ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : First Memory : ฟาร์วาร์ คลาริน อลัน
Name : Beginning of forgotten - จุดเริ่มต้นแห่งการลืมเลือน
From : To the Beginning's Project
Author : Ct11359
Chapter All : Memory - Arc Years 1
Chapter : First Memory : ฟาร์วาร์ คลาริน อลัน
Note : จุดเริ่มต้นของทุกๆคนนั้นมาจากแห่งใด
จุดจบนั้นก็อยู่ที่เดิม...ไม่แปรเปลี่ยนไปนักหรอก
First Memory : ฟาร์วาร์ คลาริน อลัน
...ฟาร์วาร์รินัสได้ยินเสียงของบทเพลง...
...บทเพลงหนึ่งซึ่งแว่วมาจากไกลแสนไกล...
...มันช่างเป็นบทเพลงอันน่าจดจำ...
...เพราะเหตุนั้น เขาจึงเลือกมายังสถานที่แห่งนี้ด้วยตนเอง...
มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลยหากเขาเลือกเส้นทางดำเนินชีวิตของตนเพียงเพราะอยากทำสิ่งหนึ่งให้สมใจหวัง ไม่ใช่เรื่องแปลกสักนิดหากเขานั้นเลือกที่จะเดินทางมายังต่างแคว้นต่างๆเพียงเพราะต้องการพบเจอกับสิ่งแปลกไป สิ่งที่เขาไม่เคยพบพาน ประสบการณ์ใหม่ๆ รวมถึงมิตรสหาย...เพื่อนใหม่ต่างหน้ามากตา
ตอนแรกครั้นครามาสมัคร ณ โรงเรียนมหาเวทย์มิเรนาจ ฟาร์วาร์รินัส เดอันนิสไม่ใช่เด็กชายที่มีจุดมุ่งหมายแน่ชัดนัก เขามาสมัครเพราะเหตุผลใด...จวบจนปัจจุบันนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจในคำตอบนัก เขารู้เพียงแค่ว่าเหตุผลที่ชักนำให้ตนก้าวเข้ามาในเขตรั้วโรงเรียนสีทองนั้นคือผีเสื้อมนตราตัวหนึ่ง...ก็เท่านั้น
ตอนเข้ามาภายใน...เด็กชายไม่รู้จักใครสักคนเลย ถึงต่อให้พื้นเพนิสัยจะเป็นคนร่าเริงแจ่มใส รวมถึงไม่คิดมากอะไรก็ตามที แต่กระนั้น...เขาก็อดกังวลถึงอนาคตและความเป็นไปต่างๆไม่ได้ พอนึกคิดแบบนี้แล้ว ท้องไส้นั้นพากันปั่นป่วนหมุนวนมั่วไปหมด
...เขาชักเริ่มกังวลถึงความเป็นไปของตนเสียแล้วสิ...
หลังใช้เวลาอยู่พักใหญ่ไปกับการกรอกเอกสารข้อมูลเบื้องต้นเพื่อใช้ในการสมัครสอบเข้าเป็นนักเรียน ฟาร์วาร์รินัสเลือกที่จะเดินสำรวจบริเวณภายใน ทางโรงเรียนไม่ได้ห้ามปรามเหล่าว่าที่อนาคตลูกศิษย์ทั้งหลายในการเข้าชมสถานที่ เพราะเหตุนี้ภายในหนึ่งสัปดาห์แห่งการรับสมัคร จึงมีผู้คนมาแวะเวียนไม่ขาดสาย
เสียงขับขานร้องคลอมาตามสายลม ใครสักคนกำลังขับขานบทเพลง แว่วท่วงทำนองแผ่วเบาจากแห่งหนไหนสักที่ ผู้คนทั้งหลายคล้ายพากันชะงักงัน...เริ่มหาหันตามหาผู้เอื้อนเอ่ย แม้อาจมิได้อยู่ไกลเท่าใด หากแต่ก็มิใกล้มากพอให้พบพาน อาจฟังดูแปลกไป...แต่เขากลับรับรู้หนทางนำสู่ผู้ร้องเสียชัดเจน
...สวนดอกไม้? หลังเรือนกระจกพฤกษา...
...ตอนเดินสำรวจไม่เห็นจะมีเลยนี่?...
