ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    To the Beginning's Project

    ลำดับตอนที่ #2 : First Memory : ฟาร์วาร์ คลาริน อลัน

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 61


    Name : Beginning of forgotten - จุดเริ่มต้นแห่งการลืมเลือน
    From : To the Beginning's Project
    Author : Ct11359
    Chapter All : Memory - Arc Years 1
    Chapter : First Memory : ฟาร์วาร์ คลาริน อลัน
    Note : จุดเริ่มต้นของทุกๆคนนั้นมาจากแห่งใด
    จุดจบนั้นก็อยู่ที่เดิม...ไม่แปรเปลี่ยนไปนักหรอก

    ❀-----•﹡ˇ•-----•✿•-----•ˇ﹡•-----❀

    First Memory : ฟาร์วาร์ คลาริน อลัน



         「บางที...จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งอย่าง อาจไม่ได้มาจากศูนย์...เสมอไป」



         Dear my precious memory, I’ll not forget.
         แด่ความทรงจำอันแสนล้ำค่า...ฉันจะไม่ลืมมัน

         A long long time ago, As time that we met here.
         เวลาผ่านไปเนิ่นนาน, นับตั้งแต่วันที่เราพบกัน

         It’s be along time... It’s be along time...
         มันช่างยาวนาน... มันช่างยาวนาน...

         When we try to stay here...
         นับแต่ลองอยู่ร่วมกัน ณ สถานที่นี้...


         ...ฟาร์วาร์รินัสได้ยินเสียงของบทเพลง...

         ...บทเพลงหนึ่งซึ่งแว่วมาจากไกลแสนไกล...

         ...มันช่างเป็นบทเพลงอันน่าจดจำ...

         ...เพราะเหตุนั้น เขาจึงเลือกมายังสถานที่แห่งนี้ด้วยตนเอง...

         มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลยหากเขาเลือกเส้นทางดำเนินชีวิตของตนเพียงเพราะอยากทำสิ่งหนึ่งให้สมใจหวัง ไม่ใช่เรื่องแปลกสักนิดหากเขานั้นเลือกที่จะเดินทางมายังต่างแคว้นต่างๆเพียงเพราะต้องการพบเจอกับสิ่งแปลกไป สิ่งที่เขาไม่เคยพบพาน ประสบการณ์ใหม่ๆ รวมถึงมิตรสหาย...เพื่อนใหม่ต่างหน้ามากตา

         ตอนแรกครั้นครามาสมัคร ณ โรงเรียนมหาเวทย์มิเรนาจ ฟาร์วาร์รินัส เดอันนิสไม่ใช่เด็กชายที่มีจุดมุ่งหมายแน่ชัดนัก เขามาสมัครเพราะเหตุผลใด...จวบจนปัจจุบันนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจในคำตอบนัก เขารู้เพียงแค่ว่าเหตุผลที่ชักนำให้ตนก้าวเข้ามาในเขตรั้วโรงเรียนสีทองนั้นคือผีเสื้อมนตราตัวหนึ่ง...ก็เท่านั้น

         ตอนเข้ามาภายใน...เด็กชายไม่รู้จักใครสักคนเลย ถึงต่อให้พื้นเพนิสัยจะเป็นคนร่าเริงแจ่มใส รวมถึงไม่คิดมากอะไรก็ตามที แต่กระนั้น...เขาก็อดกังวลถึงอนาคตและความเป็นไปต่างๆไม่ได้ พอนึกคิดแบบนี้แล้ว ท้องไส้นั้นพากันปั่นป่วนหมุนวนมั่วไปหมด

         ...เขาชักเริ่มกังวลถึงความเป็นไปของตนเสียแล้วสิ...

