คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : prologue*
Meeting your soul mate is like walking into a house you’ve been before..
you will recognize the furniture, the picture on the wall, the books on the shelves ,
the contents of drawers: You could find your way around in the dark if you had to..
prologue
ท่ามกลางเสียงเพลงที่ขับกล่อมนักท่องราตรีในสถานที่แห่งหนึ่ง นาฬิกาที่ข้อมือบางบ่งบอกว่าตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยมาอีกวันนึงแล้วซึ่งก็คือเวลาเลิกงานที่ตนรอคอย "ลู่หาน"ในชุดบริกรยกแก้วเครื่องดื่มที่พร่องไปกว่าครึ่งของลูกค้าเข้าไปส่งต่อแก่พนักงานล้างที่หลังร้าน ทั้งสองยิ้มให้กันตามมารยาทที่ควรจะมี จากนั้นร่างบางก็เดินไปเปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนของตนที่พึ่งถอดออกเมื่อหกชั่วโมงที่แล้ว
ภาพในกระจกห้องแต่งตัวสะท้อนตัวตนของเจ้าของแววตาเศร้าหมอง ดวงหน้าหวานราวกับผู้หญิงที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนธรรมชาติไม่ได้ยินดียินร้ายกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวินาทีของเข็มนาฬิกา มือเรียวปัดผมที่ประใบหน้าซึ่งสร้างความรำคาญใจให้เขาตลอดการทำงาน ก่อนจะขยับยิ้มให้กับตัวเองหลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว
“วันนี้นายทำได้ดีมากลู่หาน” เสียงแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากบางของเจ้าของชื่อ ถ้อยคำที่เหมือนยกยอตนแต่จริงๆแล้วกลับเป็นถ้อยคำให้กำลังใจตนเองเพื่อผ่านพ้นคืนวันที่เดียวดายเหมือนกับทุกๆวัน ความโดดเดี่ยวเดียวดายที่ล้อมรอบกายเขาจนเราสนิทกันอย่างไม่น่าเชื่อ
ครืด ครืด..
เสียงโทรศัพท์ที่ตั้งสั่นไว้ตั้งแต่เข้างานเรียกความสนใจจากเขาให้ละสายตาออกจากภาพสะท้อนของตนเอง ชื่อที่เด่นหราอยู่บนหน้าจอเรียกรอยยิ้มให้เผยออกบางๆบนมุมปากของเขาเมื่อนึกถึงบุคคลที่เป็นเจ้าของสายนี้และคนคนนั้นคงกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด หรือไม่ก็มีสีหน้าที่กำลังฉายไปด้วยความกังวลอย่างที่เจ้าตัวชอบที่จะแสดงออกมาให้เขาเห็น
"ฮัลโหล" กดรับสายพร้อมกรอกเสียงนุ่มสบายซึ่งคนที่ได้ยินคงรู้สึกเบาใจไปกว่าครึ่ง
(ลู่หานนายเลิกงานรึยัง?) ปลายสายตอบกลับมาทันทีอย่างไม่รอเวลาให้เขาได้เอ่ยอะไรต่อ