“มีสถานที่แบบนี้ด้วยแฮะ?”
สองเท้าก้าวเดินไปตามเส้นทาง ผ่านฝูงชนมากมายออกมา ผู้คนเริ่มน้อยลงไป...น้อยลงไป จนไม่เหลือแม้กระทั่งใครสักคน เสียงเพลงนั้นเริ่มดังขึ้นตามระยะทางที่เข้าใกล้ ทีละนิด...ทีละนิด คำตอบนั้นก็จะแสดงปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขาแล้ว ฟาร์วาร์รินัสนึกตระหนักก่อนเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น
...ใกล้ถึงแล้ว ใกล้ถึงแล้ว...
...ลึกเข้าไปอีก ลึกเข้าไปอีก...
...ในที่สุด!...
...คลาริน่าหวังว่าตนจะได้ร้องเพลง...
...แต่เธอกลับไม่เอื้อนเอ่ยบทเพลงใดๆ...
...เพราะเธอนั้นไร้ซึ่งบทเพลงสลักไว้ในดวงใจของตน...
...เธอขับร้องได้หากมีทำนอง เธอขับร้องได้หากมีเนื้อร้อง แต่ไม่สามารถขับร้องหากไร้สิ่งเหล่านี้...
ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ หากแต่มันกลับไปได้ เมื่อนำนิยามของข้อความดังกล่าวมาใช้กลับเด็กหญิงคนนี้ ในบางครั้งครา...คลาริน่า คริสเทิล ลีวิเวนก็นึกอยากลองทำสิ่งหนึ่งให้เป็นไป ตามความปรารถนาภายในอันน่าจดจำของเธอ เพราะเหตุนี้ เธอจึงเลือกที่จะเชื่อในคำกล่าวของบิดา แล้วมายังโรงเรียนมหาเวทย์แห่งนี้ตามคำแนะนำของท่าน
โรงเรียนมหาเวทย์แห่งนี้นับเป็นจุดมุ่งหวังสูงสุดของเหล่าหนุ่มสาวผู้มีความมุ่งหวังในราชอาณาจักรมิเรนาจ ผู้ใดได้เข้ารับการศึกษา ผู้นั้นจะเปี่ยมด้วยคุณสมบัติอันครบถ้วนของการเป็นจอมเวทย์ที่สมควรได้รับการยกย่อง แน่นอนว่าต่อให้ทางครอบครัวของเธอไม่ได้สนับสนุนแนะนำมา...เด็กหญิงก็ย่อมสละเวลาเดินทางมาด้วยความประสงค์ของตน
ตอนก้าวเข้ามาคลับคล้ายคลับคลาว่าถูกจ้องมอง แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคลาริน่าเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้คนส่วนมาก จึงไม่แปลกหากมีใครแวะเวียนเข้ามาทักทาย บ้างรู้จัก...บ้างคุ้นหน้า...บ้างไม่รู้จัก เธอทำเพียงแค่ยิ้มรับคำด้วยไมตรีจิตตามวิสัย บางบุคคลเด็กหญิงนั้นก็เอ่ยเปิดบทสนทนาเป็นการส่วนตัว คลาริน่าไม่ค่อยชื่นชมนิยมการเข้าไปทักทายใครก่อนหากมิจำเป็น
กำหนดการต่างๆภายในวันนี้...เธอได้กำหนดมันขึ้นมาคร่าวๆแล้ว ว่าหลังจากยื่นส่งแผ่นเอกสารเสร็จ เธอนั้นจะมุ่งตรงเข้าไปในแคว้นข้างเคียงเพื่อเลือกซื้อสิ่งของที่ตนสนใจ ใช้เวลาอยู่กับการเลือกชมสักพักใหญ่ แล้วจึงค่อยกลับบ้านของเธอ การสำรวจโรงเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องรีบเร่งเท่าใด กำหนดการของเธอก็มีเพียงเท่านี้
...แต่มันได้พังทลายลงไป ยามเธอสดับถ้อยเพลงอันเคยคุ้น...
ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเธอไม่ได้โดดเด่นเช่นใครเขา จึงจำต้องใช้เวลาอยู่สักพัก เพื่อเงี่ยหูฟังบทเพลงซึ่งดังคลออ่อนๆมาแต่ไกล เปลือกตาพลันหลับพริ้มพลางทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับการจับทิศทาง มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ ที่จะตามหาผู้ร้องโดยอาศัยเพียงแค่เสียงเท่านั้น
...เธอ...รู้จักบทเพลงนี้...
...มันคือบทเพลงต้องห้ามสำหรับตระกูลของเธอ...
ทั้งที่ควรเร่งเดินออกห่างแต่กลับยิ่งก้าวเข้าไปเช่นโดนดึงดูด มุ่งสู่หนทางเบื้องหน้าโดยไม่สนใจสายตาทั้งหลายซึ่งมองไล่ตามแผ่นหลังของเธออยู่ เส้นทางทั้งหลายรายล้อมไปด้วยมวลพฤกษาอันเรืองรอง คล้ายคอยส่องนำให้ควรวิ่งมุ่งสู่ คลาริน่าสามารถรับรู้ได้ทันทีเลยว่า...
...ถ้าไม่ใช่ว่าเธอนั้นคิดไปเอง...
...คงจะเป็นเพราะโชคชะตา ที่นำพาเรื่องราวนี้เข้ามา...
เรือนผมสีชมพูอ่อนยาวสะบัดพลิ้วแผ่กระจายไปตามการเคลื่อนไหวของเด็กหญิง จุดหมายของปลายทางแสดงประจักษ์หลังจากออกวิ่งมานานเสียจนเหนื่อยหอบ เธอหยุดพักหายใจพลางเงยหน้าขึ้นสำรวจสถานที่ตรงหน้า เบื้องหลังของเรือนกระจกพฤกษาคือสวนดอกไม้อันอุดมไปด้วยความงดงาม
“ที่นี่...มัน” คลาริน่าอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง เธอพึ่งสังเกตเห็นว่านอกจากตัวเองแล้วยังมีคนอื่นอีก หนึ่งคือเด็กชายเจ้าของเรือนผมสีเขียวมรกต...ดูจากท่าทีแล้วเขาคงพึ่งมาถึงเช่นเดียวกับเธอกระมั้ง สองคือเด็กชายเจ้าของดวงตาสีแดงเรียว
และสามคือคนๆหนึ่ง...ที่ซึ่งเร้นกายอยู่ภายใต้ชุดคลุมชายยาว บดบังเสียจนใบหน้านั้นเป็นเพียงแค่เงาดำมืดในสายตาของผู้พบเห็น สิ่งหนึ่งซึ่งแสดงแน่ชัดก็คือ...ร่างนั้นเป็นบุรุษ เพราะความสูงของร่างกาย และน้ำเสียงที่เขาใช้ในการขับร้อง แม้ไม่ต้องบอกเธอก็รู้ได้ในทันทีเลยว่า...ใครกันคือผู้ขับขานทำนองต้องห้ามนี้
...เจอแล้ว...
...อลันเนลาร์กำลังแปลกใจ...
...เขานึกแปลกใจว่าชายคนนี้มานั่งอยู่ข้างกายตนตั้งแต่เมื่อไหร่...
...ทั้งที่นึกจะอยู่อย่างสงบๆเพียงลำพัง...
...แต่กลับถูกทำลายลงไปตั้งแต่วินาทีแรกยามก้าวเข้ามาในสวนแห่งนี้...
