ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic : Baramos : L x L

    ลำดับตอนที่ #1 : Voice of Bloody Black Sheep

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 51


    ชื่อเรื่อง : Voice of Bloody Black Sheep
    ผู้แต่ง : มัดหมี่ (ob_ars@hotmail.com)
    ประเภท : ชีวิต
    ช่วงเวลา : ก่อนภาค 1

    เรื่องย่อ : เมื่อซาตาน 'ตื่น' ขึ้นมาอีกครั้ง (ตอนต่อของ U R my Light (Version 1) และ Satan's Diary)



    ในความเงียบที่ได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเองเต้น บรรยากาศรอบข้างที่อบอวลไปด้วยอายแห่งความสิ้นหวัง ผิดหวังและเศร้าสร้อย กลิ่นคาวเลือดที่โชยมาแตะจมูก

    ความฝันนั้นอีกแล้วหรือ? ภาพหมู่บ้านที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดตามมาหลอกหลอนอีกครั้งงั้นหรือ?

    สติของเด็กหนุ่มนาม ลูคัส ซาโดเรีย เริ่มกลับมา...

    กลับมา...เพื่อประจักษ์กับความจริงตรงหน้า ความจริง...ที่มิใช่ภาพฝัน

    ความเงียบ...ที่เกิดเพราะผู้คนในสนามกำลังนิ่งงันด้วยความตะลึงและสับสน...หวาดกลัวและรังเกียจ

    บรรยากาศประหลาด...ที่เป็นหลักฐานยืนยันการตื่นของ...ซาตาน

    และกลิ่นคาวเลือด...ที่ลอยมาจากร่างไร้สติในอ้อมแขน...ร่างโชกเลือดของ ลอเรนซ์ ดอร์น เดอะ พรีสต์ ออฟ แอเรียส !!!

    ------------------------------

    ชิวาส เดเบส นักเรียนปี 1 แห่งป้อมอัศวิน กำลังนั่งหน้าเซ็งอยู่ในห้องพัก ขณะที่สายตาก็เหลือบมองเพื่อนร่วมห้องอีกสองคน ลอเรนซ์กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง สมาธิแน่วแน่อยู่กับสิ่งที่อ่านไม่มีวอกแวก ส่วนลูคัส... หมอนี่นั่งก้มหน้าก้มตาทำการบ้านท่าทางตั้งอกตั้งใจเต็มที่ แต่ไม่วายฮัมเพลงไปด้วยอย่างสบายอารมณ์ และแล้วชิวาสก็ทนนั่งเงียบต่อไปไม่ไหวจนต้องเอ่ยออกมา

    “นายสองคนนี่ตายด้านกันหรือไง พรุ่งนี้พวกเรามีแข่งหมากกระดานเกียรติยศนัดเปิดสนามแท้ๆ พวกนายกลับดูไม่ตื่นเต้นกันเลยสักนิด คนนึงก็เอาแต่นั่งอ่านหนังสือ อีกคนก็ก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน ฉันล่ะไม่เข้าใจพวกนายจริงๆ จะมาขยันอะไรกันตอนนี้ แทนที่จะไปนั่งคุยนั่งปรึกษากันเหมือนกับคนอื่นๆเขาที่ห้องนั่งเล่นรวม”

    คำบ่นแกมประชดนิดๆที่ไม่มีเสียงตอบรับจากลอเรนซ์ แต่อย่างน้อยมันก็เรียกให้เด็กหนุ่มอีกคนในห้องยอมเงยหน้าขึ้นจากการบ้านที่กำลังทำอยู่ พลางแย้มรอยยิ้มขัน “นายรู้ตัวรึเปล่าว่านายบ่นแบบนี้ทุกห้านาที ชิววี่ ถ้านายอยากไปห้องนั่งเล่นรวมก็ไปเถอะ ไม่ต้องมาจ้องไปบ่นไปแบบนี้หรอก”

