่มันได้มั้ย”

    ลอเรนซ์มุ่นหัวคิ้ว “จะว่าได้ก็ได้หรอก แต่นายจะใส่ไปทำไม”

    ซาตานหนุ่มยิ้มกว้างอย่างชอบใจ “ก็นี่น่ะเคยเป็นสมบัติของนักบวชชั้นสูงเชียวนา คงพอถูไถใช้เป็นอุปกรณ์ควบคุมพลังได้ ไม่เปลืองตังค์ดี แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เมื่อก่อนนายพกแว่นนี่ติดตัวตลอดเวลา คราวนี้นายก็จะได้พกฉันติดตัวตลอดเวลาแทนไง แถมเวลาที่นายมองหน้าฉัน นายก็จะได้เห็นมั้งคนรูปหล่อ ทั้งของที่ระลึกถึงอาจารย์ ดีจะตาย เนอะ ลอรี่”

    “ดีบ้านแกน่ะสิ เอามันคืนมาให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ แล้วก็บอกแล้วไงว่าอย่ามาเรียกฉันแบบนั้น!” ลอเรนซ์โวยลั่นขึ้นมาทันที แล้วเสียงมีดบินแหวกอากาศก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในห้องพักนักกีฬาฝ่ายป้อมอัศวินอันแสนสงบเงียบ…

    ------------------------------

    คืนนี้ท้องฟ้ากระจ่างใสไร้เมฆหมอก พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้าทอแสงนวลลงมาราวกับจะปลอบโยนเหล่าผู้คนที่อยู่ใต้ความมืดมิดแห่งรัตติกาล ลูคัส ซาโดเรีย เดอะ ซอร์เซอเรอร์ ออฟ ทริสทอร์ กำลังนอนเหยียดกายอาบแสงจันทร์ นัยน์ตาคู่คมเข้มหลังแว่นตาทอดจับโคมสวรรค์ที่ลอยเด่น เด็กหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายเป็นที่สุด เรื่องปวดหัวมากมายดูจะมลายไปพร้อมกับลมเย็นเอื่อยๆที่พัดผ่าน หากแล้วน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ที่แสนจะคุ้นหูก็ดังขึ้น “นายมาทำอะไรอยู่ที่สวนนี่ คิดว่านี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว!”

    “ง่า…ก็มานอนชมจันทร์ แล้วตอนนี้ก็คงเกือบเที่ยงคืนแล้วมั้ง” คนถูกขัดบรรยากาศพยายามหาคำตอบที่คิดว่าน่าจะถูกใจอีกฝ่ายมากที่สุด

    แต่ท่าทางของนักบวชหนุ่มกับถ้อยคำต่อมาก็บอกชัดว่าตอบผิด “แล้วนายไม่รู้รึไงว่ามันเลยเวลาปิดหอมานานขนาดไหนแล้ว!? มันลำบากฉันที่ต้องออกมาตามนายนะโว้ย”

    “อูย…อยู่ใกล้แค่นี้ไม่ต้องตะโกนก็ได้ เดี๋ยวพวกยามก็แห่กันมาพอดี” ลูคัสว่าเสียงอ่อย พลางแกล้งทำท่าปิดหูไปด้วย ก่อนจะหันมายิ้มให้คนหน้าบูด “คืนนี้อากาศดีจังว่ามั้ย ไหนๆนายก็อุตส่าห์ออกมาแล้ว มานั่งคุยกันก่อนเถอะ” คำชวนอย่างไม่รู้สึกผิด ขณะที่มือก็ตบแปะๆกับพื้นหญ้าข้างตัวเป็นการบอกให้อีกฝ่ายนั่งลง

    ลอเรนซ์แยกเขี้ยวเข้าใส่ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างเสียมิได้ ปากก็บ่นไปๆอย่างหงุดหงิด “ไม่รู้ชาติที่แล้วฉันไปทำกรรมเวรอะไรไว้ชาตินี้ถึงได้ดวงซวยมาเจอนาย คนอะไรหาเรื่องปวดหัวมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน ไอ้บ้าสี่คนนั่นก็เหมือนกัน ดูพวกมันแต่งเรื่องแก้ตัวให้นาย…ไม่ได้ไว้หน้ากันมั่งเลย ฉันเลยซวยกลายเป็นตัวตลกแห่งป้อมอัศวินที่เสร่องี่เง่าจนทำให้ทีมถูกปรับแพ้ บัดซบที่สุด ไม่รู้ว่าคนอื่นๆเชื่อกันเข้าไปได้ยังไง โคตรจะไร้สาระเลย ลูคัส! อย่ามาหัวเราะนะ”