หากให้บอกกล่าวเล่าตามความเป็นไป สวนสวยเบื้องหลังเรือนกระจกแห่งโรงเรียนมหาเวทย์ไม่ใช่สถานที่ที่รู้จักกันโดยทั่วไปในหมู่ผู้คน นักเรียนส่วนมากเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรนักกับการมาเยี่ยมเยือน ณ สวนแห่งนี้ มันจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมนักแก่การอยู่เงียบๆเพียงลำพัง ยามไม่ต้องการพานพบกับใครอื่นใด
อลันเนลาร์ เซ. เดสทิเน็ตต์รู้จักโรงเรียนนี้ดีเกินกว่าที่คนนอกสมควรรู้ เขาเป็นแค่เด็กชายผู้มาสมัครเข้ารับการศึกษา แต่เขาเองก็มีอะไรหลายๆอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ท่าทีนิ่งเงียบงันอันแสนเย็นชาคือสิ่งที่เขาชอบเผลอไผลแสดงออกไป เมื่อยามครุ่นคิดถึงเรื่องราวหลายๆอย่าง
เขาเข้ามาในสวนแห่งนี้ได้สักพักใหญ่แล้ว และแน่นอนว่าตอนเข้านั้นไร้วี่แววว่ามีใครมา แต่ทว่าพอลองหมุนตัวหันกลับไปดูเบื้องหลังของตนอีกที ปรากฏว่ากลับมีชายหนุ่มลึกลับผู้หนึ่งยืนอยู่ ชายผู้นั้นจ้องมองมาทางนี้ด้วยท่าทีคล้ายฉงนสนใจ แม้มองไม่เห็นดวงตาของเขา แต่เด็กชายคาดเดาได้เลยว่า สายตาที่มองมานั้น...คงเป็นแววตาแห่งความประหลาดใจแน่แท้
“...เป็นสถานที่ที่สงบดีนะครับ ว่าอย่างนั้นไหมล่ะ... คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกหากมีใครสักคนคิดแบบเดียวกันกับคุณ ไปๆมาๆคุณกับคนที่คิดแบบเดียวกันก็อาจจะมาพานพบก็เป็นได้ คิดแบบนี้ก็น่าขันนะครับ~ ฮะๆ~” ชายผู้นั้นกล่าวออกมา เสี้ยวหน้าเบื้องล่างปรากฏขึ้นมา เขาเผยรอยยิ้มบางดูเป็นมิตรให้
“...”
“อาจเป็นการล่วงเกินไปนิด...แต่ตัวผมมีเวลาอันจำกัด เพราะเหตุนั้นแล้ว...พอจะบอกชื่อของคุณได้หรือเปล่าครับ?”
“...” อลันเนลาร์ไม่ได้เอ่ยตอบ
เด็กชายกำลังจับจ้องมองคู่สนทนาของตนด้วยสายตาเรียบเฉย ชายหนุ่มดูไม่ใส่ใจอะไรนักกับท่าทีระแวงไวเช่นนี้ เขาทำเพียงเอียงคอมองมาอย่างสนอกสนใจ ทั้งที่ไม่เคยพานพบมาก่อน... แต่ทำไมอลันเนลาร์ถึงคิดว่า บรรยากาศรอบตัวของชายหนุ่มนั้น ช่างดูคุ้นเคยเหลือเกิน
ชายภายใต้ชุดคลุมสีหม่นก้าวเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของเด็กชาย ก่อนจะย่อตัวลงมาให้ตรงกับระดับสายตาของเขา จับจ้องมองลงไปภายในดวงตา...ราวกำลังตามหาบางสิ่ง มือหนึ่งเลื่อนมาจับไหล่อย่างอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มบางไร้ความนัย...ที่มีแต่สร้างความฉงนใจให้เด็กชาย
อลันเนลาร์ไม่เข้าใจ...ว่าอะไรกันนะคือสิ่งที่ดลใจไม่ให้เขารีบออกห่างไปจากชายคนนี้ เขาไม่เข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ชายคนนั้นเข้ามาหาเขา เขาไม่เข้าใจ...ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำแบบนี้
...เขา...ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง...
“บางที...คนเราก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจในทุกสิ่งอย่าง บางทีนะ...บางที การปล่อยวางในเรื่องบางอย่างที่เราไม่เข้าใจอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเราก็เป็นได้ แต่ในทางกลับกัน...เรื่องบางอย่างเรานั้นก็จำต้องเข้าใจ เพื่อเป็นบทเรียน เพื่อเป็นหนทาง เพื่อเป็นเป้าหมาย หรือเพื่อไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำอีก”
ชายหนุ่มพูดเปรยขึ้นมาราวกับสามารถอ่านใจ เขายังคงรอยยิ้มบางเอาไว้เช่นเดิม
เหมือนอยู่...แต่กลับไม่ได้อยู่ ชายหนุ่มคนนี้ให้ความรู้สึกแบบนั้น ทั้งๆที่เขาก็ยืนอยู่เบื้องหน้าของเด็กชายแท้ๆ แต่อลันเนลาร์กลับไม่สามารถสัมผัสตัวตนของเขาได้เลยสักนิด ครั้นยามตั้งใจจะถามไถ่ว่าคุณเป็นใคร ชายหนุ่มกลับละมือออกจากไหล่เขา พลางลุกขึ้นยืน...แล้วเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมา
ไหล่สั่นระริก...ความรู้สึกคล้ายขนลุกปราดแล่นไปทั่วร่างยามรับฟัง ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยทำนองใดออกมา อลันเนลาร์ก็รับรู้จากความรู้สึกได้เลยว่า...สิ่งที่ชายคนนั้นจะขับร้องมา คือบทเพลงใด
...บทเพลงแห่งการอำลาของผู้จมดิ่งในโลกสีเทา ฟาราเวล ฮาร์โมเนีย...