    “เออ ฉันไปแน่” ชิวาสตอบกระแทกเสียง นึกด่าไอ้เพื่อนบ้าไร้มนุษยสัมพันธ์สองตัวนี้อยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างฉุนๆ “ถามจริง นายไม่ตื่นเต้นสักนิดเลยรึไง”

    “มีโรเวนเป็นคนถือป้าย จะตื่นเต้นไปทำไม นิสัยหมอนั่นอาจไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่ถ้าเรื่องความสามารถ...รบภายใต้การนำของโรเวน พรุ่งนี้ปิดประตูแพ้ไปได้เลย” ลูคัสตอบยิ้มๆ

    “นายมั่นใจในตัวโรเวนขนาดนั้น?” ชิวาสเอ่ยถามอีกครั้ง เด็กหนุ่มทึ่งไม่น้อยกับคำตอบของเพื่อนตรงหน้า เพราะถึงแม้การที่อยู่ป้อมเดียวกันมาเกือบหนึ่งปี จะทำให้เขารู้ว่าเจ้าชายโรเวนแห่งเจมิไนมีท่าทางภายนอกที่แปรผกผันกับนิสัยและความสามารถ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาเชื่อมั่นได้ถึงขนาดนั้น

    ลูคัสขยับรอยยิ้มมากขึ้น พลางบุ้ยใบ้ไปทางเพื่อนร่วมห้องอีกคนที่ยังอ่านหนังสือไม่เลิก “ไม่ใช่ฉันคนเดียวซะหน่อย”

    คำตอบที่ทำให้ชิวาสถอนหายใจออกมาดังๆ พร้อมกับกล่าว “ฉันไม่เข้าใจพวกนายสองคนจริงๆนั่นล่ะ เอาเถอะ พูดไปพูดมานายสองคนก็ไม่ไปห้องนั่งเล่นรวมกับฉันอยู่ดี ตามสบายละกัน” ว่าแล้วเรนเจอร์หนุ่มก็เดินออกจากห้องไป

    พอเหลือกันอยู่สองคน ลูคัสก็ละจากกองการบ้าน ลุกเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ข้างๆนักบวชหนุ่ม “นายคิดยังไงกับการแข่งวันพรุ่งนี้”

    “ถ้านายอยากคุยเรื่องนี้ทำไมไม่ไปที่ห้องนั่งเล่นรวมกับชิวาสเล่า” ลอเรนซ์กล่าวอย่างรำคาญ หากสายตายังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือตรงหน้า

    ลูคัสแย้มรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี “ก็ฉันอยากรู้ความคิดนายไม่ใช่ความคิดคนอื่นก็ต้องอยู่ถามนายสิ อันที่จริง...นายเองก็มีเรื่องจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ” เมื่อเห็นคนตรงหน้ายังเฉย เจ้าตัวก็แย่บต่อ “มีอะไรก็พูดมาเถอะ การที่วันนี้นายดึงดันจะอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ทั้งๆที่ปกติถ้าหมอนั่นชวน นายก็มักจะตัดรำคาญยอมไปนั่งหน้าบูดในห้องนั่งเล่นรวม ก็บอกชัดอยู่แล้วว่านายมีเรื่องจะพูด รึไม่จริง ลอรี่”

    เฟี้ยว! ฉึก!!

    “ไอ้ที่เรียกอย่างนั้นนี่อยากตายมากใช่มั้ย” ลอเรนซ์ว่าอย่างหงุดหงิด แต่ก็ยอมวางหนังสือลงและหันมาให้ความสนใจกับคนข้างตัวเป็นครั้งแรก “นายพูดถูก ฉันมีบางอย่างอยากพูดกับนาย”

    “นั่นไง เห็นมะ” ลูคัสเอ่ยขัดยิ้มๆอย่างคนชนะ เล่นเอานักบวชหนุ่มหันมามองตาขวาง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เรื่องพลังซาตานในตัวนาย”

    ชั่วแวบที่ได้ยินคำกล่าวของลอเรนซ์ ใบหน้าคมเข้มดูจะผิดไปจากปกติ หากแล้วรอยยิ้มอารมณ์ดีก็กลับมาเกลื่อนบนดวงหน้านั้นอีกครั้ง น้ำเสียงที่เอ่ยสดใสขี้เล่นไม่เปลี่ยน “ไม่มีอะไรต้องห่วงนี่ ฉันควบคุมมันได้อยู่แล้ว นายอย่าคิดมากสิ เดี๋ยวหน้าก็ไปก่อนหรอก”

    ลอเรนซ์นับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างเพียรจะสงบสติอารมณ์ แล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “ฉันแค่อยากจะเตือนนายว่า...”

