คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Break 5: The Story Of Us [Re]
5
The Story Of Us
‘ถ้าเธอทำให้ฉันรักเธอได้ ฉันจะยอมไปทำงานให้เธอฟรีๆ จนกว่าเธอจะพอใจ แต่ถ้าเมื่อใดที่เธอเป็นฝ่ายหลงรักฉัน เธอจะต้องออกไปจากชีวิตฉันแล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก...ตลอดไป!’
ทำให้เขาหลงรักงั้นเหรอ...
ยิ่งตอนนี้เขารู้ความจริงหมดแล้วว่าฉันเข้ามาตีสนิทกับเขาเพียงเพราะต้องการหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง ให้งมเข็มให้มหาสมุทรยังจะง่ายซะกว่าทำให้เขาหลงรักฉันซะอีก
“เฮ้อ!”
“เป็นอะไรของเธอ ทำข้อสอบไม่ได้เหรอไง” เฮนรี่แค่นหัวเราะพร้อมกับสตาร์ทรถ ที่เขาถามแบบนี้ก็เพราะเราสองคนเพิ่งออกมาจากห้องสอบกลางภาควิชาสุดท้ายน่ะ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันถึงกับถอนหายใจไม่ใช่ข้อสอบหรอก
“หยาบคาย อย่าว่าแต่ทำได้เลย แค่ได้ทำก็บุญหัวแล้ว”
น่าหงุดหงิดชะมัด ลำพังแค่ทำข้อสอบได้บ้างไม่ได้บ้างก็ทำฉันปวดหัวจะตายอยู่แล้ว ในหัวยังมีแต่คำพูดบ้าๆ นั่นของอีตานั่นดังซ้ำไปซ้ำมาจนน่ารำคาญอีก
“แล้วนี่จะไปที่ร้านเลยป่ะ หรือจะกลับบ้านก่อน” เฮนรี่ถามขึ้นในขณะที่กำลังเลี้ยวรถออกจากมหาลัย
“ฉันว่าจะไปเอารถที่มหาลัยฮีวอนก่อนอ่ะ จอดทิ้งไว้เป็นอาทิตย์แล้ว แกไปส่งหน่อยดิ”
“ฮะ?” เขาร้องเสียงหลง “มันไม่ได้ใกล้ๆ กันเลยนะลีน เธอจะให้ฉันขับวนไปวนมาทำไมตั้งไกลเปลืองน้ำมันเปล่าๆ นั่งแท็กซี่ไปเองเถอะ” ก่อนจะบ่นต่ออีกยาว
“กลัวอะไรกะอีแค่ค่าน้ำมัน บ้านแกรวยจะตาย”
“ถึงงั้นเราก็ต้องรีบกลับไปทำงานที่ร้านอยู่ดี”
“แหม~ เจ้าของร้านนั่งอยู่นี่ด้วยทั้งคนจะกลัวอะไรยะ ตั้งแต่มี ‘ลูกค้าคนพิเศษ’ นี่ รู้สึกจะขยันขันแข็งเหลือเกินนะ”
“ก็แล้วใครยุล่ะ –*–”
“แล้วตกลงจะไปส่งฉันหรือไม่ไป”
“ไม่!” เฮนรี่ตอบเสียงห้วนก่อนจะหักรถเข้าจอดข้างทาง แถมยังปลดเข็มขัดนิรภัยของฉันออกแล้วเอือมมือไปเปิดประตูผลักให้ฉันลงจากรถเสร็จสรรพอีกต่างหาก
เรียกว่าเป็นการขับไล่ไสส่งอย่างเต็มรูปแบบเลยก็ว่าได้ =_=
“เฮ้ย! ทำงี้ได้ไงอ่ะ ฉันจะฟ้องพี่มาร์!”
“เชิญ!” เขาปิดประตูแล้วเคลื่อนรถออกไปทันทีทิ้งให้ฉันยืนโวกเวกโวยวายเป็นคนบ้าอยู่ข้างถนนเพียงลำพัง ไอ้เฮนรี่บ้า ไอ้ฝรั่งขี้นกตกใส่หัว กล้าดียังไงบังอาจถีบฉันลงข้างทางแบบนี้ มาเดอลีนจะฟ้องแม่ ฮือออ TOT
ผ่านไปเกือบสิบนาที กว่าฉันจะหาแท็กซี่ที่ไม่ไปเติมแก๊ส ส่งรถ ตดเป็นพิษได้ แดดก็ร้อนระอุอย่างกับกลางทะเลทราย เฮนรี่! ไอ้เพื่อนทรยศ ฝากไว้ก่อนเถอะ กลับไปถึงร้านเมื่อไหร่แม่จะฟาดให้กบาลแยกเลยคอยดู!