...ท่วงทำนองแห่งฟาราเวล...
เนตรเรียวทับทิมแดงเผลอไผลฉายแววเศร้าโศกปวดร้าว อลันเนลาร์ยืนนิ่งคล้ายถูกสาปสะกดโดยบทเพลงนี้ เด็กชายเกือบจะไม่รับรู้ถึงสิ่งใดนอกจากบทเพลงนี้ เพราะมันเอาแต่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาภายในห้วงความคิดและการรับรู้ของเขา
ท่วงทำนองแห่งฟาราเวลอาจเปรียบเสมือนดั่งคำสาปร้ายของใครหลายคน หากแต่ทว่ามันเปรียบเหมือนคำอวยพรของเหล่าผู้คนจากแคว้นเฮนเฮล แคว้นแห่งความตายและสุสาน...แคว้นอันเป็นบ้านเกิดของเขา ชาวเฮนเฮลทั้งหลายต่างรู้ซึ้งในความเป็นไปของชีวิตตนดี เพราะเหตุนี้...การจมดิ่งลงไปในโลกสีเทาจึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกเช่นใครว่า แต่อลันเนลาร์ไม่ใช่คนจำพวกนี้...เขาไม่ใช่คนที่เทิดทูนโลกสีเทา หรือจมลงไปแล้วแบบนั้น
...ชายผู้นี้เป็นใคร? เหตุใดจึงร้องเพลงๆนี้ออกมากัน?...
หลังสามารถรวบรวมสติไม่ให้ตกอยู่ในภวังค์ได้ อลันเนลาร์ก็นึกสงสัย ว่าจะมีใครอื่นอีกไหมที่จะออกเดินตามหาต้นตอของเสียงของชายผู้นี้ ไม่ต้องรอคอยนานนัก คำตอบก็ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับผู้มาเยือนรายใหม่ เป็นเด็กชายธรรมดาคนหนึ่ง...และเด็กหญิงจากตระกูลลีวิเวน ตระกูลที่ถือว่าบทเพลงนี้เป็นสิ่งต้องห้าม
อลันเนลาร์รู้ว่าทั้งสองล้วนมีจุดประสงค์เดียวกัน... นั่นก็คือการตามหาผู้ขับร้อง หากแต่จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น เขาไม่รู้เลย
“การพานพบกัน ณ ที่แห่งนี้ ของพวกคุณสามคน...ไม่ใช่เรื่ องบังเอิญหรอกครับ~” เนิ่นนานหลังเงียบงัน ชายหนุ่มปริศนาก็เอ่ยกล่าวบางสิ่งขึ้นมา โทนเสียงสงบคือสิ่งสยบไม่ให้ใครเอ่ยขัด เขากวาดสายตาของตนไล่มองยังเหล่าคู่สนทนาของตน สิ่งที่เขามองเห็นในแววตาของทั้งสามช่างเป็นอะไรที่เขาคุ้นเคยเสียจริง
มองเห็นแววฉงนสนใจในดวงตาสีมรกตของเด็กชายผู้ร่าเริง
มองเห็นแววระแวงไม่เข้าใจในดวงตาสีน้ำทะเลของเด็กหญิงผู้โด่งดัง
มองเห็นแววประหลาดใจในดวงตาสีทับทิมของเด็กชายผู้นิ่งเงียบ
เขาจำได้ว่าเด็กเหล่านี้คือใคร...ไม่สิ เขารู้จักบุคคลเหล่านี้ รู้จักค่อนข้างดีเสียทีเดียวเลยล่ะ “มันไม่ใช่เพราะความบังเอิญ...หรือเพราะมีใครกำหนดเอาไว้ หากแต่เป็นเพราะโชคชะตาที่ชักนำพวกคุณทั้งสามให้มาพบกัน อ๋อ...บางทีการที่ผมมาปรากฏตัวนี่ก็เป็นเพราะโชคชะตาชักนำมาเช่นเดียวกัน”