“อื้ม ตอนนี้ฉันกำลังจะกลับบ้านแล้ว" ว่าพลางเหน็บโทรศัพท์ไว้ระหว่างไหล่บางก่อนจะหยิบบรรดาข้าวของใส่กระเป๋าพร้อมกับเอียงคอตอบรับคนในสายไปด้วย
(ให้ตายเถอะ ฉันไม่ชอบให้นายทำงานอย่างนี้เลยจริงๆ )เสียงถอนหายใจหนักๆผสมกับความหงุดหงิดของอีกคนไม่ได้จริงจังมากนัก แต่ตอนนี้ในหัวเขากลับมีภาพของอีกคนที่ขยี้หัวตัวเองอย่างไม่สามารถทำอะไรได้ (นี่มันเกือบจะตีหนึ่งแล้ว ให้ฉันไปรับไหม)
“เฮ้ ใจเย็นสิ ฉันดูแลตัวเองได้ ”เขาพูดกลั้วหัวเราะเพราะเสียงของอีกฝ่ายดูเป็นห่วงจนอดดีใจอยู่ลึกๆไม่ได้
(เวลานี้มันอันตรายมาก ฉันอยากให้นายระมัดระวังตัวด้วย พวกข่าวหน้าหนึ่งก็ลงข่าวโจรกรรมน่าสยองกันโครมๆทุกวันจนฉันอดห่วงนายไม่ได้) เขาได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆของอีกฝ่ายที่ดังขึ้นก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ทำให้ เพื่อนสนิท เพียงคนเดียวของเขาต้องกังวลใจแบบนี้
"เข้าใจแล้วดีโอ..ฉันจะระวังตัว แต่เฮ้ นี่มันก็ดึกมากแล้วทำไมนายยังไม่นอนอีก” เขาถามกลับอีกฝ่ายเมื่อเหลือบไปเห็นเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาอีกครั้ง ให้ตายเหอะ อีกคนก็ใช่ว่าจะไม่ทำให้เขาห่วงซะทีไหน อย่างน้อยถ้าจะมากังวลเรื่องของเขา เจ้าตัวก็ควรดูแลตัวเองซะบ้าง
(เอ่อ....ฉันตื่นขึ้นมาทำการบ้านน่ะ พอดีตอนเย็นเผลอหลับไป แต่ไม่ต้องห่วงเพราะยังไงฉันก็ได้พักผ่อนแล้ว เหลือแต่นาย ลู่หาน รีบกลับบ้านได้แล้ว อย่าลืมที่ฉันพร่ำบอก ห้ามเดินไปในทางเปลี่ยวๆเข้าใจไหม) เสียงแปร่งๆของอีกฝ่ายทำให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลอะไรที่เขาควรไปถามเซ้าซี้ต่อไป
"อ่า...ถ้างั้นนายก็อย่านอนดึกมากนะ พรุ่งนี้พวกเรามีสอบย่อยคาบอังกฤษ ยังไม่ลืมใช่ไหม" อดจะย้ำเตือนไม่ได้เมื่ออีกคนค่อนข้างใส่ใจเรื่องของเขามากเกินไปจนบางครั้งต้องคอยกล่าวเตือนซึ่งกันและกันอยู่เสมอ
(นายก็อย่าลืมว่าถึงแล้วโทรมาบอกฉันด้วย)
"ฉันจะกลายเป็นลูกชายนายแน่ๆถ้านายยังทำแบบนี้เรื่อยๆ โอเคๆถ้าถึงแล้วฉันจะโทรไป บาย"
(ฉันจะรอ)
อีกฝ่ายกล่าวทิ้งท้ายก่อนที่เขาจะตัดสายไป ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ก้าวขาออกมานอกร้านแล้ว ท้องฟ้าที่มืดสนิทเหมือนทุกวันยังคงไม่สามารถสร้างความหวาดกลัวให้เขาได้ แต่บรรยากาศต่างหาก บรรยากาศที่อบอวลอยู่ทุกอณูอากาศทำให้เขารู้สึกอึดอัด และจากนั้นเขาก็ไม่รอช้าที่จะก้าวขาเร็วๆเพื่อกลับบ้านให้เร็วที่สุดตามแนะนำของเพื่อนสนิทของตน...