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเช็คตารางเรียนของฮีวอน จะว่าไปนี่ก็อาทิตย์กว่าแล้วนะเนี่ยที่ฉันไม่ได้ไปเจอหมอนั่นเลย ป่านนี้เขาคงคิดว่าฉันยกธงขาวยอมแพ้ไปแล้วแหงๆ เหอะ! ไล่จับผู้ชายงั้นเหรอ ดูถูกฉันซะป่นปี้ขนาดนี้ ตราบใดที่ฉันยังไม่ได้นายมาเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้าน ฝันไปเถอะว่าฉันจะยอมรามือให้!
พอมาถึง ฉันก็รีบสาวเท้าไปตรงมุมที่ Mini One สุดที่รักจอดนิ่งสนิทอยู่ด้วยความเป็นห่วงทันที ขอบคุณระบบรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยค่าเทอมเกือบครึ่งแสนนี่ที่ดูแลรถฉันเป็นอย่างดีไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนตั้งเป็นครึ่งเดือน แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือฉันอ่านเจอมาในอินเทอร์เน็ตว่าถ้าจอดรถทิ้งไว้โดยที่ไม่ได้ขับไปไหนหรือไม่ ได้สตาร์ทนานๆ รถอาจจะเสื่อมสมรรถภาพได้...
บรืน~
ฉันแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ทำงาน ไม่ต้องกลัวแล้วนะลูกรัก อีกเดี๋ยวแม่จะพาหนูกลับบ้านเรารักรออยู่แล้วนะคะโอ๋เอ๋
แต่ก่อนอื่น...ตอนนี้ก็ใกล้เวลาเลิกเรียนของฮีวอนแล้ว นักศึกษาบางส่วนพากันทยอยเดินออกมาจากในตึก ฉันจึงตัดสินใจนั่งตากแอร์เคี้ยวหมากฝรั่งรอเขาอยู่ในรถพลางคิดหาวิธีที่จะทำให้คนหยิ่งผยองพองขนอย่างหมอนั่นมาตกหลุมรักฉัน
เอ...หรือว่าจะดักตีหัวเขาให้ความจำเสื่อมแล้วบอกว่าเขาทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านฉันให้รู้แล้วรู้รอดไปซะเลยดีไหมนะจะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวคิดโน่นคิดนี่
วิธีนี้ก็เริ่ดอยู่นะ หลังจากที่หมอนั่นไปทำงานที่ร้านแล้วฉันก็จะได้เข้าไปนั่นสวยหัวโตอยู่ในคุกไงล่ะ ตลกละ ไม่เอาๆ –*–
อ๊ะ! นั่น...
ฉันดับเครื่องยนต์แล้วก้าวลงจากรถยืนกอดอกมองนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินคุยกันออกมาจากตึก ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีคาราเมลสังเกตเห็นฉันทันทีแถมยังจ้องฉันไม่ละสายตา ฉันสูดหายใจเข้าช้าๆ เพื่อผ่อนคลายตัวเองก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปหาเขา
ฉันต้องทำตัวปกติ ไม่ว่าหมอนั่นจะคิด จะพูด หรือจะมองยังไง ฉันจะต้องทำตัวปกติ นี่เป็นทางเดียวที่จะสู้หน้าเขาได้เหมือนเดิม...ฉันท่องในใจ
“ตกลงว่าไง จะไปป่ะเนี่ย” ผู้ชายรูปร่างสูง ผิวขาว หน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับหันไปทางฮีวอนทำเอาสันชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นของฉันทำงานขึ้นมาทันที
“ฮีวอนขา~ ไปเถอะนะ วิสกี้ก็ไป ไปเป็นเพื่อนวิสกี้นะคะ”
ฉันยืนอ้าปากค้างมองผู้หญิงที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘วิสกี้’ ยืนเกาะแข้งเกาะขาฮีวอนประหนึ่งเป็นลิงกำลังหาเหาในตัวเขากินอย่างอึ้งๆ
“น้าาา~ ไปกับวิสกี้นะคะ” เจ้าหล่อนยังคงออดอ้อนพร้อมทั้งกระพริบตาปริบๆ ใส่เขาไม่หยุด
โอ๊ยตาย! ไม่เคยรู้มาก่อนว่าหมอนี่ชอบผู้หญิงดัดจริตอย่างยัยนี่เหรอเนี่ย ฉันทำไม่เป็นหรอกนะ =[]=
“ว่าไงวะ ตกลงจะไปหรือไม่ไป”
เพื่อนเขาถามซ้ำ ในขณะที่ยัยวิสกี้อะไรนั่นก็ยังคงออดอ้อนไม่หยุด ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นด้วยซ้ำว่าฉันกำลังยืนฟังพวกเขาคุยกันอยู่ ส่วนไอ้คนที่เห็นก็ดันแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
ชิ!