         หลังใช้เวลาอยู่พักใหญ่ไปกับการกรอกเอกสารข้อมูลเบื้องต้นเพื่อใช้ในการสมัครสอบเข้าเป็นนักเรียน ฟาร์วาร์รินัสเลือกที่จะเดินสำรวจบริเวณภายใน ทางโรงเรียนไม่ได้ห้ามปรามเหล่าว่าที่อนาคตลูกศิษย์ทั้งหลายในการเข้าชมสถานที่ เพราะเหตุนี้ภายในหนึ่งสัปดาห์แห่งการรับสมัคร จึงมีผู้คนมาแวะเวียนไม่ขาดสาย

         Farawell... Farawell, our little poor child.
         ฟาราเวล... ฟาราเวล... เด็กน้อยผู้น่าสงสาร

         I'll waiting for, waiting for, the last tear of the sky.
         ฉันนั้นจะยังเฝ้ารอ เฝ้ารอคอย ถึงน้ำตาสุดท้ายแห่งท้องฟ้า

         เสียงขับขานร้องคลอมาตามสายลม ใครสักคนกำลังขับขานบทเพลง แว่วท่วงทำนองแผ่วเบาจากแห่งหนไหนสักที่ ผู้คนทั้งหลายคล้ายพากันชะงักงัน...เริ่มหาหันตามหาผู้เอื้อนเอ่ย แม้อาจมิได้อยู่ไกลเท่าใด หากแต่ก็มิใกล้มากพอให้พบพาน อาจฟังดูแปลกไป...แต่เขากลับรับรู้หนทางนำสู่ผู้ร้องเสียชัดเจน

         ...สวนดอกไม้? หลังเรือนกระจกพฤกษา...

         ...ตอนเดินสำรวจไม่เห็นจะมีเลยนี่?...

         “มีสถานที่แบบนี้ด้วยแฮะ?”

         สองเท้าก้าวเดินไปตามเส้นทาง ผ่านฝูงชนมากมายออกมา ผู้คนเริ่มน้อยลงไป...น้อยลงไป จนไม่เหลือแม้กระทั่งใครสักคน เสียงเพลงนั้นเริ่มดังขึ้นตามระยะทางที่เข้าใกล้ ทีละนิด...ทีละนิด คำตอบนั้นก็จะแสดงปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขาแล้ว ฟาร์วาร์รินัสนึกตระหนักก่อนเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น

         ...ใกล้ถึงแล้ว ใกล้ถึงแล้ว...

         ...ลึกเข้าไปอีก ลึกเข้าไปอีก...

         ...ในที่สุด!...




         ...คลาริน่าหวังว่าตนจะได้ร้องเพลง...

         ...แต่เธอกลับไม่เอื้อนเอ่ยบทเพลงใดๆ...

         ...เพราะเธอนั้นไร้ซึ่งบทเพลงสลักไว้ในดวงใจของตน...

         ...เธอขับร้องได้หากมีทำนอง เธอขับร้องได้หากมีเนื้อร้อง แต่ไม่สามารถขับร้องหากไร้สิ่งเหล่านี้...

         ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ หากแต่มันกลับไปได้ เมื่อนำนิยามของข้อความดังกล่าวมาใช้กลับเด็กหญิงคนนี้ ในบางครั้งครา...คลาริน่า คริสเทิล ลีวิเวนก็นึกอยากลองทำสิ่งหนึ่งให้เป็นไป ตามความปรารถนาภายในอันน่าจดจำของเธอ เพราะเหตุนี้ เธอจึงเลือกที่จะเชื่อในคำกล่าวของบิดา แล้วมายังโรงเรียนมหาเวทย์แห่งนี้ตามคำแนะนำของท่าน

         โรงเรียนมหาเวทย์แห่งนี้นับเป็นจุดมุ่งหวังสูงสุดของเหล่าหนุ่มสาวผู้มีความมุ่งหวังในราชอาณาจักรมิเรนาจ ผู้ใดได้เข้ารับการศึกษา ผู้นั้นจะเปี่ยมด้วยคุณสมบัติอันครบถ้วนของการเป็นจอมเวทย์ที่สมควรได้รับการยกย่อง แน่นอนว่าต่อให้ทางครอบครัวของเธอไม่ได้สนับสนุนแนะนำมา...เด็กหญิงก็ย่อมสละเวลาเดินทางมาด้วยความประสงค์ของตน