    ถ้อยตวาดเสียงเขียว ทำให้หนุ่มผมดำต้องหยุดหัวเราะ หากใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มเต็มที่ “ฉันชักจะเชื่อแล้วว่าแสงจันทร์มีอำนาจพิเศษ เพราะดูเหมือนคืนนี้มันจะเปลี่ยนให้นายให้กลายเป็นนักบวชขี้บ่นไปแล้วนะ ลอรี่”

    เฟี้ยว! ฉึก!

    มีดบินเล่มแรกถูกส่งไปให้คนปากหาเรื่องทันที แต่ก่อนที่มีดสั้นเล่มที่สองจะตามออกไป คู่กรณีก็ยกมือยอมแพ้ขอสงบศึกกลางสวน พร้อมกับเอ่ยต่อขันๆ “มีใครเขากล้าว่านายเป็นตัวตลกแห่งป้อมอัศวินกันล่ะ แต่นายก็ดวงซวยจริงๆล่ะ ฉันว่าที่พวกมันแต่งเรื่องไปแบบนั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นการแก้แค้นนายที่รู้เรื่องฉันแต่ไม่ยอมเล่าให้ฟังก็ได้ อืม…ฉันว่าส่วนนี้ต้องเป็นความคิดของโรเวนแน่นอน”

    “ชิ แล้วทำไมพวกมันมาแก้แค้นฉันคนเดียวล่ะ” ลอเรนซ์สวนอย่างหงุดหงิด

    “ฮะ ฮะ แย่หน่อยนะ อืม…แต่จะว่าไปไม่ใช่ว่าคนอื่น ‘เชื่อ’ หรอก เรื่องที่พวกนั้นแต่งน่ะ แค่ ‘แกล้งเชื่อ’ ต่างหาก ไม่งั้นจะมีคนเรียกพวกเราว่า นักบวชกับซาตานแห่งป้อมอัศวินเหรอ”

    “นักบวชกับซาตานแห่งป้อมอัศวิน?” ลอเรนซ์เลิกคิ้ว มองหน้าเพื่อนที่ยังยิ้มละไมอยู่ แล้วจึงเอ่ยถาม “นายโอเคเหรอที่คนเขาจะเรียกนายแบบนั้น”

    “ไม่เป็นไรหรอก จะว่าไปฉันก็ชอบนะ ดีออกที่เรามีฉายาคู่กันแบบนี้ ขนาดโรเวนยังไม่มีใครเรียกว่าเจ้าชายแห่งป้อมอัศวินเลย” ลูคัสกล่าวยิ้มๆ

    “ก็ดี” ลอเรนซ์ตอบเรียบ

    …เงียบกันไปสักพัก แล้วลูคัสก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย “ว่าแต่นายหาฉันเจอได้ไงน่ะ คราวก่อนก็ด้วย?”

    “ที่ซ่อนของเด็ก หาไม่ยากหรอก” ลอเรนซ์ตอบห้วนๆ

    ลูคัสยิ้มออกมา ก่อนจะถามต่อ “ฉันเด็ก แล้วนายไม่เด็กหรือไง”

    “อย่างน้อยฉันก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่หายตัวไปดื้อๆให้คนอื่นเขาต้องเป็นห่วงแบบนาย” ลอเรนซ์กัดตอบ

    คำตอบที่ทำให้ลูคัสจ้องหน้าอีกฝ่ายนิด ก่อนจะพยักหน้ายิ้มๆ “นั่นสินะ ก็ดีเหมือนกัน ฉันเด็ก ส่วนนายเป็นผู้ใหญ่แล้ว”