#
ภายใต้เงามืดของจันทราที่ลอยสง่าอยู่บนท้องฟ้าที่ดำมืด เสียงลมพัดหวีดหวิวอยู่ทั่วอณูอากาศ หากนับค่ำคืนนี้เป็นคืนที่ปราศจากผู้คน ก็คงจะอยู่อันดับต้นๆ แต่ไม่ใช่กับตรอกมืดแห่งหนึ่งที่ดังก้องไปด้วยเสียงย่ำเท้าหนักแน่น ว่องไว สลับกัน และหากลองฟังดีๆจะรู้ได้ว่าเสียงพวกนั้นมีมากกว่าหนึ่ง เสียงพูดคุยคล้ายคลึงไปทางกระซิบหนักดังผสมกันอย่างต่อเนื่องเหมือนกับบุคคลเหล่านั้นกำลังโต้เถียงกันเสียอย่างนั้น และจะว่าเดาถูกไปครึ่งก็ได้ ถ้าใช้คำนั้นกับสองสามของบุคคลปริศนาที่กำลังตีหน้าถมึงทึงใส่กันอย่างนี้
"ฉันไม่นึกว่านายจะทำอย่างนั้นจริงๆ ให้ตาย ถ้าพวกนั้นฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ มันคงรวมกำลังกันมาเด็ดหัวพวกเราแน่" เสียงหงุดหงิดดังขึ้นจากเจ้าของใบหน้าเรียวที่กำลังขมวดคิ้วแน่นพลางมองไปรอบๆเป็นระยะอย่างระแวดระวัง หลังจากหนึ่งในพวกเขาได้เผลอใช้พลังทำร้ายผู้คุมประตูจนต้องรีบระเห็จตัวมาให้ไกลที่สุด เท่าที่พวกนั้นจะตามหาพวกเค้าไม่เจอ
"ถ้านายยังส่งเสียงแบบนี้ไม่หยุด ฉันสาบานได้เลยแบคฮยอน ว่าพวกนั้นคงใช้เวลาแค่วินาทีเดียวก็ตามพวกเราเจอ เพราะเสียงนายมันไม่ต่างจากเครื่องกระจายเสียงเคลื่อนที่สักนิด"
"ย่าห์! นี่ชานยอลจะปากดีเกินไปแล้วนะ" หัวสีเทาหม่นถูกตะปบทันทีด้วยมือเรียวของเจ้าของเสียง นิ้วทั้งห้ายื้อดึงหัวเพื่อนสนิทที่บังอาจว่าแบคฮยอนคนนี้ว่าเป็นเครื่องกระจายเสียงอะไรเทือกๆนั้น ไม่รู้ล่ะ แต่แบคฮยอนคิดว่าแค่ฟังแล้วอยากกระชากผมของคนตรงหน้าให้หมดหัวก่อนที่ร่างกายของอีกคนจะสมานแผลทัน “อื้อ!! อย่ามายุ่งกับคอฉันนะ!!”
คนที่เคยอยู่เหนือกว่าร้องลั่นเมื่อเพื่อนตัวสูงสู้กลับด้วยการคว้าหมับที่ต้นคอเรียวของตนก่อนจะกระชากไปมาอย่างไม่คิดจะผ่อนแรง
ถ้าสิ่งมีชีวิตแบบพวกเขาสามารถหายใจได้ สาบานได้ว่าเสียงถอนหายใจหนักจะเป็นสิ่งแรกที่สองสหายจะได้ยิน ก่อนที่จะมีมือเย็นๆไม่ต่างกันมากระชากร่างของเขาทั้งสองให้ห่างจากกัน แบคฮยอนที่ตั้งท่าจะไปซ้ำเจ้าเพื่อนตัวสูงที่ทำหน้ากวนอารมณ์อย่างที่เขาสุดจะทนใส่ แต่ก็ทำได้แค่คิดเมื่อถูกรั้งกายไว้ก่อนที่เสียงนิ่งๆของบุคคลที่สามจะดังขึ้นเป็นอันยุติสงครามไร้สาระนี้
"หยุดทะเลาะกันได้แล้ว..." แรงผลักหนักๆที่ไหล่ทำให้ร่างกายของแบคฮยอนกระแทกกับผนังตรอกแสนสกปรกนี่ ใบหน้าที่ถูกบดบังด้วยเงามืดค่อยๆเผยออกมาเมื่อแสงจันทร์ได้สาดส่องลงมายังที่แห่งนี้
ดวงหน้าที่หล่อเหลาได้สัดส่วน ประกอบไปด้วยคิ้วเฉียงรับองศากับใบหน้า และดวงตาคมกริบที่แสนเย็นชาแต่ทว่ามีเสน่ห์ชวนให้หยุดมอง แล้วยิ่งผิวขาวที่เหยียดไปทางซีดตามเผ่าพันธุ์ทำให้อีกคนดูโดดเด่นและมีรังสีร้ายกาจอย่างไม่น่าเชื่อ และใช่ เจ้าของรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบนี้ที่กำลังใช้ดวงตาคู่นั่นจ้องมองพวกเขาอย่างรู้สึกรำคาญ นั่นก็คือ เซฮุน หนึ่งในเพื่อนสนิทที่คบกันมาหลายร้อยปีของตน