         ตอนก้าวเข้ามาคลับคล้ายคลับคลาว่าถูกจ้องมอง แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคลาริน่าเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้คนส่วนมาก จึงไม่แปลกหากมีใครแวะเวียนเข้ามาทักทาย บ้างรู้จัก...บ้างคุ้นหน้า...บ้างไม่รู้จัก เธอทำเพียงแค่ยิ้มรับคำด้วยไมตรีจิตตามวิสัย บางบุคคลเด็กหญิงนั้นก็เอ่ยเปิดบทสนทนาเป็นการส่วนตัว คลาริน่าไม่ค่อยชื่นชมนิยมการเข้าไปทักทายใครก่อนหากมิจำเป็น

         กำหนดการต่างๆภายในวันนี้...เธอได้กำหนดมันขึ้นมาคร่าวๆแล้ว ว่าหลังจากยื่นส่งแผ่นเอกสารเสร็จ เธอนั้นจะมุ่งตรงเข้าไปในแคว้นข้างเคียงเพื่อเลือกซื้อสิ่งของที่ตนสนใจ ใช้เวลาอยู่กับการเลือกชมสักพักใหญ่ แล้วจึงค่อยกลับบ้านของเธอ การสำรวจโรงเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องรีบเร่งเท่าใด กำหนดการของเธอก็มีเพียงเท่านี้

         ...แต่มันได้พังทลายลงไป ยามเธอสดับถ้อยเพลงอันเคยคุ้น...

         ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเธอไม่ได้โดดเด่นเช่นใครเขา จึงจำต้องใช้เวลาอยู่สักพัก เพื่อเงี่ยหูฟังบทเพลงซึ่งดังคลออ่อนๆมาแต่ไกล เปลือกตาพลันหลับพริ้มพลางทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับการจับทิศทาง มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ ที่จะตามหาผู้ร้องโดยอาศัยเพียงแค่เสียงเท่านั้น

         Stay on mirror line, with the man who cry for me.
         คงอยู่ ณ เส้นทางแห่งกระจก กับชายผู้ร้องไห้แด่ฉัน

         Doesn't go... Never go...Horatius, never near from graveyard.
         โฮราทิอัสไม่ไปไหน ไม่เคยไป ไม่เคยใกล้อันสุสาน

         ...เธอ...รู้จักบทเพลงนี้...

         ...มันคือบทเพลงต้องห้ามสำหรับตระกูลของเธอ...

         ทั้งที่ควรเร่งเดินออกห่างแต่กลับยิ่งก้าวเข้าไปเช่นโดนดึงดูด มุ่งสู่หนทางเบื้องหน้าโดยไม่สนใจสายตาทั้งหลายซึ่งมองไล่ตามแผ่นหลังของเธออยู่ เส้นทางทั้งหลายรายล้อมไปด้วยมวลพฤกษาอันเรืองรอง คล้ายคอยส่องนำให้ควรวิ่งมุ่งสู่ คลาริน่าสามารถรับรู้ได้ทันทีเลยว่า...

         ...ถ้าไม่ใช่ว่าเธอนั้นคิดไปเอง...

         ...คงจะเป็นเพราะโชคชะตา ที่นำพาเรื่องราวนี้เข้ามา...

         เรือนผมสีชมพูอ่อนยาวสะบัดพลิ้วแผ่กระจายไปตามการเคลื่อนไหวของเด็กหญิง จุดหมายของปลายทางแสดงประจักษ์หลังจากออกวิ่งมานานเสียจนเหนื่อยหอบ เธอหยุดพักหายใจพลางเงยหน้าขึ้นสำรวจสถานที่ตรงหน้า เบื้องหลังของเรือนกระจกพฤกษาคือสวนดอกไม้อันอุดมไปด้วยความงดงาม