    หากลูคัสก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจฟังคำพูดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มผมดำขยับตัวไปที่หัวเตียง สายตาจ้องนิ่งอยู่ที่ของสิ่งหนึ่ง ขณะที่มือก็เอื้อมไปหมายจะหยิบ แต่แล้ว...

    เผียะ! ลอเรนซ์ฟาดไปที่มือของคนอยู่ไม่สุขเต็มแรง พร้อมกับตวาดถามเสียงห้วน “นายคิดจะทำอะไร”

    “ง่า...แบบว่าจะขอดูหน่อยน่ะ ฉันสงสัยอยากถามมานานแล้วว่าไอ้นี่มันสำคัญยังไง นายถึงได้พกติดตัวอยู่ตลอด ตอนจะนอนก็วางไว้ข้างหมอน ทั้งๆที่นายก็ไม่น่าจะสายตาสั้น จะว่าไป...ก็ไม่เห็นนายเคยใส่ด้วยซ้ำ” คำถามแทงใจจากลูคัส ทำเอานักบวชหนุ่มนิ่งเงียบไป ลืมสิ่งที่ตั้งใจจะพูดกับคนตรงหน้าหมดสิ้น

    นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์คู่งามเบือนมาจับที่แว่นตาที่วางอยู่ข้างหมอน ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม สายตาของลอเรนซ์ยามนี้ดูเหม่อลอย...จมลึกอยู่ในความคิดคำนึงของตนเอง ดวงหน้าที่เคยเคร่งอยู่เสมอกำลังฉายแววบางอย่างที่อีกฝ่ายไม่เคยเห็น...และไม่เคยปรารถนาจะได้เห็น

    ลูคัสมองเพื่อนตรงหน้านิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา “ลอเรนซ์ นายโอเคนะ”

    คนถูกเรียกสะดุ้งเล็กน้อย รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หากน้ำเสียงที่ใช้เอ่ยยังฟังดูโหวงๆ “แว่นตาอันนี้...เป็นของดูต่างหน้าอาจารย์ฉัน ท่านเป็นคนเก็บเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างฉันมาเลี้ยง ...และท่านก็ตายเพราะปกป้องฉัน...”

    แล้วความเงียบอันแสนอึดอัดก็เข้าปกคลุม... แต่ก่อนที่ลูคัสจะทันนึกหาคำพูดมาเปลี่ยนเรื่อง นักบวชหนุ่มก็กล่าวตัดบทขึ้น “ถ้านายไม่มีอะไรแล้ว ฉันจะนอนล่ะ”

    เด็กหนุ่มผมดำมองหน้าอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ก่อนจะยิ้มบาง “อืม...ฝันดีนะ” แล้วเจ้าตัวก็ลุกไปนอนที่เตียงของตน