    ลอเรนซ์เลิกคิ้วกับคำกล่าวนั้น ไม่คิดว่าคนหัวดื้อจะยอมรับง่ายๆ ใบหน้าที่ปรากฏเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมดของนักบวชหนุ่ม ทำให้อีกฝ่ายยอมเฉลย “ถ้าตามเหตุผลของนาย ฉันอยากเป็นเด็กตลอดไปด้วยซ้ำ นายจะได้หาฉันเจอทุกครั้ง ไม่ทิ้งให้ฉันต้องอยู่ตัวคนเดียว ส่วนนายเป็นผู้ใหญ่น่ะดีแล้ว จะได้ไม่หายตัวไปจากฉันเฉยๆ เพราะถ้านายหายตัวไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ฉันอาจ…” ถึงตรงนี้ลูคัสก็เงียบไป

    คราวนี้ลอเรนซ์มุ่นหัวคิ้ว ก่อนจะเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด “พล่ามอะไรของนาย ยังคิดมากอยู่อีกเรอะ”

    “เปล่าหรอก” ลูคัสตอบพร้อมกับยิ้มบาง “นายอาจจะไม่เข้าใจ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยได้รับความรักจากใครๆอย่างฉัน เพื่อน…โดยเฉพาะพวกนายห้าคนมีค่าสำหรับฉันมาก น้ำใจที่พวกนายมีให้มันมากมายชนิดที่ฉันไม่เคยกล้าแม้แต่จะคิดหวังไปถึงด้วยซ้ำ ยิ่งนาย…ลอเรนซ์ ไม่ว่านายจะคิดยังไง แต่การกระทำของนายก็ช่วยฉุดฉันขึ้นมาจากความมืดครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับฉัน..นายเป็นเหมือนแสงอาทิตย์ที่ส่องนำให้กับคนหลงทาง เป็นเหมือนแสงจันทร์ที่คอยปลอบประโลมคนที่จมอยู่ในความมืด ฉันติดหนี้นายมาก จนไม่รู้จะขอบใจยังไงดีแล้ว”

    “พอเลย เลิกเพ้อได้แล้ว อีกอย่างฉันถือคติบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ”

    ลูคัสยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี “งั้นเหรอ แต่ว่าฉันติดหนี้นายชนิดที่ใช้ยังไงก็ไม่หมด เอาเป็นว่าฉันจะตามติดเพื่อตอบแทนบุญคุณนายไปตลอดชีวิตเลยละกัน”

    ลอเรนซ์ยกมือขึ้นกุมขมับ เอ่ยถามอย่างปวดหัว “ตามติดเพื่อตอบแทนบุญคุณ? สับสนกับตามรังควานรึเปล่า”

    “อ้าว ไม่ดีเหรอ ฉันคุยเก่งนะ มีฉันอยู่เป็นเพื่อนนายจะได้ไม่เหงาไง ฉันชงน้ำชาอร่อยด้วย นายยังติดใจเลยไม่ใช่เหรอ แล้วที่สำคัญฉันมีแว่นตาที่ระลึกถึงท่านอาจารย์ของนายติดตัวอยู่ ฉันคอยติดตามนาย นายก็ต้องเห็นหน้าฉันบ่อยๆ จะได้หายคิดถึงทั้งฉันทั้งอาจารย์ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ฉันมีข้อดีขนาดนี้นายยังจะบ่นอีกเหรอ…” ลูคัสต้องหยุดพูด เมื่อหันกลับไปเห็นว่าคนขี้โมโหข้างตัวได้เผลอหลับไปเสียแล้ว

    “นี่ ลอรี่ นายจะนอนตรงนี้ไม่ได้นะ” ลูคัสพยายามปลุก หากแต่…

    เฟี้ยว! ฉึก!

    มีดสั้นสีเงินลอยเฉียดหน้าคนปลุก ขณะที่เจ้าของมีดยังคงนอนหลับสนิทไม่ยอมตื่น ทำเอาลูคัสอดยิ้มไม่ได้ “เอาเข้าไป ฉันปลุกแล้วนะ นายไม่ยอมตื่นเอง อย่ามาโทษกันล่ะ”

    แล้วซาตานแห่งป้อมอัศวินก็นอนเฉย ไม่ยอมปลุกอีกฝ่ายซะอย่างนั้น แล้วสักพักลูคัสก็ผลอยหลับตามคนข้างตัวไป โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ตอนลืมตาตื่นก็คือหน้าขมึงทึงของอาจารย์เจ้าชายชามัล และคำสั่งทำรายงานพันหน้า!!