“ถ้านายไป ฉันก็จะไปด้วย!” ฉันเดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างฮีวอนกับวิสกี้ ด้วยความที่เจ้าหล่อนตัวเล็กกว่าฉันแถมยังใส่รองเท้าส้นเข็มสูงปี๊ดก็เลยเสียหลักเซจนแทบจะล้มหน้าคว่ำ ทุกคนแลดูงุนงงมากกับการปรากฏตัวขึ้นอย่างปุ๊บปั๊บรับโชคของฉัน เฮ้ย! นี่ฉันไม่ใช่เฮอร์ไมโอนี่ขี่ไม้กวาดมาจากฮอกวอตส์นะ ทำไมต้องทำหน้าตกใจกันขนาดนั้นด้วย
“เธอเป็นใครเนี่ย?!” วิสกี้แว้ดขึ้นหลังจากที่ตั้งหลักได้
“ฉันเหรอ”
ฉันลอยหน้าลอยตาถามกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามดัดให้กวนประสาทที่สุดก่อนจะสอดแขนตัวเองคล้องไว้กับแขนของฮีวอนที่ยืนหลับในไม่ไหวติงต่อสิ่งที่เกิดรอบกายอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ
“ฉันก็เป็นแฟนฮีวอนขา~ ของเธอไงล่ะ”
ว่าแล้วก็ยักคิ้วหลิ่วตาพร้อมกับฉีกยิ้มหวานตบท้ายให้อีกหนึ่งทีเป็นของแถม ;-)
“ฉันยังไม่ได้อนุญาตให้เธอไปเลยนะ”
“แล้วใครขออนุญาตนาย” ฉันไม่สนใจฮีวอนที่กำลังปรายตามองฉันแล้วหันจัดการปรับแอร์หน้าคอนโซลมาส่องหน้าตัวเองเหมือนทุกครั้งที่ขึ้นรถเฮนรี่ด้วยความเคยชิน
“นี่!”
“อะไร” ฉันตอบเสียงห้วนพร้อมทั้งหันไปหาเขา อยู่ดีๆ ก็มาขึ้นเสียงใส่ ฮีวอนไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร เอี้ยวตัวโน้มเข้าหาฉันจนหน้าเราแทบจะประกบกันเป็นแซนด์วิช คำพูดในหัวฉันถูกกลืนลงคอไปพร้อมกับน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความตกใจที่อยู่ดีๆ หน้าของเขาก็ลอยเข้ามาอยู่ใกล้เพียงแค่ปลายจมูกภายในเวลาไม่กี่วินาที เขาเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ฉันก่อนจะเด้งตัวกลับแล้วจับพวงมาลัยเหยียบคันเร่งออกรถทันที
พู่~ ฉันพ่นหายใจออกจากปากอย่างโล่งอก
“ทำไม คิดว่าฉันจะจูบเธอเหรอไง” ฮีวอนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขบขัน
หน็อย! ทำคนอื่นขวัญหนีดีฝ่อแล้วยังจะมีหน้ามาหัวเราะเยาะอีก
เล่นยื่นหน้าเข้ามาซะใกล้ขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง...นายก็เคยฉวยโอกาสกับฉันแล้วด้วย ถึงแม้ว่าจูบนั้นจะเป็นแค่จูบลองใจ แต่สำหรับผู้หญิง จูบยังไงก็คือจูบนะเว้ย แบบนี้จะไม่ให้ฉันตกใจได้ยังไงล่ะ T^T
“แล้วพวกเพื่อนๆ นายล่ะ”
“กลับบ้าน”
“อ้าว ก็ไหนว่าจะไปทะเลกันไง”
“แล้วเธอจะไปทั้งสภาพนี้เนี่ยนะ”
ฉันก้มลงมอง ‘สภาพ’ ตัวเอง จริงด้วย พวกเรายังอยู่ในชุดนักศึกษากันอยู่เลย (.__.)
หลังจากฮีวอนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดฯ เสร็จ ฉันก็บังคับให้เขาพากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านบ้าง แอบแปลกใจเล็กน้อยนะที่เขาแสดงออกปกติดีราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งที่เขาควรจะโกรธ เกลียด หรืออาจไม่มองหน้าฉันเลยด้วยซ้ำ
แต่ก็เปล่า...เขานั่งรอฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยที่ไม่บ่นอะไรสักคำ
“แล้ว...เพื่อนนายไปกันหมดแล้วหรอ” ฉันถามอีกครั้งหลังจากที่เราออกเดินทางมาได้สักพัก แต่แทนที่ฮีวอนจะตอบ เขากลับ...