    ------------------------------

    ดึกมากแล้ว เสียงกรนเบาๆของชิวาสดังสะท้อนอยู่ในความเงียบ ทุกสรรพสิ่งดูเหมือนจะอยู่ในห้วงนิทรา หากนัยน์ตาคู่คมเข้มยังคงลืมอยู่ในความมืด ทอดมองไปยังดวงจันทร์เกือบเต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า ปล่อยความคิดให้วนเวียนอยู่กับเรื่องซ้ำๆ... ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็รู้ดีว่า มีใครอีกคนที่ยังนอนไม่หลับเฉกกัน เขาคนนั้นคงจะกำลังจมอยู่กับความทรงจำในอดีต ทั้งที่ไม่เคยคิดจะทำร้าย ไม่เคยคิดจะทำให้เจ็บปวด ไม่เคยอยากจะเห็นสีหน้าแบบนั้น...สีหน้าที่ฉายแววเจ็บใจ เสียใจ และอ้างว้าง หากแล้วก็เป็นเพราะเขาเอง เพราะความอ่อนแอของเขา ที่เพียงได้ฟังคำว่า ‘พลังซาตานในตัวนาย’ ก็รู้สึกเจ็บลึก เหมือนมีหนามเสียดแทงใจ ทั้งๆที่บอกตัวเองมาตลอดว่าไม่เป็นไรแล้ว แต่ก็ยังอดกลัวไม่ได้ว่าทุกวันในเอดินเบิร์กจะกลายเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง ยิ่งเป็นคำพูดจากปากหมอนั่นยิ่งไม่อยากจะรับฟัง คนขี้ขลาดถึงได้หนี โดยใช้อดีตของคนๆนั้นมาบังหน้า ทั้งๆที่ไม่เคยคิดจะถามเพราะไม่ต้องการให้เจ็บปวด แต่แล้วเพราะความอ่อนแอ ความขี้ขลาด จึงได้เลือกที่จะปกป้องตัวเองด้วยการไปสะกิดแผลของอีกฝ่าย จะนึกเสียใจก็สายเกินไปแล้ว คนๆนั้นต้องมีสีหน้าและแววตาแบบนั้นก็เพราะเขาเอง

    ------------------------------

    บรรยากาศในห้องพักนักกีฬาของฝ่ายป้อมอัศวินยามนี้ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ปี 1 ทุกคนกำลังตื่นเต้นที่จะได้ลงสนามในศึกใหญ่ของจริง เสียงพูดคุยจึงดังอื้ออึงไปทั่ว แต่แล้วไม่นานทุกคนในห้องก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง...

    ลูคัส ซาโดเรีย ไอ้เพื่อนตัวดีที่ยิ้มแย้มร่าเริงอยู่เป็นนิจ วันนี้กลับเซื่องผิดตา เด็กหนุ่มในชุดนักบวชเต็มยศกำลังนั่งหน้าจ๋อย หูตกหางตกอยู่บนม้านั่งเงียบๆอย่างผิดวิสัย เพราะขนาดแค่ตอนที่รู้ตัวว่าจะได้ลงในตำแหน่งบิชอปขวา เจ้าตัวยังถูกอกถูกใจยกใหญ่ที่จะได้ใส่ชุดนักบวชเหมือนกับลอเรนซ์ที่เป็นบิชอปซ้าย

    “ชิวาส สองคนนั่นทะเลาะกันเรื่องอะไรอีกล่ะคราวนี้” โรเวนเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ต้องคิด รู้ดีว่าต้นเหตุที่ทำให้เจ้าตัวแสบที่ไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับใครเค้าหงอยลงได้มีอยู่แค่อย่างเดียวคือลอเรนซ์

    เรนเจอร์หนุ่มเกาหัวแกรก ตอบเสียงอ่อย “คือ...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อวานพอฉันกลับถึงห้องพวกมันก็นอนกันไปแล้ว พอตอนเช้าหมอนั่นก็ซึมไปเรียบร้อย”

    โรเวนถอนหายใจกับคำตอบ ก่อนจะเดินไปถามอีกคนที่น่าจะรู้เรื่องมากกว่า “ลูคัสเป็นอะไรไปอีกล่ะ”

    ลอเรนซ์ส่ายหน้าแทนคำตอบอย่างหงุดหงิด “เห็นเป็นมาตั้งแต่เช้าแล้ว ฉันเองก็ไม่ได้สนใจ” นักบวชหนุ่มเอ่ยเพียงเท่านั้น ไม่ได้อธิบายต่อไปว่าที่ไม่ได้สนใจน่ะ เป็นเพราะตัวเองก็พยายามหลบหน้าอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน ก็นะเมื่อวานดันเผลอแสดงความอ่อนแอให้หมอนั้นเห็นซะได้ น่าอายน้อยอยู่หรือ