“ถ้ายังคิดที่จะกัดกันไม่เลิกก็ทางใครทางมัน” เซฮุนเอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อหันไปเห็นชานยอลทำสีหน้าท้าทายเพื่อนที่แสนจะยั่วโมโหได้ง่ายอย่างแบคฮยอน ซึ่งอีกคนก็ตอบสนองท่าทางนั้นด้วยการกัดฟันกรอดจนเขายังได้ยิน “อย่าให้ฉันพูดซ้ำ”
ผละตัวออกจากคนที่ทำหน้าโมโหไม่เลิกก่อนจะเดินนำกลุ่มขึ้นมา ฝีเท้าทั้งสามคู่เดินไปตามแนวตึกที่ค่อนข้างปลอดผู้คน การเดินทางมาในครั้งนี้ไม่มีการวางแผนใดๆทั้งสิ้น มีก็แต่ความคึกคะนองของทั้งสามที่อยากมาเยี่ยมชมเมืองของมนุษย์โลกอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปนาน จะว่าพวกเขาไม่วางแผนก็คงจะมากเกินไป อันที่จริงแล้วพวกเขาตั้งตารอเวลานี้มานานพอสมควร เพราะช่วงเวลาที่เหมาะสมมันไม่ได้มีบ่อยครั้งอย่างที่ใจอยากให้เป็น
"พวกนายว่าการมาเยือนของพวกเราในรอบนี้มันจะมีอะไรพิเศษขึ้นไหม" แบคฮยอนกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบของทั้งสาม
"อย่างน้อยรอบนี้ฉันจะเลือดอย่างที่ฉันต้องการ จำได้ฝังหัวว่าคราวที่แล้วรสชาติห่วยบรม แต่ก็ยังมีคนแถวนี้ได้ตัวเลือกมากพิเศษแต่สุดท้ายก็จัดการไปแค่คนเดียว" กล่าวจบชานยอลก็หรี่ตามองเพื่อนหน้านิ่งของตน คนที่ถูกพูดถึงกลอกสายตาอย่างเบื่อหน่าย ใช่ว่าเซฮุนจะถูกใจกับเลือดผู้หญิงคนนั้นซะเมื่อไหร่
แต่ก็สุดท้ายก็คิดว่าหัวข้อสนทนาไร้สาระเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกมา....
เป้าหมายของทั้งสามคือผับที่หนึ่งที่พวกเขาเคยได้เหยื่อกลับมาอยู่บ่อยๆ มันค่อนข้างง่ายดาย เขาไม่รู้ว่าเพราะด้วยสเน่ห์แบบแวมไพร์ของพวกตนที่ล่อลวงเหล่าผู้โชคร้ายนั้นหรือเพราะจิตใจมนุษย์นั้นอ่อนแอเกินไปกันแน่
แต่แล้วความคิดในหัวอย่างหยุดชะงักเมื่อได้กลิ่นเลือดที่ลอยมาตามสายลม ทั้งสามหยุดชะงักก่อนที่เนื้อตัวจะสั่นเทิมด้วยสัญชาตญาณที่แฝงอยู่ในตัว ไม่ใช่ว่าพวกเขาขาดแคลนการดื่มกินเลือดมนุษย์มานานหรือไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ มันไม่ใช่ทั้งหมด พวกเขาเป็นแวมไพร์ที่มีความอดทนสูงกว่าคนในเผ่าพันธุ์หลายเท่าแต่ครั้งนี้พวกเขาต่างรู้ดีกว่ากลิ่นเลือดมันหอมหวานไม่เหมือนครั้งไหนๆมันปลุกความกระหายรุนแรงในร่างกายขึ้นมา ส่งผลให้สัญชาตญาณสัตว์ร้ายในร่างกายของทั้งสามกำลังถูกปลุกขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความหิวกระหายที่เคยควบคุมได้แต่ครั้งนี้มันรุนแรงเกินจะต้านทาน เหมือนกับคนติดยาได้เห็นสารเสพติดที่คุ้นชินอยู่ตรงหน้า ความทรมานที่มันเกิดขึ้นมาดื้อๆ เพราะยังหาสาเหตุของกลิ่นนั้นไม่พบ....