ไม่เปิดโอกาสให้ใครเอ่ยถาม ชายหนุ่มก็เริ่มพูดต่อ
“ฟาร์วาร์รินัส เดอันนิส...คลาริน่า คริสเทิล ลีวิเวน...อลันเนลาร์ เซ. เดสทิเน็ตต์ ขอให้พวกคุณทั้งสามคนพึงระลึกและจดจำสิ่งที่ผมจะเอ่ยต่อไปนี้เอาไว้ หาไม่แล้วบางที...พวกคุณทั้งสามคนอาจต้องเสียใจในสิ่งที่เป็นไป” ผู้ถูกกล่าวถึงทั้งสามพากันสงสัย ว่าเหตุใดชายคนนี้จึงรู้จักนามของพวกตน ทั้งๆที่ยังไม่ได้แนะนำตัวหรือเอ่ยบอกอะไรเลย
แต่พวกเขาจะไม่ถาม เพราะพวกเขาเชื่อว่าต้องมีสิ่งอื่นที่สำคัญมากกว่าเรื่องๆนี้แน่นอน
“ขอให้พึงตระหนักไว้ว่าเวลาทุกวินาทีล้วนมีค่า จดจำช่วงเวลาอันแสนสำคัญเอาไว้ให้ดี อย่าแตกแยก...อย่าแยกห่างเพียงเพราะเรื่องไร้สาระ มิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญ ห้ามทำลายความสัมพันธ์นี้ทิ้งแม้เป็นเกินกว่านั้น คำสัญญาใดๆกับใครอื่น หากเป็นไปได้...ขอให้รับคำเฉพาะสิ่งที่ตนทำได้”
น้ำเสียงนุ่มน่าฟังพลันเริ่มฉายความปวดร้าวออกมา ถึงแม้จะเจือปนเพียงน้อยนิด แต่ทั้งสามคนก็สามารถสัมผัสได้ “อย่าสิ้นหวังเพียงเพราะผิดหวัง อย่าถอยหลังเพียงเพราะพลาดพลั้ง หากผิดพลาดจงเร่งแก้ไข...เพราะปัญหาอาจใหญ่มากกว่าที่คิด รับฟังผู้อื่นและให้ผู้อื่นรับฟังเรา คอยเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจให้ซึ่งกันและกัน เข้าใจ...พยายามเข้าใจ”
“และ...ไม่ว่าผลลัพธ์ที่โชคชะตารังสรรค์ขึ้นจะเป็นเช่นไร ขอให้น้อบรับเอาไว้และอย่าคิดแก้ไข” เผยรอยยิ้มบางเร้นแฝงไปด้วยความนัยให้ทั้งสาม “ในตอนแรกอาจสับสนวกวน อาจหลงไปในสิ่งชักจูงอื่น อาจไม่เข้าใจในการกระทำ อาจพบเจอการลาจาก แม้จะดูเหมือนโหดร้าย...แต่พอลองมองดูดีๆแล้ว ในจุดจบ ทุกๆสิ่งมันล้วนสวยงามครับ”
...ใกล้หมดเวลาแล้ว...
“...เวลา...จะถึงเวลาบอกลาแล้วล่ะ”
เขาคนนั้นแย้มยิ้ม...แย้มยิ้มอย่างมีความสุข มือทั้งสองข้างเลื่อนขึ้นจับฮู้ดคลุมหัวพลางถอดมันออก “พวกคุณทั้งสามคนจะจดจำผมเอาไว้...หรือจะลืมเลือนกันไปก็ได้ ผมเคารพในการตัดสินใจของทุกๆคน สุดท้ายนี้แล้ว...” มอง...ไม่เห็น ใบหน้านั้นช่างพร่าเลือนเหลือเกินในสายตาของทั้งสาม ราวกับว่าหลังจากเอ่ยประโยคนี้ไป เขาคนนั้นจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา
...ขอให้มีความหวังต่อไป ฟาร์วาร์...คลาริน...อลัน...