    เจ้าชายหนุ่มพิจารณาท่าทีของเพื่อนตรงหน้า แล้วจึงตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ “ถ้างั้น เรื่องหมอนั่นฉันฝากนายดูแลด้วยแล้วกัน เดี๋ยวฉันต้องไปประชุมแล้วน่ะ”

    “อืม” ลอเรนซ์รับคำ ก่อนจะหันไปมองภาระที่ถูกฝากไว้ตาเขียว ...ไอ้คนที่ซึมมันควรเป็นเขาไม่ใช่เรอะ เพราะหมอนั่นดันถามอะไรไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือถึงได้ทำให้เขาเผลอนึกถึงอดีตขึ้นมา พาลให้ลืมเรื่องที่จะพูดกับมันไปสนิทอีกต่างหาก แล้วทำไมหมอนั่นถึงมานั่งซึมกะทื่อแทนซะงั้นล่ะ...

    นักบวชหนุ่มคิดพลางเดินเข้าไปหาคนที่นึกด่าอยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงห้วน “นายโอเครึเปล่า”

    ลูคัสเงยขวับขึ้นมามองหน้าคนพูดทันที “นายไม่โกรธฉัน” คำกล่าวที่คนควรโกรธต้องเลิกคิ้วอย่างสงสัย “นายจะให้ฉันโกรธเรื่องอะไร”

    “เปล่าๆ นายไม่โกรธก็ดีแล้ว” ลูคัสแย้มรอยยิ้มออกมา ท่าทางร่าเริงขึ้นทันตา “ดูสิ นายว่าฉันใส่ชุดนักบวชขึ้นไหม ฉันว่าเท่ห์อย่าบอกใครเลยล่ะ”

    ท่าทีที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของคนตรงหน้า เล่นเอาลอเรนซ์ต้องกุมขมับ นึกอยากไปกระชากคอโรเวนมาตะคอกถามนักว่าไอ้คนแบบนี้มันมีตรงไหนที่ควรต้องดูแล

    ------------------------------

    และแล้วประตูห้องพักนักกีฬาก็ถูกเปิดออก พร้อมกับการก้าวเข้ามาของเจ้าชายโรเวนและเหล่าบุคคลสำคัญแห่งป้อมอัศวิน ยาประคองพลังชีวิตถูกแจกจ่ายให้ทุกคนถ้วนหน้า คำพูดปลุกใจได้สร้างความฮึกเหิมและเรียกเลือดนักสู้ในกายให้เดือดพล่าน บัดนี้ป้อมอัศวินพร้อมแล้วสำหรับการประเดิมสนามนัดแรก

    “ระวังตัวล่ะ” คำพูดที่คาดไม่ถึงว่าจะหลุดออกมาจากปากนักบวชหน้าเคร่ง ทำให้ลูคัสต้องยิ้มกว้างรับ “นายก็เหมือนกัน”

    แล้วหมากกระดานเกียรติยศนัดสำคัญก็เริ่มต้นขึ้น....

    ------------------------------

    “น่าเสียดายที่นายไม่ได้ลงแข่งนะ โรเวน” เสียงทักทายลอยมาเข้าหูขณะที่เจ้าชายแห่งเจมิไนและตัวสำรองอีกสองคนกำลังเดินไปประจำที่ในปะรำพิธี

    “เป็นผู้เดินหมาก ไม่ใช่ไม่ลงแข่ง” โรเวนเอ่ยโต้ นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่สวยฉายแววเย็นเยือกขณะเบือนมาสบนัยน์ตาสีดำคมกริบของอีกฝ่าย “และถ้าดูไม่ผิดทางที่ท่านกำลังจะเดินไปมันเป็นเต็นท์กองเชียร์ฝ่ายป้อมอัศวินนะ ท่านอาเธอร์”