“ถามทำไมนักหนา เกิดติดใจอะไรเพื่อนฉันขึ้นมาหรือไง”
=_=
“ฉันก็แค่ถามเฉยๆ หรอกน่า นายอย่ามาจ้องหาเรื่องกันหน่อยเลย”
“ก็ยังไม่ได้หาเรื่องอะไรสักหน่อย”
“ก็แล้วทำไมจะต้องยอกย้อน ตอบๆ มามันจะตายหรือไง”
“ไม่ตายแต่ขี้เกียจตอบ”
“ขี้เกียจตอบแต่ขยันมานั่งเถียงกับฉันเนี่ยนะ”
“เออตอบก็ได้ ก็เพราะต้องมาส่งเธอเปลี่ยนเสื้อผ้านี่ไง พวกมันเลยล่วงหน้าไปก่อนแล้ว พอใจยัง”
“เออ!”
ฟังแล้วรู้สึกเหมือนฉันเป็นตัวปัญหา งั้นขอจบการสนทนาในหัวข้อนี้ลงแต่เพียงเท่านี้จะดีกว่า...
เงียบ...
เงียบ...
เงียบ...
แต่จะให้นั่งเงียบอมน้ำลายตัวเองแบบนี้ไปตลอดทางนี่มันก็วังเวงเกินไปนะ –*–
“กินคุกกี้ป่ะ พี่สาวฉันเป็นคนทำเองเลยนะ”
ฉันเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบก่อนจะหยิบกล่องคุกกี้ที่แอบขโมยพี่มาการองออกมาจากกระเป๋าสะพาย จัดการเปิดฝาแล้วหยิบคุกกี้ยื่นไปตรงหน้าเขา ฮีวอนกดตาลงพินิจพิจารณาเจ้าก้อนแป้งสาลีที่ถูกอบจนเป็นสีน้ำตาลอ่อนแซมด้วยเกล็ดสีม่วงคล้ำของลูกเกดอบแห้งที่อยู่ตรงหน้าอย่างลังเลใจ
“กินๆ เข้าไปเถอะน่า ไม่ตายหรอก” ฉันจับคุกกี้กระแทกปากเขาเบาๆ จนเขาต้องยอมอ้าปากกลืนมันเข้าไปทั้งชิ้น
“เป็นไง อร่อยล่ะสิ พี่ฉันเรียนจบคหกรรมมาโดยตรง รับประกันว่าขนมทุกชิ้นในร้าน อร่อยแน่นอน!”
ว่าแล้วก็หยิบเข้าปากหนึ่งชิ้น อ้ำ~
“อร่อยจนร้านแทบเจ๊ง เหอะ” ฮีวอนพึมพำ
แต่ฉันได้ยินนะยะ –_–
“กินเข้าไปเลย พูดมาก” ฉันจับคุกกี้สามสี่ชิ้นยัดใส่ปากเขา
นี่ถ้าไม่เกรงใจ แม่ตบเลือดกลบปากโทษฐานพูดจาไม่เข้าหูไปแล้วนะเนี่ย –_– เจ๊งเหรอ ถ้าเป็นเมื่อเดือนที่แล้วน่ะอาจจะใช่ แต่ตอนนี้น่ะเหรอ เหอะ! ไม่มีร้านไหนในปฐพีจะขายดีเท่าร้านฉันอีกแล้วล่ะ โฮะๆๆ ไม่อยากจะคุย (งั้นก็ไม่ต้องคุย) (เอ๊ะ! ฉันเป็นนางเอกนะ)
“งึมงำๆ”
ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืดมิดในสถานที่ที่ไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก กล่องคุกกี้เปล่าๆ ที่ยังถือไว้ในมือทำให้นึกขึ้นได้ว่าฉันนั่งรถมาทะเลกับฮีวอน แต่พอหันไปข้างๆ กลับพบว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว
บ้าจริง! นี่ฉันเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
ฉันเช็ดน้ำลายที่ไหลเปรอะข้างแก้มออกก่อนจะใช้มือสางผมให้เข้าทรง ทุเรศชะมัด ดีนะที่ไม่มีใครมาเห็นสภาพซกมกนอนน้ำลายไหลยืดเมื่อกี้นี้ แสงไฟที่สว่างอยู่ไม่ไกลกระทบเข้ากับนัยน์ตาของฉันจนต้องหรี่ตาเพ่งมอง ฮีวอนกับเพื่อนคนอื่นๆ กำลังนั่งสังสรรค์กันอยู่ริมทะเลห่างจากตรงนี้ไปไม่ไกลนัก