         “ที่นี่...มัน” คลาริน่าอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง เธอพึ่งสังเกตเห็นว่านอกจากตัวเองแล้วยังมีคนอื่นอีก หนึ่งคือเด็กชายเจ้าของเรือนผมสีเขียวมรกต...ดูจากท่าทีแล้วเขาคงพึ่งมาถึงเช่นเดียวกับเธอกระมั้ง สองคือเด็กชายเจ้าของดวงตาสีแดงเรียว

         และสามคือคนๆหนึ่ง...ที่ซึ่งเร้นกายอยู่ภายใต้ชุดคลุมชายยาว บดบังเสียจนใบหน้านั้นเป็นเพียงแค่เงาดำมืดในสายตาของผู้พบเห็น สิ่งหนึ่งซึ่งแสดงแน่ชัดก็คือ...ร่างนั้นเป็นบุรุษ เพราะความสูงของร่างกาย และน้ำเสียงที่เขาใช้ในการขับร้อง แม้ไม่ต้องบอกเธอก็รู้ได้ในทันทีเลยว่า...ใครกันคือผู้ขับขานทำนองต้องห้ามนี้

         ...เจอแล้ว...




         ...อลันเนลาร์กำลังแปลกใจ...

         ...เขานึกแปลกใจว่าชายคนนี้มานั่งอยู่ข้างกายตนตั้งแต่เมื่อไหร่...

         ...ทั้งที่นึกจะอยู่อย่างสงบๆเพียงลำพัง...

         ...แต่กลับถูกทำลายลงไปตั้งแต่วินาทีแรกยามก้าวเข้ามาในสวนแห่งนี้...

         หากให้บอกกล่าวเล่าตามความเป็นไป สวนสวยเบื้องหลังเรือนกระจกแห่งโรงเรียนมหาเวทย์ไม่ใช่สถานที่ที่รู้จักกันโดยทั่วไปในหมู่ผู้คน นักเรียนส่วนมากเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรนักกับการมาเยี่ยมเยือน ณ สวนแห่งนี้ มันจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมนักแก่การอยู่เงียบๆเพียงลำพัง ยามไม่ต้องการพานพบกับใครอื่นใด

         อลันเนลาร์ เซ. เดสทิเน็ตต์รู้จักโรงเรียนนี้ดีเกินกว่าที่คนนอกสมควรรู้ เขาเป็นแค่เด็กชายผู้มาสมัครเข้ารับการศึกษา แต่เขาเองก็มีอะไรหลายๆอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ท่าทีนิ่งเงียบงันอันแสนเย็นชาคือสิ่งที่เขาชอบเผลอไผลแสดงออกไป เมื่อยามครุ่นคิดถึงเรื่องราวหลายๆอย่าง

         เขาเข้ามาในสวนแห่งนี้ได้สักพักใหญ่แล้ว และแน่นอนว่าตอนเข้านั้นไร้วี่แววว่ามีใครมา แต่ทว่าพอลองหมุนตัวหันกลับไปดูเบื้องหลังของตนอีกที ปรากฏว่ากลับมีชายหนุ่มลึกลับผู้หนึ่งยืนอยู่ ชายผู้นั้นจ้องมองมาทางนี้ด้วยท่าทีคล้ายฉงนสนใจ แม้มองไม่เห็นดวงตาของเขา แต่เด็กชายคาดเดาได้เลยว่า สายตาที่มองมานั้น...คงเป็นแววตาแห่งความประหลาดใจแน่แท้

         “...เป็นสถานที่ที่สงบดีนะครับ ว่าอย่างนั้นไหมล่ะ... คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกหากมีใครสักคนคิดแบบเดียวกันกับคุณ ไปๆมาๆคุณกับคนที่คิดแบบเดียวกันก็อาจจะมาพานพบก็เป็นได้ คิดแบบนี้ก็น่าขันนะครับ~ ฮะๆ~” ชายผู้นั้นกล่าวออกมา เสี้ยวหน้าเบื้องล่างปรากฏขึ้นมา เขาเผยรอยยิ้มบางดูเป็นมิตรให้

         “...”