แต่สาบานได้ว่าพวกเขาจะตามหาเจ้าของกลิ่นเลือดหอมหวานนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้
เพราะความกระหายเลือดกำลังทรมานพวกเขาอย่างแสนสาหัสจริงๆ
#
ลู่หานปาดเลือดที่บริเวณหัวเข่าออกก่อนจะนิ่วหน้าเพราะความเจ็บเล่นงาน เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เขาพึ่งถูกรถยนต์คันหนึ่งเฉี่ยวแต่อาการก็ไม่สาหัสมากเพราหลบทันแต่ด้วยความเร็วของมันก็ทำให้เขาล้มไม่เป็นท่า และแน่นอนว่ามันยากที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมเมื่อแสงไฟจากท้ายรถได้ห่างไกลสุดสายตาเขาแล้ว ดวงตาสวยหม่นแสงลงเมื่อนึกถึงเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้น ทำไมโลกนี้ชื่นชอบที่จะมอบบทเรียนให้เขาได้อย่างร้ายกาจไม่ซ้ำเรื่องกันแบบนี้ และยิ่งจมดิ่งสู่ความคิด หัวใจก็พลันเจ็บปวดอีกครั้งเมื่ออดีตได้ฉายชัดเข้ามาในหัว อดีตที่ลู่หานไม่อาจแก้ไขได้ ความเศร้าจึงเริ่มเกาะกินไปทั้งร่างกาย ทั้งๆที่สัญญากับตัวเองและดีโอว่าเขาจะไม่นึกถึงมันอีก
กึก!
เมื่อกลืนความเจ็บปวดลงไปแล้วพยายามพาร่างกายอันบอบช้ำของตัวเองกลับบ้านให้เร็วเท่าที่จะทำได้ แต่แล้วสองขาก็หยุดชะงักเมื่อมองเห็นกลุ่มคนในความมืดที่ถนนเบื้องหน้า พวกนั้นทำตัวแปลกๆเหมือนค้นหาอะไรอยู่ และสองขาก็เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเมื่อคนพวกนั้นหยุดสายตามาที่เขา
ระยะทางระหว่างเขากับกลุ่มบุคคลปริศนาค่อยๆลดลงทั้งที่ลู่หานไม่ได้เป็นมุ่งหน้าเดินต่อ กลับกันขาทั้งสองข้างก็ก้าวถอยหลังช้าๆเมื่อเห็นว่าพวกนั้นยังไม่หยุดที่จะสาวเท้าเข้ามาใกล้
"ให้ตาย!" ลู่หานสบถ เมื่อแน่ใจแล้วว่าตนคือเป้าหมายของพวกนั้นแน่นอน ความกลัวเริ่มเกาะกินหัวใจ เมื่อนึกถึงคำเตือนต่างๆที่เพื่อนสนิทเตือนไว้ สองขาก้าวเริ่มถอยหลังด้วยความไวขึ้น เมื่อสังเกตเห็นว่าคนเหล่านั้นเตรียมท่าจะพุ่งมาหาตน และในชั่ววินาทีนั้นเสียงข้างในใจก็เตือนให้เขาวิ่งหนีให้เร็วที่สุด!
หมับ!!