ฉันเปิดประตูลงจากรถ สำรวจสภาพตัวเอง จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางแล้วรีบเดินตามไปสมทบ
“อ้าว เธอ! ตื่นแล้วเหรอ” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของฮีวอนร้องทักขึ้นทันทีที่เห็นฉันเดินเข้าไป เขาคือคนที่ฉันบอกว่าสูงยาวเข่าดีหน้าตาหล่อเหลาเมื่อตอนที่เจอกันที่มหาวิทยาลัยน่ะ ฉันยิ้มตอบโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
ตายจริง เมื่อกี้ลืมเช็คกลิ่นปากซะด้วยสิ หลับไปตั้งนาน น้ำลายบูดหรือเปล่าก็ไม่รู้ –*–
“อ่ะ เอาสักแก้วสิ” หนุ่มหล่ออีกคนส่งแก้วบรรจุน้ำสีเหลืองอำพันให้ฉัน สาบานว่ามันไม่ใช่เก๊กฮวย จะว่าไปกลุ่มนี้ดูท่าจะคัดคนจากหน้าตา ไหนจะคังฮีวอน ไหนจะผู้ชายหน้าหล่อผมดำนั่น แล้วไหนจะคนนี้อีก
“ฉันชื่อบอย ไอ้นี่ชื่อจูเนียร์ ส่วนยัยนั่นชื่อวิสกี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” บอยแนะนำทุกคน
“เรียกฉันให้มันดีๆ หน่อย ใครคือยัยนั่นยะ” วิสกี้แว้ดขึ้นก่อนจะหันมาเบ้ปากใส่หน้าฉัน
ถ้าไม่นับท่าทางหยิ่งๆ จนน่าเขวี้ยงเปลือกทุเรียนใส่นั่น ฉันว่ายัยนี่สวยระเบิดเลยเหมือนกันนะ โครงหน้าเรียวเล็ก ปากนิดจมูกหน่อย ตากลมโตสวย ทุกอย่างดูเข้ากันมากอย่างลงตัว เอวบางร่างน้อย วัดจากสายตาน่าจะเตี้ยกว่าฉันหลายเซนฯ อยู่เหมือนกัน แต่ว่าตรงนั้น...นั่นแหละ...กลับใหญ่จนแทบจะทะลักออกมานอกเสื้อ –.,–
“นั่งก่อนสิ” จูเนียร์บอกฉันที่ยังคงยืนมึนอยู่
นั่ง...
ฉันเดินผ่าวงเข้าไปกระชากแขนบางๆ ของยัยวิสกี้ที่เบียดฮีวอนจนแทบจะขึ้นไปนั่งตักเขาอยู่ร่อมร่อให้ลุกขึ้นแล้วนั่งลงตรงนั้นแทน
“นี่แก! มันจะมากไปแล้วนะ ฉันคุยฮีวอนอยู่ไม่เห็นเหรอไง”
“เห็น...แล้วไง นั่งตรงไหนก็คุยได้เหมือนกันนั่นแหละ แฟนฉันไม่ได้หูหนวกนะที่นั่งไกลๆ แล้วจะไม่ได้ยิน”
“เอ๊ะ นังนี่!” วิสกี้ถลนตาใส่ฉัน เสียงแหลมที่กำลังวี๊ดๆ อยู่นั่นทำให้ฉันนึกถึงนางอิจฉาในละครหลังข่าวภาคค่ำขึ้นมาทันที คิดๆ ดูแล้ว น่าส่งยัยนี่ไปแคสติ้งนะ เกิดมาพร้อมกับหน้าเริ่ดๆ เชิดๆ นั่นทั้งที น่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์บ้าง อย่างน้อยละครหลังข่าวก็ทำให้คนดูมีความสุขไปกับการนั่งจิกหมอนด่านางอิจฉาหน้าจอโทรทัศน์ได้ล่ะนะ
“เธอนี่ขี้หึงเหมือนกันนะเนี่ย” บอยแซวก่อนจะยื่นแก้วเหล้าแก้วเดิมให้ฉันอีกครั้ง
“ขอบใจนะ แต่ฉันไม่ชอบดื่มเหล้าอ่ะ”
“งั้นเอาเบียร์ป่ะ” เขาตื๊อ
“ไม่อ่ะ ฉันไม่ดื่มแอลกอฮอล์” ฉันตัดบท
“สักนิดน่า ถือว่าฉลองที่เรารู้จักกัน”
ฉันส่ายหน้า แต่บอยยังคงตื๊อโดยการยื่นแก้วเหล้าให้ฉันไม่ลดละ
“อ้าวเฮ้ย!” บอยโวยที่อยู่ดีๆ ฮีวอนก็คว้ามันไปแล้วกระดกรวดเดียวหมดแก้ว
“ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาพูดก่อนจะส่งแก้วเหล้าคืน
“อะไรวะ แค่นี้หวงแฟนเหรอไง” บอยรับแก้วเหล้าคืนไปพร้อมกับเอ่ยแซวทำให้คนอื่นอดหัวเราะไม่ได้
เอ่อ...คนอื่นที่ว่าหมายถึงฉันกับจูเนียร์น่ะ เพราะนอกจากวิสกี้จะไม่ขำด้วยแล้วยังแผ่รังสีอำมหิตใส่ฉันอีกต่างหาก แต่โดยรวมแล้วฉันว่าเพื่อนของฮีวอนน่ารักกันมากๆ เลยนะ นอกจากจะหน้าตาดีแล้วยังอารมณ์ดีกันอีกต่างหาก พวกเขาอัธยาศัยดีและคุยกับฉันได้สนิทสนมมากทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงแท้ๆ ผิดกับผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ลิบลับ ในระหว่างที่บอย ฉัน และวิสกี้กำลังสนุกสนานไปกับเสียงกีต้าร์ของจูเนียร์ ฮีวอนกลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งเหม่อออกนอกทะเลที่มืดสนิทจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย เขาจะหันกลับเข้ามาในวงบ้างก็ตอนที่น้ำสีอำพันในแก้วที่ถือไว้หมดเท่านั้นแหละ
“เธอรู้ป่ะ ฉันแปลกใจมากเลยนะตอนที่เธอบอกว่าเป็นแฟนหมอนี่อ่ะ” อยู่ดีๆ จูเนียร์ก็เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา
“นั่นดิ ปกติฉันไม่ค่อยเห็นมันจะสนใจใคร” เสริมด้วยบอย
“แต่จะว่าไป...เธอสำคัญตัวเองผิดไปหรือเปล่าจ๊ะ ฉันไม่เห็นฮีวอนจะสนอกสนใจอะไรเธอสักนิด” วิสกี้เบ้ปากใส่ฉันหลังจากกัดจบ
“ฮีวอนมันจีบเธอยังไงอ่ะ เล่าให้ฟังหน่อยดิ” จูเนียร์ถาม
ฉันหันไปมองหน้าฮีวอน ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าพวกเราคุยอะไรกัน ตอนนี้หน้าเขาแดงก่ำเป็นลูกมะเขือเทศสุกเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ไม่ใช่แค่ฮีวอนหรอก แต่จูเนียร์ บอย หรือแม้แต่วิสกี้เองก็ด้วย ทั้งวงมีแค่ฉันเท่านั้นที่นั่งกระดกน้ำอัดลมเป็นเด็กอนุบาลอยู่คนเดียว
“ต้องบอกว่าเธอจีบเขายังไงมากกว่าสินะ” วิสกี้หัวเราะเยาะ
เอ๊ะยัยนี่! –*–
“ฉันกับฮีวอนเราบังเอิญเจอกันตอนฉันรถเสีย...” ฉันเริ่มเล่า ทุกคนเงียบฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ “เขาขับรถผ่านมาพอดีก็เลยจอดลงมาช่วยดูรถให้ฉัน” ฉันโม้ ความจริงคือหมอนี่ไม่สนใจเลยต่างหาก –*– “แต่ว่าตอนนั้นรถฉันมันสตาร์ทไม่ติด เขาเลยโทรเรียกช่างให้ แถมตอนนั้นฝนก็เริ่มตกด้วย เขาก็เลยพาฉันไปหลบฝนที่ร้านอาหารใกล้ๆ เราก็เลยได้คุยกัน”
“โอ้ สายฝนแห่งรัก” จูเนียร์
“แหวะ!” ไม่บอกก็รู้ใช่ไหมว่าใคร –*–