         “อาจเป็นการล่วงเกินไปนิด...แต่ตัวผมมีเวลาอันจำกัด เพราะเหตุนั้นแล้ว...พอจะบอกชื่อของคุณได้หรือเปล่าครับ?”

         “...” อลันเนลาร์ไม่ได้เอ่ยตอบ

         เด็กชายกำลังจับจ้องมองคู่สนทนาของตนด้วยสายตาเรียบเฉย ชายหนุ่มดูไม่ใส่ใจอะไรนักกับท่าทีระแวงไวเช่นนี้ เขาทำเพียงเอียงคอมองมาอย่างสนอกสนใจ ทั้งที่ไม่เคยพานพบมาก่อน... แต่ทำไมอลันเนลาร์ถึงคิดว่า บรรยากาศรอบตัวของชายหนุ่มนั้น ช่างดูคุ้นเคยเหลือเกิน

         ชายภายใต้ชุดคลุมสีหม่นก้าวเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของเด็กชาย ก่อนจะย่อตัวลงมาให้ตรงกับระดับสายตาของเขา จับจ้องมองลงไปภายในดวงตา...ราวกำลังตามหาบางสิ่ง มือหนึ่งเลื่อนมาจับไหล่อย่างอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มบางไร้ความนัย...ที่มีแต่สร้างความฉงนใจให้เด็กชาย

         อลันเนลาร์ไม่เข้าใจ...ว่าอะไรกันนะคือสิ่งที่ดลใจไม่ให้เขารีบออกห่างไปจากชายคนนี้ เขาไม่เข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ชายคนนั้นเข้ามาหาเขา เขาไม่เข้าใจ...ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำแบบนี้

         ...เขา...ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง...

         “บางที...คนเราก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจในทุกสิ่งอย่าง บางทีนะ...บางที การปล่อยวางในเรื่องบางอย่างที่เราไม่เข้าใจอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเราก็เป็นได้ แต่ในทางกลับกัน...เรื่องบางอย่างเรานั้นก็จำต้องเข้าใจ เพื่อเป็นบทเรียน เพื่อเป็นหนทาง เพื่อเป็นเป้าหมาย หรือเพื่อไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำอีก”

         ชายหนุ่มพูดเปรยขึ้นมาราวกับสามารถอ่านใจ เขายังคงรอยยิ้มบางเอาไว้เช่นเดิม

         เหมือนอยู่...แต่กลับไม่ได้อยู่ ชายหนุ่มคนนี้ให้ความรู้สึกแบบนั้น ทั้งๆที่เขาก็ยืนอยู่เบื้องหน้าของเด็กชายแท้ๆ แต่อลันเนลาร์กลับไม่สามารถสัมผัสตัวตนของเขาได้เลยสักนิด ครั้นยามตั้งใจจะถามไถ่ว่าคุณเป็นใคร ชายหนุ่มกลับละมือออกจากไหล่เขา พลางลุกขึ้นยืน...แล้วเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมา

         ไหล่สั่นระริก...ความรู้สึกคล้ายขนลุกปราดแล่นไปทั่วร่างยามรับฟัง ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยทำนองใดออกมา อลันเนลาร์ก็รับรู้จากความรู้สึกได้เลยว่า...สิ่งที่ชายคนนั้นจะขับร้องมา คือบทเพลงใด

         ...บทเพลงแห่งการอำลาของผู้จมดิ่งในโลกสีเทา ฟาราเวล ฮาร์โมเนีย...

         ...ท่วงทำนองแห่งฟาราเวล...