...ขอให้มีความหวังต่อไป...นะ...
From : To the Beginning's Project
Author : Ct11359
Chapter All : Memory - Arc Years 1
Chapter : First Memory : ฟาร์วาร์ คลาริน อลัน
Note : จุดเริ่มต้นของทุกๆคนนั้
จุดจบนั้นก็อยู่ที่เดิม...ไม่
❀-----•﹡ˇ•-----•✿•-----•ˇ﹡•-----❀
First Memory : ฟาร์วาร์ คลาริน อลัน
「บางที...จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งอย่าง อาจไม่ได้มาจากศูนย์...เสมอไป」
Dear my precious memory, I’ll not forget.
แด่ความทรงจำอันแสนล้ำค่า...ฉันจะไม่ลืมมัน
A long long time ago, As time that we met here.
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน, นับตั้งแต่วันที่เราพบกัน
It’s be along time... It’s be along time...
มันช่างยาวนาน... มันช่างยาวนาน...
When we try to stay here...
นับแต่ลองอยู่ร่วมกัน ณ สถานที่นี้...
...ฟาร์วาร์รินัสได้ยินเสี
...บทเพลงหนึ่งซึ่งแว่
...มันช่างเป็นบทเพลงอันน่
...เพราะเหตุนั้น เขาจึงเลือกมายังสถานที่แห่งนี้
มันไม่ใช่เรื่
ตอนแรกครั้นครามาสมัคร ณ โรงเรียนมหาเวทย์มิเรนาจ ฟาร์วาร์รินัส เดอันนิสไม่ใช่เด็กชายที่มีจุ
ตอนเข้ามาภายใน...เด็กชายไม่รู้
...เขาชักเริ่มกังวลถึงความเป็
หลังใช้เวลาอยู่พักใหญ่ไปกั
Farawell... Farawell, our little poor child.
ฟาราเวล... ฟาราเวล... เด็กน้อยผู้น่าสงสาร
I'll waiting for, waiting for, the last tear of the sky.
ฉันนั้นจะยังเฝ้ารอ เฝ้ารอคอย ถึงน้ำตาสุดท้ายแห่งท้องฟ้า
เสียงขับขานร้องคลอมาตามสายลม ใครสักคนกำลังขับขานบทเพลง แว่วท่วงทำนองแผ่วเบาจากแห่
...สวนดอกไม้? หลังเรือนกระจกพฤกษา...
...ตอนเดินสำรวจไม่เห็นจะมี
“มีสถานที่แบบนี้ด้วยแฮะ?”
สองเท้าก้าวเดินไปตามเส้นทาง ผ่านฝูงชนมากมายออกมา ผู้คนเริ่มน้อยลงไป...น้อยลงไป จนไม่เหลือแม้กระทั่งใครสักคน เสียงเพลงนั้นเริ่มดังขึ้
...ใกล้ถึงแล้ว ใกล้ถึงแล้ว...
...ลึกเข้าไปอีก ลึกเข้าไปอีก...
...ในที่สุด!...
...คลาริน่าหวังว่าตนจะได้ร้
...แต่เธอกลับไม่เอื้อนเอ่
...เพราะเธอนั้นไร้ซึ่
...เธอขับร้องได้หากมีทำนอง เธอขับร้องได้หากมีเนื้อร้อง แต่ไม่สามารถขับร้องหากไร้สิ่
ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ หากแต่มันกลับไปได้ เมื่อนำนิยามของข้อความดังกล่
โรงเรียนมหาเวทย์แห่งนี้นับเป็
ตอนก้าวเข้ามาคลับคล้ายคลั
กำหนดการต่างๆภายในวันนี้...
...แต่มันได้พังทลายลงไป ยามเธอสดับถ้อยเพลงอันเคยคุ้น..
ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเธอไม่
Stay on mirror line, with the man who cry for me.
คงอยู่ ณ เส้นทางแห่งกระจก กับชายผู้ร้องไห้แด่ฉัน
Doesn't go... Never go...Horatius, never near from graveyard.
โฮราทิอัสไม่ไปไหน ไม่เคยไป ไม่เคยใกล้อันสุสาน
...เธอ...รู้จักบทเพลงนี้...