"อะ...อะไรกัน"
ทันทีเริ่มออกเท้าวิ่ง ไม่ถึงเสี้ยววิก็ต้องหยุด เมื่อแขนถูกพันธนาการไว้ด้วยมือของใครคนหนึ่ง แรงกระชากทำให้เขาเบิกตาขึ้นอย่างหวาดกลัว เร็ว....มันเร็วเกินไป..พวกเค้าทำได้ยังไง
"ปะ..ปล่อยนะ!" ลู่หานสูดหายใจฮึดสู้ก่อนจะตวาดไปด้วยเสียงสั่นๆ พยายามไม่หันกลับไปสบตาบุคคลปริศนาในขณะที่ก็พยายามยื้อดึงตัวเองออกมาจากมือที่ไม่ต่างจากครีมเหล็กของอีกคน ความปวดหนึบที่ท่อนแขนแล่นปราดเข้ามาจนต้องเผลอกัดฟันสะกดเสียงร้องไว้ และภาวนาให้เรื่องบ้าๆนี้เป็นเพียงความฝัน แต่แล้วเหมือนอีกคนจะไม่ให้ความร่วมมือเอาซะเลย ซ้ำแล้วยังกระชากร่างเขาเข้าไปปะทะกับแผ่นอกแน่นของตน จนตอนนี้ลู่หานถึงได้รู้ว่าเขากำลังต่อสู้กับเพศเดียวกัน
“อย่าดิ้น” เสียงนิ่งเรียบดังขึ้นสั่งเขาและแน่นอนว่าลู่หานไม่โง่ที่จะทำตาม เขาพยายามสะบัดตัวออกจนอีกฝ่ายคงรำคาญถึงได้คว้าหมับเข้าที่คางของเขาก่อนจะกระชากใบหน้าให้เงยขึ้นไปสบตากัน
“......” ในจังหวะเดียวกับที่ดวงตาประสานกัน เมฆที่คอยบดบันดวงจันทร์ก็ได้เคลื่อนออกไป แสงนวลสาดส่องมาที่ใบหน้าของทั้งคู่ ก่อนที่ทุกเข็มวินาทีจะหยุดนิ่ง ลู่หานตัวสั่นอยู่ในกำมือของอีกคนซึ่งจดจ้องเขาอย่างกับจะกลืนลงไปทั้งตัว ใบหน้าหล่อเหลาที่สมบูรณ์แบบจนหน้าใจหาย ประกอบกับคิ้วเรียงตัวสวยที่กำลังขมวดแน่นในขณะที่กวาดดวงตาคู่คมกริบไปทั่วใบหน้าของคนที่กำลังอยู่ในกำมือ
“จะ..เจ็บ” เขากล่าวไปด้วยเสียงสั่นพลางพยายามแกะมือใหญ่ของอีกคนออกจากใบหน้าของตน แต่มันก็ไม่สำเร็จ เมื่อบุคคลตรงหน้าเขาเปลี่ยนมายึดคางของเขาแน่นก่อนจะโน้มหน้าลงมาพิจารณาเหยื่อของตนอย่างใกล้ชิด
"จะจับอีกนานไหม เซฮุน.." เสียงแหบพร่าดังขึ้นอย่างประชดประชัน แบคฮยอนในตอนนี้ต่างออกไปจากปกติ ดวงตาวาววับเหมือนหมาล่าเนื้อเห็นเหยื่ออันโอชะ ซึ่งเพื่อนสนิททั้งสองก็ต่างรู้ดีว่าความกระหายทำให้แบคฮยอนเปลี่ยนไปได้เสมอ....
ลู่หานเสมองไปยังผู้มาใหม่ เจ้าของใบหน้าเรียวสวยที่กำลังมีสีหน้าน่ากลัวกำลังไล่สายตามองไปทั่วร่างกายเขา คนโชคร้ายกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะต้องนิ่วหน้าเมื่อฝ่ามือหนักๆละออกจากคางก่อนที่จะเลื่อนลงมาจับลำคอของเขาเอาไว้มั่น ดวงหน้าสวยหวานเกินเพศของตนถูกบังคับให้หันไปสบตากับคนตรงหน้าอีกครั้ง เขาหายใจอย่างยากลำบากเมื่อรู้สึกถึงความเย็นเฉียบของฝ่ามือของคนตรงหน้าที่กำลังพันธนาการเขาอยู่
"พะ..พวกนายต้องการอะไร ถ้าต้องการเงิน ฉันไม่มีให้หรอกนะ อึก.." เขาพยายามบังคับให้ตัวเองพูดรู้เรื่องให้มากที่สุดแต่ด้วยความหวาดกลัวประกอบกับความกดดันทำให้เสียงเขาสั่นจนน่าตกใจ