         เนตรเรียวทับทิมแดงเผลอไผลฉายแววเศร้าโศกปวดร้าว อลันเนลาร์ยืนนิ่งคล้ายถูกสาปสะกดโดยบทเพลงนี้ เด็กชายเกือบจะไม่รับรู้ถึงสิ่งใดนอกจากบทเพลงนี้ เพราะมันเอาแต่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาภายในห้วงความคิดและการรับรู้ของเขา

         ท่วงทำนองแห่งฟาราเวลอาจเปรียบเสมือนดั่งคำสาปร้ายของใครหลายคน หากแต่ทว่ามันเปรียบเหมือนคำอวยพรของเหล่าผู้คนจากแคว้นเฮนเฮล แคว้นแห่งความตายและสุสาน...แคว้นอันเป็นบ้านเกิดของเขา ชาวเฮนเฮลทั้งหลายต่างรู้ซึ้งในความเป็นไปของชีวิตตนดี เพราะเหตุนี้...การจมดิ่งลงไปในโลกสีเทาจึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกเช่นใครว่า แต่อลันเนลาร์ไม่ใช่คนจำพวกนี้...เขาไม่ใช่คนที่เทิดทูนโลกสีเทา หรือจมลงไปแล้วแบบนั้น

         ...ชายผู้นี้เป็นใคร? เหตุใดจึงร้องเพลงๆนี้ออกมากัน?...

         หลังสามารถรวบรวมสติไม่ให้ตกอยู่ในภวังค์ได้ อลันเนลาร์ก็นึกสงสัย ว่าจะมีใครอื่นอีกไหมที่จะออกเดินตามหาต้นตอของเสียงของชายผู้นี้ ไม่ต้องรอคอยนานนัก คำตอบก็ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับผู้มาเยือนรายใหม่ เป็นเด็กชายธรรมดาคนหนึ่ง...และเด็กหญิงจากตระกูลลีวิเวน ตระกูลที่ถือว่าบทเพลงนี้เป็นสิ่งต้องห้าม

         อลันเนลาร์รู้ว่าทั้งสองล้วนมีจุดประสงค์เดียวกัน... นั่นก็คือการตามหาผู้ขับร้อง หากแต่จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น เขาไม่รู้เลย

         Time still, It's still, Continuing
         เวลายัง... มันนั้นยัง... ดำเนินต่อไป

         Farawell... Farawell, our little poor child.
         ฟาราเวล... ฟาราเวล... เด็กน้อยผู้น่าสงสาร

         I'm alone again...
         ฉันโดดเดี่ยวอีกครา...




         “การพานพบกัน ณ ที่แห่งนี้ ของพวกคุณสามคน...ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกครับ~” เนิ่นนานหลังเงียบงัน ชายหนุ่มปริศนาก็เอ่ยกล่าวบางสิ่งขึ้นมา โทนเสียงสงบคือสิ่งสยบไม่ให้ใครเอ่ยขัด เขากวาดสายตาของตนไล่มองยังเหล่าคู่สนทนาของตน สิ่งที่เขามองเห็นในแววตาของทั้งสามช่างเป็นอะไรที่เขาคุ้นเคยเสียจริง

         มองเห็นแววฉงนสนใจในดวงตาสีมรกตของเด็กชายผู้ร่าเริง

         มองเห็นแววระแวงไม่เข้าใจในดวงตาสีน้ำทะเลของเด็กหญิงผู้โด่งดัง

         มองเห็นแววประหลาดใจในดวงตาสีทับทิมของเด็กชายผู้นิ่งเงียบ

         เขาจำได้ว่าเด็กเหล่านี้คือใคร...ไม่สิ เขารู้จักบุคคลเหล่านี้ รู้จักค่อนข้างดีเสียทีเดียวเลยล่ะ “มันไม่ใช่เพราะความบังเอิญ...หรือเพราะมีใครกำหนดเอาไว้ หากแต่เป็นเพราะโชคชะตาที่ชักนำพวกคุณทั้งสามให้มาพบกัน อ๋อ...บางทีการที่ผมมาปรากฏตัวนี่ก็เป็นเพราะโชคชะตาชักนำมาเช่นเดียวกัน”