    ------------------------------

    กาลเวลาผันผ่าน จากวันนั้นจนถึงวันนี้…

    “ไง ระหว่างปี 5 ป้อมอัศวิน กับปี 6 ปราสาทขุนนาง นายจะเล่นข้างไหนว่ามาเลย” นักเรียนปีหนึ่งใจกล้าแห่งป้อมอัศวินกำลังทำตัวเป็นโต๊ะรับแทงพนันอย่างไม่เกรงฟ้ากลัวดิน

    “งวดนี้ป้อมอัศวินเป็นรอง แทง 7 จ่าย 10 ใช่ป่ะ” เสียงใครอีกคนที่หาญกล้าไม่แพ้กันถามขึ้น

    “แม่นแล้วเพื่อน จะแทงฝ่ายไหน เท่าไหร่ดีล่ะ” เจ้ามือตอบกลับอย่างกระตือรืนร้น

    “อืม…ฉันเล่นข้างป้อมอัศ…” คนใจหาญต้องเงียบไปเมื่อเสียงกระแอมนุ่มๆดังขึ้น “อะแฮ่ม ป้อมเรามีกฎห้ามการพนันทุกชนิดนะครับ น้องๆ”

    ตอนนี้ทั้งคนริจะเล่นพนันและคนรับพนันยืนตัวแข็งทื่อไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นชัดตาว่าคนพูดเป็นใคร ..ผู้คุมกฎลูคัส.. แล้วยังอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ..ผู้คุมกฎลอเรนซ์..

    “เอาเป็นว่าครั้งนี้จะไม่เอาโทษ แต่อย่าให้มีครั้งหน้าอีกละกัน” น้ำเสียงและรอยยิ้มใจดีของลูคัส ทำให้คนผิดค่อยหายใจโล่ง รีบยิ้มแผล่ตอบคำ “ครับ รับรองไม่มีครั้งหน้าแน่”

    แล้วผู้คุมกฎทั้งสองก็เดินห่างออกไป …สามก้าว… ระยะที่เสียงยังดังมาให้ได้ยิน

    “มาพนันกันมั้ยว่าเจ้าหนูนั่นจะถูกจับฐานเล่นพนันอีกครั้งเมื่อไหร่” คำกล่าวอารมณ์ดีของลูคัสที่ทำให้ลอเรนซ์เริ่มแยกเขี้ยว ขณะที่รุ่นน้องอีกสองคนอ้าปากค้างไปเรียบร้อยแล้ว

    “50 คราวน์ หมอนั่นจะถูกจับอีกรอบในหนึ่งชั่วโมง นายล่ะลอรี่” ลูคัสยังคงพูดต่อยิ้มๆอย่างไม่รู้สึกรู้สา ส่งผลให้มีดบินปลิวว่อนพร้อมคำตวาดเสียงลั่

    จากวันนั้นถึงวันนี้… นักบวชกับซาตานแห่งป้อมอัศวินยังคงดำเนินชีวิตในรั้วโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กอย่างสงบสุข!?…


    --------------------------------------------------------------------

    จบแล้ว!! แง่มๆ ไปลัก(ขโมย)ผลงานเค้ามาฮึๆน่าหนุกดีแฮะ(จิบนมนิดๆ)

    คราวหน้า...เรื่องที่เราแต่งจะเอามาแก้ใหม่ให้มันสมบูรณ์ไปเลยฝากเรื่องเมืองมหามนตราแอเรียเทียร์ด้วย

    ใครไม่เม้นต์ฆ่าแน่ฮ่าๆ(ล้อเล่นน่า)


    อ้อ...อย่าลืมโหวดให้ล่ะ...แล้วแต่จะโหวดให้หรือไม่ให้ก็ได้ไม่ถือสาเราไม่โหดขนาดเท่าลูคี่เค้าหรอก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×