"ความคิดเข้าท่า แต่น่าเสียดายที่พวกฉันไม่ได้ต้องการเงินน่ะสิ” ลู่หานเบิกตากว้างเมื่อมีเสียงกระซิบหนักและสัมผัสเย็นๆอยู่ข้างหูของตน ความรู้สึกเหมือนมีคนมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังยิ่งทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองให้หยุดสั่นได้ เพราะเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดถึงการมีตัวตนของบุคคลที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ความรู้สึกตอนนี้เหมือนหลุดเข้ามาในวงล้อมของราชสีห์หิวโซ และสิ่งที่เขาแน่ใจที่สุดคือเขามั่นใจว่าคนพวกนี้ต่างออกไป
"พวกนายเลิกเล่นได้แล้ว!" แบคฮยอนตวาดกร้าว รู้สึกโมโหอย่างยิ่งเมื่อเพื่อนทั้งสองยังทำเหมือนรู้สึกสนุกกับการต้อนเหยื่อให้กลัวในขณะที่เขารู้สึกทรมานกับความกระหาย มันไม่ต่างจากการเอาเหล็กร้อนๆมานาบลำคอเลยสักนิด และแน่นอนว่าความอดทนของแบคฮยอนเริ่มจะหมดลงทุกวินาที
ดังนั้นแวมไพร์อย่างเขาก็ไม่เสียเวลาคิดเลยที่จะกระชากเหยื่ออันโอชะมาจากมือของเซฮุนถึงแม้ว่าคนโชคร้ายจะร้องลั่นด้วยความเจ็บปนตกใจก็ตาม
"!!!!!!"
ในวินาทีที่สัญชาตญาณคำรามลั่นให้แบคฮยอนฝังเขี้ยวลงคอของคนที่ตัวสั่นด้วยความตื่นกลัวที่ตกอยู่ในกำมือเขา แต่แล้วแรงกระชากที่หนักกว่าก็ทำให้ร่างของเขาเซเกือบล้ม และทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง เหยื่อของเขาก็ตกไปอยู่ในอ้อมแขนของเพื่อนหน้านิ่งอีกครั้ง
ชานยอลที่ก้าวมาประคองเขาเอาไว้ แต่ก็ยื้อดึงร่างของคนที่เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ไปในตัว แบคฮยอนกำลังขาดสติ ยิ่งเวลาที่เจ้าตัวกระหาย ความก้าวร้าวจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
“อย่า” เสียงเรียบนิ่งของคนที่กำลังกักตัวเขาไว้ในอ้อมแขนดังขึ้น ลู่หานสับสนกับสถานการณ์ตรงหน้า เมื่อเจ้าของใบหน้าเรียวกับคนตัวสูงกำลังยื้อดึงกันที่จะห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาเขากับคนที่อยู่ตรงหน้า แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็เตือนให้เขาใช้แรงทั้งหมดผลักเจ้าของร่างกายเย็นๆนี้ออกและดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็กำลังสูญเสียสมาธิไปกับเหตุการณ์ตรงหน้าเช่นกัน เมื่อลู่หานหลุดจากพันธนาการมาได้ สองขาก็ วิ่งออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ในขณะที่หูทั้งสองข้างก็ได้ยินเสียงคำรามกร้าว และนั่นก็น่ากลัวเกินกว่าจะทำให้เขาหันกลับไปแล้วพลาดท่าให้ชีวิตของตัวเองจบที่ตรงนั้น
สาบานได้..ว่าลู่หานก็ไม่คิดว่าตั้งแต่เกิดมาตัวเองจะวิ่งได้เร็วเท่านี้มาก่อนเหมือนกัน
.
.
.
"ทำบ้าอะไรเซฮุน! เห็นไหมว่าเหยื่อหนีไปแล้ว!!!" แบคฮยอนตวาดเพื่อนของตัวเองลั่น หลังจากเห็นเหยื่อของตนวิ่งหนีออกไป คนโมโหพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากการกักตัวไว้ของเจ้าบ้าชานยอลแต่นั่นก็ดูจะเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ แต่เขากำลังทรมานสุดๆจนไม่รู้จะโมโหยังไงแล้ว!