         ไม่เปิดโอกาสให้ใครเอ่ยถาม ชายหนุ่มก็เริ่มพูดต่อ

         “ฟาร์วาร์รินัส เดอันนิส...คลาริน่า คริสเทิล ลีวิเวน...อลันเนลาร์ เซ. เดสทิเน็ตต์ ขอให้พวกคุณทั้งสามคนพึงระลึกและจดจำสิ่งที่ผมจะเอ่ยต่อไปนี้เอาไว้ หาไม่แล้วบางที...พวกคุณทั้งสามคนอาจต้องเสียใจในสิ่งที่เป็นไป” ผู้ถูกกล่าวถึงทั้งสามพากันสงสัย ว่าเหตุใดชายคนนี้จึงรู้จักนามของพวกตน ทั้งๆที่ยังไม่ได้แนะนำตัวหรือเอ่ยบอกอะไรเลย

         แต่พวกเขาจะไม่ถาม เพราะพวกเขาเชื่อว่าต้องมีสิ่งอื่นที่สำคัญมากกว่าเรื่องๆนี้แน่นอน

         “ขอให้พึงตระหนักไว้ว่าเวลาทุกวินาทีล้วนมีค่า จดจำช่วงเวลาอันแสนสำคัญเอาไว้ให้ดี อย่าแตกแยก...อย่าแยกห่างเพียงเพราะเรื่องไร้สาระ มิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญ ห้ามทำลายความสัมพันธ์นี้ทิ้งแม้เป็นเกินกว่านั้น คำสัญญาใดๆกับใครอื่น หากเป็นไปได้...ขอให้รับคำเฉพาะสิ่งที่ตนทำได้”

         น้ำเสียงนุ่มน่าฟังพลันเริ่มฉายความปวดร้าวออกมา ถึงแม้จะเจือปนเพียงน้อยนิด แต่ทั้งสามคนก็สามารถสัมผัสได้ “อย่าสิ้นหวังเพียงเพราะผิดหวัง อย่าถอยหลังเพียงเพราะพลาดพลั้ง หากผิดพลาดจงเร่งแก้ไข...เพราะปัญหาอาจใหญ่มากกว่าที่คิด รับฟังผู้อื่นและให้ผู้อื่นรับฟังเรา คอยเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจให้ซึ่งกันและกัน เข้าใจ...พยายามเข้าใจ”

         “และ...ไม่ว่าผลลัพธ์ที่โชคชะตารังสรรค์ขึ้นจะเป็นเช่นไร ขอให้น้อบรับเอาไว้และอย่าคิดแก้ไข” เผยรอยยิ้มบางเร้นแฝงไปด้วยความนัยให้ทั้งสาม “ในตอนแรกอาจสับสนวกวน อาจหลงไปในสิ่งชักจูงอื่น อาจไม่เข้าใจในการกระทำ อาจพบเจอการลาจาก แม้จะดูเหมือนโหดร้าย...แต่พอลองมองดูดีๆแล้ว ในจุดจบ ทุกๆสิ่งมันล้วนสวยงามครับ”

         ...ใกล้หมดเวลาแล้ว...

         “...เวลา...จะถึงเวลาบอกลาแล้วล่ะ”

         เขาคนนั้นแย้มยิ้ม...แย้มยิ้มอย่างมีความสุข มือทั้งสองข้างเลื่อนขึ้นจับฮู้ดคลุมหัวพลางถอดมันออก “พวกคุณทั้งสามคนจะจดจำผมเอาไว้...หรือจะลืมเลือนกันไปก็ได้ ผมเคารพในการตัดสินใจของทุกๆคน สุดท้ายนี้แล้ว...” มอง...ไม่เห็น ใบหน้านั้นช่างพร่าเลือนเหลือเกินในสายตาของทั้งสาม ราวกับว่าหลังจากเอ่ยประโยคนี้ไป เขาคนนั้นจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา

         ...ขอให้มีความหวังต่อไป ฟาร์วาร์...คลาริน...อลัน...

         ...ขอให้มีความหวังต่อไป...นะ...


         “...ลาก่อน...ครับ” และเขาก็จากไป...ทันทีทันใดยามสายลมพัดพา
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×