    รอยยิ้มหยันปรากฏบนใบหน้าเจ้าชายใจสิงห์ “หากฉันพอใจที่ไหนก็เหมือนกัน นายเองก็อย่ารีบแพ้ซะล่ะ ฉันจะรอชมฝีมือ...อยู่ที่ฝั่งป้อมอัศวิน”

    ------------------------------

    “เบี้ยสี่ ดีสาม” เสียงประกาศเปิดกระดานของปราสาทขุนนางดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขันอย่างแท้จริง

    “เบี้ยแปด เฮชหก” โรเวนเองก็สั่งเดินตาแรกอย่างไม่รอช้า ทำเอาเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

    “โรเวนเร่งเกมจนน่าแปลก” ไธนอสเปรยขึ้นเรียบๆ

    “กระดานเปิดแบบนี้ ตาต่อไปไม่พ้นต้องมีการปะทะแน่ เพียงแต่ฝ่ายโน้นจะกล้ารับคำท้ารึเปล่าเท่านั้น” เสียงเอ่ยเจือความพอใจเล็กๆ ดังขึ้นจากสาวงาม โซมาเนีย ควีนแห่งป้อมอัศวิน

    ไม่ทันขาดคำ คำสั่งบุกจากปราสาทขุนนางก็ดังขึ้น “บิชอปซ้าย เฮชหก ปะทะเบี้ยแปด”

    “โรเวนเอ๊ย ส่งหมูเข้าปากหมาแท้ๆ เบี้ยจะเอาอะไรไปสู้บิชอป” ชิวาส เดเบส ม้าซ้ายแห่งป้อมอัศวินร้องออกมาอย่างอดไม่อยู่ ทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆต้องเอ่ยอธิบายอย่างหงุดหงิด “ก็แค่เสียเบี้ยเพื่อเก็บบิชอปล่ะน่า”

    “อ๊ากกกก...” เสียงร้องโหยหวนจากเบี้ยหมายเลขแปดผู้โชคร้าย เลือดที่ไหลโทรมกายส่งกลิ่นคาวคลุ้ง พาให้บรรยากาศในสนามเครียดขมึง แล้วโรเวนก็ยกป้ายยอมแพ้ให้ร่างเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายหายวับไป เหลือทิ้งไว้เพียงรอยเลือดบนพื้นสนาม

    แต่ความตื่นเต้นยังไม่หมดไป เมื่อตำแหน่งหมากบนกระดานเวลานี้ เปิดว่างให้บิชอปสองฝ่ายได้เผชิญหน้ากัน

    “ลอเรนซ์ นายเป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าดูไม่ดีเลย” คำเอ่ยทักจากหญิงสาว ที่บิชอปหนุ่มปฏิเสธเสียงห้วน “เปล่า”

    “เห็นเพื่อนเลือดโชกแบบนั้น จะรู้สึกแย่ก็ไม่แปลกหรอก” อีกเสียงกล่าวขึ้น ให้ลอเรนซ์ต้องปฏิเสธอีกครั้ง “ไม่ใช่”

    “หรือว่านายเป็นห่วงลูคัส ไม่เป็นไรหรอกหมอนั่นต้องชนะแน่ ไม่งั้นโรเวนคงไม่เดินหมากแบบนี้” คราวนี้บิชอปหนุ่มหมดความอดทน ลืมตัวตวาดเสียงลั่น “ไม่ใช่ ฉันรู้หรอกน่าว่าหมอนั่นจะไม่แพ้ ฉันแค่รู้สึกสังหรณ์ใจว่า…” ลอเรนซ์รีบหุบปากทันทีที่รู้ตัวว่าเกือบจะหลุดโพล่งอะไรออกไป ใช่…เขาสังหรณ์ใจมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อยากจะเตือนแต่ก็ไม่ได้เตือน

    แล้วคำประกาศบุกครั้งแรกของฝ่ายป้อมอัศวินก็ดังขึ้น “บิชอปขวา เฮชหก ปะทะบิชอป”