“จากนั้นเราก็ติดต่อกันมาตลอด เขาไม่ได้จีบฉันเหมือนผู้ชายทั่วๆ ไปหรอก แต่เราคุยกันเหมือนเพื่อนมากกว่า จนวันนึงเขาไม่สบายก็เลยโทรให้ฉันไปหาที่คอนโดฯ ตอนนั้นฉันตกใจมากเลยนะ ตัวเขาร้อนจี๋ แถมหน้าก็ซีดมาก ฉันก็เลยต้องคอยดูแลหาข้าวหายาให้เขากิน” ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันตกใจจริงๆ นะ แม้ว่าเรื่องที่เล่าไปจะใส่สีตีไข่ซะย่อยยับก็ตาม “หลังจากนั้น พอเขาหายดี เขาก็ชวนฉันไปที่ทานอาหารที่ร้านอาหารบนยอดตึกแห่งหนึ่ง วิวตอนกลางคืนที่นั่นสวยมาก บรรยากาศก็ดี โรแมนติกมากเลยแหละ” ร้านนั้นฉันเคยไปกินกับพี่มาร์ต่างหากล่ะ ตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่าถ้าได้มากับแฟนคงจะดี –*–
“โห นี่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆ นะว่าหน้าอย่างไอ้ฮีวอนมันจะโรแมนติกได้ขนาดนี้อ่ะ แล้วไงต่อ มันขอเธอเป็นแฟนยังไง” บอยเร่ง
สาบานว่าถ้าเล่าจบ ฉันสามารถไปเป็นนักเขียนแต่งนิยายขายต่อได้เลยแหละ –*–
“เขาก็...” ฉันหมุนความทรงจำของตัวเองย้อนกลันไป วันนั้นมีผู้ชายโต๊ะข้างๆ ทำเซอร์ไพร์สขอแฟนแต่งงานพอดี “เรียกนักไวโอลินมาเล่นเพลงข้างๆ โต๊ะ เป็นเพลงรักเพลงโปรดของฉันเลยแหละ พอเพลงจบ...เขาก็รับช่อดอกไม้ที่สั่งไว้มาจากเด็กเสิร์ฟแล้วก็ยื่นให้ฉัน” โอ๊ย เล่าเองเขินเอง >_< “แล้วเขาก็...ขอฉันเป็นแฟน...”
“อ้วกกกกกกกกกกก!”
“เฮ้ย! ไอ้ฮีวอนอ้วก”
“เดี๋ยวฉันจะบอกทางโรงแรมให้มาเอาเสื้อผ้าไปซักให้ เธอก็หาอะไรใส่รอไปก่อนแล้วกัน” บอยบอกกับฉันก่อนจะหันไปโยนเสื้อผ้าของฮีวอนที่เขาเพิ่งจับถอดออกมาลงในตะกร้า
“งั้นเดี๋ยวพวกฉันจะลงไปเก็บของก่อนแล้วก็จะเปิดห้องนอนเหมือนกัน มีอะไรก็โทรหาฉันกับไอ้บอยได้นะ หาเบอร์ดูในโทรศัพท์ไอ้ฮีวอนอ่ะ”
“โอเค ขอบใจมากนะ” ฉันยิ้มให้พวกเขา
หลังจากจูเนียร์กับบอยช่วยกันลากวิสกี้ออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ อ้วกใส่เสื้อผ้าตัวเองไม่พอยังจะมาเผื่อแผ่ฉันที่นั่งอยู่ข้างๆ อีก ดีนะที่โรงแรมมีเสื้อคลุมอาบน้ำให้ ไม่งั้นฉันคงได้ใส่ชุดชั้นในเดินไปเดินมาแน่ อยากจะบ้าตายจริงๆ ฉันเดินกลับออกมาโยนเสื้อผ้าลงในตะกร้าพอดีกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น
หวังว่าคงจะไม่ใช่ยัยวิสกี้กลับมาหรอกนะ อารมณ์ฉันตอนนี้เดือดพอที่จะถลกหนังหัวยัยนั่นออกมาจิ้มเกลือกินได้เลยถ้าโดนกวนประสาทมากๆ เข้า
“ผมมาเอาเสื้อผ้าไปซักครับ” รูมบอยในชุดสีขาวฉีกยิ้มให้ฉัน
“รอแป๊บนึงนะคะ” ฉันปิดประตูแล้วเดินกลับเข้ามาเอาตะกร้าเสื้อผ้าออกไปส่งให้เขา “อีกนานไหมคะว่าจะเสร็จ”
“น่าจะพรุ่งนี้เช้าครับ”
เขาเดินจากไปทิ้งให้ฉันยืนอึ้งอยู่หน้าห้อง นี่เอาไปซักแห้งหรือตากแดดตากลมวะ ประเด็นคือฉันต้องอยู่ในห้องกับฮีวอนทั้งคืนในสภาพเกือบเปือยเปล่าเนี่ยนะ!?
ฉันเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วยืนเท้าสะเอวมองหน้าคนที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงในสภาพที่ไม่ต่างไปจากฉันสักเท่าไหร่อย่างโมโห โชคดีที่เขายังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวแถมยังเมาหัวราน้ำแบบนี้ คงไม่มีแรงจะลุกขึ้นมาทำอะไรมิดีมิร้ายฉันได้หรอก ฉันเปิดลิ้นชักหาผ้าขนหนูพื้นเล็กๆ แล้วเดินเข้าไปซักน้ำในห้องน้ำก่อนจะเดินออกมาจัดการเช็ดหน้าเช็ดแขนให้เขา
“นี่มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรของฉันวะเนี่ย เปื้อนอ้วกนายแล้วต้องมานั่งเช็ดตัวให้นายอีก!”
คนถูกบ่นยังคงนอนนิ่งหลับตาพริ้ม หน้าแดงก่ำของเขาก่อนหน้านี้เริ่มจางลง ไม่เมาก็แปลกแล้ว เล่นนั่งดื่มอย่างเดียวไม่พูดไม่จากับใครตั้งหลายชั่วโมง ถ้าฉันไม่ได้มาด้วยนี่ใครเล่าให้ฟังก็ไม่เชื่อจริงๆ นะว่าคนอย่างเขาจะปล่อยให้ตัวเองเมาจนอ้วกเละแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น
ฉันปัดปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าเขาออก ฮีวอน...กำแพงในหัวใจของนาย ฉันจะพังมันลงได้ยังไงนะ
แสงแดดอ่อนๆ จากดวงอาทิตย์งัดเปลือกตาของฉันให้เปิดออก นัยน์ตาสีเฮเซลนัทคู่สวยของฮีวอนที่กำลังจ้องมองฉันอยู่ทำให้ฉันถึงกับผงะด้วยความตกใจ
มาเดอลีนนะมาเดอลีน เผลอหลับไปอีกแล้วสิเนี่ย!
ฉันยันตัวเองลุกขึ้นนั่งบนเตียงก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ทั้งฉันและฮีวอนต่างก็มีเพียงแค่ชุดชั้นและเสื้อคลุมอาบน้ำปกปิดร่างกายเท่านั้น
“เธอ!”
“ฮะ” ฉันสะดุ้ง
“ทำไมเราสองคนถึงไม่ใส่เสื้อผ้า”
“ฮะ นายจะบ้าเหรอ! ก็ใส่อยู่นี่ไง” ฉันตอบเสียงเข้ม ถึงมันจะเป็นแค่เสื้อคลุมอาบน้ำตัวเดียว แต่อย่างน้อยก็ช่วยอย่าพูดจาอะไรน่าเกลียดแบบนั้นจะได้ไหมยะ พูดอย่างกับเรา...แก้ผ้ากันอยู่งั้นแหละ –//–
“เมื่อคืนเธอทำอะไรฉัน”
ฉันอ้าปากค้าง หมอนี่ดูละครน้ำเน่ามากไปหรือเปล่าเนี่ย แต่ถึงอย่างงั้นก็เหอะ คนพูดประโยคนั้นก็ต้องเป็นนางเอกอย่างฉันสิยะ แย่งบทกันแบบนี้ได้ไง!
“นี่! ฉันถามว่าเธอทำอะไรฉัน”
“ปล้ำนายมั้ง จำไม่ได้เหรอไง” ฉันตอบออกไปอย่างกวนประสาท
ร้องไห้สิ นายถูกฉันปล้ำเชียวนะ เอาสิ ร้องไห้เลย!
“จำไม่เห็นได้”
“แหงล่ะ ก็เมาเละซะขนาดนั้น”
“นั่นสินะ” ฮีวอนพึมพำกับตัวเองก่อนจะดึงฉันลงไปนอนแล้วพลิกตัวเองขึ้นมาคร่อมร่างฉันไว้
“เฮ้ย! นายจะทำอะไรอ่ะ”
ฉันร้องเสียงหลง พยายามผลักเขาออก แต่ดูเหมือนว่าแรงฉันกับแรงเขานี่จะเทียบกันไม่ได้เลยสักนิด ฮีวอนแสยะยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ สาบานว่านี่คือครั้งแรกที่ฉันเคยเห็นเขายิ้มแบบนี้ และสาบานว่าตอนนี้ฉันกลัวจริงๆ นะ เราสองคนกำลังอยู่ในท่าที่ไม่ปลอดภัย!
ฮีวอนโน้มหน้าลงมาข้างหูฉันก่อนจะกระซิบตอบเบาๆ ว่า...
“ก็จะทำใหม่ตอนที่ฉันไม่ได้เมาไงที่รัก ♥”
To be continued…
ความคิดเห็น