...มันคือบทเพลงต้องห้ามสำหรั
ทั้งที่ควรเร่งเดินออกห่างแต่
...ถ้าไม่ใช่ว่าเธอนั้นคิ
...คงจะเป็นเพราะโชคชะตา ที่นำพาเรื่องราวนี้เข้ามา...
เรือนผมสีชมพูอ่อนยาวสะบัดพลิ้
“ที่นี่...มัน” คลาริน่าอุทานออกมาด้
และสามคือคนๆหนึ่ง...ที่ซึ่งเร้
...เจอแล้ว...
...อลันเนลาร์กำลังแปลกใจ...
...เขานึกแปลกใจว่าชายคนนี้มานั
...ทั้งที่นึกจะอยู่อย่
...แต่กลับถูกทำลายลงไปตั้งแต่
หากให้บอกกล่าวเล่าตามความเป็
อลันเนลาร์ เซ. เดสทิเน็ตต์รู้จักโรงเรียนนี้ดี
เขาเข้ามาในสวนแห่งนี้ได้สักพั
“...เป็นสถานที่ที่สงบดีนะครับ ว่าอย่างนั้นไหมล่ะ... คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกหากมี
“...”
“อาจเป็นการล่วงเกินไปนิด...แต่
“...” อลันเนลาร์ไม่ได้เอ่ยตอบ
เด็กชายกำลังจับจ้องมองคู่
ชายภายใต้ชุดคลุมสีหม่นก้าวเดิ
อลันเนลาร์ไม่เข้าใจ...ว่
...เขา...ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง...
“บางที...คนเราก็ไม่จำเป็นต้
ชายหนุ่มพูดเปรยขึ้นมาราวกั
เหมือนอยู่...แต่กลับไม่ได้อยู่ ชายหนุ่มคนนี้ให้ความรู้สึ
ไหล่สั่นระริก...ความรู้สึกคล้
...บทเพลงแห่งการอำลาของผู้จมดิ
...ท่วงทำนองแห่งฟาราเวล...
เนตรเรียวทับทิ
ท่วงทำนองแห่งฟาราเวลอาจเปรี
...ชายผู้นี้เป็นใคร? เหตุใดจึงร้องเพลงๆนี้ออกมากัน?
หลังสามารถรวบรวมสติไม่ให้ตกอยู
อลันเนลาร์รู้ว่าทั้งสองล้วนมี
Time still, It's still, Continuing
เวลายัง... มันนั้นยัง... ดำเนินต่อไป
Farawell... Farawell, our little poor child.
ฟาราเวล... ฟาราเวล... เด็กน้อยผู้น่าสงสาร
I'm alone again...
ฉันโดดเดี่ยวอีกครา...
“การพานพบกัน ณ ที่แห่งนี้ ของพวกคุณสามคน...ไม่ใช่เรื่
มองเห็นแววฉงนสนใจในดวงตาสี
มองเห็นแววระแวงไม่เข้
มองเห็นแววประหลาดใจในดวงตาสีทั
เขาจำได้ว่าเด็กเหล่านี้คือใคร.
ไม่เปิดโอกาสให้ใครเอ่ยถาม ชายหนุ่มก็เริ่มพูดต่อ
“ฟาร์วาร์รินัส เดอันนิส...คลาริน่า คริสเทิล ลีวิเวน...อลันเนลาร์ เซ. เดสทิเน็ตต์ ขอให้พวกคุณทั้งสามคนพึงระลึ
แต่พวกเขาจะไม่ถาม เพราะพวกเขาเชื่อว่าต้องมีสิ่
“ขอให้พึงตระหนักไว้ว่าเวลาทุ
น้ำเสียงนุ่มน่าฟังพลันเริ่
“และ...ไม่ว่าผลลัพธ์ที่
...ใกล้หมดเวลาแล้ว...
“...เวลา...จะถึงเวลาบอกลาแล้
เขาคนนั้นแย้มยิ้ม...แย้มยิ้
...ขอให้มีความหวังต่อไป ฟาร์วาร์...คลาริน...อลัน...
...ขอให้มีความหวังต่อไป...นะ..
“...ลาก่อน...ครับ” และเขาก็จากไป...ทันทีทันใดยามสายลมพัดพา
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น