    สิ้นคำประกาศร่างของบิชอปผมดำก็หายวับจากตำแหน่งที่เคยยืน มาปรากฏที่ตำแหน่งเฮชหกทันที รอยยิ้มอารมณ์ดีฉายบนดวงหน้าคมเข้ม “ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ผมว่า…รีบๆยอมแพ้ไปจะดีกว่านะครับ”

    บิชอปปราสาทขุนนางเหยียดยิ้มหยันกับคำกล่าวนั้น “คนที่น่าจะรีบๆยอมแพ้ไปคือนายต่างหาก”

    ลูคัสแกล้งถอนหายใจเฮือก พร้อมกับกล่าว “ผมเตือนแล้วนะครับ” จบคำรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนดวงหน้าคนพูดอีกครั้ง หากคราวนี้รอยยิ้มนั้นกลับดูน่าสะพรึง จนคู่ต่อสู้สะดุ้งวาบเผลอถอยหลังไปสองก้าวอย่างลืมตัว ก่อนจะหัวเราะเสียงเครียดพร้อมกับดีดนิ้วเปาะ

    ฉับพลันกองเลือดที่อาบอยู่บนพื้นสนามก็พุ่งเข้าหาลูคัส พร้อมกับแปรสภาพเป็นผนึกแก้วสีแดงตรึงเท้าทั้งสองข้างของบิชอปหนุ่มติดแน่นอยู่กับพื้นสนาม ให้คนถูกตรึงต้องเลิกคิ้วอย่างสงสัย เพราะคู่ต่อสู้ยังไม่ทันร่ายเวทใดๆเลย

    และเพียงเสี้ยวเวลาที่เผลอก็มากพอที่จะทำให้คนรอจังหวะอยู่แล้วฉวยโอกาสร่ายเวทเรียกแท่งแก้วปลายแหลมนับร้อยให้ปรากฏขึ้นในอากาศ ก่อนจะพุ่งตรงเข้าโจมตีเหยื่อที่ถูกตรึงติ

    ลูคัสรีบดึงกำแพงเวทขึ้นมาสกัด แต่ช้าเกินไป กำแพงเวทที่ไม่สมบูรณ์กันแท่งแก้วได้เพียงบางส่วน ปล่อยให้ที่เหลือพุ่งรี่เข้าใส่ร่างเด็กหนุ่มที่ขยับหนีไปไหนไม่ได้ แม้ลูคัสจะพยายามเบี่ยงตัวหลบตามวิชาหลีกมีดบินที่ฝึกมาจนเกือบจะช่ำชอง หากจำนวนที่มากเกินไป ทำให้ไม่อาจหลบพ้น ปลายแหลมของแท่งแก้วกรีดเนื้อเฉือนหนัง ปักฉึกเข้าร่างของบิชอปแห่งป้อมอัศวิน เรียกเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและเลือดสีแดงเข้มให้ไหลทะลัก

    …เจ็บ…เจ็บเหลือเกิน…แล้วยังกลิ่นคาวเลือด…นี่มันอะไรกัน…
    ความเจ็บอันแสนทรมานและกลิ่นคาวเลือดที่ชวนคลื่นเหียน

    …คุณแม่…คุณแม่อยู่ที่ไหน…ใครก็ได้…ใครก็ได้ช่วยที…
    ความคิดเริ่มสับสน สติเริ่มหลุดลอย

    …ไม่…ไม่อยากตาย…ฆ่า…ฆ่าก่อนที่จะถูกฆ่า…
    แล้วซาตานก็ถูกปลุกให้ตื่น

    ท่ามกลางความตกตะลึงของเหล่าคนดูและผู้เล่นในสนามกับภาพการโจมตีอันแสนโหดเหี้ยม พลันสิ่งที่น่าตื่นตระหนกยิ่งกว่าก็ปรากฏให้ประจักษ์แก่สายตา เมื่ออยู่ๆการโจมตีทั้งหมดก็ชะงักลง แท่งแก้วที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศร่วงกราวลงสู่พื้น ผนึกแก้วสีแดงที่พันธนาการเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และท่ามกลางความเงียบสงบ บรรยากาศในสนามเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ลมที่พัดเอื่อยๆจู่ๆก็กรรโชกแรงราวกับมีพายุ กลิ่นอายแห่งความสิ้นหวัง ผิดหวัง เศร้าสร้อย คละเคล้าไปทั่ว ก่อนที่รัศมีของการทำลายล้างจะแผ่กระจาย…