"คนนี้ต่างออกไป....มันไม่เหมือนเหยื่อรายอื่น นายรู้สึกใช่มั้ยเซฮุน..." ชานยอลพูดพลางมองหน้าเพื่อนสนิทที่ปัดเสื้อที่ยับของตัวเองเบาๆก่อนจะคนหน้านิ่งหงายมือขึ้นมาสังเกต รอยเลือดจางๆเลอะอยู่ตามฝ่ามือของเขาและดูเหมือนว่าจะได้มาจากการสัมผัสมือของคนที่พึ่งวิ่งหนีไป
จมูกโด่งได้รูปสูดกลิ่นเลือดหอมหวานก่อนจะหลับตานิ่ง โลกทั้งโลกเหมือนถูกตัดออกจากเสียงรบกวน เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยอยู่ในห้วงของอากาศของอะไรซักอย่าง แต่แล้วแรงผลักไม่เบานักก็ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ และสิ่งแรกที่ลืมตาขึ้นมาก็คือสีหน้าโกรธของแบคฮยอนและสีหน้าสงสัยปนลำบากใจของชานยอลที่กำลังยื้อดึงคนในอ้อมแขนเอาไว้
“ฉันจะฆ่านายเซฮุน” แบคฮยอนกล่าวลั่นก่อนจะพยายามเอื้อมมือมาทำร้ายเขา แต่ชานยอลก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดี ขายาวๆขยับเข้าใกล้เพื่อนสนิทก่อนจะใช้แรงไม่เบานักเชยปลายคางเรียวของอีกคนขึ้นมาประสานดวงตาจนคนขี้โมโหหุบปากฉับอย่างไม่รู้ตัว
"อย่ายุ่งกับเขา.." แบคฮยอนเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนตน
"นายหมายความว่าไง..” แบคฮยอนไม่สามารถปดปิดความหงุดหงิดในน้ำเสียงได้ แต่เมื่อคนตรงหน้าเป็นเซฮุน เขาก็ทำได้แต่ถามออกไปอย่างพยายามอดทนและไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนของคนจะสื่อ
"อย่ายุ่งกับกวางน้อยตัวนั้น..” แววตาที่ยืนยันว่าไม่ได้กล่าวเล่นๆทำให้แบคฮยอนใจหายวาบ ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
“....” เขาไม่เคย..
“เขาเป็นของฉัน”
“....” เห็นเซฮุนเป็นแบบนี้มาก่อน..
“เข้าใจใช่ไหม..แบคฮยอน” สาบานได้จริงๆ
TBC
"อย่ายุ่งกับกวางน้อยตัวนั้น..”
Talk
กวางนั่นก็ของเราว่ะฮุน โทษที
หลังจากรีไรท์ใหม่เป็นยังไงบ้างคะ เราเพิ่มรายละเอียดไปหลายๆอย่าง อย่างเช่นนิสัยของตัวละคร ความรู้สึก แล้วก็ความเชื่อมโยง ความเป็นเหตุเป็นผล แต่ก็ไม่ลืมทิ้งปมไว้ให้คิดต่อยอดกัน
หวังว่ามันจะดีขึ้นจากเดิมนะคะ แล้วก็เรามีเรื่องอยากถาม คือทุกคนอยากจะให้ปล่อยเนื้อเรื่องไว้แบบนั้นแล้วรีไรท์ไปเรื่อยๆ หรือปิดเนื้อหาระหว่างรีไรท์เพื่อป้องกันความสับสน
อยากรับฟังความคิดเห็นของทุกคนนะคะ ส่วนตัวคิดไว้ว่าจะปิดเนื้อหาเพราะรายละเอียดบางอย่างที่รีไรท์มันเปลี่ยน อาจจะเกิดความไม่เชื่อมโยงของเหตุการณ์
ดังนั้นรบกวนนิดนึงเนอะ สุดท้ายคิดถึงมากๆนะคะ
(ยังไม่แต่งตอนเพิ่มค่ะ เพราะรายละเอียดบางอย่างมันจะเปลี่ยนไปป้องกันความสับสน)
ถ้ามี * หลังชื่อตอนแปลว่ารีไรท์ตอนนั้นแล้วนะคะ
#2HVP
ความคิดเห็น