    ผู้คนรอบสนามพากันสะท้านเยือกกับบรรยากาศที่ได้สัมผัส ไม่ต้องพูดถึงบิชอปปราสาทขุนนางที่อยู่ใกล้ต้นตอมากที่สุด บัดนี้เจ้าตัวหยุดเสียงหัวเราะสะใจไปสนิท เพียงได้สบตากับปีศาจตรงหน้าความกลัวก็แล่นวาบเข้าจับจิตจนแทบบ้า เข่าอ่อนทรุดฮวบลไปกองกับพื้น ร่างกายสั่นระริกด้วยความหวาดผวาและความหนาวยะเยือก

    ซาตานยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตากวาดมองร่างของตนที่บัดนี้ร่องรอยบาดแผลจากการถูกโจมตีได้หายไปหมดสิ้นเหลือเพียงคราบเลือดและรอยขาดของเสื้อผ้าอย่างพึงใจ ก่อนที่นัยน์ตาคู่เข้มจะตวัดไปจ้องเขม็งยังร่างที่นั่งสั่นงันงกอยู่เบื้องหน้า แล้วรอยยิ้มอันน่าพรั่นพรึงก็ปรากฏที่มุมปาก

    “อย่านะ!” เสียงตะโกนดังแหวกอากาศ หากตอนนี้สติของลูคัสไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว ร่างกายขยับเพียงเพื่อจุดประสงค์ที่ต้องการ…ฆ่าและทำลาย บิชอปซาตานพุ่งพรวดเข้าหาเหยื่อที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที…เหยื่อที่ถูกความกลัวเข้าครอบงำจนไม่มีแรงจะขยับหนี ไม่มี…แม้กระทั่งเสียงที่ตะโกนขอยอมแพ้ ได้แต่อ้าปากค้างตาเบิกโพล่งรอวาระสุดท้ายของตน

    ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย ร่างๆหนึ่งก็โผล่เข้ามาขวางทาง

    สวบ!

    “อั่กก…” เสียงกระอักเลือดดังขึ้นทันทีที่มือของซาตานหนุ่มทะลวงผ่านร่าง เลือดสีแดงสดไหลปรี่ออกมาจากช่องท้องที่ถูกแทงทะลุอย่างน่าสยดสยองเป็นที่สุด หากคนที่เข้ามาขวางหาได้ใส่ใจจะรักษาบาดแผลฉกรรจ์ของตนเองไม่ นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์คมใสจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาคู่คมเข้ม ก่อนจะรวบรวมแรงเค้นเสียงเอ่ยด่าอย่างยากลำบาก “ไอ้บ้า…ลูคัส…ไอ้…งี่เง่า…ตื่น…ได้…แล้ว…

    …ลูคัส…ใคร…ชื่อเรางั้นเหรอ…

    …คนๆนี้…ใครกัน…คุ้นเหลือเกิน…

    …ผมสีทองสว่าง…นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์…ลอเรนซ์…

    “ลืม…ตา…ขึ้น…มา…สิ” ลอเรนซ์กัดฟันกระซิบเรียกอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนสติจะดับวูบลง

    ---------------------------------------------------------------------

    อย่าลืมคอมเม้นต์ให้ด้วยนะ พรีสท!! ขอความกรุณาด้วยค่า! เอ๊ะ...อ่านแล้วเม้นต์ให้ด้วย

    ไม่เม้นต์แช่งปนสาปแน่ !! ข้าแมวปีศาจนะ (ล้อเล่นน่า!! )
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×